เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > Main Category > ห้องรับแขก

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #1  
เก่า 06-05-2011
ดอกปีบ's Avatar
ดอกปีบ ดอกปีบ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ข้อความ: 703
Default ชีวิตคนเขียนสิ่งแวดล้อม ..

อาจจะยาวไปสักหน่อย แต่มีงานดีๆมาให้ใช้เวลาอ่านกันครับ ..

ศรีบูรพา ปาฐกถา
ชีวิตคนเขียนสิ่งแวดล้อม โดย วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
5 พฤษภาคม 2554


"สวัสดีครับท่านคณะกรรมการจัดงานวันศรีบูรพา แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย วันนี้เป็นวันสำคัญในชีวิตผม ผมไม่แน่ใจว่าตัวผมจะมีคุณค่าพอกับรางวัลศรีบูรพาอันทรงเกียรตินี้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตและงานของคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์แล้ว ท่านเปรียบเสมือนตำนานที่ไม่มีวันตายไปจากสังคมไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอาจจะมีคล้ายท่านก็คือ ผมมีความรักในการเขียนหนังสืออยู่ตลอดเวลา ผมมีความเชื่อว่า อาวุธที่มีเพียงปากกา และมันสมองของเรา สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นประทีปส่องนำผู้คนได้ ขอเพียงแต่หมั่นฝึกหัดวิทยายุทธ์ หมั่นขัดเกลาวิธีการเขียนและหมั่นหาข้อมูล ศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ผมเคยบอกรุ่นน้องนักเขียนหลายคนว่า นักเขียนที่ดีก็เหมือนกับเชฟทำอาหาร ต้องหมั่นเดินตลาด ซื้อหาวัตถุดิบในตลาด ทั้งของแห้ง ของสด ว่ามีอะไรน่าสนใจ มาตระเตรียมไว้ในครัว เผื่อต้องทำอาหารให้ลูกค้า จะได้มีของเอาไว้ปรุงอาหารได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับนักเขียน การเป็นนักสังเกต การเป็นนักอ่าน ศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ก็เหมือนกับการเก็บวัตถุดิบ ออกไปจ่ายตลาดซื้อของแห้ง ของสดเตรียมไว้ในสมอง พอถึงเวลาต้องเขียนหนังสือ เราก็จะมีของมีวัตถุดิบที่จะปล่อยออกมาได้ตลอดเวลา

การหาวัตถุดิบหรือหาความรู้เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการเป็นนักเขียนมาก ซึ่งปัจจุบัน ดูเหมือนเราจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยกว่า การแสดงความเห็นเสียอีก ตลอดระยะเวลาเกือบสามสิบปีนั้น ผมเป็นคนชอบเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ ในชนบท ตามป่าเขา เพื่อหาวัตถุดิบ ถ่ายรูป เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าปัจจุบันเราจะมีเทพเจ้าองค์ใหม่ที่เรียกว่า GODGlE หรือ Google ที่นักเขียนใช้เป็นแหล่งวัตถุดิบขนาดใหญ่ แต่ผมก็ยังเชื่อในการเดินทาง เชื่อในการสัมผัสพูดคุยกับผู้คนจากแดนไกลว่าจะได้ของสดมากกว่าของแห้งที่ถูกใช้แล้วอย่างบอบช้ำจาก การท่องโลกผ่านกูเกิ้ล มีคนถามผมว่า ผมชอบเขียนงานประเภทไหนมากที่สุด คำตอบก็คือดูจะเป็นงานเขียนประเภทที่มีคนเขียนน้อยมาก คืองานเขียนทางด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผมภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ผลิตงานเขียนด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่แทบจะนับตัวคนเขียนได้ในสังคมนี้ ในปีแรกของการทำนิตยสารสารคดี ผมได้รับมอบหมายให้ติดตามคุณสุรพล ดวงแข นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหิดล บุกป่าแถวเมืองกาญจน์ ปีนภูเขาขึ้นไปอยู่บนถ้ำแห่งหนึ่งเป็นทีมงานที่เข้าไปถ่ายภาพค้างคาวกิตติทองลงยา ค้างคาวตัวเล็กที่สุดในโลก และเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่สุดในโลก ชาวบ้านที่เป็นคนนำทางบอกว่า ถ้ำนี้เคยมีหมีอาศัยอยู่ ไม่แน่ว่าวันไหนจะกลับมาอีก ต้องจัดเวรระวังตัวให้ดี เราพักในถ้ำอยู่หลายคืนเพื่อถ่ายภาพ หน้าที่อย่างหนึ่งคือปีนลงมาเพื่อตักน้ำซับจากเบื้องล่างใส่ลำไม้ไผ่และปีนขึ้นไปบนถ้ำ และช่วงเวลานั้นชาวบ้านสอนเราให้รู้จักการเผากระบอกไม้ไผ่หุงข้าว หลายวันที่ใช้ชีวิตบนถ้ำ ผมได้เห็นค้างคาวกิตติทองลงยาตัวเท่าผีเสื้อด้วยความตื่นเต้น เห็นความงดงามของสัตว์โลก ข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับชีวิตของสัตว์น้อยตัวนี้ที่อาจจะมีอยู่ในโลกเพียงแห่งเดียว ค่อย ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยฝีมือของคุณสุรพล ดวงแข แต่ก็แลกความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ตามมา กล่าวคือทีมงานหกคนที่ไปถ่ายทำชีวิตสัตว์โลกนี้ ป่วยเป็นไข้มาลาเรียกันสี่คน ส่วนผมโชคดีที่ไม่ได้อยู่ในสี่คนนั้น ไม่นาน ผมล่องแก่งตามแม่น้ำสายเชี่ยวแถวเทือกเขาตะนาวศรี มาขึ้นที่ป่าแห่งหนึ่ง เพื่อมาทำสารคดีเรื่องปูสามสี หรือปูไตรรงค์ จากลักษณะสีแดง น้ำเงินและสีขาว เป็นการค้นพบปูพันธุ์ใหม่ของโลก และเดือนต่อมาทหารเรือก็พาผมฝ่าคลื่นทะเลมาทิ้งไว้บนเกาะคราม เกาะขนาดใหญ่กลางอ่าวไทยที่ไม่มีคนอยู่ นอกจากทหารเรือสี่ห้าคนและงูเห่า งูจงอางนับร้อยตัว พออาทิตย์จะลับขอบฟ้าพวกเราเริ่มปีนหน้าผาข้ามฝากมาเก็บข้อมูลและถ่ายภาพการวางไข่ของเต่าตนุตรงหาดทรายแห่งหนึ่งตลอดทั้งคืน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผม เห็นเต่าตนุน้ำตาไหลตอนเบ่งไข่ออกมา ผมถูกปล่อยเกาะหนึ่งอาทิตย์ จนกว่าเรือจะมารับ ช่วงท้าย ๆ เสบียงหมด ต้องหากินกันจริง ๆ ต่อยหอยนางรมตามโขดหิน ช่วยทหารเรือวางตาข่ายจับปลา กลางคืนก็นอนตากฝน เมื่อเพิงพักถูกพายุพัดไปหมด ตอนหนึ่งในงานสารคดีเกี่ยวกับเต่าทะเลชิ้นนั้น ผมเขียนว่า "ในป่าคอนกรีตที่มีเครื่องคุ้มครองปกปัองเรามากมาย เราหารู้ไม่ว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แต่เมื่อครั้งใดที่มนุษย์อยู่ใกล้ธรรมชาติมากขึ้น เราจะตระหนักได้ดีว่า มนุษย์นั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆที่อ่อนแอ และแสนจะดื้อรั้น"

ผมเริ่มเห็นแล้วว่า การได้มีโอกาสเดินทางลงพื้นที่ สัมผัสด้วยสายตา เป็นข้อมูลชั้นยอด เป็นข้อมูลขั้นต้น ที่ใครก็ตามหากจะเป็นนักเขียน เป็นนักรายงานข่าว ต้องถือปฏิบัติเป็นบรรทัดฐาน และกลายเป็นวัตรปฏิบัติสำหรับคนทำนิตยสารสารคดีมาโดยตลอดตราบจนถึงปัจจุบัน แต่ชีวิตของผมพลิกผันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่คนหนึ่งของสังคมไทย คือคุณสืบ นาคะเสถียร ประมาณปี 2529 ผมได้ยินเรื่องโครงการอพยพสัตว์ป่าเขื่อนเขี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีข้าราชการกรมป่าไม้ชื่อสืบ นาคะเสถียรเป็นหัวหน้าโครงการ ผมเดินทางไปหาแกที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน ตลอดเวลาสิบวัน ผมนั่งเรือหางยาวลำใหญ่ออกไปกับคุณสืบและทีมงานเพื่อช่วยเหลือค่าง กวาง กระจง ลิงลม และงูจงอาง ที่ติดอยู่ตามยอดไม้ในสภาพอ่อนแรงเต็มที เราทำงานแข่งกับเวลา ยิ่งช้า สัตว์ป่าที่รอรับความช่วยเหลือก็ยิ่งตายลงไปมากขึ้น ผมเห็นความมุ่งมั่นของผู้ชายคนนี้จริง ๆ ว่าเขาทุ่มเททำงานหนักเพียงใดทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อช่วยเหลือสิ่งที่เขารักอย่างจริงจัง มีครั้งหนึ่งบนเรือ พี่สืบเสี่ยงชีวิตจับงูจงอางขนาดสองเมตรด้วยมือเปล่า ทั้ง ๆที่สามารถสั่งลูกน้องให้จับแทน ทุกคนรู้ดีว่า หากพลาดโดนงูกัด ก็คือความตายที่รออยู่ เพราะระยะทางไปถึงโรงพยาบาลไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง พอจับงูใส่กระสอบเสร็จ พี่สืบก็สารภาพกับผมว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจับงู สืบเป็นนักวิชาการตัวพ่อ ตอนออกพื้นที่ ภาพที่ชินตาเราก็คือ พี่สืบสะพายกล้องนิคอน มือหนึ่งถือสมุดบันทึกเก็บข้อมูลตลอดเวลา ผมเรียนรู้ความคิดในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากพี่สืบโดยไม่ตั้งใจ ผมเห็นวิธีคิด การให้เหตุผลในเชิงวิชาการ และการแสดงความเห็นในสิ่งที่เขาเชื่ออย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ จนผมแปลกใจมากว่า ยังมีข้าราชการชั้นผู้น้อยแบบนี้ในสังคมไทยด้วยหรือ ช่วงเวลานั้น ผมเพิ่งเขียนสารคดีเนื่องในโอกาสครบรอบ สิบปีอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ที่จากเมืองไทยจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2529 ผมเขียนว่า คนไทยอาจจะมีคนดี คนเก่งมาก แต่ขาดคนกล้าที่ยืนหยัดกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อ คุณสืบและอาจารย์ป๋วยคือคนกล้าที่สังคมไทยขาดแคลนมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน วันที่ผมทราบข่าวว่าคุณสืบ ยิงตัวตายในราวป่าห้วยขาแข้งนั้น ผมเข้าใจดีว่า คนที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานขนาดนั้น เขากล้าพอจะยิงตัวตาย หากการตายของเขาได้บอกปัญหาการทำลายป่าห้วยขาแข้งให้คนภายนอกได้รับทราบ ผมมีโอกาสติดตามพี่สืบเดินป่า ลงพื้นที่อีกหลายครั้ง ในฐานะที่ข้าราชการซี 5 อย่างแกกลายเป็นแกนนำคัดค้านการสร้างเขื่อนหลายแห่ง อาทิเขื่อนแก่งกรุงในป่าสุราษฎร์ เขื่อนน้ำโจนในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้วยเหตุผลสำคัญคือ การไปทำลายพื้นที่ป่าผืนใหญ่นับแสนไร่ รวมถึงชีวิตสัตว์ป่าจำนวนมากที่หนีน้ำท่วมไม่ทัน ไม่นับรวมผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ก่อนหน้านั้น ข่าวการสร้างเขื่อนตามหน้าหนังสือพิมพ์ มักจะรายงานถึงผลดีของการสร้างเขื่อนด้านเดียว โดยแทบจะไม่เคยรายงานให้เห็นถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือปัญหาการอพยพที่อยู่อาศัยของชาวบ้านผู้ยากไร้เลย นักข่าวก็แทบจะไม่เคยลงพื้นที่ที่มีปัญหา นอกจากใบแถลงข่าวของหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของผู้สร้างเขื่อน

__________________
If we see the hearts of others, peace will follow

You may say I'm a dreamer .. but I'm not the only one: John Lennon
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:41


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger