#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานานไว้ด้วย ในขณะที่มีแนวสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับลมตะวันตกเฉียงเหนือและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และการระบายอากาศในบริเวณดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางแห่ง โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 28-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ตลอดช่วง โดยในช่วงวันที่ 24 ? 25 เม.ย. 67 มีแนวสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 26 ? 30 เม.ย. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ประเทศไทย และทะเลอันดามัน ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนอง กับลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ตลอดช่วง ส่วนในช่วงวันที่ 24 ? 25 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ทะเลเดือด ความร้อนพุ่งสูง อ่าวไทยเสี่ยงปะการังฟอกขาว ประมงต้นทุนเพิ่ม ปะการัง ในอ่าวไทยเสี่ยงฟอกขาวครั้งใหญ่ หลังอุณหภูมิน้ำทะเลพุ่งสูงกว่าทุกปี หวั่นลุกลามไปถึงแนวปะการังในทะเลอันดามัน ส่งผลต่อเม็ดเงินการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน ชาวประมงต้องออกไปหาปลาไกลขึ้น เนื่องจากปลาบางส่วนอพยพหนีน้ำทะเลร้อน ไปในเขตน้ำลึก เสี่ยงจะทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรทางทะเลหนักกว่าทุกปี "ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง" อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของทะเลไทย กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเลไทย มีความเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ต้นปี 2567 จึงมีผลทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรมีความเปลี่ยนแปลง "ช่วงต้นปีเราจะเจอสัตว์จากทะเลลึก ขึ้นมาในพื้นที่น้ำตื้น ซึ่งคนที่ไปดำน้ำที่สิมิลัน หรือชาวประมงในพื้นที่ จ.สตูล จะเจอปลาที่อยู่ในเขตน้ำลึกขึ้นมาน้ำตื้น และทำให้หลายคนตื่นตกใจ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เนื่องจากกระแสน้ำเย็นลอยขึ้นมาสูงมากขึ้น และนำพาสิ่งมีชีวิตในน้ำลึก และแร่ธาตุต่างๆ ขึ้นมาตามมวลน้ำ" สิ่งที่ตามมาตอนนี้คือ เมื่ออุณหภูมิน้ำสูงขึ้นเนื่องจากความร้อนของสภาพอากาศ ทำให้เห็นปรากฏการณ์ "แมงกะพรุนลอดช่อง" ลอยขึ้นมาเต็มทะเลอันดามัน ตั้งแต่ จ.สตูล ไปจนถึง จ.ระนอง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเล ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตบางอย่างขยายพันธุ์มาก และการเพิ่มของแมงกะพรุนจำนวนมาก ก็อาจส่งผลให้สิ่งมีชีวิตประเภทอื่นลดลง อีกผลกระทบจากความร้อนของน้ำทะเล ทำให้หญ้าทะเลทยอยตาย โดยเฉพาะต้นหญ้าทะเลขนาดใหญ่ แถบเกาะลิบง จ.ตรัง เนื่องจากปีนี้น้ำทะเลแห้งเป็นเวลานานกว่าปกติ เมื่อน้ำทะเลลดทำให้หญ้าทะเลที่อยู่บนผิวดิน ถูกแดดเผา จนเหง้าที่อยู่ใต้ดินตายไปด้วย การที่หญ้าทะเลทยอยตาย ส่งผลต่อพะยูน ในทะเลอันดามัน ที่กินหญ้าทะเล เพราะจากผลสำรวจจากจำนวนพะยูน ในปีก่อนมีอยู่กว่า 180 ตัว แต่พอปีนี้พบพะยูนในพื้นที่เพียง 30?40 ตัว ซึ่งมีสมมติฐานว่า พะยูนบางส่วนอาจเสียชีวิตจากการขาดแหล่งอาหาร ขณะที่อีกบางส่วนอพยพไปอยู่ในพื้นที่อื่นที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์ "การที่แหล่งหญ้าทะเลลดลง มีผลมาถึงสัตว์น้ำที่เป็นอาหารของมนุษย์ เพราะพื้นที่หญ้าทะเลเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ สิ่งนี้ทำให้ชาวประมง หาปลาทะเลได้ลดลง จนส่งผลกระทบต่อรายได้ และบางรายต้องขึ้นฝั่งไปทำงานบนบก ขณะเดียวกันชาวประมงชายฝั่ง ก็ต้องออกเรือไปไกลจากฝั่งมากขึ้น เนื่องจากปลาไม่มีแหล่งอนุบาล และอุณหภูมิของน้ำทะเลในช่วงน้ำตื้นร้อนกว่าจุดที่เป็นน้ำลึก ทำให้ชาวประมงมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่ม และอาจเกิดการแย่งชิงทรัพยากรกับเรือหาปลาขนาดใหญ่ได้ในอนาคต เช่นเดียวกับผู้บริโภค ก็มีแนวโน้มที่ต้องซื้ออาหารทะเลในราคาสูง" อุณหภูมิทะเลพุ่งสูง กระตุ้นปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ "ศักดิ์อนันต์" เล่าต่อถึงผลกระทบของอุณหภูมิในน้ำทะเลที่พุ่งสูงจะส่งผลกระทบให้เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในทะเลไทย และทั่วโลก เหมือนในปี 2540 เพราะตอนนี้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าเดิมประมาณ 1.5-2 องศา และน่าสนใจว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นอีก ซึ่งปกติอุณหภูมิในน้ำทะเลประมาณ 30 องศา ก็ถือว่าร้อนมาก โดยสัตว์น้ำแค่อุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแค่ 1 องศา ก็เริ่มจะอพยพไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ หรือตายได้ง่าย คาดว่าถ้าเกิดปะการังฟอกขาว จะเกิดในช่วงเดือน พ.ค. 67 โดยเฉพาะปะการังในเขตน้ำตื้น แถบฝั่งอ่าวไทย ที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นมากแล้ว ขณะที่โซนทะเลอันดามัน เนื่องจากต้นปีมีกระแสน้ำเย็นลอยขึ้นมา ทำให้ความร้อนของน้ำทะเล ยังมีอุณหภูมิต่ำกว่า ประกอบกับทะเลอันดามันมีความลึกของน้ำกว่าโซนอ่าวไทย ผลกระทบที่ตามมาจากปะการังฟอกขาว จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกิจกรรมดำน้ำเพื่อดูปะการังจะต้องหยุด ซึ่งปกติฝั่งอันดามัน จะไม่มีกิจกรรมดำน้ำตั้งแต่ 15 พ.ค. ของทุกปี แต่ปีนี้อาจจะมีคลื่นลมนิ่ง ทำให้มีคนที่ฝ่าฝืนได้ "แนวปะการังที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากปะการังฟอกขาวคือ เกาะช้าง สมุย พะงัน แต่ก็ยังมีความคาดหวังว่า ปะการังในทะเลไทย จะมีความอดทนต่ออุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นได้ โดยปะการังที่ฟอกขาว ถ้าได้รับผลกระทบแต่ยังไม่ตายภายใน 1?2 เดือน ก็จะฟื้นขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่ปะการังตาย จะไม่สามารถคืนสภาพได้ และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น นอกจากจะส่งผลต่อสัตว์น้ำแล้ว มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะชาวประมงที่หาปลา ขณะเดียวกันแนวทางช่วยเหลือ ที่ไม่ให้ปะการัง หรือสัตว์น้ำที่ได้รับผลกระทบได้รับการรบกวนจากมนุษย์ คือต้องไม่ไปซ้ำเติม ด้วยการปล่อยน้ำเสีย ทิ้งขยะลงทะเล เช่นเดียวกับหน่วยงานของภาครัฐ จะต้องมีการเข้าไปดูแลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิดทันที. https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2780450
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
พบซากเรือใบ ลอยติดโขดหินริมทะเลเนินนางพญา จ. จันทบุรี จันทบุรี ? พบซากเรือใบ ลอยติดโขดหินริมทะเลเนินนางพญา จ. จันทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นายายอาม คาดเป็นซากเรือที่ลอยมาจากที่อื่นเนื่องจากไม่พบข้อมูลการรับแจ้งเหตุเรืออับปางในพื้นที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (24 เม.ย.) เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างกตัญญูธรรมสถานจันทบุรี ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นายายอาม จ.จันทบุรี เพื่อขอกำลังชุดปฏิบัติการเข้าสนับสนุนการค้นหาผู้สูญหายในน้ำ พร้อมเรือท้องแบน จำนวน 1 ลำ เพื่อตรวจสอบวัตถุไม่ทราบชนิดที่ลอยมาติดโขดหิน บริเวณเนินนางพญา หมู่7 ต.สนามไชย อ.นายายอาม จ.จันทบุรี หลังรับแจ้งจึงรีบเดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ 4 นายและเรือท้องแบน 1 ลำ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ จำนวน 4 นายได้ดำน้ำตรวจสอบวัตถุที่คว่ำหน้าอยู่บริเวณโขดหิน กระทั่งพบว่ามีลักษณะคล้ายเรือใบ เนื่องจากมีอุปกรณ์ภายในเกี่ยวกับเรือ แต่ไม่พบวัตถุอื่นๆ เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ จึงได้ทำการดึงซากเรือขึ้นจากโขดหิน เพื่อนำส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. นายายอาม ทำการตรวจสอบ ขณะที่ พ.ต.อ.พลภัทร ธรรมะสนอง ผกก.สภ.นายายอาม เผยว่าเมื่อช่วงค่ำวานนี้ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบซากเรือลอยมาติดโขนหินบริเวณเนินนางพญา จึงประสานไสำนักงานเจ้าท่า จันทบุรี ให้ตรวจสอบเหตุเรืออับปางในพื้นที่รับผิดชอบ แต่ก็ไม่พบข้อมูลการรับแจ้ง จึงคาดว่าน่าจะเป็นซากเรือที่ลอยมาจากพื้นที่อื่น " เบื้องต้นยังไม่พบข้อสงสัยที่จะสามารถเชื่อมโยงกับคดีใดได้ เจ้าหน้าที่จึงเก็บรักษาซากเรือไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้าน ต.สนามไชย อ.นายยายอาม จ.จันทบุรี เพื่อรอการตรวจสอบต่อไป" ผกก.สภ.นายายอาม กล่าว https://mgronline.com/local/detail/9670000035602
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
สุดสลด "โลมาปากขวด" แสนรู้โดนยิงจมกระสุนเจาะสมอง-กระดูกสันหลัง-หัวใจ ตายสงบคาหาดรัฐหลุยเซียนา NOAA ออกรางวัลนำจับด่วน 20,000 ดอลลาร์ เอเจนซีส์ ? โลมาปากขวดวัยรุ่นตัวหนึ่งพบเป็นศพถูกยิงจมกระสุนที่หาด West Mae?s Beach รัฐหลุยเซียนา เมื่อวันที่ 14 มี.ค ที่ผ่านมา องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ NOAA ทนไม่ไหวออกรางวัลนำจับคนใจบาปด่วน 20,000 ดอลลาร์ สภาพสุดสลดโดนยิงกระสุนเจาะเข้าสมอง กระดูกสันหลัง และหัวใจ นิวยอร์กโพสต์รายงานวันอังคาร(23 เม.ย)ว่า โลมาปากขวด (bottlenose dolphin) ตัวที่เสียชีวิตเชื่อว่ากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น พบเป็นศพอยู่บนหาด West Mae?s Beach ในเมืองคาเมรอน พาริช (Cameron Parish) รัฐหลุยเซียนา เมื่อวันที่ 14 มี.คก่อนหน้า เจ้าหน้าที่องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ NOAA คาดว่าโลมาตัวดังกล่าวน่าจะเสียชีวิตจากการทนพิษบาดแผลไม่ไหวหลังพบกระสุนเจาะที่บริเวณสมอง กระดูกสันหลัง และหัวใจ ทั้งนี้องค์กร Audubon Aquarium Rescue ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรของ NOAA ค้นพบโลมาปากขวดตัวดังกล่าวก่อนที่จะส่งไปยังสถาบันธรรมชาติออดูบอน (Audubon Nature Institute) ในเมืองนิวออร์ลีนเพื่อทำการชันสูตรพลิกศพและต้องตกตะลึงเมื่อพบกระสุนปืนเจาะไปที่อวัยวะหลายแห่งของโลมาแสนรู้ นิวยอร์กโพสต์รายงานว่า แผนกบังคับใช้กฎหมายของ NOAA กำลังสอบสวนการตายของโลมาปากขวดวัยรุ่นตัวนี้อย่างเร่งรีบพร้อมกับเสนอรางวัลเพื่อเบาะแสไปสู่การนำจับเป็นจำนวน 20,000 ดอลลาร์สำหรับมือปืนที่ก่อเหตุอุกอาจเย้ยกฎหมายขั้นร้ายแรงเช่นนี้ https://mgronline.com/around/detail/9670000035659
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
การสูบน้ำบาดาลจนแผ่นดินทรุดตัว มหันตภัยร้ายเสี่ยงทำเมืองชายทะเลของจีนจมน้ำ นักวิจัยของจีนและสหรัฐฯ พบว่า ประชากรจีนราว 1 ใน 3 ใน 82 เมืองอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่แผ่นดินทรุดตัวเร็วกว่า 3 มิลลิเมตรต่อปี และร้อยละ 7 อาศัยในบริเวณที่แผ่นดินทรุดตัวเร็วกว่า 10 มิลลิเมตรต่อปี - ภาพรอยเตอร์ มหาวิทยาลัยของจีนและสหรัฐอเมริกาเผยผลการศึกษาชิ้นใหม่ซึ่งทำร่วมกัน โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำบาดาลและน้ำหนักของอาคารสิ่งก่อสร้างมีความเชื่อมโยงกับการเกิดแผ่นดินทรุดตัว และหากไม่มีการป้องกันแล้ว การทรุดตัวของแผ่นดินประกอบกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจะทำให้พื้นที่ชายฝั่ง 1 ใน 4 ของจีนจมใต้ระดับน้ำทะเลภายในหนึ่งศตวรรษ หรือภายในปี พ.ศ.2663 และประชาชนหลายร้อยล้านคนเสี่ยงถูกน้ำท่วม นอกจากนั้น ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้ชาวจีนราว 270 ล้านคนอาศัยอยู่บนแผ่นดินที่กำลังทรุดตัวมากเกือบเท่ากับ 1 ใน 3 ของประชากรยุโรป และ 67 ล้านคนอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่แผ่นดินกำลังทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว มากเท่ากับประชากรทั้งหมดในฝรั่งเศส นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งในจีน รวมถึง มหาวิทยาลัยเซาท์ไชน่านอร์มอลและมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ตลอดจนมหาวิทยาลัย 2 แห่งในสหรัฐฯ ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าว ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิแล้วใน วารสารไซแอนซ์ (Science) เมื่อวันศุกร์ (19 เม.ย.) นักวิจัยเหล่านี้ระบุว่า การดำเนินการควบคุมอย่างต่อเนื่องในระยะยาวในการสูบน้ำบาดาลคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาแผ่นดินทรุดตัว โดยจำเป็นต้องมีการประสานความร่วมมือกันระหว่างผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัยและวิศวกรโยธา เพื่อแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับยกตัวอย่างนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีประชากรมากที่สุดในจีนและพื้นที่ใกล้เคียงมีการควบคุมการสูบน้ำบาดาลในระยะยาวอย่างแข็งขัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งอธิบายได้ว่าเหตุใดจึงสังเกตเห็นการทรุดตัวที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ที่นั่น การทรุดตัวทำให้เกิดรอยแยกของพื้นดิน สร้างความเสียหายให้อาคาร และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินยุบตัวในประเทศจีนทำให้มีผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บหลายร้อยคน และก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยตรงกว่า 7,500 ล้านหยวนต่อปีในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ในการศึกษาครั้งนี้ทีมวิจัยได้จัดทำแผนที่การทรุดตัวของเมืองทั่วประเทศระหว่างปี พ.ศ.2558 ถึง 2565 โดยอาศัยดาวเทียมถ่ายภาพเรดาร์ เซนติเนล-1 (Sentinel-1) ขององค์การอวกาศยุโรป เพื่อวัดการเคลื่อนที่ของพื้นดินในแนวตั้งโดยใช้เรดาร์พัลส์วัดการเปลี่ยนแปลงของระยะทางระหว่างดาวเทียมกับพื้นผิวดิน นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์เมืองใหญ่มีประชากรกว่า 2 ล้านคน ทั้งหมด 82 แห่ง คิดเป็นเกือบ 3 ใน 4 ของประชากรในเมืองจำนวน 920 ล้านคนในจีน และพบว่า ราว 1 ใน 3 ของประชากรในเมือง 82 แห่งนี้อาศัยในภูมิภาคที่มีการทรุดตัวเร็วกว่า 3 มิลลิเมตรต่อปี และประชากรร้อยละ 7 อาศัยในบริเวณที่มีการทรุดตัวเร็วกว่า 10 มิลลิเมตรต่อปี โดยนครเทียนจินทางภาคเหนือและกรุงปักกิ่งอยู่ในจุดที่มีการทรุดตัวอย่างรวดเร็วเหล่านี้ ที่มา : "China's 'sinking' big coastal cities at risk of floods as sea levels rise, study warns" ในเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ https://mgronline.com/china/detail/9670000034660
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
รู้จัก "ปะการังฟอกขาว" หายนะครั้งใหญ่จากความร้อนในมหาสมุทร และครั้งนี้อาจรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจาก องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) และโครงการริเริ่มแนวปะการังนานาชาติ (International Coral Reef Initiatives : ICRI) ประกาศว่า โลกกำลังประสบสภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ (Mass Bleaching) เป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมา และได้เผยว่าในปัจจุบันนี้ 54 ประเทศทั่วโลก กำลังประสบปัญหาสภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้น้ำในพื้นผิวมหาสมุทรอุ่นขึ้น MGROnline Science จึงขอพาไปทำความรู้จักกับการฟอกขาวของปะการัง ที่ทำให้ปะการังสีสันสวยงาม กลายมาเป็นสีขาวซีดจนน่าหดหู่ใจ ตามที่ได้มีการบันทึกไว้ สภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ระดับโลกนั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการเกิดขึ้นมาแล้วถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2541 ครั้งที่สอง ปี 2553 และครั้งที่สาม ระหว่างปี 2557 ถึงปี 2560 จะเห็นได้ว่าการเกิดปะการังฟอกขาวเป็นช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งครั้งที่ 3 และ 4 ห่างกันไม่ถึง 10 ปี และในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรง และมีความถี่ในการเกิดบ่อยครั้งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) คือ สภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางลง จนมองเห็นเป็นสีขาว มีสาเหตุมาจากการสูญเสีย "สาหร่ายซูแซนเทลลี" (Zooxanthellae) สาหร่ายขนาดเล็กที่ดํารงชีวิตอยู่ร่วมกับปะการัง ในวงจรชีวิต "แบบพึ่งพากัน" (mutualism) ปกติแล้วในเนื้อเยื่อของปะการังไม่ได้มีสีสันสวยงาม มันเป็นเพียงเนื้อเยื่อใสๆ เท่านั้น ส่วนสีที่เราเห็นในปะการังล้วนเป็นสีที่ได้รับมาจากสาหร่ายซูแซนเทลลี ซึ่งอาจจะเป็นสีแดง สีส้ม สีเขียว หรือน้ำตาลก็ขึ้นอยู่กับชนิดของซูแซนเทลลีที่เข้าไปอาศัยอยู่ในตัวปะการัง สาหร่ายซูแซนเทลลีจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ช่วยเร่งกระบวนการสร้างหินปูน รวมถึงการสร้างสีสันให้แก่ตัวปะการัง ส่วนปะการังก็ให้ที่อยู่แก่สาหร่ายเป็นการใช้ชีวิตที่เกื้อกูลกันและกัน หากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตในแนวปะการังเกิดขึ้น เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 30-31 องศาเซลเซียส ติดต่อกันประมาณ 3-4 สัปดาห์ ค่าความเค็มของน้ำทะเลเปลี่ยนไปจากเดิม หรือมลพิษในน้ำทะเล สาหร่ายซูแซนเทลลีจะไม่สามารถดำรงชีวิตในปะการังในบริเวณนั้นได้ และมีการออกจากเนื้อเยื่อปะการังเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้ปะการังเหลือเพียงเนื้อเยื่อใสๆ และจะเห็นเป็นสีขาวของโครงสร้างหินปูนที่อยู่ภายใน เหตุนี้จึงเรียกกันว่า "ปะการังฟอกขาว" การที่ปะการังจะกลับมามีสีสันเหมือนเดิมนั้น จะต้องรอสภาพแวดล้อมในแนวปะการังกลับมาสมดุลเหมือนเดิม สาหร่ายซูแซนเทลลีก็จะกลับเข้ามาอาศัยในเนื้อเยื่อปะการังตามเดิม สภาวะปะการังฟอกขาวก็จะหายไปและปะการังก็จะกลับมาสีสันสวยงามเหมือนเดิมอีกครั้ง ขอบคุณข้อมูล ? รูปอ้างอิง - www.science.navy.mi.th - www.noaa.gov องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ https://mgronline.com/science/detail/9670000034169
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
เผยชื่ออาหาร ปนเปื้อนไมโครพลาสติกมากที่สุด เสี่ยงต่อสุขภาพ แถมหาซื้อง่าย อย่ามองข้าม เผยรายชื่ออาหาร ปนเปื้อนไมโครพลาสติกมากที่สุด ภัยเงียบซ่อนตัว เสี่ยงต่อสุขภาพ ซึมเข้ากระแสเลือดได้ สำนักข่าวต่างประเทศ เผยบทความวิจัยกรณีศึกษาเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาพบว่า ร้อยละ 90 ของตัวอย่างอาหารประเภทโปรตีนจากพืชและสัตว์ มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติก ภัยเงียบอันตรายต่อร่างกาย โดยมีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งในต่อมลูกหมาก และยังส่งผลต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมของเซลล์ในร่างกายอีกด้วย โดยวารสาร Environmental Research ทีมนักวิจัยได้ทดสอบอาหารแช่แข็งประเภทโปรตีนที่คนนิยมรับประทานกันโดยทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ เนื้อวัว กุ้งและกุ้งชุบแป้งทอด อกไก่ และนักเก็ตไก่ เนื้อหมู อาหารทะเล เต้าหู้และอาหารประเภทแพลนต์เบสต่างๆ อย่างไรก็ตาม จากผลการตรวจสอบพบว่า กุ้งชุบแป้งทอดพบไมโครพลาสติกปนเปื้อนมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วจะมีอยู่ราว 300 ชิ้นต่อมื้อ ส่วนอันดับที่ 2 ได้แก่ นักเก็ตแพลนต์เบส มีไมโครพลาสติก 100 ชิ้นต่อมื้อ ต่อมาคือนักเก็ตไก่ ตามมาด้วยชิ้นปลาคลุกแป้งขนมปัง เนื้อกุ้งสดและปลาแพลนต์เบสคลุกแป้งขนมปัง ส่วนอาหารที่มีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกน้อยที่สุด คือ เนื้ออกไก่ ตามด้วยเนื้อหมูสันในและเต้าหู้ ขณะเดียวกัน นักวิจัยจาก University of Catania ประเทศอิตาลี พบเศษชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กในผลไม้และผักบางชนิด ซึ่งพบไมโครพลาสติกในแอปเปิล 1 กรัม เฉลี่ย 195,500 ชิ้น ในขณะที่ลูกแพร์มีปริมาณไมโครพลาสติกเฉลี่ย 189,500 ชิ้น ต่อ 1 กรัม ส่วนบร็อกโคลี และแคร์รอต เป็นผักที่พบไมโครพลาสติกมากที่สุด เพราะพบไมโครพลาสติกในปริมาณมากกว่า 100,000 ชิ้นต่อผัก 1 กรัม ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมามีผลวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เผยผลทดสอบในการสุ่มตรวจสอบตัวอย่างน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไป จำนวน 5 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 3 ยี่ห้อ รวมทั้งหมด 15 ตัวอย่าง ผลการศึกษานี้พบว่า มีอนุภาคไมโครพลาสติกระหว่าง 110,000-400,000 ชิ้นต่อลิตร โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 240,000 ชิ้น ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำสำหรับการบริโภคอาหารเพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะรับไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายไว้ว่า ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่บรรจุภัณฑ์แบบพลาสติก ถ้าเป็นไปได้ในการเลือกซื้ออาหารที่บรรจุในขวดแก้วหรือห่อกระดาษฟอยล์ดีกว่า นอกจากนี้ หลีกเลี่ยงอาหารแช่แข็งหรืออาหารที่ผ่านการแปรรูป และไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกอุ่นอาหารให้ร้อนด้วยไมโครเวฟ แต่ควรเปลี่ยนถ่ายอาหารใส่ภาชนะประเภทแก้วเสียก่อน หรืออุ่นอาหารด้วยเตาประเภทอื่นแทน https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_8200886
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#8
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
ตื่นตา!!พบปะการังอ่อนหลากสีงอกใหม่สวยงามบน'เกาะจำปีเล็ก'ตรัง นักท่องเที่ยวตื่นตาหลังพบปะการังอ่อนหลากสีที่งอกขึ้นมาใหม่บนเกาะจำปีเล็ก จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เพราะมีน้ำทะเลท่วมถึง ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้เป็นแหล่งหากินและพบเห็นจนชินตา แต่ไม่เคยทำลาย วันนี้ 22 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เกาะจำปีเล็ก ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ซึ่งเป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เพราะมีน้ำทะเลท่วมถึง มีเนื้อที่กว่า 5 ไร่ แต่เวลาน้ำลดชาวบ้านจะพบเห็นปะการังอ่อนหลากสีที่งอกขึ้นมาใหม่ ซึ่งชาวบ้านเผยว่าเห็นจนชินตาและไม่มีใครคิดทำลาย แต่ใช้เป็นแหล่งหาหอย ปูปลาหลังน้ำลดมานานหลายสิบปีแล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นปะการังอ่อนอย่างใกล้ชิดโดยไม่ต้องไปเสียค่าดำน้ำ และอยู่ห่างจากท่าเรือเกาะสุกรประมาณ 500 เมตร บางชนิดเป็นปะการังน้ำลึก แต่พบในเขตน้ำตื้น เช่น ปะการังแหวนและปะการังแจกันหรือปะการังจาน เบื้องต้น พบว่ามีทั้งปะการังถ้วยสมอง ปะการังเขากวาง ปะการังเกล็ดน้ำแข็ง ปะการังรังผึ้ง,ปะการังลูกฟูกและปะการังดอกจอก ขึ้นกระจายเต็มเกาะจำปีเล็ก ซึ่งหาดูได้ยากมาก แต่ที่เกาะสุกร กลับพบปะการังในเขตน้ำตื้นหลายจุด อาจเนื่องมาจากความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และไม่มีมลพิษ ประกอบกับชาวบ้านในพื้นที่ได้ช่วยกันอนุรักษ์ ทำให้กลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ของเกาะสุกร ก่อนหน้านี้ พบกัลปังหาสีแดงในเขตน้ำตื้นบนเกาะสุกร เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในทะเลตรัง จนสร้างความฮือฮามาแล้ว โดยปะการังทุกชนิดมีหลากสีสัน สวยงามแปลกตา และหาชมได้ทุกวันหลังน้ำทะเลลดลงต่ำสุด ท่ามกลางการดูแลอย่างเข้มงวดของผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้ไปกระทบกับแหล่งปะการังในเขตน้ำตื้น ด้านนายเพิง ไชยมูล อายุ 67 ปีชาวบ้านหมู่ที่ 1 ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง กล่าวว่า ชาวบ้านเรียกปะการังพวกนี้ว่าปะการังเชี่ยน มีแบบเป็นฟองน้ำด้วย ซึ่งพบอยู่ทั่วไปโดยตนเกิดมาก็เจอแล้ว มีปริมาณคงที่แต่หลากหลาย มีทั้งสีเทา สีฟ้าอ่อน คนที่เกาะจะช่วยกันรักษา คนนอกไม่ค่อยได้มาเพราะแถบนี้ชาวบ้านมาหาปูหาปลาอยู่และติดในเขตอนุรักษ์ ชาวบ้านบอกว่าสวยงามดี ถือว่าเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ โดยวันนี้ตนหาเจอดอเทศ (ปลิงทะเลชนิดหนึ่ง) หอยกะพง หอยแครง ถือว่าเป็นครัวของชาวบ้านที่หาประจำ เวลาน้ำแห้งก็ลงมาหาอาหารที่นี่ https://www.naewna.com/likesara/800435
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#9
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
ทช.นำทีมสัตวแพทย์ เกาะติด'โลมาฟันห่าง' เตรียมพาออกกลางอ่าวกลับฝูง จากกรณีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (24 เม.ย.67) หน่วยกู้ภัยทางน้ำ มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถาน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณร่องน้ำ หน้าเกาะพระ ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าพบโลมา มีความยาวประมาณ 1.8 เมตรเศษ คาดว่าน่าจะพลัดหลงจากฝูง และมีอาการคล้ายมีอาการบาดเจ็บ และเกรงว่าโลมาอาจตายได้หากได้รับการช่วยเหลือล่าช้า เพราะบริเวณดังกล่าวมีเรือหลวง และเรือประมงชาวประมง วิ่งเข้าออกตลอด ล่าสุด นายวุฒิพงษ์ วงศ์อินทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 นายธนพรรณ ชมชื่น นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยทรัพย์กรทางทะเลและชายฝั่ง อ่าวไทยฝั่งตะวันออก และเจ้าหน้าที่ ศูนย์วิจัยทรัพย์กรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมหน่วยกู้ภัยทางน้ำ มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถาน นำกำลังขึ้นเรือออกติดตาม เฝ้าดูอาการ ของโลมาฟันห่าง ตัวดังกล่าวตลอดทั้งวัน บริเวณร่องน้ำ หน้าเกาะพระ ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ใกล้เคียงกับจุดที่พบเมื่อช่วงเช้า นายวุฒิพงษ์ วงศ์อินทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 กล่าวว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 พร้อมทีมสัตวแพทย์ จากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ลงเรือไปสำรวจ ตรวจสอบว่าโลมาตัวดังกล่าว เพื่อเฝ้าดูอาการ หากพบว่าเกิดการเจ็บป่วย รุนแรงทีมสัตวแพทย์จะวางแผนล้อมจับเพื่อนำไปรักษาต่อไป โดนจากการตรวจสอบรูปถ่าย พบว่าน่าจะเป็นโลมาฟันห่าง ความยาวประมาณ 180 เซนติเมตร ขณะนี้เตรียมประสานเจ้าหน้าที่ทหารเรือและศรชล ภาค 1 ร่วมถึงกลุ่มประมงช่วยกันเฝ้าระวังดูโลมาตัวดังกล่าวไปอีกระยะ ซึ่งตอนนี้ยังพบว่าโลมาตัวดังกล่าวยังคงวนเวียนว่ายน้ำอยู่บริเวณดังกล่าว นายธนพรรณ ชมชื่น นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยทรัพย์กรทางทะเลและชายฝั่ง อ่าวไทยฝั่งตะวันออก กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าโลมาค่องข้างอ่อนแรง มีอาการลอยตัว แต่ยังหายใจได้ดี แต่โดยส่วนใหญ่โลมา จะหายใจเสียงดัง แต่ตัวนี้ค่อยข้างเบา แต่อาการโดยร่วมยังแข็งแรง ยังว่ายน้ำและดำน้ำได้อยู่ วันนี้การทำงานยังลำบากจึงได้มีการประชุมและยกเลิกภารกิจไปก่อน แต่ก็ยังมีการติดตามอาการต่อเนื่อง โดยในวันศุกร์นี้ เราจะกลับมาติดตามดูอาการอีกที ซึ่งในขณะนี้มีการแจ้งเครือข่ายกับสัตว์ทะเลหายาก ให้ช่วยกันติดตาม และเฝ้าระวัง ตัวที่พบในวันนี้เป็นโลมาฟันห่าง ดูจากผิวหนังน่าจะมีอายุที่เยอะแล้ว สำหรับที่เข้ามาในอ่าวสัตหีบอาจมีอาการป่วย เพราะโลมากลุ่มนี้จะไม่ค่อยเจอใกล้ชายฝั่งเท่าไร อาจป่วยหรือไม่ก็หลงฝูง ก็เป็นได้ การเข้ามาในบริเวณอ่าว เพราะบริเวณนี้จะมีเกาะ ที่สามารถช่วยเขากั้นคลื้นและลม โดยแผนขั้นต้น จะพยายามดันเขาออกไปนอกอ่าว แต่ถ้าโลมาไม่สามารถว่ายไปได้ หรือยังว่ายกลับมา เราจะนำตัวเขาขึ้นมาตรวจให้ละเอียดเพื่อทำการรักษา โดยโลมาวิธีการรักษาในธรรมชาติจะดีกว่า นำเขาขึ้นมารักษาในที่เลี้ยง ซึ่งจะได้มีการประชุมวางแผนต่อไป https://www.naewna.com/local/800978
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#10
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'ภาวะโลกร้อน' ทำพิษ 'ยุโรป' กลายเป็นทวีปที่ร้อนเร็วที่สุดในโลก ............ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล การศึกษาใหม่ระบุ "ยุโรป" กลายเป็นทวีปที่ร้อนเร็วที่สุดในโลก โดยมีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรม 2.3 องศาเซลเซียส ขณะที่ทั่วโลกมีค่าเฉลี่ยเพียง 1.3 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ธารน้ำแข็งละลาย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ร่วมกับสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป หรือ C3S ออกรายงานเกี่ยวกับสภาพอากาศในยุโรป พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิในยุโรปสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 2.3 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่า ข้อตกลงสภาพภูมิอากาศปารีสปี 2015 ที่ 1.5 องศาเซลเซียส และสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ 1.3 องศาเซลเซียส แม้ว่าทวีปยุโรปจะเป็นทวีปที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และไฟฟ้าพลังน้ำ มากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้วก็ตาม โดยในปี 2023 ยุโรปสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ 43% เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปีก่อนหน้า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ทำ "ยุโรป" ร้อนกว่าเดิม สาเหตุหลักที่ทำให้ยุโรปร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะว่าอยู่ใกล้กับอาร์กติก และขั้วโลกเหนือมาก เมื่อขั้วโลกได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงมายังยุโรป นอกจากนี้กระแสน้ำในมหาสมุทรของยุโรปอบอุ่นกว่ากระแสน้ำที่ละติจูดใกล้เคียงกันในส่วนอื่นๆ ของโลก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฤดูหนาวในลอนดอนถึงมีอุณหภูมิอบอุ่นกว่าชิคาโกมาก แม้ว่าลอนดอนจะอยู่ใกล้ขั้วโลกมากกว่าก็ตาม และยิ่งน้ำในมหาสมุทรร้อนขึ้นเท่าใด อากาศในยุโรปก็ยิ่งร้อนอบอ้าวมากขึ้นเท่านั้น รายงานดังกล่าวเตือนว่าโลกของเรากำลัง "เข้าขั้นวิกฤติ" และเราไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะทำให้โลกดีขึ้น โดยเดือนมีนาคม 2567 กลายเป็นเดือนที่อุณหภูมิรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วยุโรปแตะระดับสูงสุด "การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอาจจะมีต้นทุนสูง แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยจะเกิดความสูญเสียมากกว่านั้นมาก" เซเลสเต เซาโล เลขาธิการ WMO กล่าว "สภาพอากาศสุดขั้ว" ถล่ม "ยุโรป" ในปี 2023 อุณหภูมิทั่วยุโรปสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากถึง 11 เดือน และมีเดือนกันยายน ที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึก อีกทั้งต้องเผชิญกับ ?สภาพอากาศสุดขั้ว? หลากหลายรูปแบบ ประเทศทางตอนใต้ของยุโรป เช่น โปรตุเกส สเปน และอิตาลี เผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง ทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในพื้นที่อยู่อาศัย และควันไฟพัดพาปกคลุมเมืองต่างๆ อีกทั้งยังเกิด "ไฟป่า" รุนแรงในหลายประเทศ โดยเฉพาะกรีซที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในสหภาพยุโรป สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 600,000 ไร่ ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของยุโรปกลับมีฝนตกหนักจนทำให้เกิด "น้ำท่วม" ในปี 2023 มีความชื้นเพิ่มขึ้นประมาณ 7% มากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้ธารน้ำแข็งหายไปในทวีปนี้ รวมถึงหิมะ และน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาแอลป์ด้วย ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยุโรปสูญเสียธารน้ำแข็งไปแล้ว 10% จากที่มีอยู่ "ในปี 2023 ยุโรปเผชิญกับไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ ขณะเดียวกันก็เกิดฝนตกชุกที่สุด และน้ำท่วมร้ายแรงที่ลุกลามเป็นวงกว้าง" คาร์โล บูออนเทมโป ผู้อำนวยการฝ่ายบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส กล่าว "คลื่นความร้อน" คร่าชีวิตชาวยุโรป ชาวยุโรปได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น มีผู้เสียชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้น 30% ไม่ว่าจะเป็น คลื่นความร้อน พายุ น้ำท่วม และไฟป่า อีกทั้งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามากกว่า 14,300 ล้านดอลลาร์ "ผู้คนหลายแสนคนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในปี 2023 ก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ในระดับทวีป คิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยหลายหมื่นล้านยูโร" คาร์โล บูออนเทมโป ผู้อำนวยการ C3S กล่าว คลื่นความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุด ในเดือนกรกฎาคม 2023 เกิด ?คลื่นความร้อน? ในทวีปยุโรปจนทำให้มีอุณหภูมิสูงเกือบ 40 องศา โดยเฉพาะในยุโรปทางตอนใต้ ผู้คนบางส่วนไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้ อีกทั้งไม่มีเครื่องปรับอากาศช่วยคลายร้อน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนนับหมื่นคน เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2024 ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปตัดสินคดีที่กลุ่มผู้หญิงสูงวัยชนะคดี ที่ฟ้องรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนของพวกเธอ เนื่องจากรัฐไม่มีนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เด็ดขาด จนทำให้กลุ่มผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากคลื่นความร้อน คำตัดสินดังกล่าวทำให้รัฐบาลยุโรปทุกประเทศเสี่ยงต่อการดำเนินคดีในศาล หากไม่มีนโยบายที่จะป้องกันไม่ให้โลกร้อนขึ้น ตามข้อตกลงปารีส ดังนั้นในปีนี้หลายเมืองในยุโรปกำลังหามาตรการช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงเครื่องปรับอากาศ เพื่อรับมือกับคลื่นความร้อนให้ได้มากที่สุด เฟรเดอริก อ็อตโต นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากอิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน กล่าวกับสำนักข่าว The Guardian ว่า "หากมนุษย์ยังคงเผาน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินต่อไป คลื่นความร้อนก็จะรุนแรงกว่าเดิม และผู้คนที่อ่อนแอจะเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ" ที่มา: AP News, NPR, The Guardian https://www.bangkokbiznews.com/environment/1123642
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|