![]() |
|
![]() |
|
Share | คำสั่งเพิ่มเติม | เรียบเรียงคำตอบ |
#11
|
||||
|
||||
![]()
มีนิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบทอดกันมาถึงแก่งคุดคู้อยู่เรื่องหนึ่งว่า...
มีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ ตาจึ่งขึ่งดั้งแดง ผู้ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ จมูกบานโต ขนาดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปวิ่งเล่นในฮูดัง (รูจมูก) ได้ วันหนึ่งแกตามล่าควายเงินมาจากฝั่งลาว และเฝ้ามองจนกระทั่งควายเงินมานอนแช่น้ำ อยู่ที่แก่งคุดคู้ในปัจจุบัน ระหว่างที่ยกหน้าไม้หมายจะยิง บังเอิญมีพ่อค้าส่งเสียงดังถ่อเรือผ่านมาพอดี ทำให้ควายเงินตื่นตกใจวิ่งหนีขึ้นไปบนภูเขา ภูเขาลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า ?ภูควายเงิน? ทำให้พรานป่าแค้นเคืองคนที่นั่งเรือไปมาตามแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก จึงได้แบกเอาก้อนหินมาถมกั้นแม่น้ำไว้ เพื่อไม่ให้เรือแล่นผ่าน จนสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านในละแวกนั้นไปทั่ว เมื่อพระอินทร์ที่อยู่บนสวรรค์เห็นดังนั้น ก็ทรงแปลงกายลงมาเป็นจั่วน้อย (เณรน้อย) และได้ออกอุบายให้ใช้ไม้ไผ่หรือไม้เฮี้ยะ มาทำเป็นคานแบกก้อนหินแทน และด้วยน้ำหนักของหินที่มากเกินไป เลยทำให้ไม้คานหัก บาดคอตาจึ่งขึ่งดังแดงตายอยู่ในท่าคุดคู้ แก่งแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ?แก่งคุดคู้? ตามนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้นี่เอง.. ![]() เข้าใจว่า....ควายภูเงินในเรื่องแก่งคุดคู้นี้ น่าจะเป็นคนละตัวกับควายภูเงิน ที่ชาวนาได้นำไปเลี้ยงไว้ บนยอดเขาวัดพระพุทธบาทควายภูเงิน เพราะควายภูเงินที่แก่งกระทู้นี้ วิ่งหนีนายพรานจมูกโตไปทางฝั่งลาว และกลายเป็นภูเขา ที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้าเราในวันนี้... ![]()
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 03-11-2022 เมื่อ 18:52 |
#12
|
||||
|
||||
![]() รอบๆลานจอดรถ และริมชายโขง มีพ่อค้าแม่ขายมาจับจองพื้นที่เปิดซุ้มจำหน่ายอาหาร ซึ่งมีทั้งปลา กุ้ง หอย ที่ต่างก็มีชื่อแม่น้ำโขงห้อยท้าย ไปจนถึงส้มตำ ไก่ย่าง ลาบ น้ำตก ฯลฯ ![]() แต่ที่น่าทานมากๆ เห็นจะเป็น "กุ้งทอด" ที่แม่ค้าใช้กุ้งฝอยตัวเล็กๆ มาชุบแป้งทอด เป็นแพใหญ่เท่าจานข้าว ![]() อดใจไม่ไหว...ต้องซื้อมาชิมเสียหน่อย อืมมมมม....อร่อยถูกปากจริงๆ ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มใส่ถั่วลิสงบดและแตงกวา ให้เสียรสชาติเลยค่ะ ![]()
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 29-05-2012 เมื่อ 06:33 |
#13
|
||||
|
||||
![]() ที่ต้องซื้ออีกอย่างก็คือ "มะพร้าวแก้ว" แสนอร่อย ที่ทำมาจากมะพร้าวกะทิเนื้อหนานุ่ม หรือมะพร้าวน้ำหอมรสละมุน เคี่ยวกับน้ำตาลสูตรเฉพาะ ที่พี่สาวสั่งซื้อไว้ ตั้งแต่รู้ว่าเราจะมาเชียงคาน ![]() มะพร้าวที่นำมาใช้ทำมะพร้าวแก้ว ที่ต้องไปสั่งซื้อมาจากที่ไกลๆ ![]() มะพร้าวแก้วมีหลายเกรด หลายราคา หลายคนทำ เลือกซื้อหาได้ตามอัธยาสัยค่ะ ![]() แต่สายชลเลือกเจ้านี้ เพราะดูสะอาด และน้ำใจไมตรีดูดีกว่าเจ้าอื่นๆ ![]() แถวๆนั้นยังมี "อุ" เหล้าพื้นเมืองของท้องถิ่นนี้ ที่ไหใส่ไว้ในชะลอมน่ารัก ให้ซื้อมาฝากคอเหล้า...เสียดายไม่ได้ถถ่ายภาพไว้ค่ะ
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 29-05-2012 เมื่อ 06:35 |
#14
|
||||
|
||||
![]() เกือบเย็นแล้ว....ชักหิวแล้วล่ะค่ะ...เราเลือกร้านของกลุ่มแม่บ้านแก่งคุดคู้ ซึ่งเป็นเรือนไม้ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง บรรยากาศดีใช้ได้ทีเดียวค่ะ อาหารที่เราสั่ง ประกอบด้วย ต้มยำปลาแม่น้ำโขงหม้อไฟ รสชาติแซ่บซ่าน สะท้านไปถึงทรวง ![]() จานที่สอง เป็น ปลาเนื้ออ่อนแม่น้ำโขง ทอดกระเทียมพริกไทย ทั้งกรอบ หอมหวล ชวนรับประทานยิ่งนัก ![]() จานที่สามเป็น "กุ้งฝอยทอดกรอบ" ที่สั่งเพิ่มมาอีกแพหนึ่ง คราวนี้มีน้ำจิ้มมาเสริมแก้เลี่ยนด้วย กับ จานสุดท้าย "ส้มตำไทย" รสชาติกลมกล่อม ![]() ข้าวสวยร้อนๆ กับอาหารพื้นบ้านเพียงสี่อย่างนี้ กว่าเราจะทานหมด ก็เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะค่ะ...
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 29-05-2012 เมื่อ 06:38 |
#15
|
||||
|
||||
![]() วัดท่าแขก ระหว่างทางจากแก่งคุดคู้ จะออกไปสู่ถนนหลวงหมายเลข 211 เราเห็นภาพแสงที่ลอดผ่านแมกไม้สูงใหญ่ข้างทาง ทำให้อดที่จะจอดรถถ่ายภาพไม่ได้ ![]() เราเห็นทางลูกรังแล่นฝ่่าดงไม้ใหญ่ จึงเลี้ยวรถไปตามทางเหมือนต้องมนต์... ![]() ผ่านม่านหมอกเข้าไป...เราเห็นโบสถ์เล็กๆตั้งอยู่เบื้องหน้าอย่างสง่างาม.. ![]() ป้ายที่เห็นอยู่ในบริเวณหน้าโบสถ์ ทำให้เราทราบว่า วัดนี้คือ "วัดท่าแขก" ซึ่งตามประวัติจัดเป็นวัดเก่าแก่ ปรากฎบนหลักศิลาจารึกที่พบในวัด กล่าวว่า วัดแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ พ.ศ.2209 ตรงกับ จุลศักราช 1028 วันเสาร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย ตัวหนังสือ กล่าวว่า ท้าวสุวรรณแผ้วพ่าย พระโอรสของกษัตริย์ลานช้าง แห่งเมืองหลวงพระบาง เป็นผู้ก่อสร้าง
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 15:15 |
#16
|
||||
|
||||
![]() วัดนี้ถูกทิ้งร้างมานานจนกระทั่งปี พ.ศ.2469 พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต...พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล...พระอาจาจย์ฝั้น อาจาโร และคณะอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ได้เดินธุรงค์มาพักจำพรรษา และปฏิบัติธรรมที่วัดท่าแขก จึงได้มีการบูรณะและฟื้นฟูวัดนี้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปในโบสถ์ เราเห็นองค์พระสีทองอร่าม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโบสถ์ ![]() แต่ในตำนานที่ปรากฏ กล่าวไว้ว่า พระประธานในวัดท่าแขก เป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ และเก่าแก่ อายุประมาณ 300กว่าปี แกะสลักด้วยหินทั้งก้อน และมีถึง 3 องค์ คือ องค์ที่ 1...เป็นพระพุทธรูปนั่งปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ 2 ศอก สูงประมาณ 1.20 เมตร องค์ที่ 2...เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ 0.70 เมตร สูงประมาณ 1.20 เมตร องค์ที่ 3...เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก หน้าตักกว้างประมาณ 0.65 เมตร สูงประมาณ 1.20 เมตร ฉะนั้นพระองค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโบสถ์นี้ จึงหาใช่พระประธานที่ว่าไว้ในตำนานไม่.... ![]() เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ...จึงเห็นว่ามีแท่นสูงขึ้นไป เหนือด้านหลังองค์พระใหญ่ สร้างอยู่ติดกับผนังโบสถ์ บนแท่นมีพระพุทธรูปสามองค์ ลักษณะเหมือนที่ตำนานว่าไว้ และนั่นคือประประธานของวัดท่าแขกที่แท้จริง ของวัดแห่งนี้นั่นเอง.... พระประธานทั้งสามองค์ เป็นพระพุทธรูปที่สวยงาม และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นที่สักการะบูชาของชาวเชียงคาน และจังหวัดใกล้เคียง จึงนับเป็นบุญยิ่งนัก ที่บังเอิญให้เราได้มากราบไหว้... ![]()
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 15:24 |
#17
|
||||
|
||||
![]() เชียงคาน ออกจากวัดท่าแขก เลี้ยวขวาไปได้ไม่นาน ก็ถึงปากทางเชื่อมต่อถนนหลวงหมายเลข 211...เราเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงคาน เพียง 2 กิโลเมตรจากวัดท่าแขก เราก็ถึง เมืองเชียงคาน... เมืองเชียงคาน เดิมตั้งอยู่ที่ เมืองชะนะคาม ประเทศลาว ซึ่งสร้างโดยขุนคาน โอรสของขุนคัวแห่งอาณาจักรล้านช้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. 1400 ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2250 อาณาจักรล้านช้างแยกออกเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง ซึ่งมีพระเจ้ากีสราชเป็นกษัตริย์ และ อาณาจักรเวียงจันทน์ ซึ่งมีพระเจ้าไชยองค์เว้เป็นกษัตริย์ โดยกำหนดอาณาเขตให้ดินแดนเหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไปเป็นอาณาเขตหลวงพระบาง และใต้แม่น้ำเหืองลงมาเป็นอาณาเขตเวียงจันทน์ ต่อมาทางหลวงพระบางได้สร้างเมืองปากเหืองซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นเมืองหน้าด่านและทางเวียงจันทน์ได้ตั้งเมืองเชียงคาน เดิมเป็นเมืองหน้าด่านเช่นกัน ต่อมา พ.ศ. 2320 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระสุรสีห์ ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์ ตีเวียงจันทน์ได้จึงได้อันเชิญพระแก้วมรกต กลับมายังกรุงธนบุรี แล้วได้รวมอาณาจักรล้านช้างเข้าด้วยกันและให้เป็นประเทศราชของไทย และได้กวาดต้อนผู้คนพลเมืองมาอยู่เมืองปากเหืองมากขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เมืองปากเหืองไปขึ้นกับเมืองพิชัย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจากไทยโดยยกกำลังจากเวียงจันทน์มายึดเมืองนครราชสีมา แต่ในที่สุดเจ้าอนุวงค์ถูกจับขังจนสิ้นชีวิต กองทัพไทยที่ยกมาปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครราชสีมาได้ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงมายังเมืองปากเหืองมากขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุพินาศ (กิ่ง ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองปากเหืองคนแรก แล้วพระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองเชียงคาน ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกจีนฮ่อได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงพระบางและได้เข้าปล้นสะดมเมืองเชียงคานเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) เป็นจำนวนมาก ครั้นต่อมา เห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ไม่เหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่จึงอพยพไปอยู่ที่บ้านท่านาจันทร์ซึ่งใกล้กับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่เชียงคาน ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส ทำให้เมืองปากเหืองตกเป็นของฝรั่งเศส คนไทยที่อยู่เมืองปากเหืองจึงอพยพมาอยู่เมืองใหม่เชียงคานหรืออำเภอเชียงคานปัจจุบันโดยสิ้นเชิง แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเชียงคานใหม่ ได้ตั้งที่ทำการอยู่บริเวณ วัดธาตุ เรียกว่าศาลาเมืองเชียงคาน ต่อมาได้ย้ายไปอยู่บริเวณ วัดโพนชัย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2452 เมืองเชียงคานซึ่งมีพระยาศรีอรรคฮาด (ทองดี ศรีประเสริฐ) ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเชียงคานคนแรก ในปี พ.ศ.2484 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเชียงคานมาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้ (ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org) ![]() ฝ่ากลางเมืองเชียงคานที่วุ่นวายด้วยรถราและผู้คน...เรามุ่งหน้าสู่บ้านพัก "ตาหน่วมโฮมสเตย์" ซอย 3 ถนนชายโขง ที่เราตั้งใจจองให้เป็นที่พักของเรา ตลอดสามวันที่จะอยู่ในเมืองเชียงคาน จังหวัดเลย ถึงแล้วค่ะ...บ้านตาหน่วมฯ บ้านเล็กๆติดริมแม่น้ำโขง...น่าอยู่ทีเดียวค่ะ... ![]() ด้านล่างของบ้าน...เป็นบ้านพักของ คุณไสว และครอบครัว ซี่งมีระเบียงให้เรานั่งเล่น พร้อมขนมทานเล่น น้ำชาและกาแฟพร้อม ด้านข้างๆเป็นบ้านพักใหญ่ สำหรับครอบครัวที่มากัน 7-8 คน ให้พักรวมกันอยู่แบบสบายๆ ![]() ส่วนด้านบน...มีห้องพักเพียงสองห้อง ซึ่งหนึ่งในสองคือห้องพักของเราเอง เป็นห้องแอร์ ห้องน้ำในตัว มีทีวี และระเบียงน่ารัก ให้เรานั่งชมวิวไปดื่มชากาแฟที่จัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ ... ![]()
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 01-06-2012 เมื่อ 20:51 |
#18
|
||||
|
||||
![]() จอดรถได้ที่แล้ว คุณไสว...ลูกเขยของตาหน่วม ก็พาเราปีนบันไดสูงชันขึ้นไปบนห้องพัก ![]() เราเห็นความสะอาดสะอ้านของบันไดและทางเดินก่อนถึงห้องพัก ก็อุ่นใจว่าเราน่าจะเลือกบ้านพักได้ถูกต้องแล้ว... แล้วก็จริงดังคิด...เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เราก็ได้เห็นห้องนอนเล็กๆ แต่สะอาด และน่าอยู่มาก... ![]() มองออกไปนอกหน้าต่าง จะเห็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง อย่างนี้ค่ะ ![]() ระเบียงห้องพัก น่านั่งทีเดียวค่ะ.. ![]()
__________________
Saaychol |
#19
|
||||
|
||||
![]() เย็นย่ำสนธยาพอดี เมื่อเราจัดสมบัติเข้าที่เสร็จ เหนื่อยและปวดขาซะจนไม่อยากออกไปไหน เราเลยออกมานั่งคุยกันอย่างมีความสุข ที่ระเบียงห้องพักของบ้านตาหน่วม... ![]() นกกระยางฝูงใหญ่ที่ไปหากินที่ฝั่งลาวตั้งแต่เช้า กินกลับมานอนที่ฝั่งไทยเมื่อยามเย็น...ซึ่งคุณไสวบอกว่า เป็นกิจวัตรที่หาดูได้ทุกวันที่เชียงคานค่ะ.. ![]()
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 16:39 |
#20
|
||||
|
||||
![]() ดูตามเว็บท่องเที่ยว มาเชียงคานต้องตื่นเช้ามืด เพื่อขึ้นไปดูทะเลหมอกที่ภูทอกตอนพระอาทิตย์ขึ้น ... เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม คำโบราณท่านว่าไว้ ผมต้องตื่นแต่ตี 4 เพื่อเตรียมตัวขึ้นรถสามล้อเครื่อง ที่คุณไสวติดต่อไว้ให้ เพื่อออกเดินทางจากที่พักตอนตี 5 ไปฟ้าสางที่ภูทอกพอดี มีน้องหนุ่มสาว 1 คู่ห้องข้างๆไปด้วยกัน แต่คุณสายชลไม่ไปด้วย ![]() ไปถึงตีนภู ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถกระบะ ที่เจ้าของสถานที่คือ สถานีเรดาร์ มีไว้บริการ เพื่อขึ้นไปถึงยอดภูอีกทอดหนึ่ง แจ็คพอต ... วันนี้อุณหภูมิไม่เหมาะ ความชื้นไม่พอ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ หมอกไม่ยอมมาก่อตัวเป็นทะเล ตามที่นัดกันไว้ ที่พอมองเห็น แทนที่จะเป็นทะเลหมอก กลับเป็นแค่ลำธารเท่านั้นเอง ![]() ![]() ![]()
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-05-2012 เมื่อ 18:29 |
![]() |
|
|