เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 10 เมษายน 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านประเทศเมียนมาและตอนบนของภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มมีผลกระทบใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตราย จากพายุฤดูร้อน โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมในบริเวณดังกล่าวมีกำลังอ่อน


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน
โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 28-29 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

คาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 10 ? 11 เม.ย. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านประเทศเมียนมาและผ่านภาคเหนือตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในระยะแรก โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป

ส่วนในช่วงวันที่ 12 - 15 เม.ย. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 10 ? 12 เม.ย. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามัน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 15 เม.ย. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะลอันดามันเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 10 ? 11 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 12 - 15 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน



******************************************************************************************************



พยากรณ์อากาศเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน พ.ศ. 2567


ในวันที่ 11 เม.ย. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านประเทศเมียนมา และภาคเหนือตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือยังคงมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 12 - 17 เม.ย. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทย มีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 11 ? 12 เม.ย. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้นทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามัน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 17 เม.ย. 67 ลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'โลกหมุนช้าลง - เวลาเดินช้าลง' เหตุจาก 'น้ำแข็งขั้วโลกละลาย' ................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล

การวิจัยล่าสุดพบว่า "น้ำแข็งขั้วโลกละลาย" ทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อ "เวลา" ลดลงไปด้วยเช่นกัน



ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เวลาแต่ละวันจะหายไปเสี้ยววินาที อาจไม่ได้มี 24 ชั่วโมงอีกต่อไป เพราะการวิจัยล่าสุดพบว่า "น้ำแข็งขั้วโลกละลาย" ทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อ "เวลา" ลดลงไปด้วยเช่นกัน

"โลกหมุนรอบตัวเอง" 1 รอบใช้เวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับ 1 วันโดยประมาณ ซึ่งการหมุนของโลกเราไม่คงที่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก เช่น การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว ปริมาณน้ำในมหาสมุทร กระแสน้ำ ตลอดจนแรงดึงดูดของดวงจันทร์ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้อัตราการหมุนของโลกช้าลงหรือเร็วขึ้น และแน่นอนว่าทำให้ "นาฬิกาเวลาโลก" เปลี่ยนไป

เพื่อรักษามาตรฐานการประกาศเวลาให้ใกล้เคียงกับเวลาสุริยะ (UT1) โดยเฉลี่ย นักวิทยาศาสตร์จึงมีการใช้ ?อธิกวินาที? (Leap Second) วินาทีที่ปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงในการทดแทนเวลาที่หายไป ทั้งนี้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาอธิกวินาทีเพิ่มขึ้นมาตลอด แต่ในตอนนี้โลกอาจสูญเสียเวลาไป เพราะโลกเริ่มหมุนช้าลง และมีช่วงกลางวันยาวนานขึ้น

"เราไม่เคยปรับลดเวลามาก่อน ดังนั้นมันอาจเกิดปัญหาใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์" ปาตริเซีย ทาเวลลา สมาชิกแผนกเวลาสำนักงานชั่ง ตวง วัด ระหว่างประเทศ กล่าว


"น้ำแข็งละลาย" จนโลกหมุนช้าลง

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ของดันแคน แอกนิว ศาสตราจารย์ด้านธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก พบว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้"น้ำแข็งขั้วโลกละลาย" เร็วขึ้น และส่งผลต่อแบบเป็นลูกโซ่ต่อการนับเวลา

อีกทั้งเมื่อน้ำแข็งละลายลงสู่มหาสมุทรจนทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น และน้ำที่ละลายจะไหลจากขั้วโลกไปยัง "เส้นศูนย์สูตร" ซึ่งจะทำให้โลกหมุนช้าลงไปอีก

ทาเวลลา คิดว่าการคำนวณของแอกนิว จะช่วยให้นักอุตุนิยมวิทยาคำนวณการหมุนของโลกได้ดีขึ้น พร้อมจะช่วยให้ประเมินว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องลดเวลาลงจริงหรือไม่

เท็ด สแกมบอส นักธารน้ำแข็งแห่งมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอร์ อธิบายกระบวนการนี้เหมือนเวลาที่นักสเกตลีลาทำท่าหมุนแขนโดยยกแขนไว้เหนือศีรษะ แล้วตอนที่เขากำลังวาดแขนลงไปที่ไหล่ ความเร็วในการหมุนตัวของพวกเขาจะลดลง

น้ำแข็งขั้วโลกที่ละลายในตอนนี้ มีปริมาณมากพอที่จะส่งผลต่อการหมุนของโลกทั้งใบอย่างเห็นได้ชัด ในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับผมแล้วการที่มนุษย์สามารถทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไปได้เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก? แอกนิว ผู้เขียนรายงานการศึกษากล่าว


"แกนโลก" ทำให้โลกหมุนช้าลง

การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้โลกหมุนช้าลง การเปลี่ยนแปลงของ "แกนโลก" ก็ส่งผลด้วยเช่นกัน

สสารที่อยู่ในแกนโลกชั้นในสามารถหมุนได้เป็นอย่างอิสระจากเปลือกนอกที่เป็นของแข็ง หากสสารเหล่านี้ไหลช้าลง เปลือกโลกก็จะเร่งความเร็วขึ้นในอัตราที่เท่ากัน เพื่อรักษาโมเมนตัมไว้ แอกนิวกล่าวว่านักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นลึกลงไป 1,800 ไมล์ใต้พื้นผิวโลก ถึงทำให้ความเร็วเปลี่ยนไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้

แอกนิว และทีมวิจัยใช้ข้อมูลแรงโน้มถ่วงจากดาวเทียมเพื่อตรวจสอบการลดลงของโมเมนตัมเชิงมุมของโลกและผลกระทบต่อการจับเวลา เผยให้เห็นว่าการละลายอย่างรวดเร็วของแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกาได้เปลี่ยนการกระจายมวลของพื้นผิวโลกของเรา และทำให้ความเร็วเชิงมุมของเปลือกชั้นนอกที่เป็นของแข็งของโลกลดลงเร็วขึ้น ในขณะที่ความเร็วเชิงมุมของแกนกลางของเหลวส่วนใหญ่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

การวิเคราะห์นี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างแกนกลาง และเนื้อโลกทำให้เกิดการหมุนเร็วขึ้น แต่ยังมีการชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการเริ่มละลายครั้งใหญ่ของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกที่เริ่มขึ้นใกล้ปลายศตวรรษที่ 20 นั่นหมายความว่าโลกจะต้องลดวินาทีเป็นครั้งแรกในไม่ช้า

"วินาทีนั้นฟังดูไม่มากนัก แต่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ตั้งค่าไว้สำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น ธุรกรรมในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะต้องใช้ความแม่นยำ และความเที่ยงตรงในระดับหนึ่งในพันของวินาที" แอกนิว กล่าว

ระบบคอมพิวเตอร์จำนวนมากมีซอฟต์แวร์ที่ทำให้สามารถเพิ่มวินาทีได้ แต่มีเพียงไม่กี่ระบบเท่านั้นที่สามารถลบวินาทีได้ มนุษย์จะต้องตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ ซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาดได้

"ไม่มีใครคาดคิดจริง ๆ ว่าโลกจะเร่งความเร็วจนถึงจุดที่เราอาจต้องลดเสี้ยววินาทีลง" แอกนิวอธิบาย

ขณะที่ สแกมบอส กล่าวว่า "ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงจากแกนโลกจะส่งผลต่อการหมุนของโลกมากกว่าการสูญเสียน้ำแข็งจากขั้วโลก แม้ว่าการสูญเสียน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา"

ทั้งนี้สแกมบอสกล่าว ในตอนนี้การหมุนที่ช้าลงของโลก อาจเป็นปัญหาต่อโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ แต่จำนวนน้ำแข็งที่ละลายจนทำให้การหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นเรื่องใหญ่มากเช่นกัน

ที่มา: CNN, Euro News, Space


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1121499
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


เปิดผลสอบ! "เรือหลวงสุโขทัย" ล่ม อดีต ผบ.เรือลาออก เหตุขาดความรอบคอบ

กองทัพเรือแถลงผลสอบสวน "เรือหลวงสุโขทัย" อับปาง เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรง ฉับพลัน คลื่นสูง 6 เมตร ทำให้เรือโคลง ควบคุมเรือไม่ได้ ขณะที่วันที่ 18-19 ธ.ค.มีเรือล่มทั้งหมด 7 ลำ



วันนี้ (9 เม.ย.2567) พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ แถลงผลสอบสวน กรณี "เรือหลวงสุโขทัย" อับปางในทะเล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2565


วันเกิดเหตุคลื่นลมแรง มีเรือล่มใกล้กัน 7 ลำ

โดยข้อมูลจากวิดีทัศน์ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้เรือหลวงสุโขทัยอับปาง ข้อมูลสำคัญระบุว่า มาจากสภาพอากาศและคลื่นลม สภาพอากาศแปรปรวน เปลี่ยนแปลงฉับพลัน รุนแรงคลื่นสูง 6 ม.จนทำให้เรือหลวงสุโขทัยล่ม

ทั้งนี้ รล.สุโขทัย สามารถเดินเรือได้ที่ Sea Stage 5 ในระดับคลื่นที่มีความสูง 2.5 - 4 ม.โดยสภาพอากาศที่เกิดขึ้นจริงมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ฉับพลัน จากที่มีการพยากรณ์ไว้ จึงทำให้เรือโคลงมาก ควบคุมเรือได้ยาก การทรงตัวของเรือและกำลังพลอยู่ในภาวะไม่ปกติ การทำกิจวัตรหรือปฏิบัติงานไม่สามารถทำได้เหมือนในภาวะปกติ

"เป็นคืนเดือนมืดเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น มีข้อจำกัดในการและช่วยเหลือ และคลื่นลมแรงทำให้ลูกเรือถูกพัดกระจายตัวออกไป และเป็นอุปสรรคในการเอาชีวิตรอด"

นอกจากนี้ ในวันที่ 18 - 19 ธ.ค.มีเรืออับปางในอ่าวไทยถึง 7 ลำ เรือขนาดใหญ่สุด คือ เรือสินค้าที่ใหญที่สุดมีขนาด ขนาด 2,123 ตันกรอส อันเนื่องมาจากสภาพอากาศแปรปรวน เปลี่ยนแปลงฉับพลัน รุนแรง โดยเรือที่ล่มทั้ง 7 ลำ มีดังนี้ 1.รล.สุโขทัย 2.เรือสินค้าอนุบูลย์ 3.เรือสันทัดสมุทร 4.ซัมเมอส์ซัคเซสอุตมะ และ 5.เรือ ส.4 นพรัตน์ 6.เรือประมงทรัพย์สุนันท์ 7.เรือประมง ส.เอกรัตน์ 19


เรือรั่วเกิดจากการกระแทกจากภายนอก

ด้าน พล.ร.ต.อภิรมย์ เงินบำรุง เจ้ากรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ คณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค และคณะกรรมการสอบสวนระบุว่า ข้อมูลจากวัตถุพยาน หลังเรือหลวงสุโขทัยอับปาง กองทัพเรือ ลงดำน้ำสำรวจเรือทั้งหมด 4 ครั้ง โดยครั้งที่ 4 มีการปฏิบัติการร่วมกับกองทัพเรือ และสหรัฐฯ

วัตถุประสงค์ในการสำรวจครั้งที่ 4 คือ ค้นหาศพที่ติดค้างในเรือซึ่งไม่พบ การปลดวัตถุอันตราย และสำรวจภายในและภายนอก ทั้งนี้การที่เรือกจมมาจากการที่น้ำเข้าเรือจาก 2 กรณี คือ 1.จากทางท้องเรือทำให้สูญเสียกำลังลอย 2.น้ำเข้าทางด้านบนเหนือจุดศูนย์ถ่วงของเรือ (จุด CG)ทำให้เรือเอียง สุดท้ายทำให้ทราบว่า เรือหลวงสุโขทัยเอียงก่อนโดยน้ำเข้าทางดาดฟ้าและจากนั้นจึงจมทางท้ายเรือ

พล.ร.ต.อภิรมย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะที่แผ่นกันคลื่นมีอาการยุบ มีพื้นที่เสียหายราว 148 ตร.น.ซึ่งใหญ่มาก จากคลื่นลมแรงทำให้ดาดฟ้าเปิดเป็นช่องเมื่อเรือมุดคลื่นจึงทำให้น้ำเข้ามาในเรือมาก

จุดที่ 2 ตำแหน่งป้อมปืนยุบลงไปโดยไม่ได้เกิดจากคลื่นเพราะสามารถทดกำลังกดได้ ซึ่งสาเหตุที่ยุบ เพราะโดนของแข็งกระแทก แต่ไม่พบหลักฐานว่า วัตถุดังกล่าวติดอยู่บริเวณป้อมปืน

"ขณะที่รอยรั่วของเรือที่ยุบเข้าไป เกิดจากวัตถุภายนอกกระแทก ไม่ได้เกิดจากตะเข็บของเรือ ซึ่งเกิดจากการกระแทก แต่ไม่พบวัตถุตกอยู่เช่นกัน ยาว 1 ฟุต กว้าง 3-4 นิ้ว"

พล.ร.ต.อภิรมย์ กล่าวว่า ขณะที่จากการสำรวจบริเวณหัวเรือ ซึ่งเป็นห้องเก็บเชือกในการเทียบเรือ ซึ่งเป็นห้องที่มีโอกาสที่ทำให้น้ำเข้าได้ และทำให้เรือเอียง รวมถึงประตูใต้ป้อมปืนที่ปิดไม่สนิท ทำให้น้ำไหลไปห้องทางเดิน และไปท่วมห้องเครื่อง

"ความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการเสียการทรงตัวคือ แผ่นกันคลื่น ป้อมปืน 76 มม. ทะลุบริเวณกราบซ้าย ห้องกระชับเชือกหัวเรือ และประตูด้านท้ายป้อมปืน แผลพวกนี้ทำให้น้ำเข้าเรือ และท่วมไปยังห้องด้านหลัง และทำให้เรือเสียการทรงตัวเอียงและจมในที่สุด"

ขณะที่การเดินเรือจากท่าเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี เวลา 02.00 น. เครื่องจักรใหญ่เริ่มขัดข้อง คาดว่าจากน้ำมันเกิดสกปรกเพราะเรือโยนไปมาทำให้สิ่งสกปรกเข้าไป เวลา 04.00 - 06.00 น. น้ำเริ่มเข้าเรือมากขึ้น จากสัตหีบไปหาดทรายรี ไม่เกี่ยวข้องกับการอับปางของเรือ เพราะน้ำเข้าประตู ช่องเล็กช่องน้อย สามารถจัดการได้ และระดับน้ำไม่สูงมาก โดยกำลังพลใช้วิธีตักออก


คลื่นแรง-น้ำเข้า-ไฟดับ-คุมเรือไม่ได้-อับปาง

กระทั่งเวลา 07.00 น. เรือเจอคลื่นที่แรงเพราะสวนคลื่นตรง ๆ ทำให้แผ่นกันคลื่นเกิดล้าและฉีกออกเป็นรู ทำให้น้ำเข้าใต้ป้อมปืน 76 มม. และเกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ทั้งไฟไหม้ ไฟฟ้าดวงจร ไฟรั่ว ไฟดูดกำลังพล โดยการตัดสินใจนำเรือกลับสัตหีบ ส่วนคลื่นทำให้น้ำเข้าอย่างมาก และมีปัญหาใบจักรชำรุด

เวลา 15.45 น.เปลือกไฟเบอร์กลาสป้อมปืน 76 มม.ชำรุด โดยชำรุดมาก่อน และเพิ่งมาเจอ ซึ่งขณะนั้นเรือเอียงมากว่า 45 องศา ระบบต่าง ๆ เริ่มใช้การไม่ได้ และเวลา 24.00 น.เรือจมลง ซึ่งตอนเรือออก ค่า GM (ค่าการทรงตัวของเรือ) อยู่ที่ 3.89

ต่อมา เวลา 15.00 น.ค่า GM อยู่ที่ 0.0034 ดังนั้นเมื่อคลื่นซัดไปทางไหน เรือก็จะถูกซัดไปทางนั้น และเมื่อน้ำเข้าเรือ เหนือจุด G จนทับจุด M ทำให้เรือสูญเสียการทรงตัวค่ามาตรฐานไม่น้อยกว่า 0.49 ฟุต

และเมื่อเรือเอียงระดับ 15-30 องศา ทำให้น้ำเริ่มเข้าเรือทางช่องระบายอากาศต่าง ๆ ทำให้น้ำไหลไปถึงข้างท้ายเรือได้ ซึ่งมีน้ำหนักน้ำค่อนข้างมาก เรือหลวงสุโขทัยจึงจมในทางท้ายเรือ

"ขณะที่การผนึกน้ำ กรณีเรือรั่วและน้ำเข้าท้องเรือ ถ้าสามารถปิดผนึกได้ เรือจะไม่จม แต่กรณีเรือเอียง น้ำเข้า เราไม่สามารถผนึกน้ำได้ เพราะน้ำเข้าไปถึงห้องนั้น ๆ เลย"

บทสรุปการอับปาง 1.เรือรั่วหลายจุด 2.สภาพคลื่นลมที่มีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน รวมถึงเรือหลวงสุโขทัยเก่าโดยใช้งานไปกว่า 30 ปี 3.เกิดความเสียหายในตำแหน่งที่ทำให้น้ำเข้าสู่ห้องเรือ

4.เมื่อเรืออยู่ในสภาวะเอียง น้ำทะเลเข้าทางช่องระบายอากาศต่อเนื่อง และไหลเข้าเครื่องจักรใหญ่ และส่วนท้าย 5.เรือสูญเสียการทรงตัวตั้งแต่เวลา 15.00 น.จนจม เวลา 24.00 น.ใช้เวลา 9 ชั่วโมง แสดงว่า การผนึกน้ำทำได้ดี แต่น้ำเข้าจากช่องทางอื่น

6.การป้องกัน การตรวจสอบสาเหตุน้ำเข้า ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะคลื่นลมแรง จึงต้องพยายามนำน้ำออก เกิดการชำรุดของเครื่องจักรใหญ่ ระบบไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก กรณีไฟดูดต้องตัดไฟ ทำให้สูบน้ำออกจากเรือไม่ได้ สู้กับน้ำที่เข้ามาไม่ได้


ยอมรับตัดสินใจพลาด นำเรือกลับสัตหีบ

พล.ร.อ.สุรศักดิ์ สิงขรวัฒน์ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ทัพเรือภาคที่ 1 กล่าวว่า

1.ความพร้อมของเรือก่อนการส่งมอบ ภายหลังการซ่อมบำรุงปี 2564 ทดสอบแล้วพบว่า ทำตามมาตรฐาน

2.เสื้อชูชีพเบิกจ่ายไป 120 ตัว กำลังพล 105 นาย เสื้อชูชีพเพียงพอกับกำลังพล และประกาศให้กำลังพลสมทบไปรับเสื้อชูชีพ กำลังพลสมทบไม่ได้ไปรับเสื้อชูชีพ และกำลังพลบางส่วนไม่สามารถลงไปใส่เสื้อชูชีพได้ แพชูชีพจำนวน 6 แพ อยู่บริเวณทางกราบซ้าย-ขวา เมื่อเกิดเหตุสามารถปลดเรือชูชีพกราบขวาได้ 2 แพ อีก 4 แพ อยู่ในพื้นที่อันตรายเข้าถึงยาก เมื่อเรืออับปาง เรือชูชีพทั้งหมดจึงหลุดออกจากที่ติดตั้ง

ทั้งนี้ยังพบว่า ผู้บังคับการ รล.สุโขทัย ระบุว่า ภารกิจนี้ไม่ใช่ภารกิจรบเต็มรูปแบบจึงจัดกำลังเพียง 75 นายจาก 100 นาย รวมถึงจัดที่พักอาศัยบนเรือให้หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งรวม 30 นาย เมื่อไปถึงภาวะที่ต้องปฏิบัติงานที่ภาวะคลื่นลมรุนแรง ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและต้องปกป้องความเสียหายหลายสถานที่พร้อมกันจึงทำให้ทำได้อย่างจำกัด

"มีอุปกรณ์ป้องกันความเสียหายครบทั้งหมด และเมื่อพบว่าน้ำเข้า จึงผนึกน้ำทันที แต่ไม่สามารถไปตรวจสอบความเสียหายนอกตัวเรือได้ โดยลูกเรือช่วยป้องกันเต็มที่"

6.ผลกระทบจากคลื่นลมวันเกิดเหตุอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรง รวดเร็วฉับพลัน ซึ่งเป็นประเด็นให้เรือโคลงมาก ทำให้เรือเอียง และอับปาง รวมถึงการช่วยเหลือลูกเรือลำบาก

7.การตัดสินใจนำเรือกลับฐานทัพเรือสัตหีบ ผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย ตัดสินใจนำเรือกลับฐานทัพสัตหีบ จ.ชลบุรี แม้ว่าจะไกล และใช้เวลามากว่านำเรือเข้าเทียบท่าประจวบฯ แต่ตัดสินใจเพราะคลื่นลมหน้าท่ารุนแรง หากนำเรือเทียบท่าจะไม่สามารถจัดเรือลากจูงเข้าสนับสนุนการเทียบเรือได้ การเข้าเทียบอาจเกิดอันตราย รวมถึงเวลานั้นยังไม่ได้ข้อมูลว่าแผ่นกันคลื่นฉีกขาดและหากนำเรือพ้นพื้นที่ใกล้ฝั่ง คลื่นลมอาจเบาบางลง ซึ่งเป็นการตัดสินใจภายใต้ข้อมูลจำกัด

"สรุปว่า เรืออับปางไม่ได้เกิดจากการจงใจของผู้บังคับการและลูกเรือ แต่เพราะสภาพอากาศที่รุนแรงฉับพลัน และน้ำทะเลเข้าตัวเรือ ทำให้เรือเอียงและจม"


สั่งขัง ผบ.เรือฯ 15 วัน คดีรอ สภ.บางสะพาน

อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับการ รล.สุโขทัย ตัดสินใจนำเรือกลับฐานทัพเรือสัตหีบ ที่มีระยะทางไกลและใช้เวลานานมากกว่าการนำเรือเข้าท่าเรือประจวบฯ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยขาดความรอบคอบ จึงเชื่อว่า การอับปางเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ เป็นการใช้ดุลยพินิจ โดยขาดความรอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นความผิดตาม มาตรา 5 ตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร พ.ศ.2476 เห็นสมควรลงทัณฑ์ กักเต็มอำนาจการลงทัณฑ์ ของ ผบ.ทร.เป็นเวลา 15 วัน ขณะที่คดีอาญาอยู่ในขั้นตอนของ ตำรวจ สภ.บางสะพานจ.ประจวบคีรีขันธ์


ผบ.เรือฯ ไม่ได้จงใจ ไม่ต้องชดใช้ทางแพ่ง

ด้าน พล.ร.อ.ชัยณรงค์ บุณยรัตนกลิน คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดชอบทางละเมิด ระบุว่า เมื่อเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการ ต้องหาผู้ต้องรับผิด กรณีจงใจ หรือปฏิบัติเลินเล่ออย่างร้ายแรง

โดยคณะกรรมการรวมรวมข้อเท็จจริง จากคณะกรรมการชุดต่าง ๆ พบว่า สาเหตุที่เรืออับปาง 1.จัดกำลังพลไม่ครบตามอัตราทำให้การป้องกันการเสียหายลดลง โดยผู้บังคับการหลวงสุโขทัยระบุว่า ไม่ใช่ภารกิจการรบเต็มรูปแบบ แต่สภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรง ตัวเรือเสียหายตามส่วนต่าง ๆ กำลังพลพยายามเข้าช่วยแก้ไขเต็มความสามารถแล้ว

แต่มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะอากาศรุนแรง ไม่ได้เกิดจากการจงใจ แต่เป็นเพราะสภาพอากาศรุนแรง และในวันดังกล่าวมีเรือจม 7 ลำ

รวมถึงการตัดสินใจนำเรือกลับสัตหีบแทนการเทียบที่ท่าเรือบางสะพาน คณะกรรมการสอบปากคำ ผู้บังคับการเรือแจ้งว่า เรือสามารถผนึกน้ำได้ และเครื่องจักรที่เหลือ 1 เครื่อง สามารถนำเรือกลับไปได้อย่างปลอดภัย แม้ยุทโธปกรณ์เสียหายและหากนำเรือกลับได้ จะได้รับการซ่อมแซม ขณะที่การนำเรือเข้าไม่สามารถทำได้ เพราะคลื่นลมแรง จะไม่ได้รับการสนับสนุนในการเทียบเรือ

การตัดสินใจของ ผบ.เรือ เป็นดุลยพินิจที่สามารถทำได้ และไม่ได้จงใจให้เรือหลวงสุโขทัยอับปางแต่อย่างใด

จากข้อสรุปของสาเหตุเรืออับปางทั้ง 3 ประเด็น และ ผบ.เรือ และลูกเรือ พยายามแก้ไขสถานการณ์แล้ว มีความเห็นว่า

"การอับปางของเรือหลวงสุโขทัย เกิดจากสภาพคลื่นลมรุนแรงเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากการจงใจของผู้บังคับการเรือ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด จึงไม่เข้าเงื่อนไข ในการรับผิดทางละเมิด ตามข้อบังคับของกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการปฏิบัติความเสียหายที่เกิดกับทางราชการ หรือทรัพย์สินของทางราชการ อันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ผบ.และเจ้าหน้าที่จึงไม่ต้องชดใช้ความเสียหายทางแพ่ง"


(มีต่อ)

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


เปิดผลสอบ! "เรือหลวงสุโขทัย" ล่ม อดีต ผบ.เรือลาออก เหตุขาดความรอบคอบ ......... ต่อ


ผบ.ทร.ยันดูแลผู้สูญเสียอย่างดีที่สุด

พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี เศษที่ผ่านมา กองทัพเรือตระหนักถึงความสูญเสียกำลังพล อันเป็นกำลังสำคัญและเป็นที่รักของครอบครัว โดยได้มอบเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือให้ได้ครบตามสิทธิ

ผู้สูญหายกองทัพเรือไม่เคยละความพยายามในการค้นหา และกำลังพลที่สูญหาย 2 ราย ที่ต้องรอค่าสวัสดิการฌาปนกิจ จนกว่าจะครบ 2 ปี กองทัพได้อนุมัติเงินไปก่อนแล้ว และขอพระราชทานยศสูงขึ้น และให้การบรรจุทดแทนบุตร หรือญาติกำลังพลที่เสียชีวิต และเตรียมบรรจุบุตรธิดาที่ยังไม่จบการศึกษา และปรับปรุงที่พักอาศัย ซึ่งช่วยเหลือหมดแล้ว เหลือเพียงการซ่อมแซมบ้านอีก 2 หลัง

ยืนยันว่า ดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมา สามารถตรวจสอบได้ อุบัติเหตุครั้งนี้นับเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือ และให้จเรกองทัพเรือนำความผิดพลาดไปศึกษาและเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก


https://www.thaipbs.or.th/news/content/338895

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


มาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ ยังระบุชนิดไม่ได้ คาดเป็น 'กล็อบสเตอร์'


SHORT CUT

- มาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลลึกลับในสภาพเน่าเปื่อยเกยตื้นที่ชายหาด Teluk Melano ในเมืองลุนดู เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไร

- ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ตรวจสอบซากดังกล่าว คาดว่าน่าจะเป็นซากของ 'วาฬ' ที่ตายแล้ว หรืออาจเป็น 'กล็อบสเตอร์'

- กล็อบสเตอร์ คือซากของสัตว์ที่ตายแล้ว และไม่สามารถระบุชนิดได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด โดยจะพบเป็นซากขาว ๆ เนื้อยุ่ยเปื่อยจนหมด




วันธรรมดา ๆ ในมาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ลอยเกยตื้น ที่บริเวณชายหาด Teluk Melano เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ยังไม่ามารถระบุชนิดได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด

ท้องทะเลอันกว้างใหญ่มีอะไรให้เราแปลกใจอยู่ตลอด ล่าสุด เจ้าหน้าที่ในมาเลเซียรายงานว่า พบกับซากสัตว์ทะเลลึกลับในสภาพเน่าเปื่อยเกยตื้นที่ชายหาด Teluk Melano ในเมืองลุนดูและเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไร

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น New Sarawak Tribune รายงานว่า ผู้คนในพื้นที่ต่างตบเท้ามาดูให้เห็นกับตาว่าซากสัตว์ตัวดังกล่าว เนื่องจากนาน ๆ ที จะมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาเกยตื้นที่ชายหาดแห่งนี้...

มาเลเซีย พบซากสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ ยังระบุชนิดไม่ได้ คาดเป็น 'กล็อบสเตอร์'


คาดว่าเป็น 'กล็อบสเตอร์'

แน่นอนว่าผู้คนต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา จินตนาการสารพัดสิ่ง บ้างว่าเป็นปลาเอเลี่ยน เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่ดูพิลึก แถมเนื้อหนังเน่าเปื่อยจนคาดเดาสภาพร่างกายตอนสมบูรณ์ไม่ออก

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ก็ได้ข้อสรุปว่าน่าจะเป็นซากของวาฬ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นกล็อบสเตอร์ (Globster) พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นซากหรือวัตถุที่พัดขึ้นมาติดชายฝั่ง และไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดใด

สรุปคือ ซากสัตว์ทะเลตัวนี้ก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ซึ่งต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก มีการรายงานว่าพบเจอกับกล็อบสเตอร์อยู่บ่อยครั้ง แต่มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าปรัมปราอยู่เสมอ

ที่มา: Livescience


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/849356
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:10


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger