เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 20-11-2009
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


อ่าวไทยคลื่นยังแรงกัดเซาะชายหาดสมิหลาพังเป็นแนวยาวกว่า 2 กม.



สงขลา 19 พ.ย.-ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก แจ้งเตือนว่า ในระยะนี้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมพื้นที่ภาคใต้และ ทะเลอ่าวไทย ยังคงมีกำลังแรง เรือประมงขนาดเล็ก ใน 5 จังหวัด ตั้งแต่ จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ควรงดออกจากฝั่งตั้งแต่ระยะนี้ไปจนถึงวันที่ 22 พ.ย.นี้ ขณะที่คลื่นในทะเลอ่าวไทยยังคงถาโถมเข้าถล่มชายหาดสมิหลา ในเขตเทศบาลนครสงขลา อย่างต่อเนื่องเป็นรอบที่สอง จนทำให้ชายหาดสมิหลา ซึ่งเป็นหาดทรายยาวกว่า 9 กิโลเมตร ถูกความแรงของคลื่นกัดเซาะแนวต้นสนและหาดทราย ได้รับความเสียหายไปแล้วกว่า 2 กิโลเมตร

ทางเจ้าหน้าที่เทศบาลนครสงขลาได้เร่งทำแนวกันคลื่น ด้วยล้อยางรถยนต์ กระสอบทรายกว่า 50,000 ลูก และเสาไม้อีกกว่า 300 ต้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อชายหาดสมิหลาเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้มากนัก นอกจากนี้ ความแรงของคลื่นยังทำให้ถนนเชื่อมระหว่างเทศบาลตำบลเกาะแต้ว อ.เมืองสงขลากับองค์การบริหารส่วนตำบลนาทับ อ.จะนะ ได้รับความเสียหายเป็นทางยาวกว่า 100 เมตร



จาก : ข่าว อสมท. MCOT News วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 20-11-2009
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


จันทบุรี ประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการป้องกันน้ำกัดเซาะชายฝั่ง

จังหวัดจันทบุรี จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง บริเวณตำบลเกาะเปริด อำเภอแหลมสิงห์ ถึง ตำบลบางชัน อำเภอขลุง

นายณรงค์ ธีระจันทรางกูร ปลัดจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานในการประชุมรับฟังความคิดเห็นทางเทคนิค โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง บริเวณตำบลเกาะเปริด อำเภอแหลมสิงห์ ถึง ตำบลบางชัน อำเภอขลุง โดยมีองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมในการประชุม

ทั้งนี้ตามที่จังหวัดจันทบุรี ได้ดำเนินการจัดทำโครงการศึกษาจัดทำแผนหลักและออกแบบเบื้องต้นการแก้ไขปัญหา การกัดเซาะชายฝั่ง ตำบลเกาะเปริด อำเภอแหลมสิงห์ ถึง พื้นที่ตำบลบางชัน อำเภอขลุง เพื่อรวบรวมและศึกษาสถานภาพของชายฝั่งทะเลบริเวณพื้นที่ศึกษา จัดทำแผนหลักการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างบูรณาการ จัดทำเป็นแผนการปฏิบัติการที่มีความเป็นไปได้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่ เพื่อออกแบบป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่วิกฤต โดยมีพื้นที่ศึกษาโครงการครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่อำเภอแหลมสิงห์และอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี และได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม รับผิดชอบและกำกับดูแล ซึ่งการกัดเซาะชายฝั่งได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ให้กับถนนเลียบชายฝั่งตำบลเกาะเปริด บ่อเลี้ยงกุ้ง อาคารบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งได้ถูกคลื่นทำลายไปเป็นจำนวนมาก การดำเนินการศึกษาและออกแบบเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งอย่าง ยั่งยืนจึงจำเป็นต้องให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นก่อนดำเนินการตามโครงการต่อ ไป



จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 03-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


สำรวจฝั่งอ่าวไทย โลกร้อน-กัดเซาะ


แนวเขื่อนไม้ไผ่

" ภาวะโลกร้อน" หรือ "Global Warming" เกิดจากอุณหภูมิของโลกที่ปรับสูงขึ้น อันเนื่องมาจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งทำให้เกิดภาวะก๊าซเรือนกระจก

ผลกระทบที่ตามมา คืออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น น้ำแข็งในขั้วโลกละลายรวดเร็ว เกิดความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ ทะเลทรายขยายตัว พื้นที่เพาะปลูกลดน้อยลง ฤดูกาล และสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง บางพื้นที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้ริมทะเล หรือเกาะต่างๆ จมหาย

เมื่อปลายปีพ.ศ.2552 มีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 15 และพิธีสารเกียวโตสมัยที่ 5 ที่ประเทศเดนมาร์ก มีมหาอำนาจหลายประเทศตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงประเทศไทย เข้าร่วมด้วย

แต่สุดท้ายไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาได้ จึงต้องรอการประชุมที่ประเทศเม็กซิโก ในปีพ.ศ.2553 ว่า จะได้ข้อสรุปอย่างไร

ส่วนประเทศไทยยังคงปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 เรื่องการใช้พลังงานทดแทน การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และปลูกป่าทดแทน โดยเฉพาะป่าชายเลน

โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักที่จะต้องปฏิบัติตามแผนนโยบายนี้ ล่าสุดยกคณะลงเรือสำรวจพื้นที่ป่าชายเลน ตั้งแต่คลองบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เรื่อยไปจนถึง ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง มากแห่งหนึ่ง


1.เวทีแลกเปลี่ยนข้อมูล
2.หลักเขตกรุงเทพฯ
3.นายสุวิทย์ คุณกิตติ
4.ลุงทวีปพาดูแนวเขื่อนไม้ไผ่
5.น้ำทะเลกัดเซาะตลิ่ง
6.คลองพิทยาลงกรณ์


เริ่มจากคลองพิทยาลงกรณ์ เขตบางขุนเทียน ระยะทาง 3 กิโลเมตร ก่อนเลี้ยวขวาล่องไปตามคลองขุนราชพินิจใจ ระยะทาง 4 กิโลเมตร ถึงปากคลองบางขุนเทียนออกอ่าวไทย บริเวณนี้จะพบหลักกิโลเมตรที่ 28 กรุงเทพฯ

จากนั้นแล่นเรือเลาะไปตามชายฝั่งอ่าวไทย สำรวจเรื่อยไปเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร จนถึงศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และชาวฝั่งที่ 2 ต.โคกขาม

จากการสำรวจทั้ง 2 ฝั่งคลอง และชายฝั่ง พบว่าป่าชายเลนลดลงเป็นอย่างมาก บางพื้นที่ชาวบ้านต้องทำเขื่อนเชื่อมคันดิน เพื่อไม่ให้น้ำทะเลท่วมทะลักเข้ามา แต่บางช่วงเป็นพื้นที่ต่ำ น้ำทะเลทะลักเข้ามาในพื้นที่อยู่อาศัยเป็นอาณาบริเวณกว้าง

นายทวีป เมตสุวรรณ อายุ 58 ปี ประธานชุมชนคลองพิทยาลงกรณ์ ให้ข้อมูลว่า อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศบริเวณนี้มาทั้งชีวิต โดยเฉพาะป่าชายเลนที่เมื่อก่อนมีความอุดมสมบูรณ์ทั้ง 2 ฝั่งคลอง และชายฝั่งอ่าวไทยเต็มไปด้วยป่าโกงกาง

"แต่ปัจจุบันแทบจะไม่หลงเหลือแล้ว อนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บางขุนเทียนจะจมอยู่ใต้ทะเล และน้ำทะเลจะไหลเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างแน่นอน"

ลุงทวีปเล่าอีกว่า 30 กว่าปีที่ผ่าน แต่เดิมคลองพิทยาฯ เป็นคลองขุดมีความกว้างเพียง 3 เมตร แต่ปัจจุบันกว้างกว่า 40 เมตร หรือแม้แต่คลองขุนฯ จากเดิมกว้างเพียง 20 เมตร ขณะนี้ขยายกว้างกว่า 90 เมตร กลายเป็นแม่น้ำไปแล้ว บางแห่งน้ำท่วมลึกเข้าไปกว่า 10 เมตร ชาวบ้านต้องย้ายบ้านหนีขึ้นไปพื้นที่สูง


น้ำทะเลท่วมบ้าน

" ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือหลังหลักกิโลเมตรที่ 28 และ 29 จากเดิมที่สร้างอยู่บนพื้นดินริมชายฝั่งทะเล แต่ปัจจุบันถูกน้ำทะเลเข้ายึดพื้นที่ไว้หมดแล้ว ท่วมกินแผ่นดินที่เป็นพื้นที่ของชาวบ้านเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร ปัญหาทั้งหมดเกิดจากภาวะโลกร้อนอย่างแน่นอน" ลุงทวีป ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยแปลงที่เกิดขึ้น

หลังจากนั้นคณะเดินทางเข้าไปสำรวจพื้นที่ศูนย์อนุรักษ์ชาวฝั่งที่ 2 ต.โคกขาม เป็นพื้นที่ทดลองปลูกป่าชายเลนกว่า 40 ไร่ โดยมีโครงการสร้างเขื่อนไม้ไผ่ กั้นตลอดแนวชายฝั่ง จ.สมุทรสาคร ถึงบางขุนเทียน เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร

เจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ให้ข้อมูลถึงเขื่อนไม้ไผ่ว่า ขั้นตอนการทดลองวางแนวเขื่อนไม้ไผ่ เริ่มทำมาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 3 ปี ขั้นตอนแรกนำไม้ไผ่ที่มีความยาวขนาด 6 เมตร ปักลงไปในพื้นดิน 4 เมตร ให้ไม้ไผ่อยู่เหนือพ้นน้ำทะเล 2 เมตร โดยปักซ้อนกันหนา 50 เซนติเมตร ก่อนปักเป็นแนวยาว 1 กิโลเมตร ขนานไปกับแนวตลิ่ง แนวแรกห่างจากฝั่ง 20 เมตร หลังจากนั้นปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ 1 ปี จะพบว่าหลังแนวเขื่อนไม้ไผ่ ดินเลนเริ่มสะสมหนาขึ้น เจ้าหน้าที่จะนำต้นโกงกางมาปลูกเป็นแนวยาว

จากนั้นเริ่มสร้างเขื่อนแนวที่ 2 โดยนำไม้ไผ่ไปปักให้ห่างจากแนวแรกประมาณ 30 เมตร ปักรูปแบบเดียวกับแนวแรก ทิ้งไว้ 1 ปี จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในแนวแรก และแนวที่ 2 ส่วนแนวที่ 3 นำไม้ไผ่ไปปักให้ห่างจากแนวที่ 2 ประมาณ 50 เมตร ตามด้วยขั้นตอนการปลูกป่าโกงกางในแนวที่ 2 ถือว่าเป็นโครงการนำร่อง

คาดว่าหลังจากนี้อีกประมาณ 3 ปี หากพบว่าทั้งดินและป่าชายเลนเริ่มอยู่ได้ สิ่งมีชีวิตเริ่มกลับเข้ามา ทางโครงการอนุรักษ์ชายฝั่ง จะเริ่มขยายแนวเขื่อนไม้ไผ่ ให้เชื่อมต่อกับทางแนวเขื่อนทางเขตบางขุนเทียน

ด้าน นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ กล่าวว่า โครงการสร้างเขื่อนไม้ไผ่ ทำมาอย่างต่อเนื่องกว่า 3 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะแนวหลังเขื่อนไม้ไผ่ที่ 1 เริ่มมีสัตว์น้ำ ทั้งปลาปูเข้ามาอาศัย รวมทั้งรากของต้นโกงกางสามารถยึดดินได้ดี จากนี้ทางกระทรวงจะสร้างเขื่อนไม้ไผ่ให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ของเขต บางขุนเทียนให้เสร็จ

หากโครงการที่โคกขาม-บางขุนเทียน ได้ผลดี จะนำโครงการนี้ไปขยายผลต่อในพื้นที่จังหวัดที่ติดกับทะเล โดยเฉพาะที่ สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี และตราด

หากสามารถฟื้นป่าชายเลนให้กลับมาสมบูรณ์เช่นเดิมได้ ทรัพยากรอาหารตามธรรมชาติก็จะกลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ประชาชนที่อยู่ตามแนวป่าชายเลน จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่สำคัญสามารถช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้ทางหนึ่ง



จาก : ข่าวสด วันที่ 4 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 12-01-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


ปัญหาน้ำทะเล 'กัดเซาะชายฝั่ง' แก้ตรงจุดหรือยังพลาดเป้า!?


"เขาเรียกไส้กรอกทรายตา?! มาจากประเทศนอกเอาไว้กันคลื่นทะเล อยู่ได้นาน 30 ปี” คำพูดของช่างคนหนึ่งที่มาพร้อมกับเรือขนาดมหึมาเพื่อทำแนวกั้นคลื่นราวปี พ.ศ. 2547 บริเวณปากอ่าวคลองด่าน จ.สมุทรปราการ สร้างความหวังให้กับผู้เฒ่าอย่าง สืบ ใจยิ้ม ชาวบ้านหมู่ 9 ในซอยวัดสว่างอารมณ์ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ที่หวังว่า ชุมชนชาวประมงริมทะเลกว่า 100 หลังคาเรือนในอดีตจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากถูกคลื่นกัดเซาะพื้นดินที่อยู่อาศัยจนหลายครอบครัวอพยพย้ายถิ่นฐาน

แต่ “ไส้กรอกจาก ประเทศนอก” ไม่เป็นอย่างไอ้หนุ่มผู้นั้นว่า!!! ไม่ถึงสองปีพังทลาย จมลงไปใต้โคลนทะเล ทรายในถุง ไหลลงทะเลส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่อยู่บริเวณปากอ่าว เพราะพื้นที่ของอ่าวไทยส่วนใหญ่เป็นหาดโคลนทำให้สัตว์น้ำพอได้รับทรายการดำรงชีวิตก็เปลี่ยนไป

“ฉันใจหายที่เห็นคนในชุมชนค่อยๆย้ายกันไปทีละครอบครัว หมู่บ้านที่เคยทำประมงลูกหลานก็ไม่สืบทอดต่อ มีแต่คนอยากทำงานโรงงานเพราะมันสบายกว่าหาปลา ตอนนี้ออกเรือทีต้องไปไกลเปลืองค่าน้ำมัน ค่าแรงลูกน้อง ลำพังจะหากินริมชายฝั่งเหมือน แต่ก่อน ไม่ค่อยได้เพราะปู ปลามันลดลง ส่วนหอยที่พอจะเก็บได้มันก็มีแต่ทราย ระบบชีวิตพวกมันเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะหอยพวกนี้จะอ้าฝารับโคลน แต่เดี๋ยวนี้มันรับทรายจากไส้กรอกทรายที่แตก พอเก็บไปขายไอ้คนไม่รู้ก็กินเข้าไปสะสมในร่างกาย” สืบ “เฒ่าทะเล” ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน

ขณะเดียวกันปัญหาของคลื่นทะเลในยามหน้าลมก็สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เฒ่าสืบ เพราะบ้านไม้ริมชายฝั่งเพิ่งยกพื้นสูงจากน้ำทะเลไม่ถึงปีก็ทรุดตัวลง จำต้องเตรียมยกพื้นให้สูงใหม่อีกครั้ง เนื่องจากยามหน้าลมคลื่นจะก่อตัวสูงจนท่วมพื้นบ้านชั้นล่าง ความโหดร้ายเหล่านี้สอนให้ชาวบ้านรู้ว่า เมื่อฤดูแห่งความโหดร้ายมาถึงต้องอพยพลูกหลานและคนชราที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปอยู่บนฝั่งเฉพาะในรายที่มีอันจะกิน ส่วนครอบครัวที่ยากจนอย่างตาสืบ ได้แต่จำทนรับชะตากรรมที่ยังไม่รู้ว่า อนาคตหลานๆที่กำลังเติบโตจะมีที่อยู่หรือไม่ ?

ด้าน กรองทอง จันดี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ พา “ทีมวาไรตี้” ไปสำรวจปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบริเวณ ปากอ่าวคลองด่าน ที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนพบว่าสะพานที่ข้ามไปยังชุมชนกว่า 100 หลังคาเรือนที่สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 จมไปกับน้ำทะเล ซึ่งในปี พ.ศ. 2547-2549 ชาวบ้าน ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำทะเลท่วมพื้นที่อาศัยทำให้ต้องอพยพขึ้นฝั่งและ ร่นถอยจนไม่เหลือภาพชุมชนอันรุ่งเรืองในอดีต ป่าชายเลนที่มีความหนาแน่นในอดีตลดลง เหลือเพียงไม้ใหญ่บางส่วนยืนต้นโงนเงนตามกระแสคลื่น ปัจจุบันบ้านริมชายฝั่งหลายหลังรื้อถอนอพยพเข้าไปอยู่บนพื้นที่ธรณีสงฆ์ วัดสว่างอารมณ์ ส่วนบ้านที่มีเรือหาปลาขนาดใหญ่จำต้องทนอยู่ต่อไปเพราะหากย้ายเข้าฝั่งไปลึกกว่านี้เรือประมงไม่สามารถเข้าไปได้

“การทำไส้กรอกทรายภาครัฐไม่เคยลงมาคุยกับชาวบ้านถึงความคิดเห็นผลดีและผลเสีย ชาวบ้านมารู้อีกทีก็ปีนี้เพราะมีการทำประชาพิจารณ์ โดยมีนักวิชาการมาให้ความรู้ว่า สัตว์น้ำที่เรากินขายกันอยู่ทุกวันมันได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ขณะเดียวกันชาวบ้าน ที่ออกหาปลาทุกวันก็ไม่รู้ว่า แนวไส้กรอกทรายอยู่ตรงไหนเวลาน้ำขึ้น เพราะไม่มีสัญลักษณ์บอกทำให้เรือประมงชาวบ้านวิ่งไปชนไส้กรอกทรายหรือการทำประมงชายฝั่งชาวบ้านไม่รู้ก็เอาไม้ไปปักหาปลาจนทิ่มถุงทรายแตก การกระทำของรัฐทำให้ชาวบ้านผิดหวังเพราะไม่เคยลงมาคุยกันก่อนเหมือนการนำเงินประชาชนไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” กรองทอง เล่าถึงปัญหา

ชาวบ้านได้ลงประชามติกันโดยใช้ภูมิปัญญาที่มีอยู่ พบว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดต้องทำเขื่อนหินที่สูงกว่าคลื่น แล้วปลูกป่าชายเลนไว้ด้านหลัง เพราะถ้าทำแนวกันคลื่นโดยใช้ไม้ไผ่เหมือนหมู่บ้านอื่นไม่ได้ผลเพราะไม่นานคลื่นก็จะทำลายไม้ไผ่พังหมด แนวป่าชายเลนที่ปลูกไว้ด้านหลังก็ถูกคลื่นซัดหายไปในทะเล

ไม่ต่างจากชาวบ้านใน ต.โคกขาม จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีพื้นที่ติดกับอ่าวไทยที่ได้รับผลกระทบจากไส้กรอกทรายเช่นกัน นรินทร์ บุญร่วม (ลุงทะเล) ปราชญ์ชาวบ้านเล่าว่า เมื่อไส้กรอกทรายแตกทำให้ผ้าใยสังเคราะห์ที่ห่อทรายฉีกขาดหลุดไปทำลายระบบนิเวศ ส่วนทรายก็ปนเปื้อนกับหาดโคลนทำให้การทำประมงชายฝั่งได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะพื้นที่ในการหากินของสัตว์ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อนทำให้ประชากรสัตว์น้ำลดลงและอาจสูญพันธุ์ไปในที่สุด

หากมองถึงแนวทาง การกู้ไส้กรอกทรายขึ้นมาจากท้องทะเล ลุงทะเล มองว่า “ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ !?! เพราะเป็นเรื่องยากลำบากในการโกยทรายที่ปนเปื้อนกับโคลนขึ้นมา แต่ก็มีการพูดเล่นกันว่า เอาทรายมาถมให้เป็นหาดทรายเลยดีไหมจะได้ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว!! ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงความคิดชาวบ้านที่ไม่สามารถเป็นจริงได้”

แนวทางการแก้ปัญหาที่ดีต้องใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้ไผ่มาทำเป็นแนวกั้นคลื่น ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ร่วมใจกันทำมาแล้วกว่า 2 ปี จนประสบความสำเร็จฟื้นฟูป่าชายเลนขึ้นมาได้ใหม่ และทำให้ตะกอนจากทะเลพัดเข้ามาทับถมริมชายฝั่งด้านหลังแนวกั้นไม้ไผ่มากขึ้น ส่งผลให้ได้ผืนดินกลับมาอีกครั้ง

พลอย ฉายสวัสดิ์ เลขา ธิการกลุ่มรักษ์อ่าวไทย ที่ทำงานร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ ต.โคกขาม จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า การทำแนวกั้นคลื่นจากไม้ไผ่ใช้งบประมาณไม่สูง และไม่มีผลต่อระบบนิเวศ เพราะสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม้ไผ่สามารถอยู่ได้ 3-5 ปี ซึ่งแนวคิดการทำงานได้มาจากการปักหอยแมลงภู่ของชาวบ้านที่ปักหอยแล้วต้องย้ายหอยหนีเพราะว่าดินเลนมันจะมาทับตัวหอย เช่นเดียวกับแนวกั้นไม้ไผ่พอหอยติดเป็นพวงใหญ่ตะกอนเลนมันก็สูงขึ้น โดยต้องปักห่างๆกันเพื่อให้ดินพอกพูนเป็นกำแพงธรรมชาติ

สำหรับการแก้ปัญหาไส้กรอกทรายแตกปนเปื้อนหาดโคลนในอ่าวไทย สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ต้องเร่งดูแลแก้ไขโดยใช้ระบบธรรมชาติบำบัด ซึ่งจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อหาแนวทางแก้ไข

การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะแต่ละปีเราสูญเสีย ผืนแผ่นดินไปไม่รู้กี่หมื่นไร่ กระบวนการการแก้ไขปัญหารัฐได้ดำเนินการศึกษา มีวิธีการหลายวิธีการเช่น ทำเขื่อนกันคลื่นหรือใช้เสาคอนกรีต มาเรียงกัน ในขณะเดียวกันบริเวณสมุทรสาครเป็นพื้นที่ป่าชายเลน การใช้ระบบธรรมชาติเข้ามาบำบัดโดยใช้เขื่อนไม้ไผ่ก็เป็นแนวทางหนึ่ง ซึ่งจากการที่ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งเห็นว่า ได้ผลดีพอสมควร แต่ระยะยาวต้องศึกษากันต่อไป กระบวนการการฟื้นฟูป่าชายเลนเป็นหัวใจสำคัญที่สุด เพราะแนวไม้ไผ่กันคลื่นเป็นการป้องกันเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะไม้ไผ่มีระยะเวลาของการเสื่อมสลายไป การปลูกป่าชายเลนเทียม ในระยะแรกจึงเลียนแบบป่าชายเลนตามธรรมชาติ เอาไม้ไผ่ไปลงเป็นแนวป่า แล้วเอาต้นแสมและโกงกางผูกติดกับไม้ไผ่เพื่อป้องกันการชะล้าง เพื่อให้ต้นไม้ได้หยั่งรากลึกอย่างน้อย 2-3 ปี การปักจะไม่เป็นแถวเป็นแนว แต่จะปักสลับเป็นลักษณะเหมือนธรรมชาติ

ด้านปัญหาการดูแลการกัดเซาะชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนที่เป็นพื้นที่ซึ่งถูกน้ำทะเลกัดเซาะมากที่สุด สุวิทย์ กล่าวว่า ผมมีความเป็นห่วงอีกอย่างมากในการไปสร้างที่พักชั่วคราวในทะเลหรือพวกเครื่องมือประมงที่มีการขยายตัวค่อนข้างมากตรง จ.เพชรบุรี อันจะส่งผลต่อระบบนิเวศ ถ้าไม่มีการจัดระเบียบป้องกันแก้ไขปัญหา ซึ่งในส่วนนี้ ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลแล้ว ไม่เช่นนั้นปัญหาจะขยายตัวมากขึ้น เหมือนทะเลสาบสงขลาที่ทำให้เกิดปัญหาการไหลเวียนของน้ำ ปัญหาเรื่องตะกอน ปัญหาเรื่องน้ำเสีย เรื่องของระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบทำให้ปลาไม่สามารถวางไข่ได้ ปริมาณก็ลดลง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เป็นห่วงมากในระยะยาว

จึงอยากวิงวอนให้ประชาชนลดการใช้น้ำบาดาล เพราะส่งผลกระทบต่อปัญหาการทรุดตัวของพื้นที่ ซึ่งอนาคตปัญหาน้ำท่วมคิดว่าน่าเป็นห่วงเนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

ด้าน รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาภัยพิบัติและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า 5 จังหวัดบริเวณอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่ปากแม่น้ำบางปะกง ไปจนถึงปากแม่น้ำเพชรบุรี มีโอกาสสูงที่น้ำจะท่วม เพราะแนวโน้มอีก 20 ปีข้างหน้า พื้นที่จะหายไปอีกกว่า 67,000 ไร่

ขณะนี้มีหลายหน่วยงานพยายามป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหาดโคลน อย่างไม่ถูกวิธี ตั้งแต่การนำหินมาถมตลิ่งที่ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายเร็วขึ้นเมื่อโดนคลื่นที่มีความแรงซัด หรือการใช้ไส้กรอกทรายวางเป็นแนวกั้น ที่ไม่นานจะแตกทำให้ทรายและหินปนเปื้อนบนหาดโคลน ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เนื่องจากสัตว์และพืชพันธุ์ที่อาศัยอยู่บริเวณหาดโคลนไม่ชอบหินและทรายทำให้ค่อยๆสูญพันธุ์ลง จนชาวบ้านบริเวณชายฝั่งที่ทำประมงได้รับผลกระทบอย่างหนัก ส่วนแนวกันคลื่นที่ทำจากไม้ไผ่มีอายุได้เพียง 3-5 ปี แล้วไม้ไผ่ก็จะหักส่งผลกระทบต่อการทำประมงชายฝั่ง

“ตอนนี้เราได้ทำการวิจัยการป้องกันการกัดเซาะของน้ำทะเลด้วยเขื่อนขุนสมุทรจีน ที่นำเสาไฟฟ้ามาปักเป็นแนวยาว 2-3 ชั้น เพื่อป้องกันคลื่นที่จะทำลายหาดโคลน ตอนนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถฟื้นฟูหาดโคลนด้วยการปลูกป่าชายเลนทำให้สัตว์ต่างๆในระบบนิเวศเริ่มกลับคืนมา”

การแก้ปัญหาอย่างได้ผลรัฐต้องวางนโยบายการฟื้นฟูในระยะ 20 ปีขึ้นไปเพื่อสร้างแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันต้องให้ชาวบ้านและนักวิชาการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

ทุกนาทีที่มนุษย์หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา น้ำทะเลยังคงกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งพร้อมกับความ ฝันที่ “เฒ่าทะเล” จะเห็นชุมชนชาวประมงชายฝั่งกลับคืนมาค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับดวงตาที่ฝ้าฟาง ขณะที่หลายคนยังหวั่นเกรงกับปัญหาน้ำทะเลกลืนกิน กรุงเทพฯ อันเป็นปลายเหตุของปัญหา ส่วนต้นขั้วของปัญหาการกัดเซาะพื้นดินริมทะเลยังดูแลไม่ทั่วถึง ไม่แน่อนาคตคนกรุงอาจไม่ต่างจาก “เฒ่าทะเล”.



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 12 มกราคม 2553
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	100112_Dailynews.jpg
Views:	0
Size:	173.2 KB
ID:	5341  
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 27-01-2011
ลูกปูกะตอย ลูกปูกะตอย is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: Mar 2010
ข้อความ: 209
Default

ขอบคุณสำหรับข่าวค่ะ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 30-01-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


วิกฤติพัทยาหวั่น 5 ปีชายหาดหาย เร่งแก้เติมทราย 200,000 ตัน



ชายหาด “พัทยา” มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวติดอันดับหนึ่งในเอเชียถึงขั้นเป็นความใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียยกย่องให้พัทยาเป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปเยือน มุมหนึ่งของพัทยานอกจากโรงแรมรีสอร์ท สถานบันเทิงพร้อมสรรพ พัทยายังมีหาดทรายกินอาณาบริเวณกว้างขวาง เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติที่นิยมมาอาบแดดเล่นน้ำทะเล

ย้อนไปเมื่อ 60 ปีก่อน “พัทยา” คือหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก เต็มไปด้วยป่ารกทึบ แต่มีชายหาดสวยและน้ำทะเลสวย ว่ากันว่าขนาดยืนในทะเลน้ำลึกระดับหน้าอกยังสามารถมองเห็นเท้าตัวเอง พัทยาเริ่มเป็นที่รู้จักจากคนภายนอกเมื่อปี พ.ศ. 2502 เมื่อทหารอเมริกันจากฐานทัพนครราชสีมาเดินทางมาพักผ่อน ต่อมาได้พัฒนาและเติบโตเป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศของทหารอเมริกันที่มาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา อ.สัตหีบ สมัยสงครามอินโดจีน จากนั้นพัทยาก็เจริญขึ้นตามลำดับ จนรัฐบาลต้องตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2551 ขึ้น

การเติบโตด้านการท่องเที่ยวของเมืองไม่หยุดยั้ง ทำให้พัทยาต้องเผชิญปัญหานานัปการ ทั้งการวางผังเมืองที่ไม่ถูกต้อง ปัญหาขยะ ปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ปัญหาการรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ น้ำเสีย และปัญหาชายหาดถูกกัดเซาะอย่างหนักทำให้หาดแคบลง โดยเฉพาะเวลาน้ำทะเลขึ้นสูงสุด พื้นที่หน้าหาดเกือบทั้งหมดจมน้ำ

ก่อนหน้าที่พัทยาจะเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว มีพื้นที่ขนาดความกว้างถึง 96,128.4 ตารางเมตร หรือประมาณ 60 ไร่ หน้าหาดอยู่ที่ 35.6 เมตร แต่ปัจจุบันด้วยระบบธรรมชาติการกัดเซาะของคลื่นทะเล ส่งผลให้ปี พ.ศ. 2545– 2553 เหลือบริเวณความกว้างของชายหาดเพียง 4–5 เมตร เท่านั้น เฉลี่ยเกิดการกัดเซาะของชายหาด 1.80 เมตรต่อปี

ทั้งนี้จากการสำรวจของหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าการเปลี่ยนแปลงของภาพถ่ายทางอากาศ พ.ศ. 2495–2545 หาดพัทยามีการกัดเซาะอย่างรุนแรงในบริเวณพื้นที่พัทยาเหนือจนถึงพัทยาใต้ ระยะทางทั้งสิ้น 2.7 กิโลเมตร พ.ศ.2510 หน้าหาดมีการกัดเซาะเหลือเพียง 55,818.3 ตารางเมตร หรือ ประมาณ 34 ไร่ ความกว้างของหน้าหาดเพียง 20.6 เมตร ปี พ.ศ. 2517 หน้าหาดถูกกัดเซาะเหลือเพียง 49,191.4 ตารางเมตร หรือประมาณ 31 ไร่ ความกว้างของหน้าหาดลดลง เหลือเพียง 18.5 เมตร โดยรวมแล้วอัตราการกัดเซาะชายหาดพัทยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495–2517 เฉลี่ยอยู่ที่ 0.78 เมตรต่อปี ขณะที่พบว่าปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยารุนแรงและวิกฤติสุดในราวปี พ.ศ. 2535-2536 ขณะนั้นพบว่า ชายหาดแทบไม่เหลือโดยเฉพาะช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูง (พ.ย.-ม.ค.)

สืบเนื่องจากสาเหตุของปัญหาดังกล่าวจึงได้มีการจัดโครงการศึกษาวางแผนแม่บทและสำรวจออกแบบเพื่อเสริมชายหาดพัทยา โดยความร่วมมือระหว่างกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม สถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันวางแผนแก้ไขปัญหาระยะยาว

ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า ได้ศึกษาการวางแผนแม่บทออกแบบเพื่อเสริมชายหาดพัทยาครอบคลุมพื้นที่ 3 ช่วง ได้แก่
ช่วงที่ 1. บริเวณชายหาดพัทยาเหนือตั้งแต่โรงแรมดุสิตรีสอร์ท ถึงชายหาดพัทยากลางระยะทาง 1, 300 เมตร
ช่วงที่ 2 เริ่มจากชายหาดพัทยากลางถึงชายหาดพัทยาใต้ ระยะทาง 1,400 เมตร และ
ช่วงที่ 3 ได้แก่ ตั้งแต่ชายหาดพัทยาใต้ถึงบริเวณแหลมบาลีฮายมีระยะทาง 1,780 เมตร รวมแนวชายฝั่งพื้นที่ศึกษาทั้งสิ้น 4.48 กิโลเมตร

จากการศึกษาพบว่า สาเหตุการกัดเซาะเกิดจากตะกอนทรายที่คอยเติมให้กับอ่าวพัทยาจากตอนบนของลำน้ำและน้ำท่วมไหลหลากจากพื้นที่ชายฝั่งลงสู่อ่าวพัทยาลดน้อยลง การนำพาตะกอนของคลื่นมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการใช้ประโยชน์หรือกิจกรรมชายหาดที่เปลี่ยนไปในอ่าวพื้นที่พัทยา ล้วนส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายหาดพัทยาอย่างรุนแรง รวมทั้ง ทางระบายน้ำระบายไม่สะดวก คลื่นลมแรงขึ้น ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาด้วยการนำทรายมาเติมชายหาด

“กระบวนการดังกล่าวแก้ไขด้วยระบบธรรมชาติแบบพ่นทราย โดยศึกษาทิศทางของลม ว่าช่วงไหนลมอยู่ทางทิศใด เพราะคลื่นจะพัดเอาทรายไปไว้ในบริเวณชายหาดด้วย อย่างเช่น ฤดูหนาวเราก็นำมาปล่อยตรงหาดพัทยาเหนือ หน้าร้อนก็นำมาปล่อยที่หาดพัทยาใต้ ในขณะที่ระยะหาดประมาณ 30 เมตร จะต้องนำทรายมาเติมประมาณ 200,000 คิว หาดทรายจะอยู่ได้ประมาณ 15 ปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท ในออพชั่นแรก 30 เมตร ออพชั่นสองที่วางแผนว่าจะทำ 40 เมตร ส่วนทางภูมิสถาปัตย์จะมีการออกแบบทางเดิน เต็นท์ผ้าใบ ถือได้ว่าเป็นการจำลองธรรมชาติ” หัวหน้าศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่อธิบายถึงลักษณะการเติมทราย

ศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ กล่าวต่อว่า ก่อนที่จะนำทรายมาเติมได้มีการทำประชาพิจารณ์ ศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ถ้าผลการทำอีไอเอและประชาพิจารณ์ผ่านก็จะดำเนินการ ซึ่งระหว่างการเติมทรายนักท่องเที่ยวยังสามารถเที่ยวได้

“หากไม่มีการเติมทรายเชื่อว่าภายในระยะเวลาอีก 5 ปี พัทยาจะไม่มีชายหาดเหลือ ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงรอผลการทำประชาพิจารณ์จากกลุ่มเป้าหมายที่ได้สำรวจ” นักวิชการจากจุฬาฯระบุ

อนุ นุชผ่อง ผู้ประกอบการร้านค้าร่มเตียงบริเวณชายหาดพัทยากล่าวว่า ได้ประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่มาประมาณ 40 กว่าปีแล้ว ย้อนไปเมื่ออดีตชายหาดมีขนาดกว้างและสวยงาม หาดทรายมีสีขาว ขยะมีปริมาณน้อย นักท่องเที่ยวเยอะรายได้เฉลี่ยต่อวันหลายพันบาท จนมาถึงปัจจุบันความกว้างของหน้าหาดแทบจะไม่มีเลย

“ถ้าผู้ที่มีความรู้ด้านการเติมชายหาดทำแล้วสามารถเห็นผลได้จริงก็ทำเลย เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรจะเหลือแล้ว จากที่เคยมีรายได้วันละพันบาท ปัจจุบันแทบจะไม่ถึง 400 บาทต่อวันด้วยซ้ำ และหวังว่าถ้าเติมแล้วชายหาดพัทยาจะกลับมาสวยเหมือนเดิม ที่สำคัญรายได้ก็อาจจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอีกด้วย” ผู้คุ้นเคยต่อหาดพัทยาบอกเล่าถึงผลกระทบในวันที่ชายหาดเหลือน้อย

ดร.เจิดจินดา โชติยะปุตตะ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจัดการทรัพยากรทางทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ให้แนวคิดจากเรื่องนี้ว่า ในส่วนของชายหาดพัทยาถือได้ว่าได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะของคลื่นทะเล การกัดเซาะชายหาดมีหลายสาเหตุทั้งจากธรรมชาติด้วย อาทิ ลม พายุ คลื่น รวมไปถึงฝีมือมนุษย์ เช่น การขุดลอก การทำนากุ้ง การตัดป่าชายเลน ซึ่งป่าชายเลนถือเป็นตัวหลักในการบังคลื่น ลม ถ้ามีต้นไม้จะสามารถชะลอความเร็วของลมได้ ไม่ทำให้คลื่นลมแรงและลดการกัดเซาะได้ ด้านการสร้างเขื่อนเวลาฝนตกจะมีการชะล้างตะกอนจากหุบเขาลงมายังแม่น้ำ ในขณะที่มีการสร้างเขื่อน ตะกอนก็ไหลลงมายังทะเลหรือแม่น้ำมีจำนวนน้อย รวมไปถึงการดูดทราย การสร้างถนนใกล้ชายหาด

วันนี้หากไม่มีการตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อการกัดเซาะชายฝั่ง อนาคต “หาดทราย” อาจไม่อยู่คู่กับท้องทะเลไทย.



จาก ................... เดลินิวส์ วันที่ 30 มกราคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 16-02-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


สรุปบทเรียนจากปัญหาการกัดเซาะหาดทรายของไทย


ข้อสังเกตุเกี่ยวกับกฎหมายไทยที่ควรปรับปรุง

จากการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลควบคุมการใช้ประโยชน์ชายฝั่งของไทยนั้น พบว่ามีประเด็นที่ควรปรับปรุงดังนี้

1) กฎเกณฑ์การควบคุมดูแลและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางน้ำของไทยเป็นกฎเกณฑ์กว้างเกินไป เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ร่วมกันทุกพื้นที่ทั้งประเทศ และทุกประเภทของทรัพยากร (เช่น แม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือชายหาด) ซึ่งหากพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่าทรัพยากรมีความแตกต่างกันทั้งพื้นที่ และประเภทของทรัพยากร เช่น กายภาพของทะเล และแม่น้ำจะมีความแตกต่างกันอย่างมาก กฎเกณฑ์ต่างๆที่กำหนดขึ้นใช้อาจเหมาะสมสำหรับแม่น้ำแต่อาจจะไม่หมาะสมสำหรับทะเล

2) การไม่มีมาตราการทางกฎหมายการจัดการ การสงวน การอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน ในส่วนของปากแม่น้ำ สันทราย ซึ่งเป็นรอยต่อทางธรรมชาติระหว่างแม่น้ำและทะเล ระหว่างทะเลและแผ่นดินที่มีความสำคัญมาก และไม่มีการกำหนดแนวถอยร่นในแต่ละพื้นที่อย่างเป็นระบบ ปัจจุบันมีแต่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเท่านั้นที่เข้มงวด

3) การอนุญาตสิ่งปลูกสร้างที่มิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ผลการศึกษาความเหมาะสมอย่างเป็นวิชาการประกอบการพิจารณา เช่น จาก พรบ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 ข้อ 5. ที่กำหนดว่า อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดที่ล่วงล้ำลำแม่น้ำที่ไม่มีลักษณะตามที่กำหนดไว้ ให้ผ่านการอนุญาตโดยกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวี จากนั้นให้ประกาศลักษณะของอาคารหรือลักษณะของการล่วงล้ำลำแม่น้ำนั้นในราชกิจจานุเบกษาและให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ในการอนุญาตต่อไปได้ โดยมิได้ระบุถึงมาตราการการส่งเสริมการใช้กระบวนการทางวิชาการประกอบการตัดสินใจ

4) ความไม่เหมาะสมของข้อกำหนดในบางกรณี เช่น โครงสร้างที่ได้รับอนุญาตให้ทำการก่อสร้างล่วงล้ำเข้าชายฝั่งได้บางประเภทที่ระบุใน พรบ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 ข้อ 4 เป็นโครงสร้างที่กระตุ้นการกัดเซาะชายฝั่ง กรณีตัวอย่างเช่น ข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน ข้อ 4 (5) ที่ว่า “การสร้างเขื่อนกันน้ำเซาะ ต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรง” จากการทบทวนเอกสารพบว่า โครงสร้างแข็งจะเป็นสิ่งแปลกปลอมที่แทรกแซงระบบธรรมชาติ และเป็นสาเหตุหลักของการกัดเซาะ ชึ่งพบได้ตลอดแนวชายฝั่งทะเลของไทย ในทางวิชาการนั้น การป้องกันน้ำเซาะมีวิธีการหลากหลายวิธี วิธีการสร้างเขื่อนกันน้ำเซาะด้วยโครงสร้างแข็งแรง เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดผลกระทบบริเวณข้างเคียงรุนแรงต่อเนื่องยากที่จะสิ้นสุดและจะยิ่งรุนแรงขึ้นมากในกรณีของชายฝั่งทะเล

อีกกรณีตัวอย่างเช่น ข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน ข้อ 4 (7) ที่ว่า “โรงที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำต้องอยู่บนฝั่งหรืออยู่ใกล้ฝั่งมากที่สุด” จากข้อกำหนดนี้ โรงติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่สร้างขึ้นจะเป็นโครงสร้างที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะรุนแรงได้ เพราะการอยู่ใกล้ฝั่งมากก็จะล่วงล้ำแนวถอยร่นของชายหาดและเกิดปัญหาการกัดเซาะตามมา ดังปัญหาที่เกิดขึ้นที่ ตำบลเก้าเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ที่มีโรงสูบน้ำเสียตั้งอยู่ชายฝังบนหาดเก้าเส้ง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาการกัดเซาะที่หาดเก้าเส้งอย่างรุนแรงเนื่องจากโรงสูบน้ำเสีย เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ลุกล้ำแนวถอยร่น จึงแทรกแซงระบบของธรรมชาติ

5) การกำหนดโทษปรับต่ำมากเกินไป เช่น โทษปรับห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท กรณีการกระทำใดๆ ที่เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงร่องน้ำ ทางเดินเรือ โทษปรับดังกล่าวจะไม่มีผลยับยั้งการสร้างปัญหา โทษปรับควรจะครอบคลุมถึงการสูญเสียดุลยภาพของสิ่งแวดล้อมด้วย





จุดอ่อนในการบริหารจัดการอนุรักษ์หาดทรายของไทย

ทำให้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของไทยมีความเสียหายรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ดังนี้

1) การมองข้ามองค์ความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับระบบนิเวศหาดทรายและชายฝั่ง อาจเกิดจากการไม่ให้ความสำคัญ ทำให้การใช้ประโยชน์และการแก้ปัญหาการกัดเซาะที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความไม่เข้าใจไม่สอดคล้องกับระบบทางธรรมชาติของชายฝั่ง ทำให้กิจกรรมต่างๆของมนุษย์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพังทลายของหาดทราย

2) กฎหมายที่มีอยู่ไม่เป็นปัจจุบัน กฎหมายที่มีอยู่ให้อำนาจในการก่อสร้างที่ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 โดยมีกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวีเป็นผู้รับผิดชอบ ทำให้มีการก่อสร้างที่เป็นการแทรกแซงระบบทางธรรมชาติของชายหาดมาตลอด ขณะที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลังและมีอำนาจหน้าที่ในการดูแล ฟื้นฟู ซึ่งพบว่าแผนงานส่วนใหญ่ยังคงใช้แนวคิดการใช้สิ่งก่อสร้างเข้าแก้ปัญหาการกัดเซาะเช่นเดียวกับกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวี

3) กฎหมายในการอนุรักษ์ชายหาดและการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งยังไม่ครอบคลุมชัดเจน กฎหมายที่มีอยู่กว้างเกินไป มีความไม่เหมาะสมในบางกฎเกณฑ์ และการไม่มีการกำหนดแนวถอยร่นอย่างชัดเจนในแต่ละพื้นที่อย่างเป็นวิชาการและ เป็นปัจจุบันเพียงพอ ตลอดจนการขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย เช่นทำให้มีการลักลอบดูดทรายเกิดขึ้นเสมอ

4) ขาดผู้รับผิดชอบโดยตรงในการบังคับใช้กฎหมาย และยังมีความเห็นไม่ตรงกันในแนวคิดการสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชายหาดและชายฝั่งของประเทศ

5) การไม่มีวิธีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ การไม่ประสานงานกันระหว่างหน่วยงาน ทำให้มีการทำงานทั้งส่วนที่ซ้ำซ้อนกันและส่วนที่ขัดแย้งกัน

6) การมองข้ามความสำคัญในการกำหนดทิศทางการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชายฝั่งอย่างชัดเจน ทำให้มีการใช้ประโยชน์ไปอย่างไร้ทิศทาง และทำให้เสียโอกาสในการใช้ประโยชน์ศักยภาพของหาดทรายในอนาคต เช่น กรมเจ้าท่า (หรือกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชนาวีในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบดูแลชายฝั่งในอดีต ได้ใช้ประโยชน์ชายฝั่งไปในด้านการขนส่งทางน้ำเป็นหลัก โดยมิได้คำนึงถึงศักยภาพหรือคุณค่าชายหาดในด้านอื่นๆ เช่น การเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตสัตว์นานาชนิดและคุณค่าด้านนันทนาการ ทำให้การแก้ปัญหาที่ผ่านมาส่งผลให้เสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรชายฝั่งในด้านอื่นๆ

7) การไม่มีกระบวนการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในทุกระดับ


ภัยคุกคามต่อหาดทรายธรรมชาติของไทย

1) สังคมขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในระบบนิเวศของหาดทรายตามธรรมชาติ ข่าวสารที่ระบุสาเหตุปัญหาการกัดเซาะหาดทรายที่ไม่ถูกต้อง ได้รับการเผยแพร่ต่อสารธารณะอยู่เสมออย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดทั่วไปและนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ผิดทาง ตัวอย่างเช่น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการกัดเซาะหาดทรายเกิดจากคลื่น ซึ่งความเป็นจริงแล้วทรายจะเคลื่อนที่มาและเคลื่อนไปตามธรรมชาติโดยคลื่น การเคลื่อนที่ไปอาจจะมากในฤดูมรสุมและคลื่นจะช่วยซ่อมแซมในช่วงคลื่นลมสงบ ที่ชาวบ้านเรียกว่าคลื่นแต่งหาด

2) ไม่มีการควบคุมการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายทะเลอย่างเหมาะสม เช่น การกำหนดแนวการใช้ประโยชน์ที่ไม่รุกล้ำระบบธรรมชาติ ประกอบกับการมองข้ามองค์ความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้การใช้ประโยชน์พื้นที่ชายทะเลทั้งของโครงการของรัฐบาลและประชาชน แทรกแซงระบบของธรรมชาติทั้งโดยเจตนาและการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปัญหาการกัดเซาะจึงรุกลามไปเป็นลูกโซ่ในทุกวันนี้

3) ไม่มีการแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง เช่น การกัดเซาะชายฝั่งมักจะสร้างความกังวลให้กับชุมชนชายฝั่ง ดังนั้นเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักใช้งบประมาณไปกับการใช้โครงสร้างแข็งเพื่อแก้ปัญหา โดยไม่คำนึงถึงขอบเขตของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น แทนที่จะใช้กระบวนการทำความเข้าใจอย่างเป็นวิชาการ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการแทรกแซงธรรมชาติโดยไม่จำเป็น และเกิดการกัดเซาะหาดทรายในพื้นที่ถัดไปโดยไม่ทราบจุดสิ้นสุด เป็นการเลือกวิธีแก้ที่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ในพื้นที่ข้างเคียง

4) การแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม การแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงทำให้เกิดช่องทางแสวงหาประโยชน์ของคนบางกลุ่มจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ตลอดจนการใช้โอกาสในฤดูมรสุมลมแรงและการอ้างกระแสข่าวภาวะโลกร้อนในการเสนอโครงการก่อสร้างป้องกันชายฝั่ง โดยขาดการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเพิ่มสิ่งแปลกปลอมแทรกแซงระบบธรรมชาติ ก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างไม่สิ้นสุด

ที่มา www.bwn.psu.ac.th





จาก ....................... http://beachconservation.wordpress.com
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 21-02-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


ความเข้าใจผิดที่พบเสมอเกี่ยวกับหาดทราย



บทนำ

ความสัมพันธ์ระหว่างทะเลและชายหาด มีความซับซ้อน ทำให้มักเข้าใจกันผิดอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแล ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ชุมชน เนื่องจากหลายๆครั้ง ความเข้าใจผิดนี้เอง เป็นสิ่งที่ขัดขวางความสำเร็จของการดูแลชายฝั่ง บทความนี้จึงได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อพิสูจน์ และแก้ใขความเข้าใจผิดต่างๆ



ความเข้าใจผิด

การกัดเซาะชายฝั่งเป็นปัญหา และจะต้องมีการป้องกัน



แท้จริง

การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการตามปกติของธรรมชาติ เนื่องจากชายหาดประกอบด้วยเม็ดทราย ซึ่งเคลื่อนที่ตามแรงพัดพาของกระแสคลื่นและลม ทำให้เกิดความสมดุลของชายหาด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เคยหยุดนิ่ง การกัดเซาะของชายหาดในช่วงฤดูมรสุม จะถูกทดแทนด้วยเม็ดทรายที่ถูกพัดคืนกลับมาทับถมกันตามเดิมในฤดูที่ลมสงบ

ชายหาดนั้นจะได้รับการปกป้องอย่างสูงสุด ถ้าเรายอมรับกระบวนการตามธรรมชาติของการกัดเซาะ และการทับถมกลับคืน โดยไม่เข้าไปรบกวนสมดุลนี้



ความเข้าใจผิด

กำแพงกันคลื่นสามารถป้องกันการกัดเซาะได้


แท้จริง

ชายหาดตามธรรมชาติมักแผ่ขยายหรือร่น ตามอิทธิพลของคลื่นและกระแสน้ำ โดยในฤดูมรสุม คลื่นจะพัดพาทรายออกไปจากชายหาด และคลื่นก็จะนำทรายกลับมาที่หาดตามเดิมในช่วงฤดูที่ลมสงบ การสร้างกำแพงกันคลื่นจะแยกทรายให้อยู่เฉพาะด้านบนของกำแพง ทำให้ปริมาณทรายในระบบตามปกติลดลง ด้วยเหตุนี้ในช่วงฤดูมรสุมชายหาดที่อยู่ด้านล่างของกำแพง อาจถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงจนหมดสภาพ

กล่าวคือ กำแพงกันคลื่นสามารถป้องกันพื้นที่ด้านบนของกำแพงได้จริง แต่จะเพิ่มการกัดเซาะให้กับชายหาดด้านล่าง ยิ่งสร้างกำแพงกันคลื่นมากขึ้นเท่าใด ทรายที่ถูกแยกออกจากระบบก็จะมากขึ้น ทำให้ชายหาดยิ่งยากจะคงสภาพอยู่ได้ จนในที่สุดอาจไม่เหลือชายหาดบริเวณด้านล่างของกำแพงเลย ซึ่งชายหาดก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์และท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ดังเดิมอีกต่อไป

ในทางกลับกัน ถ้ายอมให้ชายหาดมีการกัดเซาะตามฤดูกาลธรรมชาติ ไม่ถูกกึดขวางด้วยกำแพงกันคลื่น ชายหาดก็จะยังเป็นชายหาดอยู่เสมอ



กำแพงกันคลื่นที่ Machans Beach in Mulgrave Shire ถูกสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งการกัดเซาะอาคารบ้านเรือน แต่ผลคือทำให้ไม่เหลือชายหาดที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป




ที่ Burleigh Heads บน Gold Coast ลานจอดรถและสาธารณูปโภคอื่นๆถูกสร้างบนเนินทรายชายฝั่ง แม้จะปรากฏร่องรอยเพียงเล็กน้อยของการกัดเซาะต่อสาธารณูปโภค แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการซ่อมแซมแก้ไข และมีโอกาสมากที่จะเกิดการกัดเซาะชายหาดอย่างรุนแรงตามมา



ความเข้าใจผิด

การปรับเปลี่ยนรูปร่างของเนินทรายด้านบนของชายหาด ไม่ส่งผลกระทบต่อชายหาด


แท้จริง

เนินทรายด้านบนของชายหาด เป็นที่เก็บสำรองทราบของชายหาดไว้ใช้ในฤดูมรสุม ที่ทรายด้านล่างถูกพัดพาออกไป สิ่งปลูกสร้างที่สร้างใกล้ชายหาดมากเกินไป หรือแม้แต่การจอดรถบนเนินทรายริมชายหาดก็เป็นสิ่งที่ไม่ควร โดยเฉพาะสิ่งปลูกสร้างที่สร้างใกล้ชายหาดมากเกินไป เมื่อมีปัญหาการกัดเซาะ ก็อาจใช้วิธีการสร้างกำแพงกันคลื่น ซึ่งจะยิ่งเป็นตัวเร่งให้การกัดเซาะชายหาดด้านล่างของกำแพง และพื้นที่ใกล้เคียงรุนแรงขึ้น ดังที่ได้บรรยายข้างต้น เพราะฉะนั้นสิ่งปลูกสร้างใดๆควรสร้างให้ห่างจากชายหาดให้มากเท่าที่จะทำได้



Bokarina on the Sunshine Coast การพัฒนาพื้นที่ถูกจัดให้อยู่ห่างจากชายหาดอย่างเหมาะสม จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ



(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 21-02-2011 เมื่อ 07:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 21-02-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,477
Default


ความเข้าใจผิดที่พบเสมอเกี่ยวกับหาดทราย (ต่อ)



ความเข้าใจผิด

การมีต้นไม้และพืชต่างๆขึ้นปกคลุมชายหาด จะสามารถป้องกันการกัดเซาะได้อย่างมีประสิทธิภาพ


แท้จริง

การปกคลุมของพืชบริเวณชายหาดและเนินทราย สามารถช่วยเก็บรักษาเม็ดทรายจากแรงลมทะเล และทำให้หาดแผ่ขยายขึ้นตามปริมาณทรายและตามการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ที่พืชขึ้นปกคลุม ในช่วงฤดูมรสุม เมื่อทรายถูกพัดพาออกไป ทำให้ชายหาดหดสั้นลงไปจนถึงเนินทรายที่มีพืชขึ้นปกคลุม เนินทรายก็จะสลายตัวเป็นเม็ดทรายเพิ่มให้กับชายหาด ซึ่งจะช่วยลดอัตราการกัดเซาะของหาดได้ ยิ่งเนินทรายมีขนาดใหญ่มากเท่าใด ประสิทธิภาพในการในการทดแทนเม็ดทรายให้กับชายหาดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นด้วย เหตุนี้การทำลายพืชที่ขึ้นปกคลุมเนินทรายจึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ชายหาดถูกกัดเซาะได้ง่ายขึ้น

การปกคลุมของพืชช่วยรักษาเนินทรายจากแรงของลมทะเล แต่ช่วยต้านทานแรงกัดเซาะของกระแสคลื่นได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากรากของพืชเหล่านี้ไม่สามารถเก็บรักษาเม็ดทรายเอาไว้ได้เมื่อถูกคลื่นที่รุนแรงถล่ม นั่นคือช่วยได้ในแง่ป้องกันการกัดเซาะจากลมทะเลเป็นหลัก

ดังนั้นแม้ว่าการปกคลุมของพืชบนเนินทรายจะมีความสำคัญตามธรรมชาติต่อชายหาด แต่เราก็ควรเข้าใจถึงของจำกัดของมันด้วย



North Stradbroke Island จากการรุกล้ำของรถยนต์ทำให้พืชที่เคยขึ้นปกคลุมเนินทรายหายไป เนินทรายจึงมีความเสี่ยงต่อการถูกกัดเซาะมากขึ้น



ความเข้าใจผิด

การเติมทราย (sand nourishment) ช่วยป้องกันชายหาดได้เพียงแค่ชั่วคราว เมื่อฤดูมรสุมทรายส่วนใหญ่ก็จะถูกพัดหาดไป


แท้จริง

การเติมทราย เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูชายหาดจากปัญหาการกัดเซาะรุนแรง การเติมทรายนอกจากจะทำให้หาดแผ่ขยายกว้างขึ้นแล้วยังช่วยปรับให้ชายหาดเข้าสู่ความสมดุลขึ้นด้วย

วิธีการที่เหมาะสมในการเติมทรายคือ ควรใช้ทรายที่มาจากพื้นที่อื่นที่ไม่ประสบปัญหาการกัดเซาะ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปริมาณทรายในระบบ ดีกว่าการนำทรายที่จัดว่าอยู่ในระบบเดียวกัน หรือพื้นที่ใกล้เคียงกันมาเติม

ขนาดของเม็ดทรายที่จะเติมก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้มีขนาดใกล้เคียงกันของเดิม เพื่อที่จะได้แน่ใจว่าลักษณะความลาดของหาดจะคงเดิม และมีผลกระทบกับสมดุลเดิมตามธรรมชาติน้อยที่สุด โดยปกติการเติมทรายสามารถเติมเพียงแค่บางจุดของพื้นที่ที่ประสบปัญหา หลังจากนั้นทรายจะกระจายออกไปปกคลุมทั่วระบบของชายหาดนั้น ทรายไม่ได้สูญหายไปแต่ยังคงอยู่ในระบบ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ของการเติมทรายในจุดที่ต้องการน้อยลง เนื่องจากได้เฉลี่ยไปเพิ่มในพื้นที่อื่นๆแทน ดังนั้น เพื่อที่จะฟื้นฟูชายหาดให้เป็นผลสำเร็จ ปริมาณทรายที่จะเติมและความรุนแรงของปัญหา ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ

หลายคนเข้าใจอย่างผิดๆเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายตามธรรมชาติของทราย จากหาดหนึ่งไปสู่หาดอื่นๆว่าเป็นการสูญเสียอย่างถาวร ซึ่งแท้จริงแล้วทรายเพียงแต่เคลื่อนย้ายไปชั่วคราว และพร้อมจะกลับมาทับถมกันเป็นหาดทรายกว้างตามเดิมในฤดูลมสงบ



Surfers Paradise Beach ได้รับการเติมทราย 1.4 ล้านคิวบิกเมตร ในปี 1974 หลังจากนั้นแม้จะโดนพายุและมรสุม หาดทรายก็ยังสามารถปรับตัวกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีได้ ในภาพคือปี 1983 ชายหาดมีสภาพสมดุลและบางที่มีพืชขึ้นปกคลุม



ความเข้าใจผิด

การขุดลอกทรายจากปากแม่น้ำในพื้นที่ใกล้เคียง ไปเติมในบริเวณที่มีปัญหาเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายหาด


แท้จริง

ปริมาณทรายจำนวนมากบริเวณปากแม่น้ำ มักจะถูกเข้าใจว่าเป็นแหล่งทรายสำหรับการเติมทราย อย่างไรก็ตาม ทรายในชายหาดหรือปากแม่น้ำ จะมีการเคลื่อนย้ายไปมาซึ่งกันและกันในระบบอยู่แล้ว การขุดลอกทรายจากปากแม่น้ำมาเติมในชายหาดใกล้เคียงจะช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะสั้นเท่านั้น หลังจากนั้นทรายก็จะเคลื่อนย้ายไปสู่จุดสมดุลตามเดิม

ทรายบริเวณปากแม่น้ำจะสะสมและถูกพัดพาไปยังชายหาดต่างๆในช่วงฤดูน้ำหลาก การขุดลอกทรายบริเวณนี้ไปเติมยังชายหาดจะเป็นการรบกวนความสมดุลนี้ และปากแม่น้ำที่ถูกขุดลอกทรายออกไป ก็จะได้รับการแทนที่ด้วยทรายที่จะพัดพามาจากหาดใกล้เคียงเพื่อรักษาความสมดุลของระบบไว้ ทำให้ชายหาดข้างเคียงสูญเสียปริมาณทรายไปจากเดิม ผลคือไม่เกิดการได้-เสียอะไรในภาพรวม





Gold Coast ภาพที่ 1 ปี 1981 ทรายบริเวณปากแม่น้ำถูกขุดลอกออกเพื่อนำไปเติมที่หาดอื่น
ภาพที่ 2 ปี 1984 ทรายที่ถูกขุดลอกออกไปกลับมาทับถมกันตามเดิม



สรุป

หนึ่งในหน้าที่สำคัญของผู้ที่มีอำนาจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลชายฝั่ง คือ การให้ความเข้าใจและข้อมูลที่ถูกต้องแก้ประชาชน เนื่องจากความเข้าใจผิดทั้งหลายจะเป็นอุปสรรคต่อการดูแลรักษาชายหาดให้คงสภาพดีอยู่เสมอ และประชาชนก็ควรตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจทฤษฏีเกี่ยวกับชายหาด อย่างถูกต้อง วิศวกรและนักวิชาการผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลชายหาดควรจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เค้าเข้าใจเป็นอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการใดๆเกี่ยวกับชายหาดจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมตามทฤษฏีและข้อมูลที่ถูกต้อง





ผู้เขียน : Carter , T. Common Misconceptions About Beaches. IN: “Beach Conservation”,Issue No.63 May 1986, Beach Protection Authority of Queenland.
ผู้แปล : นายดนุชัย สุรางค์ศรีรัฐ (ผู้ช่วยวิจัยโครงการ “การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ : กรณีการใช้ประโยชน์หาดทรายและการอนุรักษ์”)


จาก ....................... http://beachconservation.wordpress.com
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 21-02-2011 เมื่อ 07:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 09-12-2018
Pattaxoxo
ข้อความนี้ถูกลบโดย สายชล.
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:21


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger