เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 01-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ฝั่งตะวันออก โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กในบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย

อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "เซาลา" (SAOLA) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีนในวันนี้ (1 ก.ย.66) หลังจากนั้นจะเคลื่อนตามแนวชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้ โดยจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน และพายุดีเปรสชันตามลำดับในช่วงวันที่ 2-4 ก.ย. 66 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยตรง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 1 ? 4 ก.ย. 66 ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง หลังจากนั้นร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาว ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีทะเลคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "เซาลา" (SAOLA) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีนในวันที่ 1 ก.ย.66 หลังจากนั้น จะเคลื่อนตามแนวชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้ ในช่วงวันที่ 2 - 4 ก.ย. 66 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยตรง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กในบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งตลอดช่วง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 01-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


รู้จัก 'หมึกบลูริง' พิษแรงถึงตาย พร้อมวิธีสังเกตก่อนกินปลาหมึก



ชวนสังเกตก่อนทาน หมึกบลูริง สัตว์ทะเลมีพิษร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หมึกชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับหมึกอิคคิว จนทำให้การทานหมึกตามร้านอาหารต่างๆ อาจต้องคอยสังเกต และระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น

หมึกบลูริง หมึกที่กำลังกลับมาเป็นกระแสบนโลกออนไลน์อีกครั้ง หลังจากปี 2563 ที่เคยมีคนนำมาเสียบไม้ย่างขายจนเป็นกระแสมาแล้ว

ล่าสุดในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ได้มีข่าวการพบเจอหมึกชนิดนี้อีกครั้ง ในร้านอาหารปิ้งย่าง จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชียลอย่างมากมาย โดยหมึกบลูริงนี้เป็นหมึกที่มีพิษร้ายแรง และสามารถสร้างความอันตรายได้ถึงชีวิตของผู้รับประทาน โดยหมึกบลูริงมีหน้าตาคล้ายคลึงกับหมึกอิคคิว จึงทำให้หมึกชนิดนี้ติดมากับหมึกสายได้ ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานหมึกต้องเฝ้าระวัง และสังเกตเพิ่มมากขึ้น

หมึกบลูริง หรือหมึกสายวงน้ำเงิน อยู่ในสายพันธุ์หมึกยักษ์ ที่มีลักษณะเล็กกว่าหมึกสาย ความยาวไม่เกิน 20 ซม. และมีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก สามารถพบได้ทั่วทะเลไทย ทั้งอันดามันและอ่าวไทย ในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 ชนิดด้วยกัน ส่วนใหญ่อยู่ตามพื้นท้องทะเล และติดมากับเรือประมงที่ใช้อวนลาก

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น และให้ข้อมูลจากโพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ที่ได้สอบถามลงในกลุ่ม "นี่ตัวอะไร" และกลุ่ม "siamensis.org" เพื่อสอบถามว่า หมึกในภาพใช่ "หมึกบลูริง" หนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกหรือไม่

รศ.ดร.เจษฎา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมของหมึกชนิดนี้ว่า ?blue-ringed octopus หมึกสายวงน้ำเงิน ที่มีพิษร้ายแรงครับ ห้ามนำมาบริโภคเด็ดขาด แม้ว่าจะนำไปประกอบอาหารผ่านความร้อนแล้วก็ตาม เพราะสารพิษของมันทนความร้อนสูงได้? อ่านข่าวเพิ่มเติม


วิธีสังเกตหมึกบลูริง (หมึกสายวงน้ำเงิน)

หมึกบลูริง หรือหมึกสายวงน้ำเงิน จะมีตัวเล็กกว่าหมึกอิคคิวธรรมดาทั่วไป ผิวหมึกออกลายคล้ำ จุดสังเกตหลัก คือ ลายจุดวงแหวนทั่วตัวและหนวดของหมึกบลูริงนั้น จะมีเป็นจุดดำ หรือจุดน้ำเงิน ซึ่งต่างจากหมึกอิคคิว ที่จะมีวงแหวน หรือจุดตามตัวเพียงแค่ 2-3 จุดเท่านั้น


พิษของหมึกบลูริง (หมึกสายวงน้ำเงิน)

พิษของหมึกบลูริง หรือหมึกสายวงน้ำเงินนี้ มีลักษณะเช่นเดียวกันกับปลาปักเป้า คือ เตโตรโดท็อกซิน (tetrodotoxin) มีผลต่อระบบประสาทโดยตรง ส่งผลให้เป็นอัมพาต ระบบหายใจล้มเหลว จนเสียชีวิตได้, พิษของปลาหมึกชนิดนี้จะไม่หายไป แม้จะมีการผ่านความร้อนแล้วก็ตาม เพราะพิษนี้สามารถทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส ทำให้มนุษย์เราหากรับพิษไปเพียง 1 มิลลิกรัม ก็เป็นอันตรายอย่างมาก จนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะความรุนแรงของพิษนี้เท่ากับไซยาไนด์ถึง 1,200 เท่า และมากกว่าพิษจากงูถึง 20 เท่า

ปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษ วิธีรักษา คือ การใช้เครื่องช่วยหายใจ และรักษาตามอาการเท่านั้น หากพ้น 24 ชั่วโมงได้ อาการจะดีขึ้นตามลำดับ

ภาพ : istock


https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2721510

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 01-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ทัพนักธรณีวิทยาจีนขุดเจาะ 'ไหล่ทะเลจีนใต้' ทำสถิติความลึกครั้งใหม่


ที่มา/ภาพ สำนักข่าวซินหัว

คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนเปิดเผยว่าภารกิจขุดเจาะและขุดคว้านทางวิทยาศาสตร์บริเวณไหล่ทะเล (shelf) ทางตอนเหนือของทะเลจีนใต้ สามารถทำความลึกใต้พื้นทะเลถึง 302.07 เมตรเป็นครั้งแรก

คณะนักวิจัยประกาศความคืบหน้าข้างต้นหลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางบนเรือไห่หยาง ตี้จื้อ-10 (Haiyang Dizhi-10) หรือโอเชียน จีโอโลจี 10 (Ocean Geology 10) ซึ่งเป็นเรือสำรวจทางธรณีวิทยาทางทะเลที่สร้างขึ้นภายในจีน เมื่อวันศุกร์ (25 ส.ค.) ที่ผ่านมา

จางจินเผิง วิศวกรอาวุโสประจำสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาทางทะเลแห่งกว่างโจว กล่าวว่า ความลึกดังกล่าวถือเป็นสถิติใหม่ของการขุดเจาะระบบควอเทอร์นารี (Quaternary System) หรือตะกอนยุคควอเทอร์นารี ณ พื้นที่ไหล่ทะเลของจีน

ทั้งนี้ การขุดเจาะนอกชายฝั่งถือเป็นวิธีการตรงที่สุดในการสำรวจตรวจสอบชั้นในของโลก และช่วยให้คณะนักธรณีวิทยาสามารถเก็บรวบรวมตัวอย่างตะกอนและหินจากส่วนลึกภายในโลก

จางเสริมว่า จุดขุดเจาะล่าสุดอยู่ห่างจากปากแม่น้ำจูเจียงของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีน ราว 175 กิโลเมตร ณ ความลึกจากผิวน้ำ 92 เมตร โดยตัวอย่างที่ได้จากภารกิจนี้จะช่วยให้คณะนักวิทยาศาสตร์เข้าใจประวัติศาสตร์การกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่สำรวจ และวิวัฒนาการทางธรณีวิทยาของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำทะเลท้องถิ่นและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

หวังซื่อต้ง วิศวกรประจำสำนักสำรวจระบุว่างานขุดเจาะนี้ใช้อุปกรณ์ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง เช่น แกนเจาะลูกสูบไฮโดรลิก และเทคโนโลยีขุดเจาะหลุมลึกทางทะเล เพื่อรับประกันคุณภาพสูงของตัวอย่างที่เก็บรวบรวมได้


https://mgronline.com/china/detail/9660000077347


******************************************************************************************************


ชมภาพอ่าวมาหยา หลังปิด 1 เดือน งดงามดุจดินแดนสวรรค์



อ่าวมาหยา จังหวัดกระบี่ มนต์เสน่ห์แห่งท้องทะเลอันดามัน ... น้ำทะเลสีเขียวมรกตผืนกว้าง สวยและสงบ สมดั่งฉายา "สวรรค์แห่งอันดามัน" อย่างแท้จริง

เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.2566) อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี โพสต์โชว์ภาพ ?อ่าวมาหยา? ให้หายคิดถึง พร้อมบรรยายว่า เวิ้งอ่าวขนาดเล็กรูปพระจันทร์เสี้ยว น้ำทะเลสีเขียวสดใส หาดทรายขาวสะอาด

"วันนี้ทางอุทยานแห่งชาติ ได้นำภาพบรรยายกาศของอ่าวมาหยา ในช่วงการปิดการท่องเที่ยวมาฝากกัน"

ทั้งนี้ อ่าวมาหยา และอ่าวโละซามะ ปิดให้ทำกิจกรรมการท่องเที่ยว เป็นเวลา 2 เดือน ช่วงวันที่ 1 สิงหาคม ? 30 กันยายน ของทุกปี (ตอนนี้เหลืออีกราว 1 เดือนถึงจะเปิดบริการ) เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว รวมถึงความปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากเข้าสู่ช่วงมรสุม

"ขอแนะนำให้ตรวจเช็คสภาพอากาศก่อนมาท่องเที่ยว โดยให้ติดตามรายงานข่าวสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และขอให้ผู้ควบคุมเรือทุกลำตรวจสอบความพร้อมต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา สวมเสื้อชูชีพตลอดเวลาขณะอยู่ในเรือ"


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000078284
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 01-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


"โลกร้อน" ทำทะเลรับบทหนักดูดซับคาร์บอน ซ้ำ "ขยะ" คร่าชีวิตสัตว์ทะเล" ................ โดย จุลวรรณ เกิดแย้ม



"โลกร้อน? ทำทะเลรับบทหนักดูดซับคาร์บอน ซ้ำ "ขยะ" คร่าชีวิตสัตว์ทะเล"
"ภาวะโลกร้อน" ส่งผลให้กระแสลมแปรปรวน และกระทบถึงคุณภาพน้ำในมหาสมุทร และเมื่อรวมกับปัญหาจากน้ำมือมนุษย์อย่าง "ขยะ" ที่ปนเปื้อนในทะเลก็เป็นสองปัจจัยที่กระทบสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล สัตว์ที่อาศัยอาหารจากทะเลที่จะหากินยากมากขึ้น

แน่นอนห่วงโซ่อาหารลำดับเกือบสุดท้ายอย่าง "มนุษย์" ก็ได้รับผลกระทบในแง่แหล่งอาหารที่จะหายากขึ้นตามไปด้วย

รัตนาวลี พูลสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยา กรมประมง กล่าวว่า น้ำทะเลดูดซับพลังงานความร้อน ของโลกไว้ 90% เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น และเมื่อรวมกับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ประมาณ 30% ก็เป็นอีกตัวการที่ทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง นำไปสู่สภาวะ "น้ำทะเลมีความเป็นกรด"

โดยเฉลี่ยน้ำทะเลจะสูงขึ้นปีละประมาณ 3.1 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งจะสูญเสียพื้นที่ชายฝั่งมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลวัยอ่อน แหล่งผสมพันธ์ุ อย่างเต่า ปลา รวมถึงกุ้ง รวมถึงชุมชนประมงชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน จะต้องปรับตัว ถ้าปรับตัวไม่ได้ชาวประมงอาจสูญเสียอาชีพ หรือพึ่งพาท้องทะเลได้น้อยลง เพราะโลกร้อนทำให้การพยากรณ์อากาศแม่นยำน้อยลง หรือ ที่เรียกว่า "โลกรวน" นั่นเอง


ในภาคการประมงนั้นต้องมีการรับมือการเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลสามารถทำได้ด้วยการ ใช้น้ำหรือทรัพยากรอย่างมีคุณค่า รวมถึงการใช้ IOT (Internet of Things) ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำ และอุณหภูมิน้ำในแหล่งอนุบาลอีกด้วย แต่การควบคุมน้ำทะเลนั้นเป็นเรื่องที่ยากเพราะมีหลายปัจจัยอย่างภาวะโลกร้อน น้ำเสียในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งการรับมือทำได้แค่ในเบื้องต้นเท่านั้น

"สัตว์ทะเลนั้นก็ได้มีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดต่ออุณหภูมิน้ำที่เปลี่ยนไปมากขึ้น อย่างการเปลี่ยนฤดูกาลการวางไข่ การฟื้นตัวของปะการังที่ฟอกขาว แต่ก็ยังมีสัตว์ทะเลบางส่วน รวม 20-30% เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ "

สพ.ญ. ราชวดี จันทรา สัตวแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยทะเลอ่าวไทยตอนบน ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก (ศวบต.) กล่าวว่า กระแสลมที่แปรปรวนนอกจากจะมีผลต่อหาดตื้นเขินแล้ว ยังส่งผลต่อการพลัดพรากของคู่แม่ลูกสัตว์ทะเลหายากที่เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ทะเลหายากท้องแก่ และป่วย จนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมลูกสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นตาย บนชายหาด ป่าชายเลน หรือผืนทะเล

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบอย่างมากคือ คุณภาพน้ำในมหาสมุทร คือ พื้นที่อ่าวไทยตอนบนกว่า 50 % มีคุณภาพน้ำอยู่ในสถานะ พอใช้ รองลงมาคือสถานะเสื่อมโทรม และเสื่อมโทรมมากตามลำดับ เพราะปัจจุบันคุณภาพน้ำส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล ได้แก่ ปริมาณแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์ม สารอาหาร และปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ


ข้อมูลจากหนังสือวารสารการจัดการสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ในทุกๆ ปี จะมีการปล่อยน้ำจืดจากภาคกลางลงสู่อ่าว กอไก่ อย่างในพื้นที่ปากแม่น้ำเพชรบุรี และปากอ่าวบางตะบูนเป็นจุดปล่อยสำคัญจนเกิดการสะสมของตะกอน และหลายครั้งทำให้เกิดปรากฏการณ์ "น้ำแดง" ตามชื่อที่ชาวบ้านเรียก แต่ในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าภาวะยูโรฟิเคชั่น หรือ ภาวะการขาดออกซิเจนรุนแรง เป็นหนึ่งในผลจากภาวะโลกร้อน ที่เกิดจากน้ำเสียจากบ้านเรือนประชากร และเกษตรกรรมที่ถูกปล่อยรวมกัน เป็นเหตุให้เกิดการปนเปื้อนของไนโตรเจน และฟอสฟอรัสที่มีฟอสเฟต ที่เป็นอาหารของแพลงก์ตอนพืช สาหร่าย ทำให้พืชเติบโตอย่างรวดเร็วร่วมกับปัจจัยเร่งอย่างแสงแดดเพื่อสังเคราะห์แสง และอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เจริญเติบโตได้ดี ทำให้ออกซิเจนในพื้นที่นั้นลดลงขณะที่ตอนกลางคืนพืชก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ทะเลเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อพืชตายจะทำให้น้ำเน่าเสียจนเกิดสีแดงขึ้น ถึงแม้ในบริเวณนั้นจะมีอาหาร แต่หากขาดออกซิเจนปลาก็ไม่สามารถเข้ามาหาอาหารได้ ถ้าเกิดเป็นบริเวณกว้างจะทำให้สัตว์หน้าดิน และปลาที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันหรือออกไปจากบริเวณนั้นไม่ทันตายได้

"คาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มความเป็นกรดให้น้ำทะเลจากการดูดซับในอากาศ และพืชในทะเลปล่อยออกมา ถูกเรียกว่า "แฝดตัวร้าย"

ของภาวะโลกร้อน ความเป็นกรดแทรกซึมอยู่ทุกที่ ในอาหารของสัตว์ที่มีโครงสร้างหินปูนในการดำรงชีวิตหรือสัตว์เปลือก ประเภท กุ้ง หอย ปู พวกมันจะสร้าง เปลือกหุ้มตัวได้ยากขึ้น"

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนด "มาเรียมโปรเจค? ส่วนหนึ่งเพื่อการส่งเสริมจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในการดูแลขยะพลาสติกไม่ให้ทิ้งสู่ท้องทะเล และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้สำรวจติดตาม และประเมินจำนวนสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม กลุ่มประชากรไกลฝั่ง เพื่อยกระดับการปฏิบัติภารกิจในด้านการคุ้มครอง อนุรักษ์ สำรวจประเมิน และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หากทะเลและชายฝั่งปลอดภัย นั่นหมายถึงแหล่งอาหารของมนุษย์ก็ปลอดภัยทุกฝ่ายจึงต้องช่วยกันอย่างจริงจัง


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1085742

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 01-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


ห้ามจับเล่น เพจดังเตือน พบทากทะเลหายาก blue dragon ที่ภูเก็ต สวยอันตราย



เพจขยะมรสุม เผย ทากทะเลสุดหายาก Blue Dragon Sea Slug ลอยมาเกยชายหาดที่ จ.ภูเก็ต จำนวนมาก "อ.ธรณ์" เตือน ทากเหล่านี้มีสีสวยแต่มีพิษอันตราย ห้ามใช้มือเปล่าจับเด็ดขาด

รายงานความเคลื่อนไหวทางด้านสิ่งแวดล้อม สายรักษ์โลก ต้องอ่านที่เพจนี้ เพจดังด้านสิ่งแวดล้อม "เพจขยะมรสุม" ???s?????????? ???????? โพสต์ภาพหากทะเลสีฟ้าสวย สุดหายาก Blue Dragon Sea Slug ที่ถูกพบลอยตามกระแสน้ำมาติดชายหาดกะรนที่ จ.ภูเก็ต

ทางด้าน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ทากทะเลชนิดนี้เป็นญาติของหอยฝาเดียว โดยทากทะเล blue dragon เป็นที่รู้จักของนักดำน้ำเป็นอย่างดี แม้มีขนาดเล็กแต่สีสวย แต่ถึงขั้นเป็นเป้าหมายในการเก็บแต้มของเหล่านักดำน้ำผู้นิยมสัตว์เล็ก

ด้วยสีและลำตัว ที่กลมกลืนกับน้ำทะเล แถมยังเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มันสามารถหาอาหารและพรางตัวไปกับกระแสน้ำ จากบรรดานักล่าบนบก ในน้ำ และใต้น้ำได้เป็นอย่างดี

"ทากทะเลเป็นสัตว์พิสดาร บางชนิดสามารถกินสัตว์ที่มีเข็มพิษแล้วดึงเอาเซลล์เข็มพิษมาไว้ในตัวเพื่อป้องกันตัวเอง นักดำน้ำบางคนอาจเจอทากพวกนี้กำลังกินไฮดรอยด์ (ขนนกทะเล) โดยมีเข็มพิษอยู่ปลายเนื้อเยื่อที่ยื่นออกมาคล้าย ?หนาม? ตามลำตัว"


ผศ.ดร.ธรณ์ อธิบาย

?เราเรียกทากทะเลกลุ่มนี้ว่า Aeolidida พวกเธอสามารถดึงเข็มพิษจากสัตว์อื่นมาใช้ได้ แต่ในจำนวนนี้ สุดยอดทากคือเจ้ามังกรฟ้า (Glaucus atlanticus) ทากทะเลกลุ่มนี้ดำรงชีวิตกลางน้ำ เรียกกันว่า pelagic nudibranch?

"เนื่องจากทากทะเลชนิดนี้ออกล่าและกินแมงกะพรุนทะเลที่มีพิษร้าย อย่างเช่น Portuguese man o' war ทากทะเล blue dragon จึงมีพิษร้ายเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ควรจับแตะโดน หรือนำมาเลี้ยงเป็นอันขาด โดยหากเผลอพลั้งไปแตะถูกเข็มพิษของทากเหล่านี้เข้า ให้ถอนพิษโดยการใช้น้ำส้มสายชูล้างบริเวณบาดแผล"

"และเนื่องจาก ทากทะเล blue dragon ล่าแมงกะพรุน Portuguese man o' war เป็นอาหาร จึงมีโอกาสมากที่ระยะนี้จะมีแมงกะพรุนพิษ Portuguese man o' war ลอยมาติดชายฝั่งใน จ.ภูเก็ต เช่นเดียวกัน ซึ่ง ผศ.ดร.ธรณ์ ก็ได้เตือนว่า ห้ามจับต้องแมงกะพรุนเหล่านี้ เพราะมีอันตรายจากพิษเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่เล่นน้ำ เดินชายหาดใน จ.ภูเก็ต ระยะนี้ จึงควรระวังเป็นอย่างยิ่ง"

Blue dragon มักพบได้ทั่วไปในมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย บริเวณชายฝั่งประเทศออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และยุโรป บริเวณน่านน้ำเขตร้อน ในทะเลน้ำอุ่น แต่ไม่ค่อยพบในบริเวณน่านน้ำไทย

การค้นพบครั้งนี้จึงเป็นการค้นพบทากทะเล blue dragon เป็นครั้งแรกๆ ของประเทศ ปัจจุบัน สถานะของ Blue Dragon ก็อยู่ในบัญชีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ของ IUCN


https://www.nationtv.tv/gogreen/378928742


******************************************************************************************************


เฮ! เปิดวินาที ลูกเต่าแม่ทองดี กว่า 40 ตัว ฟักออกจากไข่ลงสู่ทะเล



เฮ! เปิดวินาที ลูกเต่าแม่ทองดี กว่า 40 ตัว ฟักไข่คลานลงสู่ทะเล ผลระบบนิเวศเกาะเต่าสมบูรณ์ คาดจะมีแม่เต่าทะเลทยอยขึ้นมาวางไข่อีก

31 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา สมาชิกชมรมรักษ์เกาะเต่า ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน รับรายงานจากเต่าทองรีสอร์ท หาดทรายนวล หมู่ 2 ต.เกาะเต่า ทางด้านทิศใต้ของเกาะเต่า ว่า ได้พบบรรดาลูกเต่า จากหลุมที่ 1 ของแม่เต่าชื่อ "ทองดี" ที่วางไข่บริเวณหาดทรายได้เริ่มทยอยออกจากหลุมแล้ว ทางชมรมจึงประสานนักชีววิทยาทางทะเล และสมาชิกชมรมฯเร่งเดินทางไปตรวจสอบพบว่า มีลูกเต่าบางส่วนได้ลงสู่ทะเลไปแล้วกว่า 10 ตัว และมีบางส่วนที่ทางพนักงานรีสอร์ทได้ช่วยนำใส่ไว้ในถัง เพื่อตรวจเช็คความพร้อมก่อนปล่อยลงสู่ท้องทะเล

ต่อมา นักชีววิทยาทางทะเล และสมาชิกชมรม ได้ร่วมกันช่วยเหลือให้ลูกเต่าออกจากรังเต่าลงสู่ท้องทะเลอย่างปลอดภัย อีกจำนวน 29 ตัว ซึ่งในช่วงเวลาเต่าออกจากรังมีน้ำขึ้นสูงคลื่นลมแรง และมี 1 ตัวที่ยังไม่แข็งแรงเพียงพอ จึงได้ปรึกษาสัตวแพทย์ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) เห็นว่าควรดูอาการไว้ 1 คืน โดยจะทำการปล่อยกลับลงสู่ท้องทะเลในวันถัดไปหากลูกเต่ามีความแข็งแรงพอ ซึ่งหลังจากลูกเต่าได้ออกลงท้องทะเล คณะทั้งหมดได้ช่วยกันตรวจรังเต่า เพื่อให้แน่ใจไม่มีลูกเต่าติดค้างอยู่ในรังแล้ว

นางรำลึก อัศวชิน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า กล่าวว่า แม่เต่า "ทองดี" เป็นเต่าทะเลตัวแรกที่ขึ้นมาวางไข่บนเกาะในปีนี้ โดยคณะได้ทำการนับเปลือกไข่ที่ได้ฟักออกเป็นตัวแล้วได้ทั้งสิ้น 42 ฟอง พบไข่เน่า 3 ฟอง และไข่ที่มีการพัฒนาไม่สมบูรณ์อีก 1 ฟอง รวมทั้งสิ้น 46 ฟอง ซึ่งการทำงานของทีมอาสาสมัคร ได้รับการอบรมและกำกับโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.)ในทุกขั้นตอน

"จากสภาพพื้นที่หลุม 1 มีซากปะการังหักและเปลือกหอยจำนวนมาก ทำให้ทรายมีความแน่น จึงอาจส่งผลต่อการขุดและออกจากรังของลูกเต่าด้วยตนเอง ผู้เชี่ยวชาญจึงจำเป็นต้องช่วยโดยการปัดทรายที่ปิดส่วนด้านบนออกทีละน้อย แต่ยังคงให้เต่าออกจากไข่เองตามธรรมชาติ เราคาดหวังว่าจะมีแม่เต่าตัวอื่นๆขึ้นมาวางไข่อีก ซึ่งแสดงถึงระบบนิเวศน์พื้นที่เกาะเต่าที่ยังคงมีความสมบูรณ์" นางรำลึก กล่าว


https://www.nationtv.tv/news/region/378928766

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:00


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger