เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 20-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยบริเวณอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบนมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 20 ? 22 ก.พ. 67 ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 23 ? 25 ก.พ. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศเวียดนามและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกจะมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันตลอดช่วง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดช่วง

ส่วนในช่วงวันที่ 23 - 25 ก.พ. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 20-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


"นากทะเล" สัตว์ที่มีบทบาทในฐานะเบื้องหลังนักทำงานอนุรักษ์


ภาพ : istock

นากทะเล สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หนึ่งในสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ที่กำลังทำงานอนุรักษ์อย่างเข้มข้น ซึ่งต้องใช้เงินหลายล้านเหรียญสหรัฐสำหรับมนุษย์ในการบำบัดธรรมชาติเหล่านี้

นากทะเล สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีชื่ออยู่ในลิสต์สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ แถมยังเป็นหนึ่งในสัตว์นักอนุรักษ์สำคัญของโลกที่มีบทบาทเป็นอย่างมาก เนื่องจากพฤติกรรมของมันที่สามารถส่งผลกระทบทางด้านบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมหาศาล

ข้อมูลการทำงานของ นากทะเล ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำหน้าที่ได้อย่างน่าสนใจ ในการช่วยลดการกัดเซาะของชายฝั่งทะเล จากทางแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเทียบเท่ากับเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐ ที่ใช้ในการบำบัดและฟื้นฟูการกัดเซาะของน้ำทะเลเหล่านี้ ถ้าต้องฟื้นฟูโดยมนุษย์

สถานที่ตัวอย่างของความยั่งยืนนี้เกิดขึ้นที่ปากแม่น้ำ Elkhorn Slough ในแคลิฟอร์เนีย ที่มีความสมบูรณ์ได้กลับถูกคุกคาม และมีความเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ จากสภาพแวดล้อม และอุทกภัยที่เกิดขึ้น เหตุผลนึง คือ ประชากรของนากทะเลที่ลดลง จากการล่า และขับไล่นากทะเลนี้ เพื่อใช้พื้นที่บึงน้ำเค็มในการเกษตร และพัฒนาอุตสาหกรรม

ภายหลังในช่วงกลางทศวรรษ 1980 หลังจากรณรงค์ และอนุรักษ์นากทะเลมากขึ้น ก็มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี ที่ทำให้ บึงน้ำเค็ม ในปากแม่น้ำ Elkhorn Slough มีความยั่งยืน และสมบูรณ์อีกครั้ง

นากทะเล เหล่านี้คอยกำจัดเอเลี่ยนทางทะเล เสมือนการกินของว่างสุดโปรด เพื่อทำตัวให้อุ่น ในการใช้ชีวิต โดยเป็นกินปริมาณมากถึง 11 กิโลกรัมต่อวัน หรือประมาณ 25% ของน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกมันต้องคอยควบคุม และกำจัดเอเลี่ยนทางทะเล อย่างจำพวก ?ปู? ที่ทำลายพืช และสิ่งแวดล้อม บริเวณโดยรอบอย่างไม่รู้จบ ซึ่งปูเหล่านี้จะคอยทำลายรากของพืชต่างๆ ที่สามารถทำให้หนองน้ำเค็มนี้พังทลายลงได้

นากทะเล จึงเป็นปัจจัยหลักในการคงอยู่ของ บึงทะเล ที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพโดยการจับก๊าซคาร์บอน และกรองมลพิษทางน้ำ แถมยังช่วยลดปัญหาน้ำท่วม และลดการกัดเซาะของน้ำทะเลลงถึง 90% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

นอกจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมข้างต้นแล้ว บึงทะเล Elkhorn Slough ยังมีความครบเครื่องเรื่องของการเป็นแหล่งที่อยู่อศัยของสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศ และเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

การมีอยู่ของ นากทะเล สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกถึง 700 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และครึ่งหนึ่งของ GDP ในสหรัฐอเมริกา (44 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขึ้นอยู่กับความยั่งยืนของธรรมชาติว่ามีมากน้อยเพียงใด ทำให้ นากทะเล นั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สุดสำคัญทางธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ควรรักษาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย และหากพวกมันสูญพันธุ์ ไปจากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมของโลกเรานั้นจะเสียหายแค่ไหน คงไม่อาจประเมินมูลค่าได้

ข้อมูล : worldeconomicforum


https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2763774

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 20-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ความงามในเดือนกุมภาฯ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์"


ภาพ: แฟนเพจ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย ยอมฝ่าคลื่นลมด้วยสปีดโบทไปนานนับชั่วโมง เพื่อเดินทางไปสู่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์" เพราะที่นี่ถือเป็นหนึ่งในแหล่งดำน้ำตื้นที่ดีที่สุดในไทย

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อยู่ในพื้นที่อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ห่างจากชายฝั่งทะเลบริเวณท่าเรือคุระบุรีประมาณ 60 กิโลเมตร ซึ่งการเดินทางด้วยเรือสปีดโบท ยังต้องใช้เวลานานกว่าชั่วโมงเศษ แต่ก็แลกกับความคุ้มค่าของน้ำทะเลใสปิ๊ง รวมถึงโลกของสิ่งมีชีวิตใต้ผืนน้ำ ที่ได้รับการยกให้เป็นหนึ่งในแหล่งดำน้ำชั้นยอดของทะเลฝั่งอันดามัน

หมู่เกาะสุรินทร์ ประกอบไปด้วยเกาะ 5 เกาะ ได้แก่ เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ ซึ่งเป็นสองเกาะใหญ่ และมีเกาะบริวารได้แก่ เกาะรี (เกาะสต๊อร์ค) เกาะไข่ (เกาะตอรินลา) และเกาะกลาง (เกาะปาจุมบา)

ล่าสุด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 แฟนเพจของอุทยานฯ ได้โพสต์ภาพยั่วยวนใจนักท่องเที่ยวผู้หลงรักความงามของท้องทะเล โดยเป็นบริเวณ "อ่าวช่องขาด"ชายหาดขาว ทะเลสดใสสีมรกต ซึ่งเป็นจุดที่มีปะการังและฝูงปลาหลากชนิด มีดอกไม้ทะเลอยู่หลายจุด เป็นที่อยู่ของปลาการ์ตูนที่แหวกว่ายอยู่กลางกอดอกไม้ทะเล จนทำให้หลายๆ คนเรียกอ่าวช่องขาดด้วยชื่อเล่นว่า "อ่าวนีโม"

รวมถึงโลกใต้น้ำบริเวณ "อ่าวสุเทพ" ซึ่งเป็นจุดดำน้ำที่พบสัตว์เกือบทุกชนิด ด้านในเป็นปะการังขนาดเล็ก ด้านนอกเป็นปะการังก้อนขนาดใหญ่ ขึ้นสลับกับปะการังแผ่นขนาดใหญ่มาก ขอบแนวปะการังลดลงสู่พื้นทราย ความลึกประมาณ 15 เมตร มีปะการังอ่อนกัลปังหาเล็กน้อย หอยมือเสือ และปลาสวยงาม การดำน้ำที่อ่าวสุเทพมีความปลอดภัยมากเพราะมีกระแสน้ำน้อยมาก ยกเว้นบางช่วงที่มีคลื่นลมจากทางตะวันตกหรือทางเหนือ

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เปิดให้ท่องเที่ยวทุกวันที่ 15 ตุลาคม - 15 พฤษภาคมของทุกปี

จองที่พักออนไลน์ระบบกรมอุทยานฯได้ที่ : https://nps.dnp.go.th/reservation.php?option=home

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
1. Facebook Inbox: @MukosurinNP

2.ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ (บนฝั่ง) ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา
โทร 076-472145 , 076-472146


https://mgronline.com/travel/detail/9670000015278

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 20-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


นักท่องเที่ยวฟ้องโซเชียลขยะเกลื่อน ห้องน้ำสกปรก แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง "เขาขนาบน้ำ" จ.กระบี่



กระบี่ - นักท่องเที่ยวถ่ายถาพฟ้องโซเชียล พบขยะเกลื่อน ห้องน้ำสกปรก บริเวณแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังสัญลักษณ์ จ.กระบี่ "เขาขนาบน้ำ" พบต้นเหตุมาจากลิง

ขณะนี้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้มีการโพสต์ ภาพของขยะชนิดต่างๆ ที่ถูกทิ้งกลาดเกลื่อนบริเวณเขาขนาบน้ำ แหล่งท่องเที่ยวสัญลักษณ์ของจังหวัดกระบี่ ตั้งตระหง่านอยู่หน้าเมืองกระบี่ ม.4 ต.คลองประสงค์ อ.เมือง จ.กระบี่ พร้อมข้อความว่า ?อยากทราบว่าเขาขนาบน้ำหน่วยไหนเป็นผู้รับผิดชอบ มันไม่สะอาดเลย จำได้เมื่อก่อนสะอาดมาก แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม พานักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวชมความงามสัญลักษณ์ของจังหวัดกระบี่อายมาก ห้องน้ำใช้ไม่ได้ ขยะล้น?

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามผู้โพสต์ระบุ ว่า จากภาพที่เห็นเหมือนไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ขณะที่สภาพห้องน้ำสกปรก โดยที่ผ่านมาทราบว่าในการพัฒนาเขาขนาบน้ำ ทางจังหวัด ได้ทุ่มงบประมาณหลายล้านบาท ในการเนรมิตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยให้สกปรก ขาดการดูแล

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไกด์นำเที่ยวรายหนึ่งทราบว่า เขาขนาบน้ำกระบี่ ปัจจุบันไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแล และจัดเก็บขยะทำความสะอาด สำหรับขยะที่ถูกทิ้งกลาดเกลื่อนบริเวณเขาขนาบน้ำ เกิดจากลิงแสม ที่หากินอยู่บริเวณดังกล่าวได้รื้อค้นถุงขยะที่นักท่องเที่ยวใส่ไว้ในถุงดำวางไว้เพื่อหาอาหารกิน

ส่วนห้องน้ำที่สกปรกเกิดจากลิงเข้าไปกินน้ำ ในห้องน้ำ เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าไปใช้ต้องทำความสะอาดเองก่อน จึงจะทำธุระส่วนตัวได้ หากว่าหน่วยงานที่เกี่ยวเข้าไปดูแลเชื่อว่าจะทำให้เขาขนาบน้ำน่าเที่ยวมากขึ้น


https://mgronline.com/south/detail/9670000015151

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 20-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'วาฬ' ฮีโร่กู้วิกฤตโลกร้อน แหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่



ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ พบว่า มหาสมุทรนั้นเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าชั้นบรรยากาศถึง 50 เท่า และสัตว์ที่ช่วยกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมหาศาลก็คือ 'วาฬ' นั่นเอง


- วาฬเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนที่ใหญ่โตและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวาฬที่มีขนาดใหญ่ ปกติวาฬจะมีอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 60 ปี ซึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งสามารถสะสมก๊าซคาร์บอนได้ถึง 33 ตัน

- ซากวาฬลงสู่มหาสมุทร เรียกกลไกนี้ว่า 'carbon sink' อีกหนึ่งกลไกที่ดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ชั้นบรรยากาศได้มีประสิทธิภาพมาก

- ปัจจุบัน วาฬที่มีอยู่ราว 1.3 ล้านตัว หากเพิ่มให้เป็น 4-5 ล้านตัวได้ จะสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1.7 ล้านล้านตันต่อปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายการอนุรักษ์วาฬตกอยู่ที่คนละ 500 บาทต่อปี


จากการวิจัยพบว่าตลอดชีวิตของวาฬซึ่งมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 60 ปีนั้นสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 33 ตัน ซึ่งเมื่อมันตาย ร่างของมันที่กักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์นั้นก็จะจมลงสู่ใต้ทะเลลึก

ขณะที่ถ้าเทียบกันกับต้นไม้อายุประมาณ 60 ปีนั้น สามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1.3 ตัน ซึ่งพบว่าวาฬกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นไม้ถึง 25 เท่าเลยทีเดียว

นอกจากความสามารถในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว มูลของวาฬยังมีทั้งธาตุเหล็กและไนโตรเจนซึ่งเป็นอาหารชั้นดีให้กับแพลงก์ตอนพืช ซึ่งแพลงก์ตอนพืชนั้นผลิตออกซิเจนได้มากถึง 50%ของชั้นบรรยากาศโลก และสามารถดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างน้อย 37,000 ล้านตันต่อปีหรือมากกว่าป่าแอมะซอนถึง 4 เท่า ไม่เพียงเท่านั้น


ทำไม? วาฬ ถึงเป็นฮีโร่กู้โลก

มนุษย์รู้จักวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่าวาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่าวาฬมิใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัวและเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนมตามปกติวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อนลูกวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน

เนื่องจากนมวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกปลาวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์วาฬก่อนคลอดลูก เราจะพบว่าลูกวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา

เมื่อดูเผินๆ วาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโดหรือในทางตรงกันข้าม ตอร์ปิโดก็ดูคล้ายวาฬ มันมีศรีษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลาหมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉพาะวาฬพิฆาต (Orcunus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น

นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า วาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าวาฬสามารถกลั้นลมปราณได้นานเป็นชั่วโมงและออกซิเจนมิได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียวแต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ


เร่งอนุรักษ์ปลาวาฬ ช่วยลดก๊าซคาร์บอน

ทุกวันนี้วาฬกำลังถูกไล่ล่าฆ่ามากมาย ซึ่งวาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวาฬนี้จะสูญพันธุ์ ในอีก 200 ปีข้างหน้า

จากการคำนวณพบว่าอัตราการอยู่รอดของวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2523 นั้น พบว่า จำนวนประชากรของวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้น จำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่วาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนวาฬจึงได้ลดลงทุกปี

ทั้งที่ เมื่อวาฬตายลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านั้นจะจมลงไปยังก้นมหาสมุทรพร้อมกับร่างของวาฬและถูกเก็บอยู่ในนั้นเป็นเวลาหลายร้อยปี เรียกกลไกนี้ว่า 'carbon sink' เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ชั้นบรรยากาศได้มีประสิทธิภาพมาก

ซากวาฬที่จมลงสู่ทะเลลึกยังมีประโยชน์ เพราะสามารถกลายมาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลลึก จากการวิจัยยังพบอีกด้วยว่า ซากวาฬ 1ตัวนั้นสามารถเป็นแหล่งอาหาร และที่อยู่สำหรับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลได้มากถึง 200 ชนิด

ในปัจจุบัน นักวิจัยเลยให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์วาฬเป็นอย่างมากเพราะมีข้อมูลว่าจำนวนวาฬทั่วโลกนั้น ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 1.3 ล้านตัวเท่านั้น และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆ เราทุกคนก็มีส่วนช่วยด้วยได้ด้วยการลดภัยอันตรายที่จะเกิดกับวาฬทั้งเรื่องการล่าวาฬหรือ ลดการทิ้งพลาสติกหรือขยะลงสู่ท้องทะเล


'วาฬ' แก้วิกฤตภาวะโลกร้อนได้มากกว่าต้นไม้

รายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ในหัวข้อ Nature?s Solution to Climate Change ระบุว่า ?วาฬ? หรือที่นิยมเรียกว่าวาฬ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมหาสมุทร คือพระเอกอีกคนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยกู้วิกฤตภาวะโลกร้อน

"หากต้นไม้มีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 2.4 ตัน ซึ่งยังคงเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าความสามารถของวาฬ"

นอกจากนี้ วาฬ ยังเป็นสิ่งมีชีวิตสารพัดประโยชน์ต่อโลก เพราะมูลของวาฬที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กยังเป็นปุ๋ยชั้นดีให้แก่พืชในท้องทะเล และเป็นอาหารให้ไฟโทแพลงก์ตอน (Phytoplankton) หรือแพลงก์ตอนพืช ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศอย่างมาก ในฐานะผู้ผลิตปฐมภูมิของห่วงโซ่และผู้ผลิตออกซิเจนมากถึงร้อยละ 50?80 ในชั้นบรรยากาศโลก

นอกจากนี้ แพลงตอนในมหาสมุทรยังสามารถดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างน้อย 37,000 ล้านตันต่อปี หรือมากกว่าป่าอะเมซอนถึง 4 เท่า

IMF กล่าวว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระดับนี้ต้องใช้ต้นไม้ที่เจริญเติบโตเต็มที่ถึง 1.7 ล้านล้านล้านต้นในการดูดซับ คิดเป็นป่าอเมซอนถึง 4 ผืน


'ปั๊มวาฬ' กระบวนการดูดซับคาร์บอนช่วงเวลาที่วาฬมีชีวิตอยู่

'วาฬ'ยังถือเป็นพันธมิตรสำคัญต่อการปกป้องโลก มันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จึงกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาลไว้ในร่างกาย แล้วเมื่อพวกมันตายและจมสู่ใต้ทะเล ซากของพวกมันจะจมอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายศตวรรษ

ไม่เพียงเท่านั้น วาฬจะช่วยดูดซับคาร์บอนในช่วงเวลาที่มันมีชีวิตอยู่ ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า 'ปั๊มวาฬ' โดยวาฬที่หาอาหารในทะเลลึก จำเป็นต้องว่ายขึ้นมาสู่ผิวน้ำ เพื่อหายใจและขับถ่าย มูลของวาฬมีสารอาหารสูง และเป็นปุ๋ยสำหรับการเติบโตของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เหมือนต้นไม้ในป่า

แต่เช่นเดียวกับฉลาม ประชากรวาฬลดหายไปมาก สายพันธุ์วาฬขนาดใหญ่ 6 จาก 13 สายพันธุ์ จัดเป็นสัตว์ที่เสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ ตามข้อมูลขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF


'สัตว์ปก' มีอิทธิพลต่อการกักเก็บคาร์บอนของป่า

อย่างไรก็ตาม นอกจาก วาฬ แล้ว สัตว์ปกก็มีความสำคัญในการช่วยโลกไม่แพ้กัน โดยในงานศึกษาตีพิมพ์เมื่อปี 2016 เขารายงานว่า หมาป่าที่อาศัยอยู่ในป่าเขตหนาวของแคนาดา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคาร์บอน ซิงค์ที่สำคัญที่สุดของโลก มีอิทธิพลโดยตรงต่อศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของป่า

หมาป่าทำเช่นนี้ได้ ผ่านการควบคุมพฤติกรรมการหาอาหาร และจำนวนประชากรของสัตว์กินพืช ที่ส่งผลต่อชนิดและปริมาณของพืชที่เติบโต

ในระบบนิเวศที่แตกต่าง การมีสัตว์กินพืชขนาดใหญ่จำนวนมาก อาจเป็นผลดีมากกว่า เช่น ช้างป่าแอฟริกัน ที่ถือเป็น 'คนสวน' ที่ช่วยในการกักเก็บคาร์บอนในสภาพแวดล้อมเขตร้อน ด้วยการหาอาหารแล้วขับถ่าย ซึ่งมูลของมันก็ช่วยในการเติบโตของต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าต้นไม้ขนาดเล็ก

ส่วนบริเวณขั้วโลกเหนือ หรืออาร์กติก วัวชะมด มี 'อิทธิพลสูง'ในการยับยั้งปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ด้วยการปกป้องดินที่ถูกแช่แข็ง วิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พลวัตการปลดปล่อยคาร์บอนหรือการกักเก็บคาร์บอน สามารถเปลี่ยนไปได้จากการดำรงอยู่หรือการหายไปของสัตว์

อ้างอิง : BBC NEWS ไทย ,nationalgeographic ,EveryGreen


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1113897

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 20-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ต้นตอวิกฤต "หญ้าทะเล" จ.ตรัง ระบบนิเวศเปลี่ยน หรือ มือมนุษย์



กรมทะเลฯ ระดมนักวิชาการสำรวจหญ้าทะเล สัตว์ทะเลหายาก และ สมุทรศาสตร์ เร่งสรุปหาสาเหตุหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ในพื้นที่ จ.ตรัง พร้อมแนวทางการอนุรักษ์ฟื้นฟู ขณะที่ชาวบ้านห่วงรายได้ นักท่องเที่ยวหด พะยูนย้ายถิ่น

"หญ้าทะเล" เป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ทะเลนานาชนิด ทั้งขนาดเล็ก และสัตว์ทะเลขนาดใหญ่อย่างพะยูน และเต๋าทะเล รวมทั้งเป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อนสัตว์น้ำ

จ.ตรัง และ จ.กระบี่ ถือเป็นแหล่งหญ้าทะเลขนาดใหญ่ของทะเลอันดามัน แต่ตั้งแต่ปี 2562 แหล่งหญ้าทะเลมีความเสื่อมโทรม กินพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ จนถึงวันนี้ยังหาวิธีป้องกันและฟื้นฟูไม่ได้

ความเสื่อมโทรมนี้เกิดจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและจากมนุษย์เอง


กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) โดยคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณ จ.ตรัง และ จ.กระบี่ ลงพื้นที่ติดตามและสำรวจสถานภาพหญ้าทะเล พื้นที่เกาะลิบง และเกาะมุกด์ จ.ตรัง เพื่อติดตามสถานการณ์หญ้าทะเลเสื่อมโทรม พร้อมเก็บตัวอย่างน้ำทะเล หญ้าทะเล และตะกอนดิน นำไปตรวจสอบหาสาเหตุความเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล


โดยแบ่งทีมออกสำรวจระบบนิเวศทางทะเล ประกอบด้วย

- ทีมสำรวจหญ้าทะเล
- ทีมสำรวจสัตว์ทะเลหายาก
- ทีมสำรวจสมุทรศาสตร์และสิ่งแวดล้อม


เกาะลิบง พบตะกอนดินทรายเพิ่ม

จากการลงพื้นที่สำรวจแหลมจูโหย เกาะลิบง ได้ข้อสรุปว่าหญ้าคาทะเลมีสภาพเสื่อมโทรม มีร้อยละการปกคลุมพื้นที่น้อย โดยหญ้าคาทะเลมีลักษณะปลายใบขาดสั้น และบางส่วนยืนต้นตาย สาเหตุหลักอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของอนุภาคตะกอนดิน พบพื้นทะเลมีลักษณะขนาดอนุภาคตะกอนดินโคลนลดน้อยลง ตะกอนทรายเพิ่มมากขึ้น

ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสมุทรศาสตร์ คือ ระดับน้ำทะเลมีการลดระดับมากกว่าปกติและมีระยะเวลานานขึ้น จึงทำให้เกิดการผึ่งแห้งของหญ้าทะเลนานมากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้หญ้าทะเลอ่อนแอลงได้


เกาะมุกด์หญ้าใบมะกรูดสมบูรณ์

สำหรับพื้นที่เกาะมุกด์ บริเวณด้านใกล้ชายฝั่งเกาะมุกด์ มีหญ้าใบมะกรูดสมบูรณ์ มีการปกคลุมพื้นที่ 70-80% พบรอยกินของพะยูน แต่พบหญ้าคาทะเลเสื่อมโทรมลง ใบขาดสั้นเช่นเดียวกับหญ้าทะเลบริเวณเกาะลิบง


อช.ระดมนักวิชาการหาสาเหตุ

"สันนิษฐานสาเหตุของหญ้าทะเลเสื่อมโทรม คือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เชื่อมโยงกับการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล"

นางสุมนา ขจรวัฒนากุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่าช่วงที่ผ่านมา มีการลงของน้ำทะเลค่อนข้างมาก ระยะน้ำลงจากฝั่งหากเพิ่มขึ้น 5-6 เมตร ระยะเวลาน้ำลงจะนานขึ้น ทำให้การผึ่งแห้งของหญ้าทะเลได้รับแสงแดดนานขึ้นอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หญ้าอ่อนแอ อาจจะทำให้ติดโรคและเกิดการเสื่อมโทรมได้

"จากเหตุที่หญ้าผึ่งแห้งนาน ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนแอ โอกาสที่จะติดโรคอาจจะมีมากขึ้น ซึ่งเชื้อโรคจำพวกนี้มีตามปกติอยู่แล้ว"

นางสุมนา ยังกล่าวว่าการฟื้นฟูหญ้าทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย ยังมีปัจจัยภายนอกที่ทำให้สภาวะไม่เหมาะสม และต้องหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดความเสื่อมโทรม

แต่สิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่ คือการแหล่งหญ้าทะเลในพื้นที่อื่นๆ ใน จ.ตรัง ที่สามารถที่เป็นแหล่งอาหารรองรับให้กับสัตว์ทะเลหายาก

ปัญหาที่เกิดขึ้น ยังส่งผลกระทบกับชาวบ้าน ที่ขาดแคลนรายได้จากการทำประมง ซึ่งต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะส่งเสริมอาชีพของชาวประมงเพื่อให้มีรายได้มาทดแทน

ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่า พ.ศ.2566 ในพื้นที่ จ.ตรัง พบพะยูนเกยตื้นทั้งหมด 23 ตัว เจ้าหน้าที่สามารถช่วยชีวิตได้ 4 ตัว จากการตรวจสอบพะยูนที่ตาย พบร่างกายแข็งแรง ในกระเพาะพบหญ้าทะเล ซึ่งสาเหตุไม่ได้เกิดจากการอดอาหาร แต่เป็นการป่วยตาย


ปรากฏการณ์ IOD เรื่องใกล้ตัว

ผศ.ดร.ธนัสพงษ์ โภควนิช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่าอีกหนึ่งสมมุติฐานที่อาจเป็นสาเหตุของหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ Indian Ocean Dipole (IOD) มีสถานะเป็นบวก (positive) กับเอลนีโญ ที่มหาสมุทรแปซิฟิก IOD Positive ที่มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งจะส่งผลให้น้ำทะเลต่ำ ซึ่งจะผลเป็นลูกโซ่ จะทำให้น้ำจากใต้ดินไหวรุนแรงมากขึ้น จึงทำให้สารพิษที่ฝังอยู่ใต้ดิน ขึ้นมาใกล้ผิวน้ำมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หญ้าอ่อนแอ และตายได้ ซึ่งสเต็ปต่อไปก็ต้องพิสูจน์สมมุติฐาน

นอกจากนี้ IOD Positive กับ ENSO ไม่ได้ส่งผลแค่ระดับน้ำอย่างเดียวยังส่งผลต่อระดับน้ำ อาจส่งผลทำให้ฝนตกมากขึ้นซึ่งปริมาณฝนที่ตกมากขึ้นทำให้น้ำทะเลที่จืดลง

"เมื่อน้ำทะเลจืดลงก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อหญ้าทะเลด้วย ซึ่งต้องไปทำข้อมูลย้อนหลังเก็บข้อมูลทุติยภูมิ"


เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน

"ช่วงนี้ของทุกปี จะเป็นช่วงที่น้ำลง แต่ปีนี้น้ำลงเยอะและกว่าน้ำจะขึ้นอีกรอบใช้เวลานานกว่าทุกปี"

ชาวบ้านเกาะลิบง เปิดเผยว่า สมัยก่อนหน้านี้ 4-5 ปี พื้นที่นี้ชาวบ้านยังสามารถเก็บหอยชักตีน หอยแครง ปลิงดำ สร้างรายได้ แต่ในปัจจุบันสัตว์น้ำดังกล่าว ลดน้อยลง อย่างการเก็บหอยชักตีนจะสามารถเก็บได้ 5-6 กิโลกรัมต่อ 1 ชั่วโมง แต่ตอนนี้ได้วันละไม่ถึงครึ่งกิโลกรัม

ส่วนนักท่องเที่ยวในปีนี้ลดลง 20% เพราะเกาะลิบงขึ้นชื่อเรื่องปลาพะยูน เมื่อหญ้าทะเลหดหายไป นักท่องเที่ยวก็จะไม่มาท่องเที่ยว ทำให้ปีนี้นักท่องเที่ยวลดลง 20%

"หญ้าทะเลในปัจจุบันในพื้นที่มีจำนวนน้อยมาก ซึ่งกลัวว่าจะส่งผลให้พะยูนย้ายถิ่นหากิน"

ทั้งนี้ชาวบ้านกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้น อยากจะให้เร่งหาเหตุที่แท้จริง ซึ่งทางชาวบ้านพร้อมช่วยกันฟื้นฟูและอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเลด้วย

สำหรับสถานการณ์หญ้าทะเลในพื้นที่ เกาะลิบง มีพื้นที่หญ้าทะเล 15,457 ไร่ จากการสำรวจเมื่อปี 2563 มีพื้นที่หญ้าทะเลเสื่อมโทรม 7,997 ไร่ ทั้งนี้เมื่อ ก.พ.2566 เปอร์เซ็นต์การปกคลุมลดลงจาก 24% ในเดือน ธ.ค.2566เหลือเพียง 9%

ส่วนพื้นที่เกาะมุกด์ มีพื้นที่หญ้าทะเล 9,017 ไร่ จากการสำรวจเมื่อปี 2566 มีพื้นที่หญ้าทะเลเสื่อมโทรม 6,910 ไร่ ทั้งนี้เมื่อ ก.พ.2566 เปอร์เซ็นต์การปกคลุมลดลงจาก 51% ในเดือน ธ.ค.2566เหลือเพียง 14%


https://www.thaipbs.or.th/news/content/337177

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 20-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา 14 ตัวสุดท้าย ตายอีก 1 เจ้าหน้าที่หาทางดูแลที่เหลือ




SHORT CUT

- โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา 14 ตัวสุดท้าย ตายไปอีก 1 ตัว เจ้าหน้าที่กำลังชันสูตรและหาวิธีดูแลโลมาอิรวดีที่เหลือ

- แหล่งน้ำจืดที่ยังคงมีโลมาอิรวดีอยู่มีเพียงแค่ 5 แห่งบนโลกเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ ทะเลสาบสงขลา

- สาเหตุการตายส่วนใหญ่ของโลมาอิรวดีเกิดจากฝีมือมนุษย์ เช่น ชนใบพัดเรือ ติดอวน รวมถึงตะกอนจากบนบกที่มากเกินไป


โลมาอิรวดีสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งตอนนี้จำนวนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ล่าสุดโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาที่เหลืออยู่เพียง 14 ตัว สุดท้าย ได้ตายลงไปอีก 1 ตัว เจ้าหน้าที่ได้พยายามหาทางดูแลโลมาที่เหลือ

ข่าวน่าเศร้าเกี่ยวกับโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา 14 ตัวสุดท้าย ตอนนี้ตายลงไปอีก 1 ตัว เจ้าหน้าที่กำลังชันสูตรหาสาเหตุและหาวิธีดูแลโลมาอิรวดีที่เหลือ


เพจ Facebook ของ ThaiWhales ได้โพสต์ข้อความแจ้งข้าวร้ายเกี่ยวกับการสูญเสียโลกมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาไป 1 ตัว จาก 14 ตัวสุดท้าย


"ข่าวเศร้าที่สุด

ลุงนวย อุทัย ยอดจันทร์ ชมรมอนุรักษ์โลมาอิรวดี vdo call มาแต่หัวเช้าวันนี้ และ ถามว่า เราอยู่ไหน อยู่สงขลามั๊ย และ ถ่ายมาเจอภาพนี้

"เราสูญเสียโลมาอิรวดี #TheLast14 ไปอีกหนึ่งตัวแล้ว

ลุงนวยคงเห็นเราหน้าเสีย เลยบอกเราว่า อย่าเศร้าไปเลย เรานึกในใจว่า ลุงนวยที่ช่วยเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลเรื่องโลมาในทะเลสาบสงขลานี้มาไม่ต่ำกว่า 30 ปี ทั้งการพบเห็น และ การพบซากโลมา กี่ครั้งแล้วที่ลุงนวยต้องพูดคำนี้กับตัวเอง ?อย่าเศร้าไปเลย?

ในขณะที่ชาวบ้าน ชาวประมง เครือข่ายคนรักโลมา รวมถึงเจ้าหน้าที่จากหลายๆทีม กำลังเป็นกังวลและพยายามหาทางช่วยดูแลโลมาและฟื้นฟูทะเลสาบสงขลา เวลาของโลมา 14 ตัวสุดท้าย ก็เหลือน้อยลงทุกวัน

คุณลุงนวยแจ้งเจ้าหน้าที่ทช. และ เขตห้ามล่าแล้ว รอผลชันสูตรจากทีมสัตวแพทย์อีกทีค่ะ

ขอบคุณ - คุณลุงนวย อุทัย ยอดจันทร์ ที่ส่งข่าวและส่งข้อมูลมาให้ค่ะ เป็นกำลังใจให้ลุงและเจ้าหน้าที่ทุกคนนะคะ"


รู้จักโลมาอิรวดี

โลมาอิรวดี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม และยังเป็นสัตว์ทะเลหายากที่พบเจอได้แค่ในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนของอเมริกาใต้

โดยแหล่งน้ำจืดที่ยังคงมีโลมาอิรวดีอยู่ มีเพียงแค่ 5 แห่งบนโลกเท่านั้น คือ อินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา และไทย คือทะเลสาบสงขลา สำหรับประเทศไทยโลมาอิรวดีเคยกระจายตัวอยู่ในอ่าวไทยและทะเลอันดามันนับร้อยตัว แต่ตอนนี้เหลือเพียง 13 ตัวเท่านั้นในทะเลสาบสงขลา


การตายส่วนใหญ่ของโลมาอิรวดีมาจากมนุษย์

สาเหตุการตายส่วนใหญ่ของโลมาอิรวดีเกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น โลมาอิรวดีชนใบพัดเรือ, ถูกรัดโดยอวนประมงจนว่ายไม่ได้, อัตราการเติบโตของการทำประมงมีมากขึ้น ก่อให้เกิดการแย่งชิงอาหารของโลมาด้วย หรือแหล่งน้ำที่มีตะกอนจากบนบกมากเกินไป และด้วยปริมาณที่เหลือน้อยเต็มทีทำให้เกิดการผสมพันธุ์กันในเครือญาติ ทำให้โลมารุ่นใหม่อ่อนแอ

ที่มา : Facebook ThaiWhales


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/847955

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:26


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger