เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 09-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,242
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 9 มกราคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้เริ่มอ่อนกำลังลง ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ยังคงมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือ มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-14 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้าและเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่างและภาคใต้มีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงค่อนข้างมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนลง และมีการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน กับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 9 - 11 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 ? 2 องศาเซลเซียส กับมีหมอกบางในตอนเช้า ในขณะที่ลมตะวันตกเฉียงเหนือในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง 1 - 2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5 - 12 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11 - 17 องศาเซลเซียส

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 12 - 14 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1 - 2 องศาเซลเซียสในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4 - 11 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10 - 16 องศาเซลเซียส

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งมีคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ในช่วงวันที่ 9 ? 12 ม.ค. 67 ส่วนในช่วงวันที่ 13 ? 14 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่างและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 9 ? 11 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 12 ? 14 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้น ส่วนประชาชนในภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนัก สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 09-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,242
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


'สูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6' หายนะโลกครั้งใหม่ ที่มนุษย์เป็นตัวเร่ง



ใกล้เปิดฉาก ศึก "เอเชียน คัพ" ที่กาตาร์ 24 ชาติเข้ารอบเตรียมพร้อม
คาดการณ์ 'สูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6' หายนะโลกครั้งใหม่ ภัยคุกคามสิ่งแวดล้อมจากน้ำมือมนุษย์ ความหลากหลายที่รอวันถูกทำลาย ถ้าไม่หันมาใส่ใจและดูแล...

ตลอดระยะเวลากว่า 500 ล้านปีที่ผ่านมา โลกที่เป็นดั่ง 'บ้าน' ของสรรพชีวิต เกิดความสูญเสียจาก 'การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่' หรือ 'Mass Extinction' มาแล้ว 5 ครั้ง แต่ละครั้งสิ่งมีชีวิตบนโลกกว่า 50-90 % ต้องสูญหายไปจากผืนแผ่นดิน ทิ้งไว้เพียง 'หลักฐาน' บางอย่าง ให้นักมนุษย์ได้ศึกษา

แต่แล้ววันดีคืนดีในขณะมนุษย์กำลังใช้ชีวิต ท่ามกลางอารยธรรมที่สรรค์สร้าง ก็เกิดการพูดถึง 'การสูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6' ขึ้นมา สิ่งที่เคยพูดกันในวงแคบๆ กลับได้รับความสนใจ และเริ่มเข้าสู่กระแสหลัก จนเกิดการตั้งคำถามว่า หรือนี่กำลังเป็นการนับถอยหลัง ปิดฉากหน้าประวัติศาสตร์สิ่งมีชีวิตโลกอีกครั้ง?

อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของการสูญเสียครั้งนี้ เกิดจากข้อสันนิษฐานว่า 'มนุษย์' อาจจะเป็น 'ตัวการสำคัญ' ที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ใหญ่ ไม่ใช่ 'กลไกธรรมชาติ' แบบที่ผ่านๆ มา

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับ 'การสูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6' หรือ The Sixth Mass Extinction ให้มากขึ้น พร้อมทั้งพาย้อนอดีตสู่ช่วงการสูญพันธุ์ 5 ครั้งที่ผ่านมา ผ่านการสนทนากับ 'ผศ.ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์' อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเจ้าของเพจ Dom Paleoworld

อย่างไรก็ตาม บทสนทนานี้ยังคงเป็น 'การคาดการณ์' และวิเคราะห์สิ่งที่ 'อาจจะ' เกิดขึ้น?


การสูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6 เริ่มต้นขึ้นแล้ว ? :

ดร.กันตภณ ระบุว่า โดยปกติแล้วการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ จะเป็นการสูญพันธุ์มากกว่า 50% ของสายพันธุ์ที่ปรากฏทั้งหมดบนโลก ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน และทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา โลกสูญเสียสายพันธุ์ไปมากกว่า 50% ทุกครั้ง

การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มีคีย์เวิร์ดที่สำคัญ คือ "เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน" ไม่ใช่การนำหลายช่วงมารวมกัน เช่น จะเอา 1 ล้านปีที่แล้วหายไป 30% กับ ปัจจุบันหายไปอีก 40% มารวมกันไม่ได้

ทีมข่าวฯ สอบถามว่า แล้วการสูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6 เริ่มต้นขึ้นแล้ว จริงหรือไม่ ?

อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา ตอบว่า ในส่วนนี้คงยังไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร แม้ว่าในแต่ละปีจะมีสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์จากน้ำมือของมนุษย์ และอาจจะอยู่ในภาวะเสี่ยง แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะกลายเป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่


มนุษย์ = ตัวเร่งการสูญพันธุ์ :

ผศ.ดร.กันตภณ กล่าวว่า แนวคิดหลักที่มีคนเขียนเรื่องเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6 คือ ถ้าปล่อยให้สิ่งมีชีวิตเป็นไปตามธรรมชาติ การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่จะไม่เกิดขึ้นเร็ว แต่เมื่อมีอิทธิพลของมนุษย์เข้ามาตั้งแต่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด

เราเรียกยุคนี้ว่า 'แอนโทรโปซีน' (Anthropocene) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมัยทางธรณีวิทยาอย่างไม่เป็นทางการ โดยจะหมายถึงช่วงเวลาเมื่อไม่นานมานี้ ที่การดำรงอยู่ กิจกรรม และพฤติกรรมของมนุษย์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของโลกอย่างมีนัยสำคัญ

จากเดิมที่ธรรมชาติเป็นตัวควบคุมกลไกทั้งหมด แต่หลังจากโลกเข้าสู่ยุคแอนโทรโปซีน มนุษย์ก็เข้ามามีอิทธิพลและบทบาทเยอะขึ้น ดังนั้น สิ่งที่มีชีวิตที่เกิดขึ้นในอนาคต กลไกการอยู่รอดจะไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับธรรมชาติแต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ด้วย

อีกทั้ง มนุษย์ยังเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้มันไม่เป็นไปตามกระบวนการของธรรมชาติ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิโลกเปลี่ยน แม้เพียง 1-2 องศา ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ นอกจากนั้น เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ดี ทำให้ชีวิตของมนุษย์ยืนยาวขึ้น จนอาจจะใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น และไปเบียดเบียนธรรมชาติ

"จึงทำให้เกิดแนวคิดว่า ถ้าไม่อนุรักษ์ จะนำไปสู่การสูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6 ซึ่งคาดการณ์ว่าเร็วกว่าปกติแน่นอน แต่ยังตอบไม่ได้แน่ชัดว่าเมื่อไร" ดร.กันตภณ กล่าว


การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา :

ตลอดระยะเวลากว่า 500 ล้านปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า โลกเคยเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ มาแล้วถึง 5 ครั้ง แต่ละครั้งมีสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่ง ของช่วงเวลาขณะนั้นหายสาบสูญไป โดยอาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลคเชอร์ เนื้อหาสรุปแต่ละครั้ง ดังนี้

การสูญพันธุ์ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อ สิ้นสุดยุคออร์โดวิเชียน ประมาณ 445 ล้านปีที่ผ่านมา ขณะนั้นสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมหาสมุทร การสูญพันธุ์ครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากการเกิดยุคน้ำแข็งที่รุนแรง ทำให้ระดับน้ำทะเลลดลงอย่างฉับพลัน ตามมาด้วยช่วงที่โลกร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน ระดับน้ำทะเลจึงเปลี่ยนแปลงสูงอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตกว่า 60-70 % ของสายพันธุ์ทั้งหมดในขณะนั้นสูญพันธุ์

ครั้งต่อมาเกิดขึ้นในช่วง ปลายยุคดีโวเนียน ประมาณ 375-360 ล้านปีที่ผ่านมา สาเหตุการสูญพันธุ์ครั้งนี้ อาจจะเป็นผลจากหลากหลายปัจจัย เช่น การปะทุของภูเขาไฟในไซบีเรียอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ และเกิดภาวะโลกร้อน เถ้าภูเขาไฟบดบังแสงอาทิตย์ โลกอยู่ในสภาวะมืดมนเป็นเวลานาน พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ออกซิเจนลดลง กว่า 75% ของสายพันธุ์ต้องสูญหายไป

เมื่อมาถึงประมาณ 252 ล้านปีที่ผ่านมา สิ้นสุดยุคเพอร์เมียน โลกเผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งรุนแรงที่สุด กว่า 95% ของสิ่งมีชีวิตในขณะนั้นได้หายสาบสูญไป เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าเป็น The great extinction นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่า การสูญพันธุ์ครั้งนี้มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ ผลกระทบจากอุกกาบาตชนโลก และการปะทุของภูเขาไฟอย่างรุนแรง

การสูญพันธุ์ครั้งที่ 4 เกิดขึ้นในช่วง สิ้นสุดยุคไทรแอสซิค ประมาณ 200 ล้านปีที่ผ่านมา การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก 'แพนเจีย' ทำให้เกิดการปะทุของภูเขาไฟตามขอบแผ่นเปลือกโลก ส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาล เกิดภาวะโลกร้อน และยังมีหลักฐานอุกกาบาตพุ่งชนโลกอีกด้วย ทำให้ 70-80 % สิ่งมีชีวิตต้องสูญพันธุ์ เช่น ไดโนเสาร์หลายสายพันธุ์ รวมไปถึงสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กคล้ายปลาไหลชื่อ 'โคโนดอนต์'

และครั้งที่ 5 ประมาณ 66 ล้านปีที่ผ่านมา ช่วง ระหว่างรอยต่อยุคครีเทเชียส กับยุคพาลีโอจีน อุกกาบาตขนาดใหญ่กว่า 10 กม. พุ่งชนโลก ตู๊ม!!! บริเวณประเทศเม็กซิโกปัจจุบัน แถมยังมีมีภูเขาไฟปะทุรุนแรง ทำให้อาณาจักรที่ยิงใหญ่ของไดโนเสาร์ปิดตัวลง แต่เป็นโอกาสทองให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ได้ก่อร่างสร้างตัว จนกระทั่งมีมนุษย์เกิดขึ้น

นอกจากนั้น ช่วงยุคน้ำแข็ง (Ice Age) ประมาณ 12,000 ปีที่แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เรียกว่า Megafauna extinction เป็นเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่บางกลุ่มหายไป เช่น แมมมอธ เสือเขี้ยวดาบ ฯลฯ แต่ช่วงนี้ยังไม่จัดเป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เพราะสัตว์ที่หายไปมีเพียงสายพันธุ์ที่มนุษย์ล่า และสายพันธุ์ที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศแบบฉับพลันไม่ไหว


มนุษย์อยู่ได้หรือไม่ ถ้าไม่มีความหลากหลาย :

แล้วถ้าเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ แต่ยังเหลือมนุษย์อยู่บนโลก เราจะอยู่ได้หรือไม่ ถ้าไร้ความหลากหลายทางชีวภาพ ?

อาจารย์กันตภณ แสดงความคิดเห็นต่อคำถามนี้ว่า หากวันหนึ่งสิ่งมีชีวิตจำนวนมากสูญพันธุ์ วันนั้น มนุษย์ต้องถามตัวเองว่า "จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติหรือเปล่า ?" ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ ก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องมีสิ่งมีชีวิตอื่น แต่เราจะไม่ได้เห็น 'ธรรมชาติ' ที่แท้จริงของโลก เดินไปไหนก็เจอแต่สายพันธุ์ของตัวเอง

"แต่ผมเชื่อว่า ณ เวลานั้น ถ้าเกิดการสูญพันธุ์ใหญ่ สิ่งที่จะยังคงเหลือคู่กับมนุษย์ก็คือพวกไวรัส เพราะเราไม่สามารถกำจัดมันได้ และพวกมันจะเป็นตัวที่คอยควบคุมจำนวนประชากรมนุษย์"

อาจารย์ธรณีวิทยา ให้ความคิดเห็นต่อว่า แม้ผมจะคิดว่า หากไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น มนุษย์ก็ยังคงอยู่ได้ แต่ถ้าพูดกันแบบตรงๆ ผมว่าเราไม่สามารถ 'เอาชีวิตรอด' เป็นเผ่าพันธุ์เดียวบนโลกได้

สุดท้ายแล้วเราต้องพึ่งพาระบบนิเวศอื่น บรรพบุรุษวิวัฒนาการขึ้นมาให้มนุษย์อยู่รอดด้วยอาหาร แต่ถ้าไม่มีอาหารหรือตัวผลิตอาหาร ที่มาจากความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต เราก็อาจจะแย่ นอกเสียจากว่าในอนาคต มนุษย์จะดัดแปลงพันธุกรรมตัวเอง ให้ร่างกายไม่ต้องการอาหาร


การสูญพันธุ์ คือ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ :

ทีมข่าวฯ สอบถามว่า จริงหรือไม่ การสูญพันธุ์ในแต่ละครั้ง รวมถึงการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ล้วนเป็นการคัดเลือกโดยธรรมชาติ และมีสิ่งใดที่เราต้องทำความเข้าใจอีกบ้าง ?

ดร.กัณตภณ ตอบว่า เป็นเรื่องจริง 100% และถ้าตอบแบบนักวิทยาศาสตร์ พูดแบบตรงๆ 'การคัดเลือกโดยธรรมชาติ' มีเพียงข้อดีไม่มีข้อเสีย แต่ต้องเน้นย้ำว่า "จะต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ"

ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะว่าสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตต่างวิวัฒนาการแข่งขันกัน กระทั่งเกิดเป็นความหลากหลายที่สูงมากๆๆๆๆ แต่เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ธรรมชาติจะสร้างกลไกและสถานการณ์ขึ้นมา ให้สิ่งมีชีวิตบางกลุ่มไม่สามารถปรับตัวได้ และหายไปในที่สุด

"เมื่อหายไปแล้ว พื้นที่เดิมที่เคยถูกปกครองก็จะว่างเปล่า ทำให้สัตว์ที่อยู่รอดจากการสูญพันธุ์มีโอกาส 'แจ้งเกิด' ครอบครอง ขยายพันธุ์ และวิวัฒนาการความหลากหลาย ในแวดวงวงศ์สกุลของมันเอง"

ดร.กัณตภณ เปรียบเทียบเรื่องข้างต้น กับการเกิดขึ้นของ 'มนุษย์' เพื่อให้เข้าใจโดยง่ายไว้ว่า ในยุคของ 'ไดโนเสาร์' ยังไม่มีมนุษย์เกิดขึ้น ขณะนั้นบรรพบุรุษของเรามาจากกลุ่มที่ลักษณะคล้ายลิง เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่ต้องวิ่งหนีไดโนเสาร์ หรือมุดอยู่ในรู ดังนั้น ถ้าไม่มีการสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่ 5 ก็คงไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลก


แล้วในอนาคต มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะสูญพันธุ์จากโลกใบนี้หรือไม่ ?

"มีสิทธิ์เป็นไปได้ครับ แต่ว่าจะมาจากเหตุผลอะไร ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้เลย มันอาจจะเกิดจากเทคโนโลยีที่เราพัฒนากันก็ได้ แม้จะมีคนบอกว่า ไม่มีใครอยู่เหนือธรรมชาติ แต่ผมก็แอบคิดเล็กๆ ว่าตอนนี้เรายังอยู่เหนือธรรมชาติ เพราะเรามีศักยภาพพอที่จะเอาตัวรอดจากธรรมชาติได้ สมมติว่าถ้าวันหนึ่งอุกกาบาตจะชนโลกเหมือนในภาพยนตร์ ผมเชื่อว่าวันนั้น เราคงมีวิธีเปลี่ยนทิศทางมันไม่ให้ชนโลก ซึ่งก็คือการฝืนธรรมชาติ"


(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 09-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,242
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


'สูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6' หายนะโลกครั้งใหม่ ที่มนุษย์เป็นตัวเร่ง ....... ต่อ


ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ใช่เหนือธรรมชาติ :

แม้ว่า ดร.กันตภณ จะแสดงความคิดเห็นโดยภาพรวมไว้ว่า "การสูญพันธุ์ใหญ่ อาจจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้" แต่ก็ยังคงแสดงความห่วงใยถึงระบบนิเวศของโลก ที่มนุษย์ทุกคนควรรีบกลับมาสนใจและดูแล

ดร.กันตภณ ระบุว่า โดยปกติแล้ว กว่าความหลากหลายจะลดลง ต้องใช้เวลาหน่วยล้านปีหรือร้อยล้านปี แต่ตอนนี้เพียงระยะสั้นๆ ประมาณ 100-200 ปี หลังจากที่มนุษย์เริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม สิ่งมีชีวิตก็สูญพันธุ์เป็นจำนวนมาก ฉะนั้น เราทำลายเพื่อนร่วมโลกไปมากแล้ว ถึงเวลาที่ต้องอนุรักษ์ เรากับธรรมชาติต้องไปข้างหน้าด้วยกัน ไม่ใช่เราอยู่เหนือธรรมชาติ

อยากให้มนุษย์เราคิดว่า แม้จะสูญพันธุ์สายพันธุ์เดียวก็ส่งผลกระทบได้ เพราะสายพันธุ์นั้นอาจจะมีผลต่อการผลิตอาหารของมนุษย์ มีผลต่อระบบนิเวศ หรือสายพันธุ์นั้นอาจจะเป็น Keystone Species (กุญแจหัวใจระบบนิเวศ) ที่มีบทบาทสูงต่อระบบนิเวศ ถ้าหายไปอาจจะพังกันทั้งหมด

"ปัจจุบัน ไม่มีประเทศไหนที่อยากให้สัตว์ในประเทศสูญพันธุ์ ถือเป็นสัญญาณดีที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์รู้แล้วว่า ที่ผ่านมาทั้งหมด เราไม่ได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ แต่เราฝืนธรรมชาติ"

ผศ.ดร.กันตภณ สุระประสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า โดยสรุปแล้ว การสูญพันธุ์ใหญ่ ครั้งที่ 6 มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ดี ถ้าไม่มีตัวกระตุ้นตามกลไกธรรมชาติ เช่น อุกกาบาตชนโลก ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ฯลฯ ก็ยังไม่มีอะไรน่ากังวล แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม การกระทำนั้นอาจจะเป็น 'ตัวการสำคัญ' ที่เร่งการสูญเสีย จากนานมากก็จะเกิดเร็วขึ้น


https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2752554

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 09-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,242
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ชาวบ้านแห่ขนปลามหาศาล เกยตื้นตายเกลื่อนหาด โลกผวาลางบอกเหตุแผ่นดินไหว



สะพรึง ฝูงปลาจำนวนมหาศาลเกยตายเกลื่อนบนชายหาดฟิลิปปินส์ คนแห่ขนปลา ทั่วโลกหวั่นลางบอกเหตุแผ่นดินไหวคล้ายญี่ปุ่น

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานปรากฏการณ์แปลกที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ เมื่อชาวบ้านแห่แชร์ภาพฝูงปลาจำนวนมากเกยตื้นตายเกลื่อนกว่าพันตันชายหาดโดยรอบ ไม่วายคนแห่ตักกลับบ้านนับร้อย จนกลายเป็นไวรัลทั่วโลกโซเชียล บางส่วนหวั่นอาจเป็นลางบอกเหตุคล้ายญี่ปุ่น ก่อนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Diane Lawa Tagum ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 7 ม.ค.2567 ที่ผ่านมา ในเมืองมาซิม จังหวัดซารังกานี บนเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ได้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด โดยฝูงปลาจำนวนมหาศาลว่ายเข้ามาเกยตื้น และตายเกลื่อนชายฝั่งโดยรอบ

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านรายหนึ่งในพื้นที่ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อท้องถิ่นว่า ตอนเกิดเหตุการณ์ ชาวบ้านหลายคนตกใจและตื่นเต้นเพราะน้ำหนักของปลาที่มาเกยตื้นนั้นหนักหลายตัน โดยบางส่วนเชื่อว่าปลาเหล่านี้อาจเป็นของขวัญปีใหม่จากพระผู้เป็นเจ้า

แต่ขณะเดียวกัน ชาวบ้านบางส่วนก็ยังเกิดความวิตกกังวลว่า นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยหรือลางบอกเหตุจากพิษภัยทางธรรมชาติหรือไม่ โดยได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กันที่ญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา เทศบาลเมืองฮาโกดาเตะ ในจังหวัดฮอกไกโด ทางเหนือสุดของญี่ปุ่น

ชาวบ้านพบปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลรวมกันหลายหมื่นตัว ว่ายเข้ามาที่ชายฝั่งของชายหาดแห่งหนึ่งในเมือง และตายเป็นแพลอยเป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ตามแนวชายฝั่ง โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งเข้าไปเก็บปลาเหล่านั้น ทั้งเพื่อนำมารับประทานเองและนำไปขาย

ภายหลังจากนั้นเพียง 1 เดือน เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 7.6 แมกนิจูด มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดอิชิกาวะ บนคาบสมุทรโนโตะ ทางตอนกลางของญี่ปุ่น ส่งผลให้ตายนับร้อย บ้านเรือนพังเสียหายยับ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างชัดเจน ว่าการตายของปลาจำนวนมากที่เกาะฮอกไกโด กับแผ่นดินไหวที่ภาคกลางของญี่ปุ่น มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

นอกจากนี้ ทางด้านผู้สันทัดกรณีในญี่ปุ่นวิเคราะห์การตายของปลาเหล่านี้ว่า อาจเกิดภาวะขาดออกซิเจนเฉียบพลัน หรือฝูงปลาเหล่านี้กำลังอพยพ แต่กลับเข้าสู่กระแสน้ำเย็นอย่างกะทันหัน อีกทั้งการลอยเกยตื้นและการตายของปลาจำนวนมาก จะส่งผลต่อระบบออกซิเจนของน้ำในบริเวณนั้น และระบบนิเวศโดยรอบด้วย พร้อมแนะประชาชนไม่ควรกินปลาที่ตายเพราะปรากฏการณ์ลักษณะดังกล่าว


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_8042220

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 09-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,242
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ตัวแรก! อพวช.ขึ้นทะเบียน "ออร์ฟิช" ศึกษาอนุกรมวิธาน



อพวช.ขึ้นทะเบียน "ออร์ฟิช" รายงานทางการครั้งแรกจากทะเลสตูล เตรียมส่งเข้ามาเก็บรักษาเป็นสมบัติชาติในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ใช้เทคนิคการดองพร้อมเตรียมศึกษาอนุกรมวิธาน ด้านนักวิชาการทางทะเล ชี้ปรากฎการณ์ IOD มวลน้ำเย็นทำปลาพลัดหลงเข้าน้ำตื้น

กรณีโลกออนไลน์พบออร์ฟิช (oarfish) ปลาทะเลน้ำลึกที่ระบุว่าจับได้แถวทะเล จ.สตูล สร้างความฮือฮาในวงการผู้เชี่ยวชาญด้านปลา และถือเป็นรายงานอย่างเป็นทางการแรกในประเทศไทย

แม้จะยังเป็นปริศนาว่า ออร์ฟิช ความยาว 2.7 เมตรพลัดหลงเข้ามาในทะเลอันดามันของไทย ด้วยเหตุผลทางธรรมชาติหรือเป็นการเตือนภัยเหตุแผ่นดินไหวหรือไม่ แต่ในมุมของนักวิชาการทางทะเล และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ให้ข้อมูลตรงกันว่าอาจมาจากอิทธิพลของปรากฏการณ์ IOD

"คาดออร์ฟิช มาถึงทะเลอันดามันของประเทศไทยได้ เพราะผลกระทบของกระแสน้ำจากปรากฏการณ์ IOD"

คำยืนยันนี้ ผศ.ดร.สุภฎา คีรีรัฐนิคม อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์การประมงและทรัพยากรทางน้ำ คณะวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมดิจิทัล ม.ทักษิณ เผยแพร่ผ่านเพจวิทยาศาสตร์การประมงและทรัพยากรทางน้ำ บอกถึงปัจจัยที่ทำให้ออร์ฟิช พลัดหลงเข้าอันดามัน

นักวิชาการ บอกว่า ออร์ฟิช ปลาริบบิ้น หรือปลาพญานาค เป็นปลาทะเลลึก อา ศัยในทะเลในชั้น Mesopelagic Zone ความลึกตั้งแต่ 201-1,000 เมตรกินแพลงก์ตอน กุ้ง หมึก ขนาดเล็ก เป็นอาหาร

การพบในไทยทะเลลึกแค่ 100 เมตร ค่อนข้างตื่นเต้น ถือเป็นรายงานอย่างเป็นทางการแรกในไทย การอพยพหรือเคลื่อนย้ายจากทะเลลึกเข้าในเขตน้ำตื้น อาจจะด้วยเหตุผลหลายประการ ที่มีการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนตัวของกระแสน้ำเย็นเข้าใกล้ฝั่ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทำให้กระแสน้ำมีการเปลี่ยนแปลง

"ปลาตัวนี้ อาจจะไม่สบายทรงตัวไม่ได้ จึงต้องอพยพ และโดนกระแสน้ำพัดพาเข้ามาในเขตน้ำตื้น และถูกจับในพื้นที่ทะเลไทย ตามธรรมชาติออร์ฟิช อยู่ในชั้นนำลึกชั้น Mesopelagic Zone ซึ่งกระแสน้ำค่อนข้างอ่อน และออร์ฟิชจะลอยตัวนิ่งๆ"


ออร์ฟิช ความเชื่ออสุรกายใต้ทะเล-แผ่นดินไหว

กระนั้นก็ตาม ผศ.ดร.สุภฎา ระบุว่า ในญี่ปุ่น และแถบยุโรปมีการพูดเรื่องปลาตัวนี้ว่าเป็นอสุรกายในทะเล เป็นเรื่องที่ในญี่ปุ่นเองมีความเชื่อ เพราะมีหลายครั้งที่การปรากฏตัวของปลาตัวนี้ จะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้ แม้ว่าอาจจเป็นไปได้ที่ปลาเข้ามาตามกระแสน้ำพัดเข้ามาเอง

การที่ออร์ฟิช เข้ามาใกล้ฝั่งเกิดขึ้น ด้วยสาเหตุจากกระแสน้ำในชั้นลึกไหลรุนแรง เพราะการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก แต่ไม่ได้ยืนยันว่า อาจจะมีความสัมพันธ์กับแผ่นดินไหว แต่ในญี่ปุ่นเอง การค้นพบปลาตัวนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดแผ่นดินไหวทุกครั้งเพียงแค่บางครั้งเท่านั้น ที่มีการพบปรากฏการณ์เช่นนี้


ขึ้นทะเบียน "ออร์ฟืช" เป็นสมบัติชาติตัวแรก

ขณะที่ขั้นตอนการรับส่ง "ออร์ฟืช" ปลาทะเลลึกตัวแรกที่จับได้ในทะเลสตูล ซึ่งถือเป็นรายงานแรกในทะเลไทย มีการประสานจากผู้เชี่ยวชาญกรมประมง เพื่อนำมาเก็บรักษาเป็นสมบัติชาติภายใต้พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)

วัชระ สงวนสมบัติ นักวิชาการประจำพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) บอกกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ในมุมนักอนุกรมวิธาน ถือว่าการเจอ "ออร์ฟิช" ครั้งแรกในทะเลสตูล ค่อนข้างน่าตื่นเต้น และออร์ฟิช ก็เป็นปลาที่น่าสนใจมันน่าตื่นเต้นมาก ไม่ว่าจะเจอที่ไหนยิ่งมาเจอในเมืองไทยก็ยิ่งน่าตื่นเต้น

ถือเป็นโอกาสดีที่มีการสื่อสารให้คนรับทราบถึงการค้นพบออร์ฟิชในไทย หลายคนที่เกี่ยวข้องทั้งผู้เชี่ยวชาญ และนักอนุกรมวิธานก็พยายามจะช่วยกันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาไม่ให้เกิดความเสียหาย


หลักฐานการค้นพบ "ออร์ฟิช" จากทะเลไทย

วัชระ บอกว่า แม้จะมีคนเจอและโพสต์ในโซเชียล แต่หากไม่มีคนสนใจกับออร์ฟิช ก็คงเป็นเพียงข่าวในเฟซบุ๊กแล้วก็หายไป ไม่มีข้อเท็จจริงไม่มีหลักฐาน

ถ้าออร์ฟิช ได้มาอยู่ในพิพิธภัณฑ์จะกลายเป็นหลักฐาน ยืนยันว่ามันเคยมีจริง และนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ แม้จะเป็นซาก แต่ตัวปลา จะใช้ในการตรวจ และศึกษาองค์ความรู้ใหม่ของออร์ฟิชก็ได้ และสำคัญคือถูกเก็บในไทย ใช้ประโยชน์ในอนาคต

นายวัชระ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีการพบออร์ฟิชส่วนหัว แต่เป็นของต่างประเทศสั่งเข้ามาและตัดหัวเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่สำหรับตัวอย่างจากสตูลเป็นออร์ฟิชที่ตายในธรรมชาติความสำคัญจึงต่างกัน และถือเป็นรายงานแรกของไทย


เหตุผลใช้ "การดอง"ไม่สตัฟฟ์

สำหรับกระบวนการเก็บรักษาออร์ฟิช นายวัชระ กล่าวว่า จะเลือกใช้การดองออร์ฟืช มากกว่าการสตัฟฟ์ เหตุผลเพราะถ้าสตัฟฟ์ ซากตัวอย่าง จะเป็นชิ้นส่วนแห้ง ซึ่งการเก็บรักษาและใช้ประโยชน์อื่นได้ยาก นอกจากการโชว์อย่างเดียว

ส่วนการดอง สามารถนำมาจัดแสดงโชว์ได้ แต่อาจจะยุ่งยากเล็กน้อย เพราะต้องใส่ตู้ แต่การดองโอกาสที่ตัวอย่างจะเสียหายมีน้อยกว่า และยังใช้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ได้อีกเช่น งานอนุกรมวิธาน ดูรายละเอียดต่างๆได้ ส่วนการสตัฟฟ์ต้องแร่ออกมา และอาจทำลายชิ้นส่วนสำคัญไป

ตัวยาว 2.7 เมตรการที่หักมาจะเก็บมาเป็นชิ้น 2-3 ท่อน เพื่อความง่ายในการเก็บขึ้นเรือประมงมา ส่วนการนำมาเข้าตู้ดองทางอพวช.เตรียมพร้อมเก็บชิ้นส่วนปลาขนาดใหญ่ที่มีความยาว 2 เมตรอยู่แล้ว


จัดท่าให้เหมือน "ออร์ฟิช" มีชีวิต

นายวัชระ บอกว่า หากออร์ฟิช ส่งมาถึง อพวช.แล้ว จะถูกบันทึก และขึ้นทะเบียนหมายเลขนำเข้าพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแน่นอนว่าออร์ฟิช คือรายงานแรกของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาของไทย

ขั้นตอนการดองปลาหายาก กระบวนการดอง ถ้าจะให้สมบูรณ์เหมือนปลายังมีชีวิต ก็ต้องมีการเซ็ตท่าให้เหมือนกับมันยังมีชีวิตมากที่สุด โดยเฉพาะออร์ฟิช จุดเด่นคือตัวครีบหงอนสีแดงของออร์ฟิช ต้องเก็บรายละเอียดให้เห็นมากที่สุด
จากนั้นต้องฟิกด้วยฟอร์มาลีน ทาบริเวณผิวภายนอก เพราะสรรพคุณทำให้เนื้อเยื่อภายนอกแข็งตัว และครีบหงอนสีแดงแถวหัว หรือครีบฝอยที่มีรายละเอียดต้องคลี่ออกและทาฟอร์มาลีน 10-20 นาทีครีบจะไม่แข็งตัว

ส่วนตัวเนื้อที่อาจจะเน่า ก็จะฉีดฟอร์มาลีนเข้าไปที่กล้ามเนื้อด้วย โดยขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานนับ 1-2 สัปดาห์เพราะออร์ฟิชมีความยาว และขนาดใหญ่ ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ไป แล้วก็ต้องนำออร์ฟิช แช่น้ำ เพื่อให้ฟอร์มาลีนระเหยออกจากตัวปลาให้มากที่สุด โดยกลิ่นในน้ำ และในตัวปลาจะเริ่มเจือจางลง จึงเปลี่ยนใส่ในเอธิลแอลกอฮอล์ 75% และใส่แท็งก์ดอง

ออร์ฟิชตัวแรก จะได้รับเลขหมาย ยืนยันการขึ้นทะเบียนเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา โดยสมบูรณ์ เป็นฐานข้อมูลที่เผยแพร่ในระดบโลกให้เข้ามาค้นหาหมายเลข และพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาชิ้นส่วนสำคัญของไทยรอการศึกษาวิจัย
นักอนุกรมวิธาน บอกว่าสำหรับปลาทะเลขนาดใหญ่ ที่เคยเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแล้วคือ โมลาโมล่า หรือปลาพระอาทิตย์ ซึ่งมีการสตัฟฟ์ และเป็นการเรคคอร์ดแรกที่เจอในทะเลไทย

"ตื่นเต้นมาก ถือเป็นกำไรชีวิตที่ได้จเห็นออร์ฟิชปลาทะเลลึก 1,000 เมตรจากทะเลไทย เคยเห็นแต่ในภาพทหารอเมริกัน ยืนถ่ายออร์ฟิชเมือราว 40 ปีและทุกคนคิดว่าเป็นพญานาค แต่แท้จริงแล้วมันคือออร์ฟิช"


IOD พา "ออร์ฟิช" พลัดหลงเข้าอันดามัน

เพจวิทยาศาสตร์การประมงและทรัพยากรทางน้ำ TSU ระบุว่ารายงานการพบออร์ฟิซ (Oarfish ) ขนาดความยาว 2.4 เมตร ปลาทะเลที่สามารถพบได้ในระดับน้ำที่ลึกมากจากเรือประมง ก.เทพเจริญพร 15 บริเวณเกาะอาดัง อ.ละงู จ.สตูล เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2567 (เครดิตคุณ Wannarrong Sa-ard ผู้รายงานคนแรก)

ปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้น เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Regalecus glesne อยู่ในวงศ์ Regalecidae มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับพญา นาคตามความเชื่อของไทย หรือมังกรทะเลในความเชื่อในยุคกลางของชาวตะวันตก

โดยมีความยาวได้สูงสุดยาวถึง 9 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม แต่ก็มีบันทึกไว้ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ด้วยว่า ปลาชนิดนี้เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ยาวที่สุดในโลก โดยอาจยาวได้ถึง 11 เมตร

ในขณะที่รายงานไม่ยืนยันอีกบางกระแส ระบุว่าอาจยาวถึง 15 เมตร หรือกว่านั้น มีส่วนหัวที่ใหญ่ ลำตัวแบนสีเงิน มีจุดสีฟ้าและดำประปราย มีครีบหลังสีชมพูแดง บนหัวที่อวัยวะแลดูคล้ายหงอนเป็นจุดเด่น

หลังจากนี้ทางสำนักงานประมงจังหวัดสตูลได้เก็บตัวอย่างและจะนำไปเก็บรักษาไว้ที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติเพื่อไว้ศึกษาในโอกาสต่อไป


https://www.thaipbs.or.th/news/content/335728

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:08


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger