|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณภาคเหนือ และภาคใต้ฝั่งตะวันตกยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังอ่อน ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ และภาคใต้ ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่เกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในวันที่ 23-24 มิ.ย. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 25 ? 29 มิ.ย. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ในขณะที่มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 26 ? 29 มิ.ย. 63 ประชาชนบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เย้ยก.ม.! ร้านอาหาร-คาเฟ่ อ.แม่ริม รุกล้ำแม่น้ำเพียบ จนท.รัฐตรวจสอบด่วน ชาวบ้านร้องเรียน ร้านอาหาร-คาเฟ่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ รุกล้ำลำน้ำแม่สาจำนวนมาก จี้ จนท.รัฐตรวจสอบ จัดระเบียบใหม่ รื้อถอนสิ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากเป็นพื้นที่สาธารณะ และแม่น้ำดังกล่าวเป็นเส้นเลือดหลักที่ชาวแม่ริมใช้ดื่มกิน ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย กับ MGR Travel ว่า มีชาวบ้านมาร้องเรียนว่ามีร้านอาหารและร้านกาแฟแนวแช่เท้า ใน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลายร้าน ทำการรุกล้ำลำน้ำแม่สาซึ่งเป็นแม่น้ำสาธารณะจำนวนมาก โดยมีทั้งการสร้างซุ้ม เรือนไม้ การตั้งเป็นโต๊ะ-เก้าอี้ แคร่ แพ ขวางแม่น้ำ และรุกล้ำลำน้ำกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีบางร้านสร้างสิ่งก่อสร้างโครงเหล็กรุกเข้าไปในแม่น้ำอย่างน่าเกลียด สำหรับลำน้ำแม่สา เป็นแม่น้ำสาธารณะ ถือเป็นเส้นเลือดหลักของชาวแม่ริม ที่ใช้ทำประปา อุปโภค บริโภค การสร้างสิ่งแก่สร้างรุกล้ำแม่น้ำ หรือการยึดพื้นที่แม่น้ำมาเป็นพื้นที่ส่วนตัวจึงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย นอกจากนี้การนำโต๊ะ เก้าอี้ แคร่ ไปวางในลำน้ำแล้วเปิดให้มีการดื่ม-กิน อาหาร ย่อมสร้างผลกระทบต่อสัตว์น้ำ และต่อสายน้ำที่เป็นเส้นเลือดหลักของชาวแม่ริม เนื่องจากอาจมีขยะสิ่งปฏิกูลถูกทิ้งลงในลำน้ำแม่สา ทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมตามมา ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านในพื้นที่ละแวกนั้น จึงร้องเรียนมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ จัดระเบียบร้านอาหารประเภทแช่เท้า ไม่ให้รุกล้ำลำน้ำ และดำเนินการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย รวมถึงตรวจสอบมาตรการด้านสาธารณสุขเรื่องป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย เนื่องจากมีบางร้าน ยังคงละเลย และหละหลวมต่อมาตรการดังกล่าว สำหรับอำเภอแม่ริม บนถนนเส้น อ.แม่ริม ? อ.สะเมิง วันนี้ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างทางมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลากหลาย รวมถึงทุ่ง-แปลงดอกไม้ที่กำลังมาแรง ด้วยเหตุนี้จึงมีร้านอาหาร ร้านกาแฟจำนวนมาก เปิดร้านแนวแช่เท้า รุกล้ำพื้นที่แม่น้ำสาธารณะเพื่อเป็นจุดดึงดูดลูกค้า สร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้กับตัวเอง ซึ่งหลายร้านมีการทำรุกล้ำ ทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน โดยเหตุการณ์ร้านอาหารรุกล้ำลำน้ำแม่สา ที่เป็นพื้นที่สาธารณะ ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ปรากฏเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปลายปี 2560 จนทางจังหวัดเชียงใหม่ได้เข้ามาสั่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมาย และจัดระเบียบร้านอาหารริมน้ำแม่สา อ.แม่ริม ใหม่ ซึ่งวันนี้สถานการณ์การทำผิดกฎหมายแบบเดิมก็ได้หวนคืนมาอีกครั้งหนึ่ง https://mgronline.com/travel/detail/9630000064674 ********************************************************************************************************************************************************* ปริศนาคลาย...ฟอสซิลในแอนตาร์กติกาคือไข่เปลือกนิ่มอายุ 68 ล้านปี พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาในชิลีโชว์ฟอสซิลไข่เปลือกนิ่มที่พบในแอนตาร์กติกา ซึ่งมีอายุ 68 ล้านปี (Handout / CHILEAN NATIONAL MUSEUM OF NATURAL HISTORY / AFP) "เดอะธิง" ชื่อเล่นที่พิพิธภัณฑ์ในชิลีตั้งให้แก่ฟอสซิลปริศนาที่พบในแอนตาร์กติกา หลังจากรอคอยการไขปริศนาในที่สุดก็ได้รู้ว่า ฟอสซิลดังกล่าวคือฟอสซิลเปลือกไข่เปลือกนิ่มขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ และมีอายุประมาณ 68 ล้านปี คาดว่าอาจจะเป็นไข่ของงูทะเลหรือกิ้งก่าทะเลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว รายงานเอเอฟพีระบุว่า การค้นพบดังกล่าวไปปิดฉากการคาดเดาที่ยาวนานเกือบสิบปี และยังอาจเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเลในยุคนั้น ซึ่งเป็นความเห็นของ ลูคัส เลเกนเดร (Lucas Legendre) หัวหน้าทีมวิจัยผู้ไขปริศนาฟอสซิลดังกล่าว ซึ่งกำลังศึกษาวิจัยหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสในออสติน (University of Texas at Austin) สหรัฐฯ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่การค้นพบดังกล่าวในวารสารเนเจอร์ (Nature) "ไข่ใบใหญ่นี้มีขนาดกว่าไข่ใบใหญ่ที่สุดที่เคยพบก่อนหน้านี้อย่างมาก เราไม่รู้มาก่อนว่า ใบแบบนี้สามารถใหญ่ได้ขนาดนั้น และเนื่องจากเราตั้งข้อสันนิษฐานว่า ไข่ถูกวางโดยสัตว์เลื้อยคลานทางทะเลขนาดใหญ่ จึงอาจเป็นเบาะแสเจาะจงให้เราได้เห็นถึงกลวิธีในการขยายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้" ลูคัสกล่าว สำหรับฟอสซิลไข่ใบนี้ถูกพบตั้งแต่ปี ค.ศ.2011 โดยนักวิทยาศาสตร์ชิลีที่ทำงานอยู่ที่ทวีปแอนตาร์กติกา ลักษณะภายนอกเหมือนมันฝรั่งอบที่ยับยู่ยี่ วัดขนาดได้ 11 x 7 นิ้ว หรือ 28 x 18 เซ็นติเมตร และใช้เวลาหลายปีที่มีนักวิทยาศาสตร์เวียนมาศึกษาฟอสซิลดังกล่าวแต่ก็เปล่าประโยชน์ จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ.2018 นักบรรพชีวินวิทยาชี้นำว่า ฟอสซิลนี้น่าจะเป็นไข่ ข้อสันนิษฐานดังกล่าวไม่ใช่ข้อสันนิษฐานที่เข้าใจได้ง่ายนัก เพราะทั้งขนาดและรูปลักษณ์ที่ปรากฏไม่บ่งชี้เช่นนั้น อีกทั้งยังไม่มีโครงกระดูกในไข่เพื่อยืนยันด้วย ทว่าจากการวิเคราะห์ตัดชิ้นส่วนของฟอสซิล เผยให้เห็นโครงสร้างที่คล้ายเนื้อเยื่ออ่อน และชั้นนอกที่เป็นของแข็งแต่บางกว่ามาก บ่งชี้ว่าเป็นไข่เปลือกนิ่ม การวิเคราะห์ทางเคมียังแสดงว่า เปลือกไข่นี้แตกต่างจากตะกอนที่อยู่รอบๆ อย่างชัดเจน และมีกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิต แต่ก็ยังมีปริศนาอื่นๆ ที่ยังรอการไขคำตอบ ทั้งปริศนาว่าสัตว์ชนิดใดที่ที่วางไข่ขนาดใหญ่มหึมานี้ ซึ่งไขขนาดใหญ่ที่เคยพบก่อนหน้านั้น คือไขจากนกยักษ์ในมาดากัสการ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ทีมวิจัยเชื่อว่าไข่ใบนี้ไม่ได้มาจากไดโนเสาร์ ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแอนตาร์กติกาในยุคนั้นส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมากเกินกว่าที่วางไข่ขนาดมหึมานี้ได้ และถ้ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่วางไข่ใบเท่านี้ได้ก็พบว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ออกไข่เป็นรูปวงกลม มากกว่าออกไข่เป็นรูปวงรีเช่นนี้ ในทางหนึ่งพวกเขาเชื่อว่า เป็นไข่ที่มาจากสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เรียกว่า "โมซาซอร์" (Mosasaurs) ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่พบได้มากที่แอนตาร์กติกายุคนั้น ไข่เปลือกนิ่มที่พบในแอนตาร์กติกา ซึ่งมีอายุ 68 ล้านปี (Handout / CHILEAN NATIONAL MUSEUM OF NATURAL HISTORY / AFP) ยังมีงานวิจัยคู่ขนานกับงานวิจัยนี้ที่ตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์เช่นกัน โดยวานงิจัยดังกล่าวแย้งว่า ฟอสซิลไข่ใบนี้ไม่น่าจะเป็นของสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ แต่น่าจะเป็นไข่เปลือกนิ่มของไดโนเสาร์ ซึ่งเป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ไดโนเสาร์จะวางไข่เปลือกแข็งเท่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหมดที่พวกเขาได้ค้นพบ ทว่า มาร์ก นอเรลล์ (Mark Norell) ภัณฑรักษ์ทางด้านบรรพชีวินวิทยาที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาอเมริกัน (American Museum of Natural History) กล่าวว่า การค้นพบฟอสซฺลตัวอ่อนของกลุ่มไดโนเสาร์โปรโตเซอราทอปส์ (Protoceratops) ในมองโกลเลีย ทำให้เขาต้องกลับมาทบทวนสมมติฐาน "ทำไมเราจึงค้นพบแต่ไข่ไดโนเสาร์ในช่วงปลายยุคมีโซโซอิก (Mesozoic) และทำไมจึงมีแค่ 2-3 กลุ่มไดโนเสาร์" นอเรลล์ตั้งคำถามต่อตัวเอง และคำตอบที่เขาให้คือนั่นเป็นเพราะไดโนเสาร์ในยุคตั้นวางไข่เปลือกนิ่ม ซึ่งถูกสลายและไม่กลายเป็นฟอสซิล เพื่อทดสอบทฤษฎีดังกล่าว นอเรลล์และทีมวิจัยได้วิเคราะห์วัตถุที่อยู่รอบโครงกระดูกโปรโตเซอราทอปส์ ซึ่งเป็นฟอสซิลที่พบในมองโกลเลีย และฟอสซิลของมัสซอรัส (Mussaurus) ที่น่าจะอยู่ในระยะแรกเกิด และพวกเขาก้?ด้พบสัญญาณทางเคมีที่บ่งบอกว่า ไดโนเสาร์ดังกล่าวถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกนุ่มๆ เหมือนหนัง "ไข่ไดโนเสาร์ใบแรกเป็นไข่เปลือกนิ่ม" คือข้อสรุปของนอเรลล์และทีมวิจัยที่สรุปลงรายงานทางวิชาการ การค้นพบของนอเรลล์อาจจะมีความเกี่ยวพันกับฟอสซิลแอนตาร์กติกาที่เรียกว่า "เดอะธิง" ซึ่งตอนนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "แอนตาร์กติโกโอลิธัส" (Antarcticoolithus) ตามชื่อที่นักวิจัยระบุในวารสารเนเจอร์ ขณะที่ โจฮัน ลินด์เกรน (Johan Lindgren) จากมหาวิทยาลัยลุนด์ (Lund University) สวีเดน และ เบนจามิน เกียร์ (Benjamin Kear) จากมหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala University) กล่าวว่า การค้นพบนั้นอาจจะเกี่ยวกับลักษณะของไดโนเสาร์ในฐานะพ่อแม่ที่มีความภูมิใจในลูก ซึ่งพวกเขาคาดว่าจะมีการค้นพบฟอสซิลไข่ที่ลักษณะเฉพาะแบบเดียวกันนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นไข่ที่ยึดติดกับตัวอ่อน ซึ่งจะช่วยไขปริศนาที่กระตุกข้อสงสัยนี้ได้ https://mgronline.com/science/detail/9630000064790
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
เปิดตัวเว็บศึกษาทวีปซีแลนเดีย ทวีปสาบสูญใต้ท้องทะเล เปิดตัวเว็บศึกษาทวีปซีแลนเดีย - วันที่ 23 มิ.ย. ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า สถาบันวิจัย GNS Science ประเทศนิวซีแลนด์เปิดตัวเว็บไซต์รูปแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ ช่วยให้ความรู้กับผู้ที่ต้องการศึกษาความเป็นมาของทวีปสาบสูญ "ซีแลนเดีย" ซึ่งจมอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ทวีปซีแลนเดีย เป็นหนึ่งในแผ่นทวีปยุคบรรพกาลที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบไม่นานนี้ โดยแผ่นทวีปดังกล่าวแยกตัวออกจากทวีปแอนตาร์กติกา (ขั้วโลกใต้) และออสเตรเลียเมื่อราว 85 ล้านปีก่อน และจมลงสู่ใต้ท้องทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ การเปิดตัวเว็บไซต์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังนักธรณีวิทยาประสบความสำเร็จในการทำแผนที่ทางภูมิศาสตร์ของทวีปซีแลนเดียใต้ทะเลได้สมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาคมโลกเกี่ยวกับความเป็นมา และการมีอยู่ของทวีปนี้ ดร.นิก มอร์ติเมอร์ ผู้นำทีมการจัดทำแผนที่และศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ทวีปซีแลนเดีย กล่าวว่า การจัดทำแผนที่ที่เกิดขึ้นถือเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของวิทยาการปัจจุบัน และเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่สนใจนำไปใช้วิจัยต่อได้ด้วย Zealadia - CNN ทวีปทั้งทวีปจมทะเลไปได้ไง!? การค้นพบทวีปดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกจากสมมติฐานของนายบรูซ ลูเญนดิก นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ในปีค.ศ. 1995 ซึ่งคาดว่าน่าจะมีทวีปที่ยังไม่ได้ค้นพบอยู่ในบริเวณข้างต้น โดยนายลูเญนดิก ตั้งชื่อให้ว่า "ซีแลนเดีย" (เพราะอยู่ใกล้กับประเทศนิวซีแลนด์) สมมติฐานดังกล่าวของนายลูเญนดิกนำไปสู่การวิจัยอย่างยาวนานของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกด้วยการศึกษาภูมิศาสตร์ในบริเวณนี้กินพื้นที่กว่า 5 ล้านตารางกิโลเมตร กระทั่งพิสูจน์พบว่า หมู่เกาะในบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นทวีปใหม่ตามที่คาดการณ์ไว้ ทวีปซีแลนเดียเคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปกอนด์วานา ซึ่งเป็นที่มาของทวีปหลายแห่งปัจจุบัา อาทิ ทวีปแอฟริกา และอเมริกาใต้ โดยซีแลนเดียขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของออสเตรเลียแยกตัวออกจากกอนด์วานาเมื่อราว 85 ล้านปีก่อน พร้อมกับไดโนเสาร์และพืชพันธุ์ต่างๆ หลายล้านปีต่อมาบรรดาเปลือกโลกเริ่มมีการจัดเรียงตัวใหม่ เกิดการเคลื่อนที่ของทวีปอย่างใหญ่หลวง รวมทั้งเป็นที่มาของ วงแหวนไฟแปซิฟิก รอยต่อของเปลือกโลกปัจจุบันในมหาสมุทรแปซิฟิกซีกตะวันตก เป็นแนวขอบที่มีความเคลื่อนไหวของภูเขาไฟมากที่สุดในโลก ข้อมูลจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา ระบุว่า แผ่นทวีปแปซิฟิก แผ่นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นยุบตัวลงไปต่ำกว่าทวีปซีแลนเดียจนเกิดเป็น "เขตมุดตัว" (subduction) ส่งผลให้สัญฐานของทวีปซีแลนเดียเสียหายและทำให้ซีแลนเดียยุบตามแปซิฟิกลงไปด้วยนั่นเอง ปัจจุบัน ซีแลนเดีย มีพื้นที่ร้อยละ 94 จมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก โดยส่วนที่ยังโผล่พ้นน้ำทะเลขึ้นมา ได้แก่ ประเทศนิวซีแลนด์ และชาติหมู่เกาะอื่นๆ โดยจุดที่สูงที่สุดของทวีปนี้เป็นภูเขาเอโอรากิ-เมาท์คุก ในนิวซีแลนด์ มีความสูง 3,724 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล GNS Science ระบุว่า การศึกษาทวีปซีแลนเดียจะยังดำเนินต่อไป เพราะมีปริศนาอีกมากมาย โดยเว็บไซต์ข้างต้นจะได้รับการอัพเดทอย่างต่อเนื่อง เมื่อองค์ความรู้ใหม่ได้รับการพิสูจน์ทราบ https://www.khaosod.co.th/update-news/news_4370581
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
เปิดชื่อ 127 อุทยานแห่งชาติ เตรียมเปิดให้บริการ 1 ก.ค.นี้ เช็คเลย!! 127 อุทยานแห่งชาติ เตรียมเปิดให้บริการ 1 ก.ค.นี้ พร้อมขั้นตอน-เงื่อนไข "จองเที่ยว" ย้ำกฎเหล็ก จำกัดนักท่องเที่ยว-ลดความแอดอัด ภายหลังนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกมาเปิดเผยว่าตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีประกาศปิดอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ตามมาตรการเฝ้าระวัง "โควิด-19" แต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 จะมีการเปิดให้บริการ "อุทยานแห่งชาติ" หลายแห่ง แต่ยังบางแห่งที่จะยังคงปิดให้บริการอยู่ เช่น อุทยานแห่งชาติทางทะเลทางด้านฝั่งอันดามัน เนื่องจากช่วงนี้เข้าสู่ฤดูมรสุม หรืออุทยานแห่งชาติภูกระดึงที่ปัจจุบันอยู่ในช่วงของฤดูฝน ทั้งนี้ในวันที่ 1 ก.ค.จะมี อุทยานแห่งชาติ 64 แห่งที่เปิดทุกแหล่งท่องเที่ยว อีก 63 แห่งเปิดท่องเที่ยวบางส่วน และอีก 28 แห่งยังปิดให้บริการ โดยอุทยานแห่งชาติที่เปิดให้บริการจะมีการจำกัดการรองรับนักท่องเที่ยวแตกต่างกัน เพื่อลดความแออัดของนักท่องเที่ยว และสะดวกต่อการบริหารจัดการภายในอุทยานแห่งชาติ โดยเฉพาะมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด สำหรับขั้นตอนการจองเพื่อเข้าไปท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ จะเริ่มที่ต้องจองผ่านทางแอปพลิเคชั่น ชื่อว่า QueQ (คิวคิว) ในระบบ ios และ android รวมถึงการ Check in ผ่านระบบ "ไทยชนะ" ทั้งก่อนเข้าและออกจากแหล่งท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติ ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้จองล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชั่น QueQ สามารถมาท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติได้ตามปกติ แต่จะให้สิทธิ์กับผู้ที่ทำการจองผ่านทางแอปพลิเคชั่น QueQ ก่อนเท่านั้น สำหรับผู้จองผ่านพลิเคชั่น QueQ แต่ไม่มาตามเวลาจอง ทางเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้จองผ่านพลิเคชั่น QueQ ไปท่องเที่ยวได้ในรูปแบบร้อยละ 70 และ 30 แบ่งเป็น รับนักท่องเที่ยวที่จองผ่านแอปพลิเคชั่น 70 % ส่วนอีก 30 % เป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้จองล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชั่น QueQ https://www.bangkokbiznews.com/news/...ernal_referral
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
กรมทะเล จับมือ จุฬาฯ และสถาบันนิติวิทย์ พิสูจน์อัตลักษณ์สัตว์ทะเล เพื่อต่อยอดอนุรักษ์ 3 หน่วยงาน กรมทะเล จับมือ จุฬาฯ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พิสูจน์อัตลักษณ์สัตว์ทะเล เพื่อต่อยอดสู่การอนุรักษ์ กรณีการตายและการเกยตื้นของสัตว์ทะเลหายากในช่วง 2 ? 3 ปี ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานได้พยายามศึกษาและหาสาเหตุการตาย รวมถึงกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลและสถิติต่าง ๆ และในวันนี้ (23 มิถุนายน 2563) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ร่วมมือกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามความร่วมมือด้านวิชาการในการศึกษา วิจัย และชันสูตรการตายของสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกของโลกที่มนุษย์จะศึกษาเพื่อหาความยุติธรรมให้แก่สัตว์ทะเล นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวย้ำ ความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสัตว์ทะเลหายาก พร้อมวอนขอความร่วมมือหยุดพฤติกรรมทำร้ายสัตว์ทะเลเพื่อคงความสมบูรณ์คืนสู่ลูกหลานต่อไป นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวภายหลังการลงนามความร่วมมือด้านวิชาการว่า จากรายงานสถิติสถานการณ์สัตว์ทะเลหายากที่พบการเกยตื้น ช่วงปี 2562 ? 2563 พบสัตว์ทะเลหายากจำพวกเต่าทะเล พะยูน โลมาและวาฬ เกยตื้นชนิดพบเป็นซากสะสมกว่า 970 ตัว สามารถช่วยรอดชีวิตกว่า 473 ตัว และสามารถปล่อยกลับลงสู่ทะเลกว่า 200 ตัว ซึ่งสาเหตุการตายหรือการเกยตื้นส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุจากกิจกรรมมนุษย์ ทั้งจากเครื่องมือประมง กลืนกินขยะทะเล ปัญหามลพิษปนเปื้อนในน้ำทะเล การเสียชีวิตเนื่องจากโรคตามธรรมชาติ นอกจากนี้ หลายกรณียังไม่ทราบสาเหตุการตายที่แน่ชัด ด้วยเหตุนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีนโยบายในการศึกษาและสืบหาสาเหตุการตายของสัตว์ทะเลหายากต่าง ๆ เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการรักษา คุ้มครอง และฟื้นฟูสัตว์ทะเลหายากที่นับวันจะลดจำนวนลง จึงเป็นเหตุให้กรมฯ ได้หาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และมีความพร้อมทั้งบุคลากร รวมถึงเครื่องมือในการพิสูจน์และชันสูตรการเสียชีวิต การลงนามข้อตกลงทางวิชาการในวันนี้ (23 มิถุนายน 2563) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้จับมือกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสนธิกำลังบุคลากร ระดมความรู้และเครื่องมือในการศึกษา วิจัย และช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายาก สุดท้ายตนอยากฝากทิ้งท้ายไว้ "ในช่วงวิกฤติสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีการประกาศปิดอุทยานกว่า 140 แห่ง มนุษย์ได้อยู่ห่างจากธรรมชาติ ปล่อยให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว มีการรายงานการพบเห็นสัตว์ทะเลหายากบ่อยครั้งในหลาย ๆ พื้นที่ ในเดือนกรกฎาคมจะเริ่มเปิดแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล การท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึก การทำประมงอย่างถูกหลักวิธี การลดการปล่อยของเสียและขยะลงทะเล เราคงต้องดำเนินการสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อย่างจริงจัง บทเรียนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงผลจากการกระทำของมนุษย์ต่อสัตว์ทะเลหายาก หากเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เราอาจจะสูญเสียสัตว์ทะเลหายากไปทั้งหมด และลูกหลานเราคงได้เห็นเฉพาะเพียงภาพถ่าย หน้าที่ของเราคือรักษาทรัพยากรทางทะเลให้คงอยู่และยั่งยืน เพื่อคืนให้ลูกหลานเราได้ชื่นชมและอนุรักษ์ ต่อไป? พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นหน่วยงานที่จะดำเนินการใด ๆ เพื่อความยุติธรรม ไม่ใช่เฉพาะต่อมนุษย์ แต่เรายังคำนึงถึงความยุติธรรมต่อสัตว์ที่อยู่ร่วมโลก ซึ่งครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งแรกของโลกที่จะใช้นิติวิทยาศาสตร์กับสัตว์ ซึ่งทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก็มีความพร้อมและยินดีที่จะร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพิสูจน์และชันสูตรหาสาเหตุการตายของสัตว์ทะเลหายาก ทั้งเพื่อการศึกษาวิจัย และสืบหาความยุติธรรมให้แก่สัตว์ทะเลหายาก ศ. น.สพ. ดร. รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในด้านวิชาการเราจะยึดหลัก Prevention better than cure หรือการป้องกันดีกว่าการรักษา ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นหน่วยงานที่มีฐานข้อมูลที่สำคัญจำเป็น การพิสูจน์ทราบสาเหตุการตายหรือการเกยตื้นจะเป็นประโยชน์สำคัญอย่างยิ่งในอนาคต ทางทีมสัตวแพทย์จะใช้องค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อช่วยลดโอกาสการเกยตื้นและการตาย ในทางกลับกัน ทางทีมสัตวแพทย์ก็ยังได้ศึกษา วิจัย และเรียนรู้เพิ่มเติมจากความร่วมมือครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและชาวโลกต่อไปในอนาคต ดร. รุ่งโรจน์ กล่าวในที่สุด https://www.bangkokbiznews.com/news/...mpaign=bangkok
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ครั้งแรกของโลก! นิติวิทยาศาสตร์พิสูจน์อัตลักษณ์สัตว์ทะเลตาย ครั้งแรกของโลก! กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จับมือจุฬาฯ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พิสูจน์อัตลักษณ์สัตว์ทะเลหายาก โดยใช้รูปแบบ "สืบจากศพ" มาสู่สัตว์ทะเลหายากที่ตายแบบมีเงื่อนงำ หลังพบ 2 ปีเกยตื้นตาย 970 ตัว ช่วยชีวิตกลับทะเล 200 ตัว วันนี้ (23 มิ.ย.2563) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) การลงนามความร่วมมือด้านวิชาการกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อชันสูตรการตายของสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกของโลกที่มนุษย์จะศึกษาเพื่อหาความยุติธรรมให้แก่สัตว์ทะเล ไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์นายโสภณ ทองดี อธิบดีทช.กล่าวว่า จากสถิติสัตว์ทะเลหายากที่พบการเกยตื้น ช่วงปี 2562?2563 พบสัตว์ทะเลหายากจำพวกเต่าทะเล พะยูน โลมาและวาฬ เกยตื้นชนิดพบเป็นซากสะสมกว่า 970 ตัว สามารถช่วยรอดชีวิตกว่า 473 ตัว และสามารถปล่อยกลับลงสู่ทะเลกว่า 200 ตัว ที่ผ่านมา สาเหตุการตายหรือการเกยตื้นส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุจากกิจกรรมมนุษย์ ทั้งจากเครื่องมือประมง กลืนกินขยะทะเล ปัญหามลพิษปนเปื้อนในน้ำทะเล การเสียชีวิตเนื่องจากโรคตามธรรมชาติ แต่หลายกรณียังไม่รู้สาเหตุการตายที่แน่ชัด เช่น พะยูนโดนตัดหัว ตัดเขี้ยว เป็นการตายแบบผิดธรรมชาติหรือไม่ ภาพ:กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สืบจากศพสัตว์ทะเลหายากตายปริศนา นายโสภณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา แม่ว่า ทช.จะมีสัตวแพทย์ในการตรวจพิสูจน์ชิ้นเนื้อ และหาร่องรอยสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นตายได้แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอในบางกรณีที่พบสัตว์ทะเลหายากตายแบบปริศนา ดังนั้นจึงร่วมกับทางจุฬาฯ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ใช้เทคนิคการพิสูจน์อัตลักษณ์จากศพคน มาสู่การพิสูจน์ในสัตว์ทะเลหายาก เพื่อหาคำตอบตาย "จะใช้เทคนิคตรวจร่องรอยการตาย และสืบจากศพที่ทำกับมนุษย์มาใช้กับสัตว์ทะเลที่ตาย เช่น หากเจอซากพะยูนหัวขาด จะใช้นิติวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ว่าตายจากคมมีด ตายแบบไหนเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเอาผิด" อธิบดีทช.กล่าวว่า กระบวนการพิสูจน์สัตว์ทะเลหายากตาย ในเคสที่ไม่สามารถยืนยันได้ สัตวแพทย์จะส่งให้ทางนิติวิทยาศาสตร์ และจุฬาฯ ร่วมตรวจสอบทันที ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เราจะใช้มิติทางวิทยาศาสตร์ และนิติวิทยาศาสตร์สืบศพสัตว์ทะเลตาย เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับสัตว์ทะเลที่ตาย ภาพ:กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายโสภณ กล่าวว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. ได้มีนโยบายในการศึกษาและสืบหาสาเหตุการตายของสัตว์ทะเลหายากต่าง ๆ เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการรักษา คุ้มครอง ฟื้นฟูสัตว์ทะเลหายากที่นับวันจะลดจำนวนลง "ช่วง COVID-19 มีการปิดอุทยาน 140 แห่ง มนุษย์ได้อยู่ห่างจากธรรมชาติ ปล่อยให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว มีการรายงานการพบสัตว์ทะเลหายากบ่อยครั้งในหลายๆ แต่พื้นที่ในเดือนก.ค.นี้จะเริ่มเปิดแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล จึงอยากให้การท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึก" ครั้งแรกของโลกสืบหาความยุติธรรมให้สัตว์ทะเล ด้านพ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นหน่วยงานที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อความยุติธรรม ไม่ใช่เฉพาะต่อมนุษย์ แต่ยังคำนึงถึงความยุติธรรมต่อสัตว์ที่อยู่ร่วมโลก "อาจจะเป็นครั้งแรกของโลกที่จะใช้นิติวิทยาศาสตร์กับสัตว์ พิสูจน์และชันสูตรหาสาเหตุการตายของสัตว์ทะเลหายาก เพื่อการศึกษาวิจัยและสืบหาความยุติธรรมให้แก่สัตว์ทะเลหายาก" ศ.น.สพ.ดร. รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในด้านวิชาการจะยึดหลัก Prevention better than cure หรือการป้องกันดีกว่าการรักษา ซึ่งทช. เป็นหน่วยงานที่มีฐานข้อมูลที่สำคัญจำเป็น การพิสูจน์สาเหตุการตายหรือการเกยตื้น จะเป็นประโยชน์สำคัญอย่างยิ่งในอนาคต ทางทีมสัตวแพทย์ จะใช้องค์ความรู้ทางวิชาการเพื่อช่วยลดโอกาสการเกยตื้นและการตาย ในทางกลับกันทางทีมสัตวแพทย์ก็ยังได้ศึกษาวิจัย และเรียนรู้เพิ่มเติมจากความร่วมมือนี้ https://news.thaipbs.or.th/content/293934
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|