เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตก และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 4 - 7 มี.ค. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง โดยคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 9 มี.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง โดยคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดช่วง

โดยในช่วงวันที่ 8 - 9 มี.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


การเตือนภัยที่ผิดพลาด-การตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ฝนในฟิลิปปินส์เป็น "หายนะ"

ระบบเตือนภัยที่ผิดพลาด ความยากจน และการตัดไม้ทำลายป่าบนภูเขาทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ทำให้ฝนตกหนักนอกฤดูเมื่อไม่นานมานี้ กลายเป็นหายนะร้ายแรง



สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ว่า ฟิลิปปินส์มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ราย จากเหตุดินถล่มและน้ำท่วมบนเกาะมินดาเนา ระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. ที่ผ่านมา สืบเนื่องจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และร่องความกดอากาศต่ำ ทำให้เกิดฝนตกหนัก

แม้งานศึกษาของกลุ่มเครือข่าย ความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศนานาชาติ (ดับเบิลยูดับเบิลยูเอ) พบว่า ฝนที่ตกหนักอย่างผิดปกติ ทางตะวันออกของเกาะมินดาเนา "ไม่ได้รุนแรงเป็นพิเศษ" แต่มันกลายเป็น "มหันตภัย" เพราะผู้คนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม และความบกพร่องในการแจ้งเตือนด้านสภาพอากาศ

"เราไม่สามารถโทษฝน สำหรับผลกระทบร้ายแรงเพียงอย่างเดียวได้ เนื่องจากปัจจัยหลายประการซึ่งเกิดจากมนุษย์ คือสิ่งที่ทำให้ฝนตกหนักเช่นนี้ กลายเป็นหายนะร้ายแรง" นายริชาร์ด อีบาเนซ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์ จากสถาบันความยืดหยุ่นของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ กล่าว

อนึ่ง นักวิทยาศาสตร์หลายคนพบว่า อัตราความยากจนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ในภูมิภาคภูเขาของฟิลิปปินส์ ทำให้ผู้คนเสี่ยงต่อผลกระทบจากฝนตกหนัก ขณะที่ "การตัดไม้ทำลายป่าอย่างเข้มข้น" ส่งผลให้ความเสี่ยงของการเกิดดินถล่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า นโยบาย, กฎหมาย และเงินทุนในการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ชะงักงันอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ให้ความสำคัญกับการตอบสนองหลังภัยพิบัติแทน อีกทั้งประเทศยังมีข้อบกพร่องด้านการพยากรณ์อากาศ และการแจ้งเตือนด้านสภาพอากาศ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยงในท้องถิ่นที่จำกัด และขาดคำแนะนำสำหรับการอพยพ

"มันมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการปรับปรุงทั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการประเมินพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติที่คล้ายคลึงกันในอนาคต" อีบาเนซ กล่าวทิ้งท้าย


https://www.dailynews.co.th/news/3226745/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


งานวิจัยใหม่คาดการณ์ ปี 2024 อ่าวเบงกอล ? ทะเลอันดามันเดือด จนเกิดปะการังฟอกขาว เพราะอุณหภูมิจะร้อนจนทำลายสถิติอีกครั้ง



แม้ปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังจะหมดไปในช่วงกลางปีนี้ แต่ปี 2024 นี้ โลกจะยังคงมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น และสูงสุดจนทุบสถิติเดิมอีกทั้ง และบางส่วนของทวีปเอเชียรวมถึงทะเลโดยรอบทวีปจะร้อนระอุเป็นพิเศษ ทำให้เกิด ภัยแล้ง ไฟป่า และปะการังฟอกขาว ในหลายพื้นที่

งานวิจัย Enhanced risk of record-breaking regional temperatures during the 2023 ? 24 El Ni?o ในวารสาร Scientific Reports งานวิจัยชิ้นใหม่ที่ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2024 ได้ระบุว่า จะมีโอกาส 90% ที่ปี 2024 โลกของเราจะมีอุณหภูมิสูงสุดทุบสถิติเดิม

หลังเมื่อเดือนมกราคม 2024 ที่ผ่านมา องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ได้ประกาศว่า ภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ทำให้ปี 2023 เป็นปีที่อากาศร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติเมื่อปี 1850 หรือในรอบ 173 ปี ปรากฏการณ์เอลนีโญที่กำลังเกิดขึ้นจะทำให้อุณหภูมิอากาศใกล้ผิวโลกสูงจนทำลายสถิติอีกครั้ง โดยบริเวณอ่าวเบงกอล ทะเลอันดามัน และทะเลจีนใต้ จะได้รับผลกระทบสูงเป็นพิเศษทั้งด้านอุณหภูมิ จนเกิดปะการังฟอกขาวขึ้น

เต๋อเหลียง เฉิน ศาสตราจารย์ภาควิชาธรณีศาสตร์ มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก หนึ่งในทีมผู้เขียนงานวิจัย กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก เคยก่อปัญหาให้หลายพื้นที่ในโลกมาแล้ว การวิจัยจึงพยายามเตือนผู้คนล่วงหน้าไว้ก่อน ด้วยการสร้างแบบจำลองเพื่อที่จะได้รู้ถึงผลกระทบ ซึ่งอาจจะแก้ไขได้ทัน

งานวิจัยนี้ใช้การสร้างแบบจำลองสถานการณ์เอลนีโญในระดับความรุนแรงปานกลาง และรุนแรงมาก จากนั้นจึงศึกษาผลกระทบด้านระดับอุณหภูมิและภัยธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ของโลก และผลจากแบบจำลองชี้ว่า ไม่ว่าเอลนีโญจะมีความรุนแรงระดับใด ก็มีความเป็นไปได้ถึง 90% ที่อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยรายปีทั่วโลกในปี 2024 นี้จะสูงจนทำลายสถิติเดิมอีกครั้ง

ในกรณีที่เอลนีโญมีความรุนแรงระดับปานกลาง พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นบริเวณอ่าวเบงกอล และทะเลอันดามัน ที่น้ำทะเลจะอุ่นขึ้นตลอดทั้งปี ทำให้แนวปะการังเกิดการฟอกขาวเป็นวงกว้าง และจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และยังกระทบไปถึงเศรษฐกิจ

แบบจำลองยังคาดการณ์ว่า หากเกิดเอลนีโญรุนแรงมาก พื้นที่รอบทะเลจีนใต้จะกลายเป็นอีกจุดที่ได้รับผลกระทบหนัก อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้แนวปะการังปอกขาว และยังกินวงกว้างไปถึง บริเวณป่าแอมะซอนจะเกิดภัยแล้งและไฟป่า และบริเวณอะแลสกาจะสูญเสียธารน้ำแข็งและชั้นดินเยือกแข็งอย่างถาวร

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : nature.com , researchgate.net


https://mgronline.com/science/detail/9670000019361

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


เตือน เฝ้าระวัง! น้ำทะเลหนุนสูงและน้ำเค็มรุกล้ำแม่น้ำ ช่วงวันที่ 7 ? 13 มีนาคมนี้



สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เตือน เฝ้าระวัง! น้ำทะเลหนุนสูงและน้ำเค็มรุกล้ำแม่น้ำ ช่วงวันที่ 7 ? 13 มีนาคมนี้

1. เสี่ยงน้ำท่วมบริเวณชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราว

บริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม
สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ


2. เฝ้าระวังน้ำเค็มรุกล้ำส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำใช้อุปโภค บริโภค และการเกษตร

- แม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ กรุงเทพฯ นนทบุรี และปทุมธานี

- แม่น้ำแม่กลอง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม

- แม่น้ำท่าจีน ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และนครปฐม

- แม่น้ำบางปะกง ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี


https://www.matichon.co.th/economy/news_4452904

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


เรือบรรทุกปุ๋ยจมทะเลแดง หลังกลุ่มฮูตีถล่ม หวั่นกระทบสัตว์น้ำ


U.S. military's Central Command via AP
เรือบรรทุกปุ๋ยจมทะเลแดง หลังกลุ่มฮูตีถล่ม หวั่นกระทบสัตว์น้ำ


สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กองทัพสหรัฐได้ยืนยันเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ว่าเรือรูบีมาร์ เรือของประเทศอังกฤษแต่ติดธงประเทศเบลีซ ที่บรรทุกปุ๋ยขนาดราว 21,000 เมตริกตัน ซึ่งถูกกลุ่มกบฏฮูตีในประเทศเยเมนโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้จมลงในทะเลแดงตอนใต้แล้วเมื่อช่วงสายของวันที่ 1 มีนาคม หรือเช้าวันที่ 2 มีนาคม

รูบีมาร์ ถือเป็นเรือลำแรกที่จมลงนับตั้งแต่ที่กลุ่มฮูตีได้เริ่มโจมตีเรือบรรทุกสินค้าที่แล่นผ่านทะเลแดงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเพื่อเป็นการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ซึ่งทำให้บรรดาบริษัทขนส่งสินค้าเลี่ยงการเดินเรือในทะเลแดง และเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปในประเทศแอฟริกาใต้แทน

การจมของเรือลำดังกล่าวได้ทำให้รัฐบาลเยเมนที่นานาชาติให้การรองรับออกมาแสดงความกังวลถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล เนื่องจากเรือรูบีมาร์บรรทุกปุ๋ยอันตรายเป็นจำนวนมากและการโจมตีเมื่อเดือนที่แล้วทำให้เกิดคราบน้ำมันความยาว 18 กิโลเมตร


https://www.matichon.co.th/foreign/news_4452775

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


กู้ 'เรือหลวงสุโขทัย' วันที่ 11 ปฏิบัติการสำรวจและค้นหาผู้สูญหายในห้องศูนย์ยุทธการ

การปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย วันที่ 11 ชุดปฏิบัติการค้นหาในห้องศูนย์ยุทธการ ภายในเรือ ยังไม่พบผู้สูญหาย



วันนี้ (3 มีนาคม 2567) ซึ่งเป็นการปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย วันที่ 11 โดยชุดปฏิบัติการร่วมของกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐฯ บนเรือ Ocean Valor ที่จอดเรืออยู่บริเวณอ่าวไทยใกล้จุดที่เรือหลวงสุโขทัยอับปาง มีการดำน้ำ จำนวน 4 เที่ยว โดยมีภารกิจในการค้นหาผู้สูญหาย การสำรวจและถอดถอนยุทโธปกรณ์ในห้องศูนย์ยุทธการ

โดยผลการปฏิบัติการสำรวจและค้นหาผู้สูญหายในห้องศูนย์ยุทธการ จำนวน 4 เที่ยว ไม่พบผู้สูญหาย สามารถนำเครื่องบันทึกภาพดิจิทัล ( Digital Video Recorder: DVR) ขึ้นเรือ Ocean Valor เพื่อส่งให้คณะกรรมการสอบสวนฯ แต่ยังไม่สามารถปลดขีดความสามารถเครื่องควบคุมการยิงตอร์ปิโดในห้องศูนย์ยุทธการได้ ซึ่งจะดำเนินการต่อในวันพรุ่งนี้ การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย กำลังพลทุกนายปลอดภัย

สำหรับการปฏิบัติการพรุ่งนี้ จะมีการปฏิบัติการดำน้ำของชุดปฏิบัติการผสมของกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการค้นหาผู้สูญหาย และปลดขีดความสามารถยุทโธปกรณ์ในห้องศูนย์ยุทธการ จำนวน 4 เที่ยว โดยรายละเอียดและความคืบหน้าต่างๆ จะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป


https://www.naewna.com/local/790865

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก


4 มีนาคม 'วันปะการัง' เปิดที่มา แหล่ง 'ปะการัง' มากที่สุด ที่ไม่มีใครรู้



4 มีนาคม 'วันปะการัง' เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของ 'ปะการัง' พร้อมเปิดแหล่งปะการัง ที่มากที่สุดติดอันดับโลก อยู่ที่ไหน

นอกจาก วันที่ 1 มิ.ย. ของทุกปี จะเป็น "วันอนุรักษ์แนวปะการังโลก" (World Coral Reef Day) เพื่อให้ประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญของ "ปะการัง" ที่มีส่วนช่วยให้ระบบนิเวศน์ทางทะเล มีความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว หลายคนคงไม่ทราบว่า ในทุกวันที่ 4 มีนาคม ของทุกปี ก็ยังถูกกำหนดให้เป็น "วันปะการัง" ด้วย โดยเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2539 ในประเทศญี่ปุ่น


"วันปะการัง" ก่อตั้งขึ้น ที่เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากที่เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักกัน ในฐานะทะเลที่มีปะการังมากที่สุดติดอันดับโลก ซึ่งในช่วงระหว่างเกาะอิชิกาคิ จนถึงเกาะอิริโอโมเตะ จะมีแนวปะการัง "เซคิเซโชโกะ" แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้ง ยังมีกลุ่มปะการังสีฟ้า ที่มีคุณค่าติดระดับโลกอยู่ด้วย นอกจากนั้น ปะการังราว 200 ชนิด จากปะการังที่มีมากถึงกว่า 800 ชนิดในโลก ได้รับการยืนยันว่า มีอยู่ในโอกินาวา

แต่ในปัจจุบัน เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น, ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว, การเคลื่อนตัวของดินสีน้ำตาลแดง อันเนื่องจากการก่อสร้างแนวป้องกันชายฝั่ง รวมไปถึงการที่สิ่งมีชีวิตในทะเลอย่าง "โอนิฮิโตเดะ" หรือ "ดาวมงกุฎหนาม" และ "เรอิชิไกดามาชิ" หอยทะเลชนิดหนึ่ง ได้กัดกินปะการังเป็นอาหาร ทำให้ปะการังมีจำนวนลดลง


ประโยชน์ของ "ปะการัง" มีอะไรบ้าง

"ปะการัง" เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญบริเวณชายฝั่งทะเล เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์จำนวนมาก อีกทั้งเป็นแหล่งอาหารเพื่อการเจริญเติบโต เป็นแหล่งเพาะพันธุ์วางไข่และหลบภัย ปะการังมีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล การประมง และมีส่วนช่วยรักษาสภาพสมดุลธรรมชาติของชายฝั่ง ช่วยลดความรุนแรงของคลื่นที่กระทบต่อชายฝั่ง ความสวยงามของแนวปะการัง ช่วยในด้านพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี สามารถนำรายได้มาสู่ท้องถิ่น

รวมทั้งในปัจจุบัน ได้มีการค้นคว้าเพื่อสกัดสารเคมีต่างๆ จากปะการัง สัตว์ และพืชที่อยู่ในแนวปะการัง เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ถ้าหากปะการังถูกทำลาย หรือตายไป จะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ การอนุรักษ์ปะการัง จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องทำความเข้าใจ และรู้จักใช้อย่างถูกวิธี รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดการทำลาย เพื่อจะได้รับประโยชน์จากมรดกทางธรรมชาติที่มีอยู่อย่างยั่งยืน


https://www.komchadluek.net/kom-life...owledge/570119

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 04-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'เยอรมนี' เสนอกักเก็บ 'ก๊าซเรือนกระจก' จากอุตสาหกรรมไว้ใต้ทะเล



รมต. กระทรวงเศรษฐกิจและสภาพอากาศของ "เยอรมนี" เสนอ "แผนกลยุทธ์การจัดการคาร์บอน" หนึ่งในนั้นคือการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ทะเลนอกชายฝั่ง

"เยอรมนี" หนึ่งในประเทศยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2045 รัฐบาลจึงกำลังเร่งหาวิธีสร้างแหล่งพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน รวมถึงวิธีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรมหนัก เช่น ปูนซีเมนต์ เป็นต้น

โรเบิร์ต ฮาเบค รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและสภาพอากาศเสนอ "กลยุทธ์การจัดการคาร์บอน" หนึ่งในนั้นคือการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ทะเลนอกชายฝั่ง ยกเว้นบริเวณพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล และอาจมีการจัดกับก๊าซคาร์บอนไว้ใต้ดิน (บนบก) ด้วยหากรัฐบาลเยอรมันให้การอนุมัติ

ฮาเบค ระบุว่า ในช่วงปี 2000 เคยคัดค้านการกักเก็บคาร์บอนมาก่อน เนื่องจากในตอนนั้นเทคโนโลยียังต้องพัฒนาเพิ่มเติม แต่ในตอนนี้เขาคิดว่าเทคโนโลยีมีความสมบูรณ์ปลอดภัยแล้ว อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงแล้ว ไม่ใช่แค่โครงการวิจัยเท่านั้น

เมื่อปีที่แล้วประเทศเพื่อนบ้านอย่าง "เดนมาร์ก" เปิดตัวโครงการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลไว้ใต้ทะเลเหนือเช่นกัน

"ตอนนี้เวลาหมดลงแล้ว ในยุค 2000 คุณอาจพูดว่า 'มารอดูกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร' แต่ในตอนนี้เราเห็นว่าเรายังไม่มีวิธีแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และในพื้นที่อื่น ๆ ที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality)" ฮาเบคกล่าวในการแถลงข่าวในกรุงเบอร์ลิน

"เรากำลังมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส หมายความว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างสบายใจ เรารอไม่ได้อีกแล้ว เราต้องใช้ทุกเทคโนโลยีที่เรามี"

ทั้งนี้ ระดับอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียส ถือเป็นเกณฑ์สำคัญในข้อตกลงปารีสปี 2015 ในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ หรือ COP ครั้งที่ 21 เพื่อควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

ตามข้อมูลในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส สามารถลดความเสียหายร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตได้

ฮาเบคกล่าวว่าแผนโครงการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ทะเลจะใช้เวลาเตรียมความพร้อมไม่กี่ปี ก็จะสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ และจะสามารถใช้ร่วมกับโครงการที่คล้ายกันของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ทั้งเดนมาร์กแล้ว นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านกล่าวว่าวิธีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนที่ฮาเบคเสนอนั้น ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในวงกว้าง และยังมีประสิทธิภาพน้อยกว่าทางเลือกอื่น เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม หรือแม้แต่ลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน

ขณะที่คาร์สเตน สมิด ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานของกรีนพีชเยอรมนีกล่าวในแถลงการณ์ว่า "โครงการนี้มีราคาแพง ไม่ยั่งยืน และทำให้คนรุ่นอนาคตต้องแบกรับภาระหนี้สินระยะยาวเพิ่มเติม"

ที่มา: AP News, Fortune


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1115759

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:01


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger