#21
|
||||
|
||||
บทความที่เกี่ยวข้องกันจาก น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันนี้ ใคร ? ฟอกขาวปะการัง ปะการังฟอกขาว หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าสวย ถ้าปะการังฟอกขาว ไม่ถูกเอาไปโยงเป็นสาเหตุของการปิดเกาะ คนคงไม่สนใจและอะไรๆก็โลกร้อน แต่ความจริงเราๆท่านๆล้วนแต่เป็นจำเลยฐานฟอกขาวกันทั้งนั้น ข่าวอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมเสนอให้กรมอุทยานแห่งชาติ “ปิดเกาะ” ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ สิมิลัน พีพี ราชา หลังเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้ประเด็นสิ่งแวดล้อมหนึ่งที่เงียบหายไปพักใหญ่ คือ “การฟอกขาวของปะการัง” ในทะเลไทย กลับมาได้รับความสนใจจากสังคมอีกครั้ง แต่เสียงสะท้อนกลับมานั้นต่างออกไป เพราะนอกจากเสียงเห็นด้วยกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีความเห็นแย้งด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้ง นี้ เริ่มตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา โดยไม่มีใครคาดคิดว่า เหตุการณ์จะยืดเยื้อยาวนานและส่งผลเสียหายร้ายแรงอย่างปัจจุบัน เพราะการฟอกขาวของปะการังนั้น เกิดขึ้นเป็นประจำแทบทุกปี อย่างที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอว่า ชาวบ้านพบเห็นการเกิด “ปะการังสีทอง” ตามชายหาดหรือบริเวณน้ำตื้น ว่ากันตามหลักธรรมชาติแล้ว การที่เรามองเห็นปะการังกลายเป็นสีเหลืองทองนั้นเพราะสาหร่ายที่ปกคลุมอยู่บนผิวปะการังเริ่มตายลงจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นตามฤดูกาลและค่อยๆขาวซีดลง จนเหลือแต่สีขาวตุ่นๆของแคลเซียมซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของปะการัง เมื่อเข้าฤดูฝน อุณหภูมิน้ำก็จะลดลง ปะการังและสาหร่ายก็จะสามารถกลับมาเจริญเติบโตได้ครั้งอีกตามวัฏจักร ผศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นถึงปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า สาเหตุหลักเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป น้ำทะเลมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึ้น "แต่ไม่ได้หมายความว่าปะการังจะตายทั้งหมด โดยทั่วไปที่เราพูดถึงปะการังแข็งหากเกิดการฟอกขาวขึ้นไม่เกิน 1 เดือน ปะการังก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ สีสันที่หายไปนั่นก็เพราะไม่มีสาหร่ายเกาะเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก ถ้าหากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวอุณหภูมิน้ำกลับมาดีขึ้น เริ่มเข้าสู่สภาวปกติ ปะการังก็จะค่อยๆฟื้นตัวกลับมา" พื้นที่(ควร)ปลอดมนุษย์ แม้ปัจจัยหลักจะมีสาเหตุมาจากธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์เราจะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่หนุนเสริมให้ปะการังอ่อนแอและฟื้นตัวช้า ก็คือ กิจกรรมทางทะเลของมนุษย์นั่นเอง "มีความเป็นไปได้ ถ้าเราปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครไปยุ่ง ปะการังที่แข็งแรงก็จะค่อยๆฟื้นตัวกลับคืนมา แต่ถ้าคนยังมีการเข้าไปทำกิจกรรมในบริเวณนั้นอยู่ ก็จะยิ่งทำให้ปะการังตายเร็วขึ้น" ผศ.ดร.วรณพ ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงของกรณีปะการังฟอกขาวเมื่อปีที่แล้วกับปีนี้ว่า ทั้งหมดถือเป็น "ลอตเดียวกัน" ที่เป็นอย่างนั้นเพราะปีก่อนประเทศไทยเกิดปรากฏการเอลนินโญล่าช้าไป 3 เดือนทำให้ปะการังฟอกขาวกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเวลาผ่านไปปะการังค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา แต่ก็ต้องมาเจอกับปรากฏการณ์ลานินญาอีก ซึ่งก็ส่งผลให้หมู่ปะการังชุดเดิมที่เพิ่งฟื้นตัวกลับมาฟอกขาวอีกครั้ง "ตอนนี้เรายังคงไม่สามารถคาดคะเนได้ชัดเจนถึงการฟื้นตัวของแนวปะการังภาย หลังการฟอกขาว เพราะปัจจัยแวดล้อมที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุณภูมิของน้ำ การไหลของกระแสน้ำ หรือกิจกรรมทางทะเลของผู้คนในแต่ละพื้นที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ซึ่งตอนนี้ทางนักวิจัยเองก็กำลังพยายามหาทางฟื้นฟูในส่วนที่น่าจะทำได้อยู่ เพราะตัวปัจจัยค่อนข้างผันผวนมาก หากมองในสเกลใหญ่เราก็คงต้องรอให้อุณหภูมิของน้ำดีขึ้น และพยายามลดกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อปะการังลงน่าจะเป็นการแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ดีที่สุด" ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวนั้น ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะฝั่งอันดามันเท่านั้น เพราะตั้งแต่ต้นปี 2553 แนวปะการังในฝั่งทะเลอ่าวไทย ตั้งแต่ จ.ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ตลอดเรื่อยไปจนถึง ชุมพร สุราษฎร์ธานี (ส่วนตั้งแต่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไปนั้น เกิดความเสียหายน้อยกว่า เพราะได้รับอิทธิพลจากปริมาณน้ำฝนจำนวนมากซึ่งไหลลงมาช่วยให้อุณหภูมิผิวน้ำลดลง) ล้วนได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำอุ่นซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าปกตินี้ไม่แพ้กัน แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากสังคมเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ จึงมีแต่นักวิชาการและเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการเข้าศึกษาสาเหตุและหาหนทางแก้ไข ทีมใต้น้ำออกสำรวจความเสียหาย ให้ปลา ฆ่าปะการัง ด้านเจษฎา ณ ระนอง ผู้ประกอบการด้านการดำน้ำท่องเที่ยวรายหนึ่งใน จ.ภูเก็ต เล่าว่า “ตั้งแต่เดือนแปดเดือนเก้าก็เริ่มรู้ชะตากรรมแล้วว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ๆ เพราะอุณหภูมิน้ำขึ้นสูงถึง 32 องศาเซลเซียส ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งถือว่าร้อนจัด จนมาถึงทุกวันนี้ ที่แนวปะการังเกาะราชาใหญ่ด้านตะวันตก ใช้คำว่าหมดเกลี้ยงได้เลย ปะการังส่วนที่ยังดูดีอยู่เหลือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ พวกปะการังโขดที่อยู่น้ำตื้นไม่ต้องพูดถึงเลย ตายเรียบ ขนาดว่าที่เคยขึ้นคลุมหินก้อนใหญ่ๆ มันถึงกับล่อนออกมาเป็นแผ่นๆ เหลือแต่ก้อนหิน หรืออย่าง East Eden ที่หมู่เกาะสิมิลัน ก็เหลือแต่หิน ปิดะนอก ปิดะใน ก็เหี้ยนหมด ในแง่ของความเสียหาย ตอนนี้แนวปะการังมันเหมือนคนใกล้ตาย เรื่องปิดอุทยานนั้น หลายคนบอกว่าเป็นการทำลายการท่องเที่ยว แต่ถ้ามันจำเป็น มันก็ต้องปิด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มันเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น เพราะถ้ามันหมดไปในตอนนี้ อีกอนาคตจะเอาอะไรหากินกัน ทะเลบ้านเรามันจะเหลืออะไร แล้วอย่างที่อื่นๆ เช่น เกาะราชา มันก็ไม่ใช่เขตอุทยาน ก็ยังสามารถไปกันได้ ไม่จำเป็นต้องมุ่งไปหากินกันแต่ที่เกาะสิมิลัน หรือ เกาะพีพี” ตรงกันกับข้อมูลจากการสำรวจวิจัยที่ เกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลแลพชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า ปะการังในแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดามันตายลงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์และเสียหายมากกว่าเมื่อเผชิญสึนามิหลายเท่าตัว แต่กับเสียงสะท้อนจากบางมุมของสังคม ยังกังขากับเรื่องการเตรียม “ปิดแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลบางแห่ง” ของหน่วยงานภาครัฐ เพราะมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เจษฎาให้ความเห็นว่า “วัฒนธรรมการท่องเที่ยวบ้านเรามันก็แปลก เช่น ไปให้อาหารปลาตามแนวปะการัง ทีนี้ แทนที่ปลามันจะไปกินสาหร่ายที่ขึ้นคลุมปะการังที่ใกล้ตาย มันก็ไปกินขนมปังแทน สิ่งที่ยังภูมิใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เรือที่เราพานักท่องเที่ยวออกไปดำน้ำจะไม่ให้อาหารปลา อย่างเรืออื่นเขาจะเอาขนมปังติดเรือไปด้วยเลย เอาไปให้ปลากินเพื่อให้ปลาขึ้นมาโชว์ตัวผิวน้ำ หรือแม้กระทั่งใต้น้ำก็มี ยิ่งหลังๆ ราคา(ค่าทริป)มันถูกลง คนมันก็ยิ่งเยอะขึ้น” ไม่เพียงแค่เรื่องเล็กๆที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องอย่างการให้อาหารปลาเท่านั้น การเข้าใช้ทรัพยากรบนเกาะต่างๆเหล่านี้ ส่งผลกระทบตามมาอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สิ่งปฏิกูล คราบน้ำมัน สารตกค้างจากการซักล้าง อันตรายจากใบจักรและสมอเรือ การขาดความรู้ความเข้าใจของนักท่องเที่ยว เช่น การเดินลงไปเหยียบย่ำ หรือ ยืนบนปะการังซึ่งไม่นับรวมปัญหาเดิมๆ อย่างการลักลอบเข้าทำประมงในเขตหวงห้าม ซึ่งหากเกิดขึ้นในยามที่ปะการังยังแข็งแรงสมบูรณ์ คงไม่เห็นผลอะไรมากนักในระยะสั้น เพราะในไม่ช้า ความสมดุลของธรรมชาติจะช่วยกันเยียวยาตัวเอง แต่ถ้ามาซ้ำเติมกันในช่วงที่ปะการังอยู่ในระยะไอซียู เรื่องเหล่านี้นับเป็นสิ่งสำคัญที่ “ต้อง” ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ล่าสุด สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปิดอุทยานในบางพื้นที่ “ถ้าศึกษาแล้วพื้นที่ใดมันสมควรปิดก็ต้องปิดเพื่อให้ธรรมชาติมันฟื้นฟูตัวเอง” "หลังจากนี้คงต้องจัดระเบียบการท่องเที่ยว เช่น ขยับทุ่นผูกเรือออกมาจากแนวปะการัง จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลว่าจะทำอย่างไร” รัฐมนตรีว่าไว้อย่างนั้น ปะการังสีขาว = สวย? ย้อนกลับไปที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะยังอยู่ในช่วงไฮซีซั่นที่จะต้องเร่งหาลูกค้าได้ให้มากที่สุด ก่อนจะหมดฤดูการท่องเที่ยวในอีกไม่นาน แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ปะการังฟอกขาวไม่ส่งผลลบต่อรายได้ของบริษัทนำเที่ยวคือ นักท่องเที่ยวส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเห็นแนวปะการังของจริง ไม่เคยเห็นฝูงปลา เมื่อมาเจอแนวปะการังที่ฟอกขาว นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จึงไม่รู้ ยังคงตื่นตาตื่นใจ กระทั่งบางรายยังให้บอกว่า ปะการังสีขาวที่ประเทศไทยนั้น สวยแปลกตากว่าที่เคยเห็นในหนังสือ แต่กับนักดำน้ำที่เคยสัมผัสความอลังการของแนวปะการังครั้งที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียใจและเสียดาย ไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยเท่านั้น เพราะก้อนกระแสน้ำอุ่นจากมหาสมุทรอินเดีย ไหลเวียนไปทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะที่เกาะอาเจะห์ ประเทศอินโดเนเซีย นั้น ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว เจษฎา ณ ระนอง ผู้ประกอบการท่องเที่ยวดำน้ำรายเดิมเล่าอีกว่า "อย่างเมื่อวันก่อนเพิ่งไปมาเลเซียมา ก็ลองสังเกตดู ท่าทางก็ไม่ค่อยดี น้ำก็ยังอุ่นอยู่ แต่บ้านเราตอนนี้ดีหน่อย ลงมาอยู่ที่ 28-29 องศาเซลเซียส หรืออย่างที่ Manta alley (ทางตอนใต้ของเกาะโคโมโด ประเทศอินโดนีเซีย) อุณหภูมิน้ำขึ้นมาถึง 24-25 องศาเซลเซียส ซึ่งปกติอย่างมากก็แค่ 20 องศาเซลเซียส มันผิดปกติมาก” รวมทั้งแหล่งดำน้ำชื่อดังอย่าง เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปกติแล้วจะมีกระแสน้ำเย็นจากออสเตรเลียช่วยหล่อเลี้ยง แต่ในปีที่ผ่านมา อุณหภูมิก็สูงขึ้นจนถึงระดับ 27 องศาเซลเซียส ซึ่งก็มากพอที่จะทำให้ปะการังน้ำตื้นที่คุ้นชินกับน้ำเย็นตายลงเป็นจำนวนมาก เอมิโกะ ชิบุยะ ชาวญี่ปุ่น ผู้จัดการร้านให้บริการด้านการดำน้ำแห่งหนึ่งบนเกาะบาหลี บ่นให้ฟังเสียงดังๆ ว่า “ปีนี้ปะการังโทรมลงมาก น้ำก็ไม่ใสเหมือนเก่า แถมยังมีฝนตกนอกฤดูกาลอีก ถ้าเรายังไม่ช่วยกันดูแลโลกตั้งแต่วันนี้ ต่อไปก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#22
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
จริงค่ะน้องปี๊บ....ถ้าของอะไรที่มันเป็นของเราแล้ว เราก็จะรัก ทนุถนอม และอยากจะทำแต่สิ่งดีๆให้กับเขา ยิ่งยามที่เขากำลังเดือดร้อน เจ็บไข้ได้ป่วย เราจะหันหลังไม่กลับไปมองดูเขาได้อย่างไร ยิ่งเห็นใครมาทำร้ายย่ำยีเขาด้วยแล้ว จะยืนดูเฉยๆได้อย่างไร.... ถ้าทำเฉยๆได้ ไม่ทำอะไรเลยนี่...จะใจดำไปหน่อยมั้ง......
__________________
Saaychol |
#23
|
||||
|
||||
อ่านดู.....ถูกใจกันไหมคะ... สั่งปิด "7 อุทยานทางใต้"ไม่มีกำหนด หวังฟื้นฟู"ปะการังฟอกขาว" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช แถลงข่าว การจัดการปะการังในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในแนวปะการัง ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันเสียหายสูงสุด ในรอบ 12 ปี โดยทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สั่งปิดพื้นที่บางส่วนของอุทยาน ได้แก่ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง บริเวณเกาะเชือก อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จังหวัดสตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะ-พีพี บริเวณแนวปะการังหินกลาง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น ซึ่งดำเนินการปิดตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมเป็นต้นไปอย่างไม่มีข้อกำหนดแน่ชัด นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ เปิดเผยว่า จากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้น ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ ได้ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด เพราะต้องเสนอขึ้นเป็นมรดกโลก ดังนั้น พื้นที่ที่มีปะการังฟอกขาวเกิน 80% ขึ้นไป ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ จึงสั่งปิดพื้นที่บางส่วน โดยงดกิจกรรมดำน้ำ จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว วางทุ่นเพื่อตรวจการ ห้ามเรือจอดทิ้งสมอ หากมีผู้ฝ่าฝืนจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ตามกฎหมาย นายสุนันต์กล่าวว่า การปิดอุทยานดังกล่าวถือว่าเป็นการปิดเพื่อการศึกษาเรียนรู้ โดยขณะปิดจะศึกษาว่า ปะการังมีการฟื้นตัวตามธรรมชาติได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ พร้อมสนับสนุนให้คณะผู้เชี่ยวชาญ ร่วมศึกษาพื้นที่ที่มีปะการังสวยงาม เพื่อช่วยกันหามาตราการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนการฟื้นฟูนั้น จัดให้มีการเพาะเลี้ยงปะการังในพื้นที่ สร้างปะการังเทียมให้เป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำ ซึ่งให้อยู่ในการดำเนินการของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) สร้างแหล่งดำน้ำใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยว และมีการวางทุ่นหมั่นตรวจการ รายงานผลทุกวัน ทั้งนี้ทางผู้ประกอบการต้องให้ความร่วมมือด้วย ไม่ทิ้งของเสีย หรือขยะมูลฝอย อย่างไรก็ตาม ปะการังฟอกขาวไม่ใช่ปัญหาเพียงเรื่องเดียว ยังมีอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นชายหาด ภูเขา ความหลากหลายทางธรรมชาติ จึงขอฝากให้หัวหน้ากรมอุทยานฯ ให้ความสำคัญด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก....http://www.matichon.co.th/news_detai...tid=&subcatid=
__________________
Saaychol |
#24
|
||||
|
||||
อาจารย์บอย (ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง) ให้ความเห็นในเรื่องการปิดอุทยานฯ ข้างต้นไว้ใน Facebook ว่า
อ้างอิง:
ท่าจะจริงอย่างที่อาจารย์บอยว่าจริงๆค่ะ...
__________________
Saaychol |
#25
|
||||
|
||||
่อ่านแล้วยังงงๆครับพี่น้อย ..
ตัวอย่างง่ายๆ จากรายงาน เกาะสุรินทร์ อ่าวแม่ยายทิศเหนือปะการังตายไป 99.9 เปอร์เซ็นต์ อ่าวนี้ไม่ยักปิด อ่าวเต่าปะการังเสียหายค่อนข้างมาก ก็ไม่มีประกาศเช่นกัน ไม่ทราบว่าอุทยานใช้เกณฑ์ไหนมาตัดสินนะครับ .. ท่านอธิบดีก็ไม่ได้พูดถึงแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน บอกแค่ให้ผู้เี่ชี่ยวชาญมาศึกษา มาตรการฟื้นฟู ให้มีการเพาะเลี้ยงปะการัง สร้างปะการังเทียมให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ผมนึกถึงบางพื้นที่อย่างเกาะสุรินทร์ มาตรการนี้คงไม่เหมาะแน่ๆ ที่สำคัญ ไม่มีการพูดถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจรวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกกันเลย เหนื่อยใจครับ ..
__________________
If we see the hearts of others, peace will follow You may say I'm a dreamer .. but I'm not the only one: John Lennon |
#26
|
||||
|
||||
เหนื่อยใจจริงๆค่ะน้องปี๊บ.... คงเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่า "ปิดก็ไม่ได้ทำให้ปะการังฟอกขาวฟื้นขึ้นมาได้ " เมื่อเห็นว่าจุดไหนตายไปเกือบ 100 % แล้ว ท่านก็เลยไม่สั่งปิดซะเลย เพราะไหนๆก็ตายไปแล้ว ก็ให้ตายไป ไม่ต้องให้ปะการังในบริเวณนั้นกลับมาฟื้นคืนชีพได้อีก ปล่อยให้คนเข้าไปย่ำยีกันให้สบายอารมณ์.... ไม่เข้าใจความคิดนี้จริงๆค่ะ....
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 20-01-2011 เมื่อ 20:57 |
#27
|
||||
|
||||
พี่น้อยขา
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป มันอยู่ตรงไหนคะ ไม่รู้จักค่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อที่สิมิลันเลยคะ ค่ะใจเย็น ติดตามต่อไปอย่างรอฟังข้อสรุป ที่ถูกต้อง
__________________
Superb_Sri_Nuan.Ray ณ SOS |
#28
|
|||
|
|||
ไม่เข้าใจกรมอุทฯเลย ไม่มีใครบอกนายเค้าเหรอว่าที่ไหนควรปิดที่ไหนไม่ควรปิด หรือทั้งกรมไม่มีใครรู้ข้อมูลเลย สิมิลันปิดแค่สองจุดทั้งที่มีอีกหลายจุดที่น่าจะปิด
แต่ยังไงก็ตามถ้าประกาศปิดแล้วก็ขอให้ปิดได้จริงๆเถอะ กลัวจะเป็นการประกาศปิดเพื่อลดผลกระทบต่อกรมฯ มากกว่าประกาศปิดเพื่อลดผลกระทบต่อปะการัง ข้อเสนอที่น่าจะตามมากับการปิดคือ จัดงบประมาณส่วนหนึ่งสำหรับสนับสนุนการติดตามศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก โดยอาจให้มีเจ้าหน้าที่ของอุทยานร่วมศึกษาเพื่อหาประสบการณ์ด้วย คราวหน้าคราวหลังเวลาจะประกาศอะไรจะได้ไม่ขัดหูขัดตา |
#29
|
||||
|
||||
น้องติ่งจ๋า....จุดไฟแว๊บ ก็คือจุดที่มีเสาสัญญาณไฟเตือน (ประภาคาร) บนยอดเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะแปด ซึ่งเราเรียกชื่อนี้กันมา 20 กว่าปีแล้วจ้ะ เป็นจุดแนวปะการังแข็งที่ก่อนสึนามิ สวยงามและสมบูรณ์มาก แต่พอสึนามิมา ถูกถล่มซะเละ แต่ก็ฟื้นตัวได้รวดเร็วมาก ภาษาอังกฤษ จะเรียกจุดดำน้ำนี้ว่า "Beacon Reef" ลากเรื่อยตั้งแต่หัวเกาะ ตรงบริเวณแนวเหนือ - ใต้ ที่เรือ "ระเริงชล" หรือ "Atlantis X" จมอยู่ ถ้าหนูมีหนังสือ Pocket Divesite ของสิมิลัน อยู่ในมือ ก็เปิดไปที่ #11 หน้า 59 ได้เลยจ้ะ
__________________
Saaychol แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 21-01-2011 เมื่อ 03:43 |
#30
|
||||
|
||||
น้อง sea addict ขา....เข้าใจว่าทางกรมอุทยานฯ จะไปใช้รายงานที่ทางนักวิชาการทำตอนปะการังเริ่มฟอกขาว ช่วงเดือนพฤาภาคม ปีที่แล้วมาใช้พิจารณา โดยไม่ได้ใช้รายงานล่าสุด ที่ได้แจ้งเรื่องปะการังที่ฟอกขาวจุดไหนที่ตายไปแล้วบ้าง และก็คงไม่ได้อ่านที่นักวิชาการเสนอแนะว่าควรปิดจุดไหนบ้าง และควรทำอะไรบ้าง จะเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม...แต่ก็ทำให้เรามึนไปตามๆกันเลยล่ะค่ะ...
__________________
Saaychol |
|
|