เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 13 เมษายน 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัดในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง บริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างสูง เนื่องจากการระบายอากาศในบริเวณดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนถึงร้อนจัด กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 28-29 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 37-40 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 13 - 18 เม.ย. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับในช่วงวันที่ 14 ? 17 เม.ย. 67 จะมีแนวพัดสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง

สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง บริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน และระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ชาย 3 คนรอดตายติดเกาะกลางแปซิฟิก ใช้ทางมะพร้าวเขียนคำว่า "HELP"



ชายสามคนที่ติดอยู่บนเกาะห่างไกลในมหาสมุทรแปซิฟิก นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ หลังจากเขียนคำว่า "HELP" บนชายหาด โดยใช้ทางมะพร้าว

หน่วยยามชายฝั่งสหรัฐฯ ประจำเกาะกวม ระบุในแถลงการณ์ว่า ชายทั้งสามคนถูกพบบนเกาะพิเกลอต ซึ่งเป็นเกาะปะการังที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ห่างจากบ้านของพวกเขาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 160 กิโลเมตร พร้อมด้วยซากเรือที่เสียหาย เมื่อวันอาทิตย์ (7 เม.ย.) โดยเครื่องบินทหารของอเมริกา

ทั้งหมดซึ่งมีอายุประมาณ 40 ปีเศษ ออกเดินทางเมื่อวันที่ 31 มีนาคมจากเกาะปะการังโปโลวัต อะทอลล์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐไมโครนีเซีย ด้วยเรือกรรเชียงสูง 6 เมตร ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ติดท้ายเรือ หน่วยยามฝั่งกล่าวว่า คนทั้งหมดได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยเมื่อเย็นวันอังคาร (9 เม.ย.)

การค้นหาทั้งสามคนเริ่มขึ้นเมื่อวันเสาร์ เมื่อหญิงคนหนึ่งโทรแจ้งไปยังหน่วยยามฝั่ง โดยกล่าวว่า ลุงทั้งสามของเธอไม่ได้กลับบ้านหลังจากหายตัวไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ หน่วยยามฝั่งเริ่มดำเนินการค้นหาพร้อมกับลูกเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ

เกาะพิเกลอต เป็นเกาะขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ปกคลุมไปด้วยต้นมะพร้าวและพุ่มไม้ โดยมีความยาวไม่ถึง 600 เมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ค้นหาที่หน่วยยามฝั่งระบุว่าครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 259,000 ตารางกิโลเมตร

การช่วยเหลือครั้งนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือครั้งแรกที่เกิดขึ้นบนเกาะพิเกลอต โดยเมื่อปี 2563 ชาย 3 คน ซึ่งเรือของพวกเขาเกิดน้ำมันหมด ได้เขียนคำว่า "SOS" ไว้บนพื้นทราย เพื่อให้หน่วยกู้ภัยสหรัฐฯ สามารถมองเห็นพวกเขาได้

ส่วนในการค้นหาในสัปดาห์นี้ประสบความสำเร็จหลังจากเครื่องบินสอดแนมของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ส่งมาจากจังหวัดโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ตรวจพบทั้ง 3 คนจากทางอากาศ

ร.ท.เชลซี การ์เซีย ผู้ประสานงานภารกิจค้นหาและกู้ภัยเมื่อวันอาทิตย์กล่าวในแถลงการณ์ว่า "มันเป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นอันน่าทึ่งที่ช่วยให้เราหาพวกเขาเจอ ด้วยการเรียงทางมะพร้าวเป็นคำว่า "HELP" บนชายหาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาถูกค้นพบ"

ลูกเรือบนเครื่องบินได้ส่งสิ่งของยังชีพมาให้พวกเขา ก่อนที่หน่วยยามฝั่งจะหย่อนวิทยุให้พวกเขาในวันต่อมาจากเครื่องบินทหารที่ส่งมาจากรัฐฮาวาย เพื่อให้สามารถสื่อสารได้ หน่วยยามฝั่งกล่าวว่า ทั้งสามคนบอกว่าพวกเขายังมีสุขภาพดี และสามารถเข้าถึงอาหารและน้ำได้ แต่เรือกรรเชียงของพวกเขาได้รับความเสียหาย และเครื่องยนต์ไม่ทำงาน

เมื่อวันอังคาร เรือยูเอสซีจีซี โอลิเวอร์ เฮนรี ของหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ เดินทางมาถึงเกาะแห่งนี้ และมารับทั้งสามคนเพื่อพาพวกเขากลับบ้าน

การช่วยเหลือในลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นในน่านน้ำหมู่เกาะไมโครนีเซียน เมื่อปี 2559 เมื่อชาย 3 คน ซึ่งเรือพลิกคว่ำ ได้ว่ายน้ำเป็นระยะทางประมาณ 3.2 กิโลเมตร เพื่อไปยังเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยที่พวกเขาเขียนคำว่า "HELP" ไว้บนพื้นทราย และหน่วยยามฝั่งได้ช่วยพวกเขาไว้ ส่วนชายอีกสองคนที่หายตัวไปในปีเดียวกัน ได้รับการช่วยเหลือจากเกาะในหมู่เกาะไมโครนีเซีย หลังจากเขียนคำว่า "SOS" ลงบนทราย.

ที่มา The New York Times


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2777956

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ฟอสซิลโลมาชนิดใหม่ในนิวซีแลนด์



เมื่อ 22?27 ล้านปีก่อน ว่ากันว่าดินแดนที่เป็นนิวซีแลนด์ในปัจจุบัน เคยจมลงอยู่ใต้น้ำทะเลเกือบทั้งหมด โดยเหลือพื้นที่เพียง 1% อยู่เหนือระดับน้ำทะเล ในเวลานั้นเป็นช่วงที่สิ่งมีชีวิตในทะเลเจริญเติบโต เมื่อเวลาผ่านไป ซากสัตว์โบราณยุคนั้นก็ทับถมมากมาย โดยเฉพาะในหุบเขา Hakataramea ทางตอนใต้ของรัฐแคนเทอร์บิวรี

เมื่อเร็วๆนี้ นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยโอทาโก ระบุว่าค้นพบสายพันธุ์ใหม่ของโลมาโบราณ ซึ่งซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลกะโหลกศีรษะ ฟัน กระดูกหู กรามล่าง กระดูกสันหลัง และซี่โครงของมันถูกค้นพบเมื่อหลายปีก่อน ในหุบเขา Hakataramea และซากฟอสซิลได้กลายเป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาในโอทาโก นักบรรพชีวินตั้งชื่อโลมาชนิดนี้ว่า Aureia rerehua และเผยว่ามันอาศัยอยู่ในทะเลยุคโอลิโกซีน เมื่อประมาณ 22 ล้านปีก่อน พร้อมบรรยายลักษณะว่ามีขนาดตัวยาวราว 2 เมตร ฟันคล้ายกรงที่อาจใช้ล้อมกักปลาตัวเล็กๆ กะโหลกศีรษะที่ไม่แข็งแรงและคอที่ยืดหยุ่น ทำให้สามารถล่าเหยื่อในน้ำตื้นได้

โดยทั่วไปแล้วโลมามักจะมีฟันขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าและตรงกลางปากจะเป็นเครื่องมือหลักในการจับเหยื่อ หรือแทงปลาชนิดอื่นๆที่เคราะห์ร้ายมาเป็นเหยื่อของมัน แต่ Aureia rerehua ดูเหมือนว่าจะใช้ฟันในลักษณะที่แตกต่างและละเอียดอ่อนมากกว่า.

(The Aureia rerehua fossil. Credit : University of Otago)


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2777533

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


ตัวอะไรกันแน่? ชาวเน็ตถกไม่จบ แห่ไขสงสัยตัวประหลาดก้อนใสเกยหาดทราย

ชาวเน็ตแห่ไขข้อสงสัย ตัวประหลาด ทั้งก้อน ทั้งท่อนยาวๆ ตัวใส่โปร่งแสง โผล่เกยชายหาด มีทั้งบอก ซากแมงกะพรุน - Salps - Jelly Balls ยันข่าวดังเมื่อหลายปี เจลวัดไข้



เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งนำภาพ มาโพสต์ในเพจ "ตัวอะไร" พร้อมสอบถามว่า "ตัวอะไรค้า ชายหาด" โดยภาพที่ปรากฎเป็นสัตว์ลักษณะใส่ๆ ทั้งแบบก้อน และแบบยาว เกยอยู่บนหาดทราย ภายหลังมีการโพสต์ออกไปมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นให้ความรู้ ตั้งข้อสงสัย และมุขสนุกสนานหยอกล้อกัน พร้อมแชร์กันออกไปจำนวนมาก อาทิ

"กระแจะทะเล มีลักษณะเป็นท่อทรงกระบอกและมีวุ้นใส โดยทั่วไปจะมีความสูง 1-10 ซม. แพร่ขยายพันธุ์รวดเร็ว ไม่มีพิษ กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร ไม่พบการตายของสัตว์น้ำชนิดอื่นในพื้นที่ สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ ทราบว่า พบสัตว์ทะเลดังกล่าวจำนวนมากเกือบทุกปีในช่วงเข้าฤดูหนาว ส่วนที่พบว่ามาเกยบนหาด อาจมาจากลมมรสุมที่พัดเข้าหาฝั่ง"

"ดูแล้วไม่ใช่กระแจะหรือ สัตว์กลุ่มSalpsครับ ไปทางเศษซากแมงกะพรุน เหตุที่ไม่สลายตัวเพราะ อาจลอยในทะเลจนเพิ่งมาเกยฝั่ง น้ำเค็มกับน้ำในตัวมันยังเท่ากันอยู่ครับ เลยคงลักษณะเป็นวุ้นใสอยู่ ซากSalps ส่วนใหญ่จะแบนกว่านี้ บางชนิดกลมใส และอาจสังเกตพบระบบย่อยอาหารร่วมครับ"

" สิ่งมีชีวิตตัวใสแห่งท้องทะเล หรือที่นักวิทยาศาสตร์มักจะเรียกพวกว่า Jelly Balls เป็นสัตว์ทะเลที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก ลำตัวใสจนสามารถมองทะลุได้ ความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร แต่มักพบอยู่ร่วมกันเป็นแพยาวใกล้กับผิวน้ำ ในบางครั้งอาจยาวได้เกือบ 1 เมตร และใช้วิธีการเคลื่อนที่โดยการสูบน้ำผ่านลำตัว
กินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร มันจะเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสาหร่ายให้กลายเป็นของแข็ง แล้วปล่อยมูลตกลงสู่ก้นมหาสมุทร ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในทะเลได้ และเมื่อตายลงก็จะดึงก๊าซคาร์บอนลงไปก้นทะเลไปพร้อมกับตัวเองด้วย มีวงจรชีวิตเพียงแค่ 2 สัปดาห์ไม่มีพิษภัยกับคน เป็นสัตว์ที่สามารถแพร่พันธุ์ได้เร็วที่สุดในโลก แต่ก็น่าเสียดายที่พวกมันไม่มีคุณค่าทางอาหารใดๆ เลย แต่ว่าสามารถช่วยลดโลกร้อนได้"

ขณะที่บางคนออกมาแสดงความคิดเห็นเมื่อครั้งเคยเป็นข่าวดัง ที่ปรากฎว่าเป็นเจลลดไข้ จนนำไปสร้างเป็นหนังเรื่อง กระดึ๊บ และยังมีคนเข้ามาแสดงความคิดเหตุแตกต่างกันออกไปอีกจำนวนมาก


https://www.dailynews.co.th/news/3340421/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


อุณหภูมิโลกร้อนมาก?ร้อนที่สุด โลกเดือด ความร้อน และความรู้สึกร้อน



เราคงจะเบื่อหน่ายอ่านข่าวภาวะโลกเดือด การทำลายสถิติความร้อนของจังหวัดต่าง ๆ ในช่วงสงกรานต์ และก็คงจะมีการทำลายสถิติกันไปอีกเรื่อย ๆ จนผู้คนแทบไม่มีใครสนใจสถิติกันแล้ว

ซึ่งถ้าเป็นในขั้วโลกเหนือ ที่มีภูเขานํ้าแข็งก็จะมีข่าวภูเขานํ้าแข็งละลายค่อย ๆ ถล่มลงมหาสมุทร หมีขาวขั้วโลกไม่มีนํ้าแข็งให้ยืนโชว์ ปลาใต้ทะเลว่ายหลงทาง เพราะไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นกระแสนํ้าอุ่น เพราะอุ่นทุกที่จนปะการังฟอกสีและสัตว์ทะเลลดจำนวนลงเพราะขาดอาหารและที่อยู่อาศัย บนบกก็จะเห็นข่าวไฟไหม้ป่า จนถึงชาวบ้านออกมาแก้ผ้าเล่นนํ้าพุตามพลาซ่าต่าง ๆ หรือตอกไข่เพื่อทำไข่ดาวกันบนถนน

แล้วเราร้อนแค่ไหน? ดูจากเทอโมมิเตอร์ หรือพยากรณ์อากาศเพียงพอหรือไม่? ซึ่งอุณหภูมิจากพยากรณ์อากาศนั้นบอกได้เที่ยงตรงระดับหนึ่ง แต่ความรู้สึกว่าร้อนแค่ไหน? ก็คงต้องดูจากปัจจัยแวดล้อมในสถานที่นั้น ๆ ในขณะนั้นประกอบด้วย เช่น?


"ความชื้น" ถ้าความชื้นสูง เหงื่อจากร่างกายของเราระบายไม่ดี ก็จะรู้สึกร้อนมากขึ้น เหนอะหนะ และเป็นภาวะไม่สบาย


"กระแสลม" ถ้ามีกระแสลมพัดผ่าน ส่วนใหญ่มักจะรู้สึกร้อนน้อยลง เช่น ริมทะเล ริมบึง ที่มีกระแสลมพัดผ่านนํ้า แต่ถ้าเป็นกระแสลมพัดผ่านลานคอนกรีต ความรู้สึกนั้นก็จะตรงกันข้าม


"ร่มเงา" ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใต้เงาตึกอาคาร ใต้หลังคา จะมีอุณหภูมิต่างจากกลางแจ้งอยู่มาก


"พื้นผิว" พื้นที่รอบตัวเรา ถ้าเป็นธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีทุ่งหญ้า มีบ่อนํ้า ก็จะร้อนน้อยกว่าในบริเวณที่เป็นพื้นปูน พื้นยางมะตอย ที่อมความร้อนระอุ และระบายออกมา


"ต้นกำเนิดความร้อนอื่น ๆ" เช่น จากเครื่องยนต์ จากการจราจร จากเครื่องทำความเย็นที่มีมากมายในเมือง

สำหรับคนเมืองในป่าคอนกรีต 40 องศาเซลเซียสของเรา จึงย่อมร้อนกว่า 40 องศาเซลเซียสของเมืองตากอากาศชายทะเลมากนัก และอีกไม่นานเราอาจจะออกนอกอาคารช่วงกลางวันไม่ได้ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะปรับปรุงผังเมืองกันจริงจัง ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ สวนลอยฟ้าบนตึกสูง สวนแนวตั้งเชื่อมต่อทางเดินถนนด้วยร่มไม้เลื้อยผสมต้นไม้ใหญ่ ลดลานปูนคอนกรีต พัฒนาช่องลมเพื่อดึงลมเย็นจากแม่นํ้าสู่เมือง หรือมีการปล่อยละอองนํ้าเพื่อลดความร้อน และอื่น ๆ อีกมากมาย หรือถ้ายังทำอะไรไม่ได้ เดือนนี้ให้ออกไปสาดนํ้าสงกรานต์ก่อนก็คงพอคลายร้อนได้ แต่นํ้าที่สาดกันปีนี้

ก็คงจะอุ่น ๆ หน่อย


https://www.dailynews.co.th/news/3335346/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


พลิกปูมมหันตภัยโลกเดือด หายนะ...นิเวศทางทะเล อากาศร้อน...ฆ่าคนได้



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากเข้าสู่ "ยุคโลกเดือด (Global Boiling)" ในปี 2566 ซึ่งนับเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่สภาพอากาศร้อนจัดยังคงทุบสถิติใหม่ต่อเนื่อง ปี 2567 คลื่นความร้อนจาก "ปรากฎการณ์เอลนีโญ" ยังคงลากยาวส่งผลกระทบต่อภูมิอากาศอย่างรุนแรง อุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เกิดภาวะ "ทะเลเดือด" เป็นภัยร้ายแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล เกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ทั่วโลก

และแม้ว่าคนไทยจะคุ้นชินกับอากาศร้อน แต่อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในเดือนเมษายน จนเกิน 40 องศาฯ นับว่าเป็นสภาพอากาศที่ร้อนจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อีกทั้ง ภาวะ ?ฮีทสโตรก? จากสภาพอากาศร้อนมาก สามารถฆ่าคนให้ตายได้

ภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนเป็นประเด็นใหญ่ ที่มนุษยชาติต้องร่วมกันหาทางออกเพื่อทางรอด


จากยุคโลกร้อนสู่ยุคโลกเดือด

ปี 2566 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้แจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่า "ยุคโลกร้อน (Global Warming)" สิ้นสุดลงแล้ว และ "ยุคโลกเดือด (Global Boiling)" ได้เริ่มขึ้นแล้ว

รอบปีที่ผ่านมา ทั่วโลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติภูมิอากาศอย่างสาหัส ซึ่งผลกระทบจากภัยจากคลื่นความร้อนส่งผลให้ ปี 2566 เป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกมา ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบกว่า 125,000 ปี แต่ยังไม่หยุดเท่านั้นเพราะอุณภูมิของโลกยังมีแนวโน้มร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้แนวโน้มระยะยาวเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่ง หากดูจากสถิติสูงสุดเดือนต่อเดือนเป็นการสะท้อนว่าสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดย ปี 2566 นับเป็นปีที่โลกร้อนสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติไว้ใน ปี 2393

ล่าสุด หน่วยงานด้านสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า เดือนมีนาคม 2567 เป็น เดือน มี.ค. ที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยอุณหภูมิพุ่งทุบสถิติทุกเดือนติดต่อกันนับสิบเดือนแล้ว เรียกได้ว่าสภาพอากาศร้อนทำลายสถิติเดิมมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ รายงานจากโครงการบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service ? C3S) ของสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่า ช่วงเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 14.14 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมเมื่อปี 2559 ถึงประมาณ 10 องศาเซลเซียส โดย เดือน มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนมีนาคม ตั้งแต่ ปี 2392 ? 2443 (ค.ศ. 1850 ? 1900) ซึ่งเป็นช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม อยู่ที่ประมาณ 1.68 องศาเซลเซียส

ดร.หนิง เจียง จากสถาบันวิทยาศาสตร์อุตุนิยมวิทยาจีน คาดการณ์ว่าอุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกระหว่างเดือนกรกฎาคม 2566 ถึงเดือนมิถุนายน 2567 จะเพิ่มขึ้นอยู่ระหว่าง 1.1-1.2 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในยุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.4-1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับเกณฑ์สำคัญในข้อตกลงปารีสปี 2015 ในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ หรือ COP ครั้งที่ 21 ที่พยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ขณะที่ข้อมูลจากงานวิจัยของ Statista ระบุว่า ปี 2565 ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกสูงขึ้น 1.7% สอดคล้องกับ ข้อมูลจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่า ความหนาแน่นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมีค่าสูงเป็น 2 เท่าของระดับความหนาแน่นก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง โดยทาง WMO คาดการณ์ว่า นับตั้งแต่ ปี 2556 - 2570 จะเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศร้อนจัดทั่วโลกเป็นผลมาจากสภาวะโลกร้อน เนื่องจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่นๆ จากการเผาใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ นับตั้งแต่ช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ราวๆ ศตวรรษที่ 19 ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกทะยานสูงขึ้นต่อเนื่อง


อุณหภูมิผิวน้ำทะเลทุบสถิติ
ระบบนิเวศเสียหายหนัก


ขณะที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลก็ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กล่าวคือเดือนมีนสาคม 2567 อุณหภูมิอยู่ที่เฉลี่ย 21.07 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นจะยิ่งเพิ่มความชื้นในชั้นบรรยากาศทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก กำลังส่งผลกระทยอย่างร้ายแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล

สืบเนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ปี 2566 ซึ่งยังคงมีกำลังแรงต่อเนื่องจนถึงช่วงกลาง ปี 2567 ปรากฎการณ์เอลนีโญส่งผลให้อุณหภูมิผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกสูงขึ้นกว่าปกติ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้อุณหภูมิโลกในปี 2567 ร้อนขึ้นไปอีก ทั้งนี้ อุณภูมิน้ำทะเลที่ร้อนขึ้นจะเกิดการถ่ายเทความร้อนผ่านการระเหยของไอน้ำจากผิวมหาสมุทรขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น

มีข้อมูลเปิดเผยว่าปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงจะทำให้เกิดคลื่นความร้อนทั่วภูมิภาคแคริบเบียน อ่าวเบงกอล และทะเลจีนใต้ และส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย คลื่นความร้อนในมหาสมุทรส่งผลกระทบระบบนิเวศทางทะเลฟอกขาวและทำลายแนวปะการัง

กล่าวสำหรับ "ปะการัง" เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมในมหาสมุทร สถานกาณ์ "ปะการังฟอกขาว" กระทบต่อสมดุลระบบนิเวศในมหาสมุทร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล เนื่องจากสัตว์ทะเลหลากหลายใช้ชีวิตอยู่ตามแนวปะการัง ซึ่งเป็นทั้งแหล่งพักอาศัยและแหล่งอาหาร การสูญเสียแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ย่อมกระทบเป็นวงกว้าง

ย้อนกลับไป ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 เกิดปะการังฟอกขาวในฤดูหนาว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบเจอในทะเลไทย พบว่า เกาะยักษ์ใหญ่ อุทยานฯ หมู่เกาะช้าง เกิดปะการังฟอกขาวประมาณ 90% จากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น และปะการังบางส่วนมีร่องรอยเกิดโรค สอดคล้องกับสถานการณ์เอลนีโญรุนแรงสุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน ? ธันวาคม

มีรายงานว่า น้ำทะเลร้อน 30 - 32 องศาฯ ซึ่งตัวเลขนี้สูงเป็นอย่างยิ่งในหน้าหนาว เพราะในหน้าหนาวคือช่วงที่อุณหภูมิน้ำต่ำสุดในรอบปี ตามข้อมูลในอดีตทะเลภาคตะวันออก อุณหภูมิน้ำในหน้าหนาวต่ำกว่า 30 องศา ทั้งนี้ ปะการังอาจเริ่มฟอกขาวเมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเกิน 30.5 องศา ทุกครั้งจึงเกิดในหน้าร้อน

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ความว่าโมเดลล่าสุดทำนายว่า ปีนี้เอลนีโญอาจทำให้เมืองไทยร้อนเป็นประวัติการณ์ เอลนีโญจะจบลงช่วงเดือนมิถุนายน แต่ช่วงครึ่งปีแรกโลกจะร้อนเดือดไปทุกหนแห่ง หลายประเทศอาจร้อนจนทะลุสถิติเดิมในปีก่อน ปี 2567 อาจเป็นปีที่ร้อนยิ่งกว่าร้อน

เกี่ยวกับปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวในทะเลไทย คาดการณ์ว่าจะมีปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าทั้งในอ่าวไทยและอันดามัน โดยตามข้อมูลเผยว่าอุณหภูมิน้ำทะเลไทยเกินเส้นวิกฤตฟอกขาวติดต่อกัน 10 วัน อันเป็นผลกระทบจากปรากฎการณ์โลกร้อนทะเลเดือด

อ.ธรณ์ อธิบายปรากฎการณ์ทะเลเดือดที่กำลังส่งผลให้ปะการังฟอกขาว กล่าวคือทะเลดูดซับและกักเก็บความร้อนส่วนเกินของโลกไว้กว่า 90% ความร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้นจากก๊าซเรือนกระจก ทะเลปกคลุม 70.8% ของผิวโลก แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อจำกัด อุณหภูมิน้ำจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ Ocean Heat ที่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กรีดร้องว่าแย่แล้ว แต่ไม่มีคนสนใจ ตราบจน 8 ปีก่อน ผลเริ่มชัดเจนเมื่อทะเลเดือด + เอลนีโญ

เอลนีโญเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ในอดีตแม้น้ำร้อน แต่ทุกอย่างปรับตัวได้ แต่เมื่อทะเลเดือดเข้ามาหนุน วัฏจักรโลกใต้น้ำไม่เหมือนเดิมต่อไป 2016 เป็นปีเอลนีโญบวกทะเลเดือด ส่งผลให้ GBR ฟอกขาวครั้งใหญ่ ชาวออสเตรเลียเศร้าทั้งประเทศ GBR คือแนวปะการังใหญ่สุดในโลก เป็นมรดกโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของออสเตรเลีย

"ในไทยจากการตามข้อมูลโทรมาตรเรียลไทม์ สถานีวิจัยคณะประมงที่ศรีราชา น้ำร้อนระดับ 31 ? 32.5 องศาตลอดเวลา ติดต่อกันมาเกิน 10 วัน หมายถึงน้ำร้อนเกินค่าวิกฤต 30.5 องศาตลอด ไม่ว่ากลางวัน/กลางคืน ยิ่งเข้าเดือดเมษา แม้แต่กลางคืนก็ถึง 31.5 จึงแทบจะเชื่อได้ว่า เราคงเจอปะการังฟอกขาวในช่วงปลายเมษา/ต้นพฤษภา ยกเว้นมีอะไรที่ทำให้น้ำทะเลร้อนน้อยลง ซึ่ง "อะไร" ดังกล่าวยังมองไม่เห็นว่าเป็นอะไร" ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อมฯ ระบุ


(มีต่อ)

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


พลิกปูมมหันตภัยโลกเดือด หายนะ...นิเวศทางทะเล อากาศร้อน...ฆ่าคนได้ .............. ต่อ




"ระวังภาวะฮีทสโตรก"

ผลกระทบอย่างรุนแรงจากจากสภาวะ "โลกเดือด" และปรากฎการณ์ "เอลนีโญ"ส่งผลให้ประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนจัด และแม้ว่าคนไทยจะคุ้นชินกับอากาศร้อน แต่อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในฤดูร้อน เดือน เม.ย. หลายพื้นที่อุณภูมิเกิน 40 องศาฯ นับว่าเป็นสภาพอากาศที่ร้อนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตั้งแต่เจ็บปวดเล็กน้อย หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

ยิ่งสภาพอากาศร้อนจัด ยังส่งผลให้ประชากรไทย 80% ตกอยู่ในความเสี่ยงจากภัยสุขภาพ โดยสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด คือ "ภาวะฮีทสโตรก" หรือ "ภาวะลมแดด" อันมีสาเหตุหลักๆ มาจากความร้อนสูงร้อนอบอยู่ในร่างกาย เป็นภาวะที่เกิดจากร่างกายมีความร้อนสูงเกินไปและไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ทัน มักเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูง 40 องศาเซลเซียส

ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ปี 2558 - 2564 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อน ทั้งสิ้น 234 คนเฉลี่ย 33 คนต่อปี และมีรายงานผู้ป่วยประมาณ 2,500 - 3,000 คนต่อปี

ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเสียชีวิตจากความร้อนในอัตรา 58 ต่อแสนประชากร หรือ 14,000 คน ภายในปี 2623 หรือในอีก 57 ปีข้างหน้า โดยเตือนให้ประชาชนเตรียมรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เช่นเดียวกับ กรมการแพทย์ ได้มีคำเตือนออกมาเพื่อให้ประชาชนเฝ้าระวังและสังเกตอาการ "ฮีทสโตรก" หรือ "โรคลมแดด" ในฤดูร้อนของไทยท่ามกลางอุณหภูมิสูงแตะ 40 องศาเซลเซียส ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยผลคาดการณ์ว่าอุณหภูมิ ปี 2567 จะสูงขึ้นกว่าปีก่อน อาจถึง 44.5 องศาเซลเซียส ซึ่งมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยดูได้จากค่าดัชนีความร้อน ซึ่งเป็นค่าที่สะท้อนความรู้สึกร้อนของร่างกาย จากการนำอุณหภูมิของอากาศมาคิดร่วมกับความชื้นสัมพัทธ์ เนื่องจากเมื่อความชื้นสัมพัทธ์สูงจะทำให้เหงื่อระเหยยาก และส่งผลให้รู้สึกร้อนกว่าอุณหภูมิจริงของอากาศ หากค่าดัชนีความร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส จะมีความเสี่ยงเกิดโรคลมแดด หรือโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายร้อนจัดจนส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

"กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดโรคฮีทสโตรก ได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน จึงควรอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ส่วนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงแต่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน จะมีโอกาสเกิดฮีทสโตรกได้เช่นกัน ดังนั้น หากต้องทำงานกลางแจ้ง ควรเลี่ยงการสวมชุดที่มีสีเข้ม เนื่องจากจะดูดซับความร้อนได้ดี ดื่มน้ำมากๆ และสลับเข้าพักในที่ร่มเป็นระยะ เช่น ทุก 30 นาที หรือทุกชั่วโมง"

นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากภาวะฮีตสโตรกไม่มากนัก หากเทียบกับบางประเทศที่อากาศร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีคนไทยเสียชีวิตจากฮีตสโตรกมากขึ้น เพราะหลายคนมีความจำเป็นต้องออกไปพื้นที่กลางแจ้งแดดจัด แม้แต่การอยู่ในพื้นที่อับ ร้อนจัด มีความชื้น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก จะมีความเสี่ยง รวมถึงกลุ่มเสี่ยงจะต้องระวังทั้งทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนพิการทางสมอง เป็นโรคหัวใจ และความดัน

ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แสดงความกังวลว่าฮีทสโตรกเป็นอีกภัยสุขภาพที่คนทั่วไปอาจไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก แม้ว่าโรคดังกล่าวกำลังมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ และหากรักษาไม่ทันกาลอาจส่งผลร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต

ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบเพียงส่วนหนึ่งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรง ต้องติดตามว่าทั่วโลกจะดำเนินการแก้ไขสภาวะโลกเดือด หรือผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร


https://mgronline.com/daily/detail/9670000032258

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


เกาะพีพีวิกฤตหนัก แหล่งน้ำประปาเอกชนแห้งขอด รองรับได้ถึงกลางเมษายนนี้เท่านั้น

กระบี่ - เกาะพีพี จ.กระบี่วิกฤตหนัก แหล่งน้ำผลิตน้ำประปาของเอกชนแห้งขอด เหลือน้ำใช้ได้ถึงกลางเดือนเมษายนนี้เท่านั้น ต้องขนน้ำจากบนบกใส่เรือบาสขนาดใหญ่ลงไปผลิตน้ำประปาและจ่ายน้ำวันละ 2 ชม. ด้านผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่เดือดร้อน บ่อน้ำบาดาลยังรองรับได้



วันนี้ (12 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สระเก็บน้ำขนาดใหญ่ของบริษัท วอร์เตอร์ฮิวเอกชน จำกัด ผู้ให้บริการผลิตน้ำประปารองรับบ้านเรือนประชาชน สถานประกอบการ ร้านอาหาร ที่พักโรงแรม รีสอร์ตต่างๆ บนเกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ อยู่ในสภาพแห้งขอด ปริมาณน้ำเหลือน้อย ทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความความต้องการ ส่งผลกระทบต่อประชาชน สถานประกอบการที่ไม่มีบ่อน้ำบาดาลแหล่งน้ำของตัวเองกำลังประสบกับภัยแล้ง ขาดน้ำใช้อุปโภคบริโภค ซึ่งราคาน้ำสูงถึงลูกบาศก์เมตร หรือคิวละ 150-200 บาท

ส่วนบ่อบาดาล และแหล่งเก็บน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แหล่งน้ำดิบที่ขายให้เอกชนนำไปผลิตน้ำประปา ขณะนี้น้ำแห้งหมดแล้ว สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ผู้ประกอบการอย่างหนัก

ล่าสุด เอกชนผู้ผลิตน้ำประปาบนเกาะพีพี แจ้งว่าปริมาณน้ำที่เหลืออยู่จะใช้ได้ถึงวันที่ 16 เมษายน 67 นี้ โดยระยะนี้จะเปิดจ่ายน้ำวันละ 2 ชั่วโมง หากไม่มีฝนตกลงมาเติมน้ำในอ่างเพิ่ม หรือน้ำในอ่างเก็บน้ำหมด เรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำบนเกาะพีพีโดยเร่งด่วน เนื่องจากช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จะไม่มีน้ำประปาใช้

ขณะที่ผู้ประกอบการโรงแรม เกาะพีพี เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการ สถานบริการที่พักโรงแรม รีสอร์ตขนาดใหญ่บนเกาะพีพี ส่วนใหญ่มีบ่อน้ำบาดาลเป็นของตัวเอง ปัญหาการขาดน้ำประปาบนเกาะพีพี จึงไม่ส่งผลกระทบมากนัก ปริมาณน้ำเพียงพอรองรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ แต่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชน สถานประกอบการขนาดเล็ก ที่ใช้บริการน้ำประปาเอกชน อย่างไรก็ตาม ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาบนเกาะพีพีที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานาน

ด้าน นายพันคำ กิตติธรกุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ เปิดเผยว่า ปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้ปริมาณน้ำประปาไม่เพียงพอ เป็นปัญหาเกิดขึ้นมาต่อเนื่องหลายปี หลังจากนี้เอกชนผู้ผลิตน้ำประปาต้องนำน้ำบรรทุกเรือบาสขนาดใหญ่จากบนฝั่งไปเติมในสระเก็บน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาให้บริการ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ประชาชน ผู้ประกอบการต้องเสียค่าน้ำประปาเพิ่มขึ้น ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์นี้จะไม่ส่งกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวเกาะพีพี

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้รับงบประมาณศึกษาการแก้ไขปัญหาแล้ว แนวทางที่ 1 การวางท่อน้ำประปาจากบนฝั่งไปทางใต้ทะเลแนวเดียวกับแนวท่อสายไฟฟ้า 2 การผลิตน้ำประปาโดยใช้น้ำทะเล


https://mgronline.com/south/detail/9670000032061

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์


เกาะหูยง อุทยานฯสิมิลัน แหล่งอนุรักษ์เต่าทะเล เผยสถิติเต่าวางไข่กว่า 1 หมื่นฟองต่อปี

"เกาะหูยง " หรือ เกาะหนึ่ง อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เป็นที่ตั้งของโครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ในพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยในพระราชดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา



12 เม.ย.2567 - กองทัพเรือ ได้จัดทำโครงการ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลฝั่งอันดามัน โดยมอบให้ ทัพเรือภาคที่ 3 จัดตั้งศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เมื่อปี 2538 ซึ่งกำหนดจุดอนุบาลเต่า ทะเลจำนวน 2 จุดพื้นที่แรกเป็นการอนุรักษ์เพราะฟักไข่เต่าในพื้นที่เกาะ 1 หรือเกาะหุยง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ส่วนพื้นที่ที่ 2 เป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล บริเวณศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ฐานทัพเรือพังงา

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคที่ 3 ณ เกาะหูยง กล่าวว่า "การปฏิบัติงานตลอดทั้งปี ณ เกาะหูยงชุดละ 4 นาย ชุดละ 15 วันสับเปลี่ยนกันทั้งปี เพราะว่าแม่เต่า จะขึ้นวางไข่ ทั้งปี

จากข้อมูล เมื่อปี 2566 เจ้าหน้าที่ฯ เก็บไข่เต่าได้ทั้งหมด 164 รัง ลูกเต่าเพาะฟัก 11,000 กว่าตัว เป็นแนวโน้มที่ดี ในการอนุรักษ์เต่า ซึ่งแม่เต่า 1 ตัว จะจับคู่ และช่วงที่เข้ามาใช้เวลาประมาณ 1 เดือนหรือกว่า เพื่อสืบพันธุ์และขึ้นวางไข่ แม่เต่า 1 ตัวขึ้นวางไข่ ต่อครั้ง 100 ถึง 150 ฟอง ไข่จะรวมอยู่ประมาณ 1,000 ฟอง

อัตราการรอดต่อรังอยู่ประมาณ 70% ลูกเต่าฟักจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ลูกเต๋า 1,000 ตัว จะแบ่งปล่อยธรรมชาติ 500 ตัวอีก 500 ตัวนำกลับฐานทัพเรือพังงาและแบ่งให้ทาง ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ภูเก็ต) ไปทำวิจัย ซึ่ง ตามข้อมูลของ แม่เต่าขึ้นมาวางไข่ อายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป

จะเวียนขึ้นมาต่อแม่ อาจจะมีแม่ใหม่หรือ แม่เก่าสลับกันขึ้นมา วางไข่ จะใช้ตัวสแกนชิป เพื่อจำสันนิษฐานของแม่เต่า ถ้าเป็นแม่ใหม่ขึ้นมา ชิปที่สแกนไม่เจอจะฝังชิปให้ใหม่ ถ้าเจอแล้วบันทึกประวัติข้อมูลไว้ ในส่วนของข้อมูล จะเก็บสมบูรณ์ที่สุด มีทั้งชื่อแม่เต่า ขนาดลำตัว กว้างยาว มีแท็ก ขึ้นวันที่เท่าไหร่ รายละเอียดข้อมูล ประวัติของเต่า รายงานให้ฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคที่ 3 และ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กรม ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ปัจจุบันมีประมาณ 300 ตัวที่ขึ้นวางไข่ มีเต่าขึ้นลงทั้งปีเป็น เต่าตนุ และถ้าขึ้นมาทั้งหมดต่อรังทำการอนุบาลไว้ในบ่อ พอถึงวันที่ 16 ของเดือน ชุดที่กลับก็ต้องนำกลับไปด้วย ยกตัวอย่าง ในส่วนที่ขึ้นจากหลุมคืนนั้น 100 ตัว ปล่อยลงทะเล 50 ตัว อีก 50 ตัวเลี้ยงไว้ และเมื่อมีเรือมาสับเปลี่ยนกำลังพลนำลูกเต๋ากลับไปอนุบาลต่อที่ฐานทัพเรือพังงา เมื่อลูกเต่าอายุประมาณ 3-6 เดือนจึงจะปล่อยเต่าตามงานสำคัญของหน่วย

ศัตรูที่ร้ายกาจสำหรับเต่า คือปูลม ถ้าไม่เก็บมาเพาะฟัก ในหลุมไข่ ถ้าปล่อยไว้ตามธรรมชาติกลางคืนปูลมจะออกหากินและลูกเต๋าจะขึ้นจากหลุมพอดี ปูลมจะหนีบที่ช่วงคอและที่พายของลูกเต๋า ดังนั้น จึงต้องเฝ้าดูแลอนุบาลเต่าในบ่อ เต่า เป็นอย่างดี

ปีนี้ได้จำนวน 16 รัง ตั้งแต่ มกราคม จนถึงเมษายน 2567 ถ้ามาเยอะจริงๆจะมาช่วงหน้ามรสุม จะวางไข่ ช่วงพฤษภาคมถึงตุลาคม มากที่สุดในช่วงนั้นจะขึ้นบ่อย เกือบทุกคืน โดยเจ้าหน้าที่เดินลาดตระเวนตรวจพื้นที่ต่อวันดูตามตารางน้ำเป็นหลัก"

ทั้งนี้ จากการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ที่ผ่านมามีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่จำนวนมากรอดชีวิตกลับคืนสู่ท้องทะเล เป็นการชี้วัดว่าในท้องทะเลมี ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและ ระบบนิเวศแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์


https://www.thaipost.net/district-news/569605/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #10  
เก่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'สัตว์อพยพ' มีจำนวนลดลงจนเสี่ยงสูญพันธุ์ ถูกมนุษย์ล่าและ 'ภาวะโลกร้อน' ................. โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล



'สัตว์อพยพ' มีจำนวนลดลงจนเสี่ยงสูญพันธุ์ ถูกมนุษย์ล่าและ 'ภาวะโลกร้อน'
สหประชาชาติเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า สัตว์อพยพจากทั่วโลกถึง 44% กำลังมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ 1 ใน 5 ของทั้งหมดเผชิญกับภัยคุกคามจากการสูญพันธุ์ ไม่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และถูกมนุษย์ล่า

ภาพฝูงนกโบยบินข้ามท้องฟ้า และฝูงสัตว์ที่เดินทางผ่านผืนดินอันกว้างใหญ่อาจจะกลายเป็นภาพที่มีแค่ในรูปถ่ายหรือวิดีโอเท่านั้น เพราะสหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่า "สัตว์อพยพ" เกือบ 50% เสี่ยงสูญพันธุ์ ไร้ที่อยู่อาศัย ถูกล่า คุกคามจากมนุษย์ และ "ภาวะโลกร้อน"

องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า สัตว์อพยพจากทั่วโลกถึง 44% กำลังมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ 1 ใน 5 ของทั้งหมดเผชิญกับภัยคุกคามจากการสูญพันธุ์ ไม่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของเมือง เกษตรกรรม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนถูกมนุษย์คุกคาม


"สัตว์อพยพ" เสี่ยงสูญพันธุ์

ปัจจุบันสหประชาชาติได้บรรจุสัตว์ 1,189 สายพันธุ์ ลงในอนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าอพยพย้ายถิ่น หรือ CMS (Convention on the Conservation of Migratory Species of Wild Animals) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีมาตรการป้องกันสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ซึ่งจัดอยู่ในหมวด สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด หรือสัตว์ที่อยู่สถานะคุกคาม ที่ผ่านมาอนุสัญญานี้ได้ช่วยเหลือ ละมั่งไซกาของเอเชียกลาง ให้รอดพ้นจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่และการรุกล้ำ แต่ไม่ใช่ทุกสายพันธุ์จะโชคดี

สหประชาชาติระบุว่า นกอพยพทั่วโลก 134 สายพันธุ์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 14% จาก 960 สายพันธุ์ ถูกคุกคามและมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในบางภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกที่ใช้เส้นทางอพยพแอโฟร-พาเลียร์กติก เส้นทางอพยพจากเอเชียและยุโรปลงไปทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา

ขณะที่ปลา 56 สายพันธุ์ จากทั้งหมด 58 สายพันธุ์ที่นักวิจัยเฝ้าระวังอยู่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ รวมถึงปลาสเตอร์เจียน ฉลาม ปลากระเบน และปลาฉนากหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้ รายงานยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 จำนวนปลาไหลยุโรปลดลง 95% เนื่องจากถูกมนุษย์จับไปตั้งแต่ยังไม่โตเต็มวัย อีกทั้งมีอุปสรรคขัดขวางการอพยพ

ทั้งนี้ยังมีสัตว์อีก 399 สายพันธุ์ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชี CMS ก็กำลังถูกคุกคามหรือมีความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โลมาและนกอัลบาทรอสในลุ่มแม่น้ำสินธุ กวางเรนเดียร์ในอเมริกาเหนือและรัสเซีย และนกอัลบาทรอสในซีกโลกใต้ล้วนตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งสิ้น


"สัตว์อพยพ" สูญเสียถิ่นที่อยู่

การลดลงของจำนวนสัตว์อพยพเกิดขึ้นจากหลากหลายสาเหตุรวมกัน แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว คือการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และการถูกมนุษย์ล่าจนส่งผลกระทบต่อสัตว์หลายชนิดในโลก

"สัตว์อพยพมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อแรงกดดันที่เราสร้างต่อสิ่งแวดล้อมในขณะนี้ เนื่องจากพวกมันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเท่านั้น แต่พวกมันเดินทางไปที่ต่าง ๆ ตามฤดูกาล ในระยะทางที่น่าเหลือเชื่อ" เจมส์ เพียร์ซ-ฮิกกินส์ ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์แห่ง British Trust for Ornithology กล่าว

ตามรายงานของสหประชาชาติ พบว่า 58% ของพื้นที่ที่ได้รับการตรวจสอบอยู่ได้รับแรงกดดันด้านความยั่งยืน โดย 3 ใน 4 ของสายพันธุ์ที่อยู่ในบัญชี CMS ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย ทั้งในด้านความเสื่อมโทรม และการกระจายตัวของพื้นที่

การสูญเสียถิ่นที่อยู่เกิดขึ้นเมื่อพื้นป่าถูกมนุษย์รุกล้ำนำมาใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ทำเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และกลายเป็นเมือง ทำให้ที่ดินที่เคยเป็นอยู่อาศัยของสัตว์ถูกแบ่งออกเป็นผืนเล็ก ๆ กระจายตัวออกจากกัน โดยเฉพาะจากการทำฟาร์ม

นอกจากนี้ แหล่งที่อยู่อาศัยยังเสื่อมโทรมลงเนื่องจากมลภาวะ กิจกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมได้ปล่อยสารเคมีอันตรายออกสู่แหล่งที่อยู่อาศัยอีกด้วย การศึกษาได้พบสารมลพิษอินทรีย์ถาวร (POP) ตกค้างอยู่ในนกนางนวล ที่อพยพมาอาศัยอยู่ในภูมิภาคเกรตเลกส์ของสหรัฐ แม้ว่าจะมีกฎระเบียบและมาตรการด้านอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นก็ตาม


"ล่าสัตว์ - ทำประมง" ทำลาย "สัตว์อพยพ"

สหประชาชาติระบุว่า การล่าสัตว์และการทำประมงผิดกฎหมาย ทำประมงไม่เว้นช่วงให้สัตว์เติบโต และการใช้อวนขนาดใหญ่จับสัตว์จนมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นติดไปด้วย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์อพยพมีจำนวนลดลงอย่างมาก

มีการประเมินว่านก 7 ใน 10 สายพันธุ์ที่อยู่ในบัญชี CMS ได้รับผลกระทบจากการล่ามากเกินไป ทุก ๆ ปี ในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนจะมีนกประมาณ 11-36 ล้านตัวถูกฆ่าอย่างผิดกฎหมายหรือนำออกจากพื้นที่ ส่วนนกจาบปีกอ่อนอกเหลือง ที่ใช้เส้นทางบินอพยพในเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย ถูกปรับสถานะเป็น "สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง" เนื่องจากมีจำนวนลดลงถึง 95% จากการถูกดักจับผิดกฎหมาย

ในกรณีของปลา การศึกษาขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติในปี 2018 พบว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นทะเลที่มีการจับปลามากเกินไปมากที่สุดในโลก โดย 62% ของปริมาณปลาในทะเลจับปลามากเกินไปและมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะสูญพันธุ์ ขณะที่ฉลามวาฬมีจำนวนลดลง เพราะการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดของมนุษย์ (Overexploitation) และการชนกับเรือ แต่ยังสามารถฟื้นตัวได้ หากมีความพยายามในการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน


"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" อันตรายต่อ "สัตว์อพยพ"

"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ทั้งด้านอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และสภาพอากาศที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อความเหมาะสมของแหล่งผสมพันธุ์และจุดแวะพักตามเส้นทางอพยพ การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางธรรมชาติเหล่านี้จะทำให้สายพันธุ์ต่าง ๆ อาจไม่สามารถดำเนินตามรูปแบบการอพยพตามปกติได้อีกต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้สายพันธุ์ตายโดยตรงหรือผสมพันธุ์น้อยลง

การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยในทะเลเหลืองที่ตั้งอยู่ระหว่างจีนและเกาหลีส่งผลกระทบเป็นพิเศษต่อนกน้ำ ทั้งนกชายฝั่งและนกลุยน้ำ ซึ่งปกติแล้วจะแวะพักอยู่ที่นั่นระหว่างการอพยพ ขณะที่จำนวนนกอพยพในแอฟริกามีความผันผวนตามรูปแบบปริมาณน้ำฝน โดยถ้ามีฝนชุกจำนวนนกจะเพิ่มมากขึ้น เพราะมีอาหารเพียงพอ แต่ถ้าเป็นปีแล้งนกจะกลับคืนสู่พื้นที่น้อยลง

ส่วนการพัฒนาทุ่งกังหันลม แม้ว่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน แต่การทำทุ่งกังหันลมในเส้นทางอพยพของนก เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา อาจจะให้เกิดอันตรายต่อนกได้เช่นกัน เพราะพวกมันอาจจะได้รับบาดเจ็บหรือตายจากใบพัดของกังหันลม โดยเพียร์ซ-ฮิกกินส์กล่าวว่าไม่ควรสร้างทุ่งกังหันลมในเส้นทางอพยพของสัตว์ และไม่เป็นพื้นที่อนุรักษ์หรือเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่หากมีฝูงนกเข้ามาใกล้สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการปิดเครื่องและหยุดทำงานจนกว่านกจะบินผ่านไป ซึ่งมักจะใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง

นอกจากนี้ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ และเขื่อน ยังสามารถขัดขวางไม่ให้สัตว์อพยพย้ายถิ่นไปตามเส้นทางอพยพอย่างอิสระ ส่วนการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น การขนส่งทางเรือ ก็สามารถรบกวนรูปแบบการย้ายถิ่นได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อัตราที่สัตว์ลดลงและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกจะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ เช่น นกทะเลมีอายุยืนยาวมากและสามารถตอบสนองต่อระดับน้ำทะเลที่ร้อนขึ้นในระดับที่ค่อยเป็นค่อยไปได้ดีกว่าการเกิดภัยพิบัติ


ป้องกัน "สัตว์อพยพ" สูญพันธุ์

การป้องกันการสูญพันธุ์ของสัตว์อพยพที่ลดลงต้องอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน ตั้งแต่การทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่พวกมันอาศัยอยู่ สถานะการอนุรักษ์ และภัยคุกคามที่พวกเขาเผชิญ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการอนุรักษ์ และจัดทำนโยบายและมาตรการระหว่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองในหลายประเทศ หรือทวีป

การเพิ่มขึ้นของจำนวนวาฬหลังค่อมในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ทางตะวันตก แสดงให้เห็นมาตรการอนุรักษ์สัตว์ในบัญชี CMS มีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อสัตว์ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีสถานีเพาะพันธุ์สัตว์ ซึ่งถือเป็นการอนุรักษ์ที่มุ่งปกป้องแหล่งที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์อพยพ และไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์ พร้อมเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้คนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สัตว์อพยพได้เช่นกัน เพียร์ซ-ฮิกกินส์กล่าวว่า สัตว์อพยพมักจะรวมตัวกันในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล พฤติกรรมนี้ทำให้พวกมันถูกล่าและเป็นเหยื่อจากการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดของมนุษย์ได้ ดังนั้นในฐานะผู้บริโภค จะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์มากเกินไป โดยตรวจสอบว่ามีตราสัญลักษณ์ความยั่งยืน เช่น จาก Marine Stewardship Council หรือไม่


ที่มา: Aljazeera, World Economic Forum


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1121987

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:58


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger