![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
น้ำท่วมกรุงเทพฯ ปีหน้าและปีต่อๆไป พ้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ก็จะมีการพูดคุยออกข่าวหาวิธีป้องกันน้ำท่วมหรืออุทกภัยกัน พอปลายเดือนธันวาคมข่าวเรื่องการป้องกันน้ำท่วมก็จะเลือนหายไป เพื่อป้องกันปัญหาที่จะมาอีกในปีหน้าและปัญหาที่จะมาถึงในอีก 10 ปีข้างหน้า เรื่องนี้ นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ กล่าวว่าให้ศึกษาแบบจำลองผลกระทบภาวะน้ำท่วม และน้ำทะเลขึ้นสูงในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชั้นในและปริมณฑล ในเมื่อกทม. เป็น 1 ใน 9 เมืองในทวีปเอเชียมีความเสี่ยงสูงที่น้ำทะเลจะเอ่อทะลักเข้าท่วมในเมือง พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำท่วม กทม. ชั้นในมี 4 ปัจจัย คือ 1.ปริมาณน้ำฝนที่ตกเพิ่มขึ้นถึง 15 % ในปัจจุบัน 2.แผ่นดินในกทม. ทรุดตัวปีละ 4 มิลลิเมตร 3.ระดับน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทยสูงขึ้น 1.3 เซนติเมตรต่อปี และ 4. เกิดจากภาพรวมของระบบผังเมืองใน กทม. ที่พบว่า ปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่สีเขียว ลดลงไปกว่า 50 % ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีประชากรในกทม. ประมาณ 680,000 คน ได้รับผลกระทบน้ำจะเอ่อเข้ามาท่วมอาคารที่ 1.16 ล้านหลัง ในจำนวนนี้จะเป็นบ้านพักอาคาร 9 แสนหลังคาเรือน โดย 1 ใน 3 จะอยู่ในพื้นที่บางขุนเทียน บางบอน บางแค และพระสมุทรเจดีย์ จ. สมุทรปราการ อาคาร-ที่พักอาศัยเขตดอนเมืองรวม 89,000 อาคารจะได้รับผลกระทบ รวมความเสียหายราว 1.5 แสนล้านบาท ผลวิจัยได้เสนอวิธีป้องกันและแก้ปัญหาเอาไว้ 3 ทาง คือ 1.เร่งหาพื้นที่แก้มลิงเหนือ กทม. ตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา เพื่อเป็นที่ระบายน้ำ 2. เร่งขุดขยายคลองระบายน้ำที่มีอยู่เวลานี้โดยเรือ และ 3.ต้องสร้างคันกั้นน้ำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เพื่อป้องกันน้ำเอ่อทะลักเข้ามาในพื้นที่ กทม. โดยสร้างเป็นคันดินในพื้นที่ริมฝั่งทั้งหมด ระยะทาง 80 กิโลเมตร ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม.กำลังดำเนินการสร้างระบบอุโมงค์ยักษ์ ซึ่งเป็นแผนครั้งใหญ่เพื่อบูรณาการการป้องกันปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ให้เกิดผลอย่างยั่งยืน ประกอบด้วยอุโมงค์ใต้ดินขนาดยักษ์ 4 แห่ง ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของกรุงเทพฯ มากกว่า 2 เท่าภายใน 5 ปี หลังจากงบส่วนใหญ่ใช้ตามแก้น้ำท่วมเฉพาะหน้า ใช้งบประมาณไปกับการซื้อกระสอบทราย ซื้อปั๊มน้ำเพิ่มกันทุกปี โดย 3 ปีที่ผ่านมา กทม.ใช้งบประมาณไปกับมาตรการต่างๆเพื่อป้องกันน้ำท่วมกว่า 11,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายพอฝนตกหนัก น้ำก็ยังท่วมกรุงเทพฯ อุโมงค์ยักษ์แห่งแรกจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2554 แห่งที่สองจะเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 และแห่งที่สามและสี่จะสร้างในปี 2555 โดยจะเสร็จสิ้นทั้งระบบภายใน 5 ปี พื้นที่ที่จะได้รับประโยชน์จากระบบอุโมงค์ยักษ์ ได้แก่ ย่านลาดพร้าว วังทองหลาง บางกะปิ ห้วยขวาง บึงกุ่ม สะพานสูง ดินแดง จตุจักร พญาไท ดุสิต บางซื่อ ดอนเมือง หลักสี่ บางเขน บางส่วนของเขตสายไหม ประเวศ พระโขนง บางนา และสวนหลวง ข้อสังเกตในที่นี้ก็คือ แนวความคิดในการมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่แตกต่างกัน ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯว่ามี 4 ปัจจัย แต่ผู้ว่าฯ กทม. มองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ว่ามาจากน้ำหลากและน้ำทะเลหนุนทะลัก คนกรุงเทพฯจะเชื่อใคร ว่าน้ำท่วมกรุงเพราะอะไร และจะเชื่อวิธีแก้ปัญหาของใคร หากความเห็นของผอ.ศูนย์พลังงานเป็นจริง อาคาร 1.16 ล้านหลัง จะแก้ไขอย่างไร ใครเป็นเจ้าของอาคารใน 1.16 ล้านหลัง จะทำอย่างไร เตือนไว้ก่อน 10 ปี ก็รีบหาทางแก้ไขป้องกันตัวเองเอาแล้วกัน จาก ...................... ข่าวสด คอลัมน์ เลาะรั้ว วันที่ 25 ธันวาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว ''น้ำเป็นภัย!!'' ต่อไปไทยยิ่งจมหนัก? ![]() หากมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกจับตาความเป็นไปของมนุษย์โลกอยู่ ในระยะหลังๆและในช่วงนี้ ก็คงจะเห็นชัดเจนถึง ’ความโกลาหลอลหม่านของชาวโลก“ ในหลายประเทศ และรวมถึงในประเทศไทย ’อันเนื่องจากภัยน้ำ“ รูปแบบต่างๆ ทั้งน้ำทะเลสูง คลื่นยักษ์สึนามิ พายุฝน ซึ่งความโกลาหลนี้ดูผิวเผินเป็นเพราะธรรมชาติ แต่พิจารณาลึกๆแล้ว...มนุษย์เองมีส่วนอย่างสำคัญ มนุษย์ทำลายธรรมชาติมาก...ธรรมชาติก็พิโรธมาก!! ’หากมองโลกในภาพรวม ต้องยอมรับว่าระดับน้ำบนโลกสูงขึ้น ซึ่งอาจจะสูงขึ้นไม่กี่เซนติเมตร แต่ไม่กี่เซนติเมตรนี่ก็มีความหมาย“ ...นี่เป็นการระบุของนักวิทยาศาสตร์อาวุโส รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุปตระกุล กับระดับน้ำบนโลกสูงที่ขึ้นนั้น นักวิทยาศาสตร์ไทยรายนี้บอกว่า... สาเหตุหนึ่งมาจาก “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งยุคนี้ทุกๆคนต่างก็พอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าภาวะโลกร้อนนั้นเกิดมาจากอะไรบ้าง และมีอีกหนึ่งความเห็นจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ ที่บอกว่า... เกิดจาก “รังสีคอสมิก ที่มาจากดวงอาทิตย์ และกาแล็กซี” ความคิดเห็นประการหลังนี่ก็กำลังดังขึ้นมา ทั้งนี้ ภาวะ ’น้ำมาก-น้ำหลาก-น้ำท่วม“ นั้น ในยุคปัจจุบันไม่ได้เกิดกับประเทศไทยที่เดียวในโลก แต่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศ ส่วนกับประเทศไทยนั้น รศ.ดร.ชัยวัฒน์ บอกว่า... จากการติดตามเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่คราวนี้ พบว่าเป็นอีกปีที่ปริมาณน้ำที่มาจากทางเหนือเยอะมาก และภาคกลางก็มีฝนตกมาก แต่โชคดีของประเทศไทยอย่างหนึ่งคือ ฝนไม่ได้ตกต่อเนื่องอย่างหนัก 6-7 วันติดต่อกัน เหตุการณ์จึงไม่เลวร้ายหนักไปกว่านี้ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ระบุว่า... น้ำท่วมปีนี้ระดับน้ำมากกว่าปี 2485 ซึ่งน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ แต่ภาพในปี 2485 นั้นรุนแรงกว่าปีนี้ นั่นเพราะปัจจุบันระบบการป้องกัน การระบายน้ำ ดีกว่าในอดีต จึงทำให้ดูไม่รุนแรงกว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือ ในเมื่อทราบว่าเหตุหนึ่งของการเกิดภัยจากน้ำคือภาวะโลกร้อน ประชาชนทุกคนก็ต้องช่วยกันในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยกันรักษาสภาวะแวดล้อม ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ’และสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้น้ำท่วมซ้ำซากต่อไปคือ การมีกระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำจากการรู้จริง เข้าใจจริง อย่างเป็นระบบ การมีระบบผังเมืองที่ถูกต้อง การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบซึ่งสำคัญที่สุด“ ...นักวิทยาศาสตร์อาวุโสรายนี้กล่าว ซึ่งอย่างหลังนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาครัฐ แต่ก็เกี่ยวพันถึงประชาชน ด้าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซา ระบุถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นว่า... ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เพราะฉะนั้นน้ำจากมหาสมุทรจะระเหยออกมามากขึ้น ซึ่งกลายเป็นความชื้นและเมฆ เมื่อมีความชื้นและมีเมฆมาก จึงทำให้มีความชื้นตลอดปี และเป็นเหตุทำให้สภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปหมด ซึ่งก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานหลายปีหากไม่ลดภาวะโลกร้อนให้ได้ผล และก็จำเป็นต้องพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “การเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ ปรากฏการณ์ธรรมชาติใหม่ๆ เกิดจากภาวะโลกร้อน และไม่ใช่เกิดกับประเทศไทยที่เดียว แต่เกิดกับทั่วโลก เท่าที่มองโดยทั่วไปสถานการณ์ในอนาคตจะยังไม่ดีขึ้น เพราะสภาวะความชื้นจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง สึนามิ แผ่นดินไหว ก็จะเกิดขึ้นบ่อย เพราะเปลือกโลกเคลื่อนไหว” ดร.อาจอง ระบุอีกว่า... มนุษย์มีการก่อสร้างที่ส่งผลถึงเรื่องน้ำ ในไทยก็ยกตัวอย่างเช่น สนามบินสุวรรณภูมิ แทนที่พื้นที่จะเป็นแก้มลิงรับน้ำ กลับกลายเป็นสนามบิน ก็เสี่ยงมากขึ้นที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ กรณีภาวะโลกร้อน ดร.อาจอง บอกว่า... ที่จะส่งผลกับประเทศไทยโดยตรงมี 2 อย่างคือ ผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้น้ำท่วมมากขึ้น และการที่เปลือกโลกเริ่มเคลื่อนไหวจนเกิดรอยร้าว ซึ่งจะทำให้ เกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยมากขึ้น นี่คือ 2 อย่างการเปลี่ยนแปลงที่ไทยเราต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี เรื่องน้ำทะเลสูงขึ้น ถ้าไม่สร้างเขื่อนกั้นตรงอ่าวไทย ก็ต้องคิดย้ายเมืองหลวงภายใน 6 ปี เพราะอีก 15 ปีข้างหน้าน้ำจะเริ่มท่วมกรุงเทพฯ ?? สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องสร้างเขื่อนกั้นไว้ก่อน รัฐบาลต้องคิดและวางแผนตั้งแต่วันนี้ ต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ ต้องวางแผนล่วงหน้า 10 ปี ต้องวางแผนให้ดี เพื่อไม่ให้สูญเสียสถานที่สำคัญไป “จะกลายเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราพูดถึงภัยอันตรายส่วนรวมแล้วมนุษย์เลิกทะเลาะกันเสียที เรามีภัยธรรมชาติเป็นศัตรูร่วมกัน ถ้าไม่ป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปกรุงเทพฯและภาคกลางหลายจังหวัดจมน้ำแน่?? ฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งตัดสินใจ คนไทยต้องเลิกทะเลาะกัน คนไทยต้องสามัคคีกัน และปฏิบัติธรรมให้มากๆ ถ้าเราช่วยกัน เราก็จะอยู่ร่วมกันได้ และ ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย คนไทยเราก็จะอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง ท่ามกลางความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในโลก ในอนาคตอันใกล้” ...ดร.อาจอง ระบุ ใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อเรื่องน้ำทะเลสูงท่วมกรุงเทพฯ...สุดแท้แต่ แต่...ในไทยก็คล้ายจะมีบทพิสูจน์ว่า ’ภัยน้ำกำลังถล่มโลก“ และ ’ทางรอด“ คนไทย...คือ ’ต้องพอเพียง-ต้องสามัคคี!!“. จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 21 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|
| somuchforfunalot |
|
ข้อความนี้ถูกลบโดย สายชล.
|
![]() |
|
|