#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง ในช่วงวันที่ 14-17 ก.ย. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.ย. 67 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 ก.ย. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูงมีประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 13 ? 17 ก.ย 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 14 ? 17 ก.ย. 67 ****************************************************************************************************** ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ฉบับที่ 1 (182/2567) (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 13-17 กันยายน 2567) ในช่วงวันที่ 13-17 ก.ย. 67 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน จะมีกำลังแรงขึ้นเป็นกำลังค่อนข้างแรง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยในช่วงวันที่ 14-17 ก.ย. 67 บริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าว เดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันและเวลาดังกล่าวนี้ไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ผลชันสูตรชี้ วาฬสายลับรัสเซีย ไม่ได้ตายด้วยฝีมือมนุษย์ ตำรวจนอร์เวย์ยืนยัน "ฮวาลดิเมียร์" วาฬสายลับรัสเซียตายธรรมชาติไม่ได้ถูกยิง ผลการชันสูตรซากวาฬเบลูกา ที่ถูกขนานนามว่า "ฮวาลดิเมียร์" ซึ่งถูกพบลอยตายอยู่ในทะเลเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา พบว่า สาเหตุการตายของเจ้าวาฬไม่ได้เกิดจากการถูกยิง แต่เป็นการตายจากสาเหตุธรรมชาติ โดยพบว่ามีกิ่งไม้ยาว 35 เซ็นติเมตรกว้าง 3 เซ็นติเมตรเสียบคาอยู่ในปากของมัน นอกจากนี้ การชันสูตรยังพบว่ากระเพาะของวาฬว่างเปล่า และอวัยวะส่วนใหญ่ยังเสื่อมสภาพ โดยการสืบสวนสอบสวนไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การกระทำของมนุษย์เป็นสาเหตุที่ทำให้วาฬตาย ดังนั้นตำรวจจะไม่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนหน้านี้กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ One Whale and Noah อ้างว่า เจ้าวาฬเบลูกา ชื่อเล่น "ฮวาลดิเมียร์" ตัวนี้ถูกยิง โดยพบรูกระสุนตามลำตัวหลายแห่ง และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เปิดการสอบสวนเพิ่มเติม โดยวาฬเบลูกา "ฮวาลดิเมียร์" เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังถูกพบครั้งแรกที่นอร์เวย์ ไม่ไกลจากน่านน้ำของรัสเซีย เมื่อปี 2019 โดยบนตัวมันสวมบังเหียนที่ติดตั้งกล้องเอาไว้ จนทำให้เกิดข่าวลือว่า มันถูกรัสเซียใช้เป็นเครื่องมือในการสอดแนมข้อมูล จนถูกปลดอุปกรณ์ต่างๆออกไป แต่มันก็ยังคงว่ายวนเวียนในน่านน้ำของนอร์เวย์ โดยชื่อฮวาลดิเมียร์ เป็นการผสมผสานกันของคำว่า hval ที่แปลว่า วาฬ และ ดิเมียร์ ซึ่งมาจากชื่อของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย. ที่มา : BBC https://www.thairath.co.th/news/foreign/2813719
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ไม่ใช่แค่ขยะ อุทยานร้อง นทท.ทิ้งห่อขนมในถ้ำ ผลกระทบมากกว่าที่คิด เปลี่ยนโลก ไม่ใช่แค่ขยะ อุทยานแห่งชาติร้อง วอน นทท.อย่าทิ้งห่อขนมในถ้ำ ผลกระทบมากกว่าที่คิด วัฏจักรไม่จบสิ้น สำนักข่าวต่างประเทศ ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เมื่อไม่นานนี้ นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งทิ้งห่อขนมชีโตสไว้ภายในถ้ำ ของอุทยานแห่งชาติคาร์ลสแบดแคเวิร์นในรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐ ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศของถ้ำ สิ่งเดียวที่นำเข้าไปได้คือน้ำเปล่า โดยทางอุทยานดังกล่าวได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก วอนนักท่องเที่ยวตระหนักถึงผลกระทบครั้งใหญ่ต่อระบบนิเวศ หากทิ้งห่อขนมชีโตสหรือขยะอย่างอื่นก็ตามไว้ในถ้ำ ซึ่งในมุมมองของมนุษย์ ถุงขนมที่ทำหล่นไว้อาจดูไม่สำคัญ แต่สำหรับความเป็นอยู่ของถ้ำ มันสามารถเปลี่ยนโลกได้เลย โดยอุทยานได้อธิบายไว้ว่า ข้าวโพดที่ผ่านการแปรรูปแล้ว จะนิ่มลงจากความชื้นในถ้ำ จากนั้นก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยแหล่งอาศัยของจุลินทรีย์และเชื้อรา รวมถึงสัตว์ตัวเล็ก อย่างจิ้งหรีด ไร แมงมุม รวมตัวกันเป็นห่วงโซ่อาหารภายในถ้ำในไม่ช้า โดยตัวส่งเส้นใยอาหาร และเชื้อราแพร่กระจายไปบนพื้นผิวภายในถ้ำและชั้นหินบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้ผลไม้ออกผล ตาย และส่งกลิ่นเหม็น และวัฏจักรนี้ยังคงดำเนินต่อไปไม่จบไม่สิ้น ทางอุทยานฯ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าต้องใช้เวลา 20 นาทีในการกำจัดเชื้อราและเศษวัสดุแปลกปลอมออกจากพื้นผิวภายในถ้ำอย่างระมัดระวัง โดยระบุว่า แม้สิ่งมีชีวิตบางส่วนในระบบนิเวศเติบโตมาจากขนมขบเคี้ยวจะอาศัยอยู่ในถ้ำ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นจุลินทรีย์และเชื้อราจำนวนมากไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของที่นี่ อย่างไรก็ตาม โพสต์ดังกล่าวระบุว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับถ้ำนั้น "สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยสิ้นเชิง" โดยเปรียบเทียบกับร่องรอยของขุยผ้าเล็กๆ ที่ผู้เยี่ยมชมแต่ละคนทิ้งไว้ซึ่งป้องกันได้ยาก พร้อมวอนขอให้นักท่องเที่ยวทุกคน ตระหนักและช่วยกันทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากการทานและดื่มอะไรก็ตามนอกเหนือจากน้ำเปล่า อาจดึงดูดสัตว์ต่างๆ เข้ามาในถ้ำก็เป็นได้ ทั้งนี้ อุทยานแห่งชาติคาร์ลสแบดแคเวิร์น ตั้งอยู่ในรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐ บริเวณถ้ำคาร์ลสแบด ที่อยู่ภายในเทือกเขากัวดาลูพี โดยภายในถ้ำมีทางยาวที่ซ้ำซ้อนเชื่อมต่อกันยาวกว่า 37 กิโลเมตร มีหินปูน ที่มีหินงอก หินย้อยสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นที่อยู่ของค้างคาวฝูงใหญ่ที่สุดในโลกด้วย https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_9407208
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
อาร์กติกร้อนเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ของโลก 4 เท่า จากคาร์บอนดำ .......... โดย จุลวรรณ เกิดแย้ม KEY POINTS - อาร์กติกกําลังร้อนขึ้นเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ของโลกถึงสี่เท่า ซึ่งมีผลกระทบที่ไกลเกินภูมิภาค - คาร์บอนดําซึ่งมีส่วนสําคัญต่อภาวะโลกร้อนในอาร์กติก เร่งการละลายของน้ําแข็ง และหิมะเมื่อสะสมบนพื้นผิวเหล่านี้ - การลดการปล่อยคาร์บอนดําให้ประโยชน์หลายประการ รวมถึงคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น สาธารณสุขที่ดีขึ้น และเพิ่มความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลจาก The World Economic Forum ระบุว่า การสูญเสียน้ําแข็งในทะเลที่สะท้อนแสงได้เชื่อมโยงกับรูปแบบสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้นในยูเรเซีย และอเมริกาเหนือ ไม่ใช่แค่ภัยแล้งหรือพายุที่สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการระเบิดของอากาศเย็นอาร์กติกที่หลุดออกจากวงกลมอาร์กติกบ่อยขึ้น เนื่องจากกระแสเจ็ทสั่นไหว และแตกเนื่องจากความแตกต่างระหว่างอาร์กติก และละติจูดที่ต่ำกว่าน้อยลง การละลายของแผ่นน้ําแข็งกรีนแลนด์กําลังเร่งขึ้น และมีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าตอนนี้กรีนแลนด์ได้เข้ายึดครองจากธารน้ําแข็งบนบกในฐานะแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ําทะเลทั่วโลก การละลายของ Permafrost ไม่เพียงแต่ทําให้โครงสร้างพื้นฐานเสียหายทั่วอาร์กติกเท่านั้น แต่ยังเริ่มปล่อยคาร์บอน (ทั้งคาร์บอน และก๊าซมีเทน) ในระดับของผู้ปล่อยก๊าซ 10 อันดับแรก เช่น ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กุญแจสําคัญแม้ว่าจะยังคงใช้ประโยชน์น้อย แต่วิธีแก้ปัญหาสามารถช่วยชะลอภาวะโลกร้อนที่ทําลายล้างในอาร์กติก และมีประโยชน์ร่วมกันมากมาย การลดการปล่อยคาร์บอนดํา คาร์บอนดําคืออะไร คาร์บอนดําประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้สูง และถูกลําเลียงเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร ในขณะที่ภาวะโลกร้อนในชั้นบรรยากาศ ไม่เพียงแต่ทําให้การละลายเร็วขึ้นเท่านั้น อย่างที่ใครก็ตามที่ได้เห็นการละลายอย่างรวดเร็วของ "หิมะ" แต่เมื่อหิมะและน้ําแข็งหายไป แผ่นดิน และมหาสมุทรจะสะท้อนแสงน้อยลง ดูดซับรังสีดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น และทําให้พื้นที่โดยรอบอุ่นขึ้น คาร์บอนดําบางส่วนในอาร์กติกได้มาจากแหล่งท้องถิ่น เช่น การขนส่ง เตาความร้อนไม้ และถ่านหิน และการลุกเป็นไฟจากแท่นขุดเจาะน้ํามัน และก๊าซ อย่างไรก็ตาม คาร์บอนดําส่วนใหญ่ที่พบในอาร์กติกมีต้นกําเนิดจากแหล่งที่ห่างไกล ส่วนใหญ่มาจากไฟทางการเกษตร และป่าไม้ และเตาปรุงอาหารที่มีมลพิษสูง การจัดการกับการปล่อยคาร์บอนดําไม่สามารถละเลยได้ ผลประโยชน์ร่วมกันสําหรับชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพของผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ อาจมีขนาดใหญ่ และมีต้นทุนค่อนข้างต่ำ ไฟทางการเกษตร และไฟป่าเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนดําที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลก US Forest Service, International Maize and Wheat Improvement Center และ Climate and Clean Air Coalition's Agriculture Initiative ได้สนับสนุนโครงการที่ส่งเสริมทางเลือกที่ปราศจากไฟที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศในภูมิภาค เพิ่มผลผลิตพืช และให้ความยืดหยุ่นที่มากขึ้นต่อสภาพอากาศที่รุนแรงที่เพิ่มขึ้น วิธีการเหล่านี้กําจัดไฟป่าที่แพร่กระจายจากการเผาตอซังในทุ่งนาโดยเจตนา ในช่วงเวลาที่ไฟป่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกเมื่อสภาพอากาศอุ่นขึ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นสําหรับการป้องกันไฟป่ายังสามารถช่วยลดการปล่อยมลพิษเหล่านี้ได้ ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นของคาร์บอนดํา มลพิษคาร์บอนดําจากเตาชีวมวลในครัวเรือน (ถ่านหิน ไม้ มูลสัตว์) ไม่ดีต่ออาร์กติก และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับผู้หญิง และเด็กที่อยู่ใกล้เตามากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้ว มลพิษทางอากาศในครัวเรือนมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตประมาณ 3.2 ล้านคนต่อปี รวมถึงการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีกว่า 237,000 คน อย่างไรก็ตาม การปล่อยคาร์บอนดําที่มีผลกระทบมากที่สุดเกิดขึ้นในอาร์กติก และละติจูดสูง การปล่อยคาร์บอนดําจากการใช้ประโยชน์จากเชื้อเพลิงฟอสซิล และการสํารวจใน และใกล้อาร์กติกกําลังเพิ่มขึ้น การศึกษาชิ้นหนึ่งประเมินว่าการลุกเป็นไฟของก๊าซคิดเป็น 42% ของคาร์บอนดําที่ปล่อยออกมาในอาร์กติกทุกปี มีหลายวิธีในการแก้ไขปัญหานี้ เช่น การดักจับแทนที่จะลุกเป็นไฟ ถึงกระนั้น ในโลกที่จําเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างรวดเร็ว กิจกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่องใกล้อาร์กติกทําให้ระบบภูมิอากาศอาร์กติก และโลกได้รับแรงเป็นสองเท่า จากก๊าซเรือนกระจก และการปล่อยคาร์บอนดํา ด้วยฤดูร้อนที่ปราศจากน้ําแข็งในทะเลอย่างน้อยหนึ่งแห่งในอาร์กติกที่คาดการณ์ไว้ภายในปี 2593 การปล่อยคาร์บอนดําที่เพิ่มขึ้นอีกจากการขยายเส้นทางการเดินเรือในอาร์กติกเป็นความกังวลหลัก ระหว่างปี 2556 - 2566 มีเรือที่ไม่ซ้ำกันที่เข้าสู่น่านน้ําอาร์กติกเพิ่มขึ้น 37% โครงการตรวจสอบ และประเมินอาร์กติกของสภาอาร์กติก พบว่าแม้การจราจรทางเรือจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1-2% อาจนําไปสู่การปล่อยคาร์บอนดําอาร์กติกที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกิดขึ้นที่ขอบของน้ําแข็งในทะเลในฤดูร้อนที่หายไปมากขึ้น แม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้องค์การการเดินเรือระหว่างประเทศจะสั่งห้ามน้ํามันเชื้อเพลิงหนัก (HFO) ในอาร์กติก แต่ 74% ของเรือที่ใช้ HFO สามารถทําเช่นนั้นต่อไปได้เป็นเวลาหลายปี โชคดีที่มีทางเลือกเชื้อเพลิงที่สะอาดกว่า เช่น การกลั่น และนอร์เวย์ประสบความสําเร็จในการห้าม HFO รอบ ๆ สฟาลบาร์ โดยมีค่าปรับจํานวนมากสําหรับใครก็ตามที่ละเมิดข้อห้ามนี้ บริษัทขนส่งบางแห่งได้ให้คํามั่นว่าจะหลีกเลี่ยงอาร์กติกโดยสิ้นเชิงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคํามั่นสัญญาการขนส่งอาร์กติกของ Ocean Conservancy ความพยายามร่วมกันเพื่ออาร์กติกที่สดใสขึ้น Alliance for Clean Air เปิดตัวในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 2564 (COP26) รวมผู้นําธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นร่วมกันในการวัด และลดมลพิษทางอากาศทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าของพวกเขา ความคิดริเริ่มนี้เน้นการลงทุนในนวัตกรรม และความร่วมมือกับผู้กําหนดนโยบาย และเพื่อนร่วมงานเพื่อสนับสนุนผลประโยชน์ทางสังคม เศรษฐกิจ และสภาพอากาศของการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รวมถึงคาร์บอนดํา การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเราให้สอดคล้องกับเป้าหมายข้อตกลงปารีส 1.5 องศาเซลเซียส ยังคงเป็นการดําเนินการเร่งด่วนที่สุดเพื่อชะลอภาวะโลกร้อนในอาร์กติก เมื่อเร็วๆ นี้กับแผนวิศวกรรมภูมิศาสตร์ต่างๆ การจัดการกับแหล่งที่มาของการปล่อยคาร์บอนดําไม่มีผลกระทบด้านลบ มีเพียงผลประโยชน์ร่วมที่แข็งแกร่งสําหรับชุมชนท้องถิ่นเท่านั้น เกือบทั้งหมดเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นมาตรการคุณภาพอากาศ ได้รับการพิสูจน์อย่างดี ราคาไม่แพง และสามารถดําเนินการได้ทันที https://www.bangkokbiznews.com/environment/1144253
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
9 แบบอย่างแนวปฏิบัติดี เกาะลันตา ส่งต่อการจัดการขยะมูลฝอยที่ยั่งยืน .......... โดย วิลาวรรณ น้อยภา ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เส้นทางการก้าวเดินของงานความร่วมมือและภารกิจปฏิบัติดีที่เกาะลันตา เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้และปฏิบัติ (Learning-by-doing) ที่ได้ร่วมกันบ่มเพาะ ความคิด การหารือ การชักชวนกันทำตัวอย่างอย่างจริงจัง จนเป็นสารตั้งต้นของการปฏิบัติดี เกิดการส่งต่อและขยายวงแนวปฏิบัติที่หลากหลาย และขยายความร่วมมือการจัดการขยะมูลฝอยที่กาะลันตากันต่อมา กว่า 2 ปี ที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI มีส่วนร่วม คลุกคลีทำงานกับภาคส่วนต่าง ๆ ภายใต้ดำเนินงานการศึกษาและพัฒนาโมเดลความร่วมมือห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) การจัดการมูลฝอยและพลาสติก ด้วยแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่เกาะลันตา เมื่อปลายปี 2564 ด้วยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และกลุ่ม PPP Plastics ในช่วงต้นปี 2565-2566 ทำให้ TEI ได้เรียนรู้ เกิดความเข้าใจในวิถีและพฤติกรรมการจัดการที่มีต่อปัญหาขยะของเกาะลันตา ว่ามีการคัดแยกขยะและวัสดุบางส่วน แต่ไม่ครอบคลุม จึงจัดการได้ยาก ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทวัสดุเหลือใช้ จึงต้องเพิ่มการเรียนรู้และลงมือสาธิตอย่างเข้มข้นในการจัดการต้นทาง เสริมระบบอำนวยความสะดวกกลางทาง ส่งต่อไปยังปลายทางที่ถูกต้อง นำใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนวิถีการปฏิบัติบางเรื่อง เริ่มจากกิจกรรมที่ง่าย ร่วมทำด้วยกันได้ ไม่ฝืนวิถีมากไป แต่ต้องสอดคล้องและสนับสนุนต่อการแก้ปัญหาการจัดการมูลฝอยและสิ่งแวดล้อมโดยรวมของพื้นที่ ยึดหลักข้อมูล ปริมาณและสัดส่วนขององค์ประกอบมูลฝอย เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับกำหนดเป้าหมาย ออกแบบลดปริมาณมูลฝอยและพลาสติกที่ต้นทาง เกิดบทเรียนและการเรียนรู้และการปฏิบัติ (Area Based) ร่วมกัน วันนี้ จึงอยากจะบอกเล่าการทำงาน สะท้อนผลการก้าวย่างที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้และปฏิบัติในพื้นที่ ถึงผลความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม การแก้ไขปัญหา ลดปริมาณขยะที่ครัวเรือน ชุมชน หน่วยงาน โรงเรียน ท้องถิ่น เพื่อลดยังปัญหายังหลุมฝังกลบ กลับมาใช้และหมุนเวียนใช้ประโยชน์ ผ่านแนวปฏิบัติดี 9 แบบอย่าง เกาะลันตา เพื่อส่งต่อการจัดการขยะมูลฝอยที่ยั่งยืน ? การจัดทำฐานข้อมูลองค์ประกอบมูลฝอยของพื้นที่ มีความสำคัญต่อการจัดการและวางแผนบริหารจัดการต้นทาง กลางทาง และปลายทาง รวมถึงการออกแบบแนวปฏิบัติดี ที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมและการปฏิบัติให้เกิดผลรูปธรรม ตลอดจนเทียบผลการดำเนินทั้งก่อนและหลัง ? การส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์ Lanta Plas Center ศูนย์ 1: ลันตาราช และศูนย์ 2: ต้นทัง สนับสนุนและส่งเสริมบทบาทโรงเรียนและชุมชนให้เป็นฐานในการจัดการและลดปริมาณมูลฝอย ริเริ่มคัดแยก รวบรวม นำวัสดุมาแปรรูปเป็นของใหม่ เช่น กระถางต้นไม้ ของที่ระลึก สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการอัพไซคลิ่ง (Upcycling) ฝาพลาสติกเบอร์ 2, 5 เกิดความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในเกาะ คัดแยก รวบรวม และส่งต่อศูนย์ฯ หมุนเวียนนำไปใช้ประโยชน์ เพิ่มคุณค่า และมูลค่าจากพลาสติกในพื้นที่ ? ชุมชน ท้องถิ่น ไร้ถุง ไร้ถัง ไร้หลุม การจัดการและลดมูลฝอยที่ต้นทาง แนวคิด ?ไร้ถุง ไร้ถัง ไร้หลุม? ถูกนำมาปรับและประยุกต์ใช้สำหรับครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น โรงเรียน และหน่วยงานในพื้นที่อำเภอเกาะลันตาในการจัดการมูลฝอยที่ต้นทางด้วยการจัดการตนเอง เพื่อลดปริมาณขยะกำจัดยังหลุมฝังกลบ คัดแยกวัสดุที่ใช้ประโยชน์ได้ รวบรวมและส่งต่อการใช้ประโยชน์ไปยังผู้เกี่ยวข้อง และการจัดการขยะ (ใช้ไม่ได้ เป็นพิษ ติดเชื้อ) และกำจัดให้ถูกต้องตามเทคโนโลยีต่อไป และทำให้ถังขยะสาธารณะไม่มีความจำเป็น ? โรงพยาบาล ไร้ถุง ไร้ถัง มุ่งการจัดการตนเอง โรงพยาบาลอำเภอเกาะลันตา หน่วยบริการด้านสาธารณสุขที่มีความสำคัญของประชาชนในพื้นที่และถือเป็นอีกแหล่งกำเนิดมูลฝอยและขยะ แนวคิด "โรงพยาบาล ไร้ถุง ไร้ถัง" ถูกนำมาประยุกต์ใช้ขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาการจัดการมูลฝอยที่ต้นทางภายในโรงพยาบาล เพื่อลดปริมาณขยะ ลดภาระ ของท้องถิ่น ในรูปแบบ Waste Station ด้วยการคัดแยกวัสดุที่ใช้ประโยชนได้ รวบรวมและส่งต่อใช้ประโยชน์ไปยังผู้เกี่ยวข้องและการจัดการขยะ (ใช้ไม่ได้ เป็นพิษ ติดเชื้อ) กำจัดให้ถูกต้องตามเทคโนโลยีต่อไป ? การรณรงค์คัดแยกมูลฝอยในงาน ด้วย Waste station การจัดงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ มักจะมีผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เกิดการบริโภคและอุปโภคตามมา การจัดให้มี Waste station เพื่อให้มีภาชนะรองรับวัสดุ แยกตามวัสดุที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยไม่ทิ้งปะปนกัน แยก /ถัง / ถุง แต่ละประเภท เพื่อความสะดวกในการรวบรวมและนำไปจัดการแต่ละประเภทและง่ายต่อการรวบรวมข้อมูลปริมาณที่เกิดขึ้นและนำมาวางแผนการบริหารจัดการได้ด้วย ? การจับคู่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเศษอาหาร ปริมาณมูลฝอยที่เกิดขึ้นกว่า 40 ตันต่อวัน ในจำนวนนั้นเป็นเศษอาหารราวร้อยละ 50 ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและภาระค่าใช้จ่ายของท้องถิ่นทั้ง 6 แห่่ง ร่่วมกันแก้ไขปัญหาเศษอาหารที่เกิดขึ้นจำนวนมาก โดยร่วมกับร้านอาหาร ผู้ประกอบการที่พัก ตลาดสด ครัวเรือน ด้วยการจับคู่ใช้ประโยชน์ระหว่างผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม ส่งเสริมให้เกิดการคัดแยก รวบรวมไปเป็นอาหารให้สัตว์ ลดต้นทุนปัจจัยการผลิตของเกษตรกรผู้้เลี้ยงเป็ดและไก่่ โดยมีข้อตกลงและกำหนดการปฏิบัติระหว่่างกัันในแต่ละวัน ? การส่งเสริมบทบาทผู้ประกอบการรับซื้อของเก่า หนึ่งในการพัฒนาและยกระดับกลุ่มผู้ประกอบการร้านรับซื้อของเก่ารายย่อย รวมทั้งกลุ่มซาเล้งในพื้นที่ ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการจัดการวัสดุรีไซเคิลให้เกิดจัดการที่เป็นระบบ ส่งเสริมความตระหนัก บทบาทและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายของอำเภอเกาะลันตา เพื่อเพิ่มมูลค่าในระบบห่วงโซ่การจัดการปลายทางกับภาคส่วนต่าง ๆ ? การส่งเสริมรณรงค์เก็บขยะชายหาดให้เป็นระบบและวิถี เกาะลันตาได้รับอิทธิพลจากมรสุมพัดผ่านปีละ 2 ครั้ง รวมถึงลมประจำถิ่นที่มีผลต่อปริมาณขยะทะเลที่เกยหาดต่าง ๆ เป็นปัญหาสะสมให้กับพื้นที่ มูลฝอยที่ถูกคลื่นและลมพัดพามา ไม่ได้รับการจัดการและมูลฝอยจากแหล่งกำจัดไม่เหมาะสม จะลงสู่แม่น้ำ คูคลอง และไหลออกสู่ทะเล ส่งผลกระทบต่อเกาะอื่นๆ อำเภอเกาะลันตา สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จึงได้ร่วมกันรณรงค์ ประสานการจัดเก็บขยะชายหาดต่าง ๆ ให้เป็นแนวปฏิบัติที่ดีและเป็นวิถีร่วมกันในช่วง 2 เดือน ก่อนเปิดบ้านต้อนรับฤดูการท่องเที่ยวในปลายปีของเกาะ ? การสื่อสาร สร้างการรับรู้ และสร้างความตระหนัก การสื่อสารและการรับรู้มีความสำคัญและจำเป็นมาก เพราะการสื่อสารด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายจะมีส่วนช่วยให้เกิด Awareness หรือ การรับรู้ ที่จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดการจดจำ และรับรู้ในระยะยาว รวมถึงความเชื่อมั่นและโอกาสสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดการปฏิบัติร่วมกัน สังเคราะห์ข้อมูล ทำแล้วต้องบอกต่อ ถ่ายทอดสู่สาธารณะ การสื่อสารอย่างง่าย ด้วยข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ปลูกให้เป็นกระแสและต่อเนื่อง กระบวนการเรียนรู้้และปฏิบัติดี บทเรียนทั้ง 9 แนวทางการจัดการมูลฝอยและพลาสติิกในพื้นที่่อำเภอเกาะลัันตา ข้างต้น อาจไม่ใช่เรื่องใหม่และยากเกินจะดำเนินการได้ โดยเริ่มต้นกิจกรรมง่ายๆ และค่อยขยายความร่วมมือ สำคัญต้องมองเห็นปัญหาร่วมกัน ต้องช่วยกันทำ ช่วยกันส่งต่อเพื่อให้เกิดระบบการจัดการที่ครอบคลุมทั้งต้นทาง กลางทาง นำส่งไปจัดการและใช้ประโยชน์ยังปลายทางได้อย่างเหมาะสม ภารกิจการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ไม่ใช่เพียงใครคนใดคนหนึ่งจะทำได้โดยลำพัง ดังนั้น การริเริ่มแนวปฏิบัติที่ดี มีความเหมาะสมกับพื้นที่ จะเป็นตัวอย่างที่ดี ช่วยสร้างการรับรู้ จดจำ สู่การปฏิบัติมั่นใจได้เพียงพอ การขยายผลได้ไม่ยาก. https://www.bangkokbiznews.com/environment/1144316
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
นับถอยหลัง 16 ปี ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ละลายเกลี้ยง เพราะโลกร้อน! SHORT CUT - ในปี 2024 ภูเขามาร์โมลาดาสูญเสียน้ำแข็งที่ความลึกวันละ 7-10 เซนติเมตร - ธารน้ำแข็งที่ถล่มลงในปี 2022 เผยให้เห็นขยะจำนวนมากมายก่ายกองที่ซุกซ่อนอยู่บนเทอกเขามาร์โมลาดา อาทิ เลื่อน จดหมาย ไดอารี่ อาวุธปืน มีรายงานว่า ธารน้ำแข็งบนภูเขา "มาร์โมลาดา" ในประเทศอิตาลี กำลังสูญเสียในแข็ง (ความลึก) วันละ 7-10 เซนติเมตร เนื่องมาจากผลพวงอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น มาร์โมลาดา ละลาย ภูเขาแห่งนี้มีชื่อว่า "มาร์โมลาดา" (Marmolada) ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดเทรนติโน และเวเนโตทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี และอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,343 เมตร การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามผลกระทบปัญหาโลกร้อนต่อธารน้ำแข็งทั่วโลกระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นผิวของธารน้ำแข็งหายไป 173 เอเคอร์ เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือใหญ่ประมาณ 98 สนามฟุตบอลรวมกัน หรือหากย้อนกลับไปนานกว่านั้น ตั้งแต่ที่ประเทศอิตาลีได้เริ่มตรวจวัดปริมาณน้ำแข็งมาตั้งแต่ปี 1888 หรือประมาณ 136 ปีที่แล้ว พบว่า ธารน้ำแข็งบนเทือกเขามาร์โมลาดาสูญเสียน้ำแข็งไปแล้วทั้งสิ้น 1,200 เมตร ตัดมาที่ปัจจุบัน กรรมาธิการระหว่างประเทศเพื่อการปกป้องเทือกเขาแอลป์ (Cipra) ร่วมมือกับคณะกรรมการธารน้ำแข็งอิตาลี แถลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ในปี 2024 ภูเขามาร์โมลาดาสูญเสียน้ำแข็งที่ความลึกวันละ 7-10 เซนติเมตร "น้ำแข็งละลาย" สามารถสังเกตเห็นชัดจากการที่ฤดูหนาวในอิตาลีมีหิมะตกเพียงเล็กน้อย เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ซึ่งปี 2024 เป็นปีที่มีอุณหภูมิสูงติดต่อกันยาวนานหลายเดือน ยิ่งส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วยิ่งขึ้น อันที่จริงสัญญาณเรื่องภาวะ "โลกร้อน" หรือ "โลกเดือด" สะกิดให้รู้สึกตัวตั้งแต่ปี2022 แล้ว จำได้ไหมว่าภูเขาน้ำแข็งมาร์โมลาดาละลาย ซึ่งส่งผลให้หิมะ และธารน้ำแข็งถล่มลงมาจนมีผู้เสียชีวิต 11 ราย ธารน้ำแข็งที่ถล่มลงในปี 2022 เผยให้เห็นขยะจำนวนมากมายก่ายกองที่ซุกซ่อนอยู่บนเทอกเขามาร์โมลาดา อาทิ เลื่อน จดหมาย ไดอารี่ อาวุธปืน หรือแม้แต่ร่างทหารที่เข้าร่วมสมรภูมิที่เรียกว่า "สงครามสีขาว" (white war) ในทศวรรษ 1915-1919 ที่มา: The Guardian https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852683
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ถึงเวลาโลกเอาคืน! ปี?67 โลกรวนสุด ร้อน แล้งจัด ฝนตกน้ำท่วมเป็นประวัติการณ์ SHORT CUT - ยอมรับว่าปัญหาโลกร้อน โลกรวนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหานี้ ซึ่งนับว่าไปซ้ำเติมความยากจนให้หลายๆประเทศอีกด้วย - ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกรวน เห็นได้ชัดเจนจากปี2567 ที่ยังไม่ครบปี แต่โลกรวนให้เห็นแบบสุดขั้ว ทั้งร้อน และแล้งจัด แถมฝนตกหนัก น้ำท่วมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ - อย่างล่าสุดน้ำท่วมแม่สาย จ.เชียงราย หนักสุดในรอบหลายปี โดยสถานการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมายังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง น่าใจหายเมื่อโลกต่างเอาคืนมวลมนุษย์ที่เป็นตัวการทำให้โลกร้อน ปี2567 โลกรวนสุดขั้ว ทั้งร้อนจัด แล้งจัด ฝนตกมาก น้ำท่วมมากสุดเป็นประวัติการณ์ในปีเดียวกัน และยังน่าห่วงปีต่อไปจะเป็นอย่างไร ต้องยอมรับว่าปัญหาโลกร้อน โลกรวนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหานี้ ซึ่งนับว่าไปซ้ำเติมความยากจนให้หลายๆประเทศอีกด้วย และประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกรวน เห็นได้ชัดเจนจากปี2567 ที่ยังไม่ครบปี แต่โลกรวนให้เห็นแบบสุดขั้ว ทั้งร้อน และแล้งจัด แถมฝนตกหนัก น้ำท่วมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างภาคเหนือบางพื้นที่น้ำท่วมหนักในรอบ 100 ปี ทำเอาสร้างความเสียหายจำนวนมาก โดยที่ผ่านมา นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา สุโขทัย ลำปาง เพชรบูรณ์ แพร่ น่าน พิษณุโลก และนครสวรรค์ ยังมีความน่าเป็นห่วงที่ฝนจะตกเพิ่มอีกระลอก ทั้งนี้มีประเมินมูลค่าความเสียหายกรณีสถานการณ์น้ำท่วมในเขตพื้นที่ภาคเหนือ เบื้องต้นประเมินความเสียหายประมาณ 4,000 ? 6,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.02 ? 0.03% ของ GDP ซึ่งยังคงต้องติดตามและประเมินผลกระทบอีกครั้ง เนื่องจากหลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วมเพิ่มอีก อย่างไรก็ตามภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม โดยในระยะสั้นหอการค้าฯ เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย และจะต้องเตรียมแผนรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพฯ ตลอดจนปริมาณฝน และล่าสุดสดๆร้อนๆ น้ำท่วมแม่สาย จ.เชียงราย หนักสุดในรอบหลายปี โดยสถานการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมายังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และกระแสน้ำยังไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำมีความสูงตั้งแต่ 1- 2 เมตร ในบางพื้นที่ที่ลุ่มต่ำ ส่งผลให้การช่วยเหลือประชาชนก็ไปด้วยความลำบาก ในขณะเดียวกันที่ จ.เชียงใหม่ มีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ในตำบลแม่อาย และ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ หลังฝนตกหนักสะสม ทำให้แม่น้ำสาขา แม่น้ำอาย แม่น้ำแหลง และแม่น้ำสาว เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ ล้นตลิ่งเข้าท่วมถนนสายหลัก ชุมชน ย่านเศรษฐกิจ และ พื้นที่การเกษตร เป็นบริเวณกว้าง ทั้งหมดที่กล่าวมาเบื้องต้นจะเห็นได้ว่าน้ำท่าบ้านเราปี2567 ฝนตกเยอะ น้ำท่วมหนักในฤดูฝน แต่?ก่อนหน้านั้นฤดูร้อน อากาศก็ร้อนจัด และแล้งจัด เจอเอลนีโญสุดๆเหมือนกัน โดยนักวิทยาศาสตร์ เผยมีแนวโน้มถึง 90% ที่ปี 2567 มี อุณหภูมิทั่วโลกร้อน ขึ้นจนทุบสถิติ เนื่องจาก ?ปรากฏการณ์เอลนีโญ? ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าแอมะซอน หรือ อะแลสกาที่มีน้ำแข็งปกคลุมทั้งปีก็หนีไม่รอด ขณะที่ไทยก็ต้องเตรียมรับมือเช่นกัน ดร.หนิง เจียง จากสถาบันวิทยาศาสตร์อุตุนิยมวิทยาจีน และคณะทำการศึกษา ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ระบุฮอตสปอตในภูมิภาคที่เป็นไปได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พร้อมจำลองผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวต่อความแปรผันของอุณหภูมิอากาศบนพื้นผิวในระดับภูมิภาคตั้งแต่เดือนก.ค. 2566 ถึง มิ.ย. 2567 พบว่ามีโอกาส 90% ที่อุณหภูมิโลกในปี 2567 จะสูงขึ้นจนทำลายสถิติใหม่ "นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในปี 2567 มีแนวโน้มที่อุณหภูมิในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแอมะซอนจะสูงขึ้นจนทำลายสถิติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า เนื่องจากความแห้งแล้งในช่วงปลายปี 2566 ทำให้เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง อีกทั้งในเดือนก.พ. 2567 มีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงเป็นประวัติการณ์" สำหรับต้นปี2567 ที่ผ่านมาไทยเจอเอลนีโญถล่มอย่างหนักในหลายพื้นที่ ทั้งร้อนจัด แล้งจัด ขาดแคลนน้ำ ลากยาวมาถึงปัจจุบันก็มาเผชิญกับลานีญาซ้ำเข้าไปอีก โดยกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า การเฝ้าระวังปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา เดือนก.ย.นี้ พบว่าปรากฏการณ์เอนโซ อยู่ในสภาวะเอลนีโญกําลังปานกลาง ด้านวิจัยกรุงศรี ได้วิเคราะห์ประมาณน้ำฝนจากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยประเมินว่าปี 2567 ปริมาณน้ำฝนจะอยู่ที่ 1,612 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีปริมาณ 1,520 มิลลิเมตร ในขณะที่ปี 2568 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,795 มิลลิเมตร ขณะที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เผยว่า ปี2568 -2569 ไทยมีโอกาสเผชิญแล้งหนักสุดในรอบ 10 ปี และปี 2572-2573 จะมีโอกาสเกิดน้ำท่วมใหญ่ ดังนั้นก็ต้องหาทางรับมือกันให้ได้ทั้งรัฐ และประชาชนเอง https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852687
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#8
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
หวั่นน้ำท่วม! "ปลากระชัง" น็อกน้ำตาย น้ำจืดลงทะเลมาก กระทบปะการัง สัตว์น้ำ SHORT CUT - น้ำท่วมในหลายพื้นที่ในตอนนี้ต้องบอกคำเดียวว่า อาการน่าเป็นห่วงทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ยังวิกฤต - ในขณะที่น้ำยังท่วมสูงอยู่ ภาคธุรกิจการเกษตรกร ปศุสัตว์ก็ต้องระวังความเสียหายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะผู้เลี้ยงปลาในกระชังในแม่น้ำ - นอกจากเรื่องปลาน็อกน้ำแล้ว น้ำจืดไหลลงทะเลมากกระทบปะการัง สัตว์น้ำ และทำขยะไหลงทะเล น้ำท่วมปี2567 หลายจังหวัดยังอาการน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะที่จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ แต่ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจ การเกษตรกรก็ต้องเตรียมรับมือ เช่น ผู้เลี้ยงปลาในกระชัง ต้องเฝ้าระวังน็อกน้ำตาย รวมถึงหากน้ำจืดลงทะเลมาก จะกระทบปะการัง สัตว์น้ำ ขยะลงสู่ทะเลมากขึ้น สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ในตอนนี้ต้องบอกคำเดียวว่า อาการน่าเป็นห่วงทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ยังวิกฤต ในขณะที่น้ำยังท่วมสูงอยู่ ภาคธุรกิจการเกษตรกร ปศุสัตว์ก็ต้องระวังความเสียหายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะผู้เลี้ยงปลาในกระชังในแม่น้ำ นอกจากจะมีความเสี่ยงที่น้ำจะพัดกระชังปลาให้เกิดความเสียหายไปกับกระแสน้ำ และยังมีความเสี่ยงปลาน็อกน้ำตายอีกด้วย ทั้งนี้ที่ผ่านมาผู้เลี้ยงปลาในกระชัง ในจังหวัดพิษณุโลก และพิจิตร ต่างได้รับผลกระทบจากแม่น้ำ ที่เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีสีขุ่นแดง ทำให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรที่เลี้ยงปลาทับทิมในกระชังหลายราย ได้รับความเสียหาย เนื่องจากปลาที่เลี้ยงไว้ปรับสภาพกับน้ำไม่ทัน ทำให้น็อกน้ำตายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้กรมประมง ยังได้ออกมาเตือนว่าในภาวะฝนฟ้าคะนองพายุเข้าช่วง ไม่ควรสูบน้ำเข้าบ่อเพราะน้ำจะพัดพาสิ่งสกปรกจากผิวดินลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติควรปล่อยให้น้ำมีปริมาณเพิ่มขึ้น จึงจะนำไปใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จัดทำร่องระบายน้ำและขุดลอกตะกอนดินที่จะทำให้ร่องระบายน้ำตื้นเขินออกไปเพื่อให้น้ำไหลเข้าออกสะดวก จัดเตรียมเครื่องเพิ่มออกซิเจนไว้ให้พร้อมเพื่อใช้ในการดำเนินการช่วยเหลือสัตว์น้ำในบ่อในกรณีปริมาณน้ำจากภายนอกไหลเข้าออกอย่างกะทันหัน เตรียมทยอยจับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นมาจำหน่ายหรือบริโภคเพื่อลดปริมาณสัตว์น้ำในบ่อให้เหลือน้อยลง ทั้งนี้ให้มีการปรับปรุงคันบ่อ เสริมคันบ่อหรือขึงอ้วนไนล่อน ล้อมรอบบ่อให้สูงพอกับปริมาณน้ำที่เคยท่วมในปีที่ผ่านผ่านมา จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องเพิ่มออกซิเจน ไว้ให้พร้อม จัดเตรียมปูนขาวไว้สำหรับพื้นที่ดินกรดดินเปรี้ยวเพื่อปรับสภาพน้ำในบ่อหลังน้ำท่วมปริมาณ 50-60 กิโลกรัมต่อไร่ วางแผนการเลี้ยงสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และฤดูกาลเพื่อให้สามารถจับสัตว์น้ำได้ก่อนฤดูน้ำหลาก ผลกระทบต่อมา คือ เวลาที่น้ำจืดไหลลงทะเลในปริมาณที่มากจะส่งผลกระทบมากมาย โดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า ช่วงที่น้ำจืดจำนวนมากกำลังไหลจากแผ่นดินลงสู่ทะเล โดยเฉพาะในเขตอ่าวไทยตอนใน (อ่าวตัว ก.) ที่มีแม่น้ำสายหลัก 4 สาย ไหลลงสู่อ่าวไทยตอนใน อาจส่งผลกระทบทำให้ปะการังฟอกขาวได้ "ทั้งนี้อ่าวแห่งนี้มีแม่น้ำสายหลัก 4 สาย โดยไล่จากตะวันออก-ตะวันตก ได้แก่ บางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน และแม่กลอง และยังมีแม่น้ำสายรองรวมทั้งคลองอีกมาก เมื่อฝนตกหนักในภาคเหนือ ภาคกลาง น้ำจืดไหลลงมาสู่อ่าวไทยตอนใน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยมี 2 ปัจจัยหลัก" - ประการแรก คือน้ำจืดที่ไหลลงสู่อ่าวไทยตอนในทำให้ความเค็มของน้ำทะเลลดลงอย่างรวดเร็ว บางทีเกิดปรากฏการณ์ "น้ำเบียด" สัตว์น้ำทนต่อการเปลี่ยนแปลงฉับพลันไม่ได้ ขึ้นมาตายตามชายหาด "น้ำเบียด" เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำแทบทุกปี โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ส่วนใหญ่จะเกิดทางฝั่งตะวันตก แถวชายฝั่งเพชรบุรี หากน้ำจืดยังอาจส่งผลต่อปะการัง หากความเร็วลดลงฉับพลัน ทำให้ปะการังฟอกขาวได้ แต่ฝั่งตะวันตกไม่มีปะการัง ยังพอมีหน่อยก็ต้องเลยหัวหินไปถึงเขาเต่า แต่น้อยมาก ปะการังของจริงที่ฝั่งตะวันตก จะเริ่มที่หมู่เกาะรอบเมืองประจวบ หลุดออกไปจากเขตอ่าวไทยตอนใน ไม่ได้รับอิทธิพลแล้ว ผิดจากฝั่งตะวันออก เราพบปะการังตั้งแต่เกาะสีชัง เรื่อยไปผ่านเกาะล้าน เกาะไผ่ จนสุดที่แสมสาร ปะการังตะวันออกจึงได้รับอิทธิพลของน้ำจืดที่ลงมากับแม่น้ำ "ในปี 2554 ที่ผ่านมา ช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ พวกเรานักวิทยาศาสตร์ทางทะเลติดตามดูปะการังแถวเกาะสีชังตลอด พบว่าฟอกขาวเล็กน้อย และฟื้นคืนได้ในที่สุด แต่นั่นคือ 10 ปีก่อน ปัจจุบัน สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปพอสมควร หากปีนี้มีน้ำเยอะจริง อาจต้องลงกลับไปดูกันสักครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหามากมาย เทียบเท่ากับที่ฟอกขาวจากโลกร้อนเมื่อต้นปีแถวระยองครับ" - ประการที่ 2 ที่มาพร้อมกับน้ำจืดที่ไหลลงสู่อ่าวไทยตอนใน คือ "ขยะ" ดร.ธรณ์ กล่าวย้ำว่า เคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า "การจัดการขยะของไทย" ยังทำได้ไม่ดีนัก โดยมากกว่าครึ่งเป็นการฝังกลบที่ไม่ค่อยได้กลบจริง มีอยู่เยอะที่กองไว้ เมื่อน้ำท่วม กองขยะก็มาตามน้ำ ไหลลงสู่แม่น้ำ ก่อนที่จะมุ่งตรงออกสู่ทะเล กลายเป็ยขยะทะเลจำนวนมาก โดยขยะไม่ย่อยสลายพวกนั้นจะลอยในอ่าวไทยตอนใน บางทีอาจไปปะทะกับมวลน้ำทะเลนอก เกิดเป็นแพขยะขึ้นมาแถวนอกฝั่งประจวบ ซึ่งในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลังน้ำท่วมใหญ่ นอกจากนี้ผู้เลี้ยงหอย หรือปลาทะเลก็ต้องระวังปริมาณน้ำจืดที่มากอาจทำให้สัตว์เลี้ยงน้ำเค็มตายได้! https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852696
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|