เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 09-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is online now
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,107
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2-6 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนแล้ว ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลสุขภาพจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงโดยอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง จนถึงวันที่ 13 ม.ค. 64


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็นกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-29 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 9 - 12 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลงต่อเนื่อง 5-8 องศาเซลเซียส กับมีอากาศหนาวเย็นลงและมีลมแรงโดยเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในวันถัดไป

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 14 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนลง ทำให้ฝนลดลงและคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 9 - 12 ม.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับภาคใต้ฝั่งตะวันออกขอให้ประชาชนบริเวณที่อาศัยอยู่ตามบริเวณชางฝั่งระมัดระวังอัตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง และชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่ง



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบนและคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 12 มกราคม 2564)" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 09 มกราคม 2564

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนแล้ว ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลง กับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2-6 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภู มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณชายฝั่งภาคใต้ ฝั่งตะวันออก ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง จนถึงวันที่ 13 ม.ค. 64












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 09-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is online now
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,107
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ผลวิจัยชี้มลพิษทางอากาศ ทำหญิงเอเชียใต้มีอัตราแท้งสูง



จากการศึกษาครั้งใหม่ในวารสาร The Lancet Planetary Health นักวิจัยพบว่า มลพิษจากฝุ่นละอองในอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศอาจอยู่เบื้องหลังทารกตายในครรภ์และการแท้งบุตรหลายแสนคนต่อปี ดร.เทาซู่ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งของจีน กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลการสำรวจสุขภาพและครัวเรือนตั้งแต่ปี 2541-2559 จากผู้หญิงในอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศที่สูญเสียการตั้งครรภ์อย่างน้อยหนึ่งครั้งและการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง ผู้หญิงในเอเชียใต้มีอัตราการสูญเสียการตั้งครรภ์สูงที่สุด และเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีมลพิษ PM 2.5 มากที่สุดในโลก คุณภาพอากาศที่ไม่ดีอาจเป็นสาเหตุของการสูญเสียการตั้งครรภ์ในภูมิภาคนี้

PM 2.5 ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กมากในอากาศที่เป็นพิษ มีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ปัญหาระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และพัฒนาการทางสมองในเด็ก พัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์มารดา และมลพิษอย่างคาร์บอนมอนอกไซด์ยังมีส่วนเกี่ยวกับทารกตายในครรภ์และการแท้งที่เกิดขึ้นเอง PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรยังเพิ่มโอกาสในการแท้งอีก 3% ผู้หญิงสูงอายุในชนบทหรือหญิงสาวจากเมืองใหญ่มีความเสี่ยงมากที่สุด นักวิจัยยังคาดว่าตั้งแต่ปี 2543-2559 การสูญเสียการตั้งครรภ์ 349,681 ครั้ง เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศที่เกินมาตรฐานของอินเดีย นับเป็น 7% ของการแท้งทั้งหมดในภูมิภาคในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้ยังพบว่ามลพิษทางอากาศของอินเดียส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1.67 ล้านคนในปี 2562 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในโลก.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2008623

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 09-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is online now
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,107
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ทำลายสถิติแม่เต่ามะเฟืองพาเหรดขึ้นวางไข่พังงา-ภูเก็ตแล้ว 14 รัง



พังงา - ทำลายสถิติการขึ้นวางไข่ของแม่เต่ามะเฟือง ล่าสุด ในพื้นที่พังงา-ภูเก็ต พบมาวางไข่แล้ว 14 รัง มากกว่าช่วงเดียวกันกับฤดูกาลที่ผ่านมา ขณะที่ลูกเต่ามะเฟืองรังที่ 3 ฟักออกจากไข่อีก 90 ตัว

สำหรับสถานการณ์การขึ้นวางไข่ของแม่เต่ามะเฟือง ที่พาเหรดกันขึ้นมาวางไข่ในช่วงฤดูกาลนี้ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ประมาณเดือน พ.ย.63 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้พบว่าเป็นตัวเลขที่ดีมาก แม่เต่ามะเฟืองทยอยขึ้นมาวางไข่อย่างต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้พบว่ามีแม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่แล้ว จำนวน 14 รัง ทั้งในพื้นที่จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต โดยขณะนี้มีไข่เต่ามะเฟืองที่ฟักออกจากไข่แล้วจำนวน 3 รัง

อย่างไรก็ตาม สำหรับการพบแม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่รังที่ 14 ซึ่งเป็นรังล่าสุด นั้น ทางเจ้าหน้าที่กรม ทช. โดยศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟืองหาดบางขวัญ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา พบแม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยจุดที่วางไข่อยู่ห่างจากหลุมไข่รังที่ 1 ไปทางทิศใต้ประมาณ 120 เมตร นับเป็นรังที่ 14 ของฤดูกาลนี้ และเป็นรังที่ 9 ของหาดบางขวัญแห่งนี้



เจ้าหน้าที่ได้วัดขนาดรอยพบความยาวจากพายซ้ายไปพายขวา 210 ซม. ความกว้างช่วงอก 100 ซม. คาดว่าเป็นแม่เต่ามะเฟืองตัวเดิมที่เคยขึ้นวางไข่ที่หาดบางขวัญแล้วหลายครั้ง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขุดตรวจสอบหลุมวางไข่ พบที่ระดับความลึก 70 ซม. อยู่ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม จึงไม่มีการย้ายรัง จากนั้นจึงติดตั้งเครื่องมือวัดอุณหภูมิ จัดทำคอกไม้ไผ่ และเฝ้าระวังและรักษาความปลอดภัย รอลูกเต่ามะเฟืองฟักในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2564 ต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าการขึ้นวางไข่ของเต่ามะเฟืองในพื้นที่จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ตพบว่า ฤดูกาลนี้ได้มีการทำลายสถิติการวางไข่เกิดขึ้น เนื่องจากในช่วงฤดูกาลการวางไข่ของเต่ามะเฟืองของปีที่ผ่านมา พบว่ามีเต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ จำนวน 13 รัง แต่ปีนี้มีแม่เต่าขึ้นมาวางไข่แล้ว จำนวน 14 รัง และคาดว่าจะยังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น



นอกจากนั้น ในช่วงวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา มีเรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้น เนื่องจากลูกเต่ามะเฟืองรังที่ 3 ที่แม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่บริเวณหาดบางขวัญ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 63 ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่ขุดหาจุดที่แม่เต่าวางไข่ไม่พบ จึงได้แต่ล้อมรั้วไว้ จนครบ 58 วัน ได้ฟักออกจากไข่แล้วทยอยเดินลงทะเลรวม 90 ตัว ส่วนไข่ที่เหลือในรังเป็นไข่ที่มีจำนวนไม่ได้รับการผสม 19 ฟอง และไข่ลมอีก 25 ฟอง รวมไข่รังนี้ 134 ฟอง


https://mgronline.com/south/detail/9640000001663


*********************************************************************************************************************************************************


งานวิจัยพลาสติกที่น่าสะพรึง! พบไมโครพลาสติกในรกของหญิงตั้งครรภ์



เมื่อไม่นานนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบไมโครพลาสติกอยู่ในรกของหญิงตั้งครรภ์ ถึงแม้ยังไม่ทราบผลกระทบที่แน่ชัด แต่ก็เป็นการค้นพบที่น่าวิตกกังวลมาก

เพราะอนุภาคเล็กๆ ของไมโครพลาสติกอาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในระยะยาว เช่นอาจไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของทารกในครรภ์ ไม่ว่าคนเป็นแม่บริโภคหรือหายใจเข้าไปก็ตาม

จากการศึกษาพบอนุภาคไมโครพลาสติกในหญิงตั้งครรภ์ทั้ง 4 คนที่ตั้งครรภ์และคลอดลูกตามปกติ โดยพบอนุภาคในรกของทั้งฝั่งเด็ก และคุณแม่ รวมถึงพังผืดที่พัฒนาตัวเด็กตอนยังอยู่ในครรภ์

ด้วยขนาดของไมโครพลาสติกที่เล็กเพียง 10 ไมครอน หรือเท่ากับ 0.01 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้มันสามารถแทรกซึม และไหลเวียนไปกับกระแสเลือดของมนุษย์เราได้

จากงานวิจัยที่พบไมโครพลาสติกนั้น นักวิจัยทำการศึกษาไปเพียง 4% ของแต่ละรกเท่านั้น แต่คาดว่าจำนวนไมโครพลาสติกทั้งหมดอาจะอยู่ในปริมาณที่สูงกว่านั้น

ข้อสรุปจากงานวิจัยล่าสุด กล่าวว่า "เนื่องจากรกมีความสำคัญต่อการพัฒนาของทารกขณะตั้งครรภ์ และยังทำหน้าที่เชื่อมต่อทารกกับสิ่งเเวดล้อมภายนอก การค้นพบอนุภาคไมโครพลาสติกนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างมาก แต่ยังจะต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ว่าไมโครพลาสติกจะส่งผลต่อระบบร่างกาย หรือเป็นอันตรายอย่างไร"

ปีที่ผ่านมา งานวิจัย No Plastic in Nature: Assessing Plastic Ingestion from Nature to People ที่ WWF ร่วมทำกับมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย พบว่า :

"มนุษย์บริโภคพลาสติกขนาดเล็กเข้าสู่ร่างกายประมาณ 5 กรัมต่อสัปดาห์ หรือเทียบเท่ากับบัตรเครดิต 1 ใบ คิดเป็นปริมาณพลาสติกกว่า 2,000 ชิ้น หรือ 21 กรัมต่อเดือน หรือ 250 กรัมต่อปี"

ปัจจุบัน ชีวิตประจำวันของเรานั้นรายล้อมไปด้วยผลิตภัณฑ์พลาสติก เราบริโภค และหายใจเอาอนุภาคเล็กๆ ของไมโครพลาสติกเข้าร่างกายโดยไม่รู้ตัว นอกจากการช่วยกันลดใช้พลาสติกแล้ว การกำจัดและรีไซเคิลพลาสติกหลังใช้งานอย่างถูกต้องก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน




https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000001912

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 09-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is online now
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,107
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


โควิด-19 : ผลกระทบที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ



เมื่อโควิด-19 ทำให้เกิดการล็อกดาวน์ขึ้นทั่วโลก การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซเรือนกระจกตัวสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ลดต่ำลงอย่างมาก แต่นี่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นหรือจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

โควิด-19 เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา มีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นทั่วโลก ผู้คนขับขี่ยวดยานพาหนะลดลง มีการระงับเที่ยวบินจำนวนมาก และอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลง

คุณอาจเห็นถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้นกับคุณภาพอากาศในเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดบางแห่ง แต่สิ่งที่คุณมองไม่เห็นอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การปล่อย CO2 ลดต่ำลง เพราะการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ ปริมาณ CO2 ที่ลดน้อยลงในรอบนี้ลดลงมากกว่าที่เคยเกิดในช่วงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาในอดีตรวมถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟังดูเหมือนจะเป็นข่าวดีสำหรับสภาพภูมิอากาศของเรา แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น

ถ้าลองเปรียบการปล่อยคาร์บอนว่าเป็นการเปิดน้ำจากก๊อกลงอ่างอาบน้ำ ปีนี้ ก๊อกน้ำเปิดไม่ได้เต็มที่ น้ำ หรือว่า CO2 ไหลช้าลง แต่ก็ยังทำให้น้ำเต็มอ่างได้อยู่ดี

ความจริง ในช่วงที่มีการล็อกดาวน์มากที่สุดการกระจุกตัวของ CO2 ในชั้นบรรยากาศ เพิ่มขึ้นไปถึงระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์มนุษย์


ช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาเปิดตัวอีกครั้ง แนวโน้มการปล่อย CO2 ก็กลับมาเพิ่มขึ้นด้วย

พืชและน้ำทะเลช่วยดูดซับ CO2 ไว้ แต่ต้องใช้เวลา เพราะ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมาในปัจจุบัน จะยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นเวลาหลายร้อยปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลดการปล่อย CO2 ลงในระยะยาว เพื่อแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศให้เกิดผลจริง

เราได้เห็นแล้วว่า ช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาเปิดตัวอีกครั้ง แนวโน้มการปล่อย CO2 ก็กลับมาเพิ่มขึ้นด้วย

การเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงาน อุตสาหกรรม และการเดินทางในช่วงโควิด จำเป็นต้องเป็นไปอย่างถาวร เพื่อที่จะทำให้การปล่อย CO2 ลดลงอีกครั้ง เพราะแม้แต่ในช่วงที่โลกให้ความสนใจกับเรื่องไวรัสโคโรนาอยู่นั้น ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปี 2020 ผ่านพ้นไปแล้ว และเป็นหนึ่งในปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยบันทึกสถิติไว้ ดังนั้นปริมาณการปล่อย CO2 ที่ลดลง เพราะระบาดใหญ่ของโควิด-19 จะช่วยให้เราสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน


https://www.bbc.com/thai/international-55573763

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:09


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger