#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป แนวพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย รวมทั้งระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 9 ? 14 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง รวมทั้งมีฝนตกหนักบางพื้นที่ สำหรับภาคใต้ ในช่วงวันที่ 9 ? 11 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 12 ? 14 พ.ค. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน เริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง รวมทั้งมีฝนตกหนักบางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงไว้ด้วย รวมทั้งระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามัน ควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
พบปะการังฟอกขาวร้อยละ 10-15 ที่เกาะรอก เกาะห้า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา กระบี่ - อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ร่วมกับ "สิรณัฐ สก๊อต" ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาว ที่เกาะรอก และเกาะห้า พบร้อยละ 10-15 ส่วนใหญ่เป็นปะการังโขด นายพันธ์พงศ์ คงแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ ให้ข้อมูลว่า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ ร่วมกับนายสิรณัฐ สก๊อต ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาว และสำรวจขยะทะเล บริเวณเกาะรอก และเกาะห้า ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา แหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่สำคัญ พื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ โดยได้ทำการดำน้ำสำรวจปะการังบริเวณเกาะรอก ที่ระดับความลึกประมาณ 1-5 เมตร พบปะการังฟอกขาวในพื้นที่ 10-15% ซึ่งปะการังโขด เป็นปะการังที่ฟอกขาวมากที่สุด และยังพบสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ฟอกขาว เช่น หอยมือเสือ ดอกไม้ทะเล และที่เกาะห้า ที่ระดับความลึกประมาณ 1-5 เมตร พบปะการังฟอกขาวในพื้นที่ 5% ซึ่งปะการังโขด เป็นปะการังที่ฟอกขาวมากที่สุด โดยทั้ง 2 จุด อุณหภูมิของน้ำทะเลอยู่ที่ 31 องศาเซลเซียส นายพันธ์พงศ์ คงแก้ว กล่าวว่า ส่วนบริเวณน้ำลึกจะพบการฟอกขาวเพียงบางส่วนเท่านั้น ปะการังยังคงมีความสมบูรณ์สวยงาม อย่างไรก็ตาม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวต่อไป ส่วนขยะทะเลที่พบส่วนใหญ่เป็นซากอวนเก่าน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม https://mgronline.com/south/detail/9670000039764
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
ทะเลเดือด สั่งปิด "เกาะปลิง" จ.ภูเก็ตชั่วคราว ตรวจพบปะการังฟอกขาว ภูเก็ต - ทะเลเดือด! น้ำร้อนจัดทำปะการังฟอกขาว อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต ประกาศปิด "เกาะปลิง" ชั่วคราว หลังพบแนวปะการังฟอกขาว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย ลดผลกระทบจากกิจกรรมทุกประเภท จากกรณีเกิดฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ส่งผลให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวขึ้นในหลายพื้นที่ ล่าสุด นายวัชระ ส่งสีอ่อน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ได้ประกาศปิดสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณ "เกาะปลิง" และแนวปะการังโดยรอบเป็นการชั่วคราว เนื่องจากที่ผ่านมา ทางอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต สำรวจติดตามสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังในพื้นที่ พบว่า บริเวณเกาะปลิงและแนวปะการังโดยรอบซึ่งเป็นปะการังน้ำตื้น มีการฟอกขาวจำนวนมาก เพราะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทางอุทยานแห่งชาติสิรินาถ พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง รวมถึงลดผลกระทบจากกิจกรรมประเภทต่างๆ ที่อาจเป็นการเร่งให้ปะการังเกิดการฟอกขาวมากขึ้น จึงประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวบริเวณ ?เกาะปลิง? และแนวปะการังโดยรอบเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การฟอกขาวของปะการังจะคลี่คลายลง https://mgronline.com/south/detail/9670000039570
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
สุดสะพรึง พบปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทั่วหาดเกาะลิบง หวั่นกระทบ พะยูน-สิ่งแวดล้อม ตรัง สุดสะพรึง ชาวบ้าน-นักท่องเที่ยว กังวลพบปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทั่วหาดเกาะลิบง หวั่นกระทบรุนแรง แหล่งอนุรักษ์พะยูน-สิ่งแวดล้อม วอนเร่งแก้ปัญหาโดยด่วน 8 พ.ค. 67 ? ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้าน-นักท่องเที่ยว สุดกังวลพบปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวในทะเลตรัง อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ยังคงเกิดขึ้นและขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนนี้ เพิ่งเกิดกับดอกไม้ทะเล แหล่งอาศัยของปลานีโม่ ที่บริเวณอ่าวฝรั่ง ของเกาะมุก ในพื้นที่ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ทำให้มีดอกไม้ทะเลฟอกขาวเป็นจำนวนมาก ล่าสุดได้เกิดเพิ่มขึ้นที่บริเวณหาดหลังเขา ของเกาะลิบง ซึ่งถือเป็นแหล่งอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเลที่ใหญ่สุดของประเทศไทย โดยหลังจากที่น้ำทะเลได้ลดลง ก็ต้องกับตกตะลึงกับภาพปะการังจำนวนมากที่โผล่อยู่ทั่วชายหาด ในสภาพที่บางส่วนมีสีซีดจางลง หรือบางส่วนกลายเป็นสีขาวไปหมดแล้ว ทั้งที่ปกติปะการังเหล่านี้จะมีความสวยงามหลากหลากสีสัน นายจิตตพล ตันอนุสรณ์ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นผู้ถ่ายคลิปปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ที่หน้า เลอ ดูก๊อง ลิบง รีสอร์ท บริเวณหาดหลังเขา ของเกาะลิบง หลังจากที่น้ำทะเลลดลง โดยระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวอย่างมาก เนื่องจากเดิมทีบริเวณนี้จะเป็นจุดที่มีปะการังสมบูรณ์มากมาย เช่น ปะการังสมอง ปะการังรังผึ้ง ปะการังตาข่าย ปะการังเขากวาง ทำให้มีปลาและหอย รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ มาอาศัยอยู่จำนวนมาก แต่เมื่อมาเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงเช่นนี้ขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้ตนเองรู้สึกกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก และอยากให้ทุกฝ่ายรีบเร่งช่วยกันแก้ปัญหาโดยด่วน https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8222686
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
พัชรวาท สั่งแก้วิกฤต ปะการังฟอกขาว อ่าวไทย-อันดามัน จี้หามาตรการรับมือทุกมิติ "พัชรวาท" สั่งแก้วิกฤต ปะการังฟอกขาว อ่าวไทย-อันดามัน จี้ กรมทรัพยากรทางทะเลฯ หามาตรการรับมือทุกมิติ แจ้ง กรมอุทยานแห่งชาติฯ ปิดจุดดำน้ำบางแห่ง 8 พ.ค. 67 ? ที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จ.ภูเก็ต พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงสถานการณ์ปะการังฟอกขาว ว่า สถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พบว่ามีความรุนแรงในฝั่งอ่าวไทยมากกว่าฝั่งอันดามัน โดยเกิดการฟอกขาวแล้วมากกว่า 50% ของพื้นที่แนวปะการังฝั่งอ่าวไทย เช่น พื้นที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เกาะคราม จ.ชุมพร สำหรับในฝั่งอันดามันพบการฟอกขาว ไม่เกิน 20% ของพื้นที่ โดยส่วนใหญ่เกิดในบริเวณที่มีความลึกไม่เกิน 2 เมตร เช่น เกาะรอก จ.ตรัง ส่วนใหญ่จะพบว่าปะการังมีสีซีด ซึ่งเป็นผลกระทบจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2 สัปดาห์ พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวอีกว่า ขณะนี้มหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์เอลนีโญ El Ni?o-Southern Oscillation (ENSO) ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย (SST) และมีการคาดการณ์ว่า จะเกิดปะการังฟอกขาวในประเทศไทย ช่วงระหว่างเดือน เม.ย.-ก.ค. 67 โดยระดับความรุนแรงอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ที่แนวปะการังพื้นที่ จ.ตราด จ.จันทบุรี จ.ชุมพร และจ.กระบี่ อันเป็นสัญญาณบ่งชี้ของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก หรือที่เรียกกันว่า โลกเดือด เมื่อน้ำทะเลร้อนขึ้นปะการังที่มีความอ่อนไหวมากๆ ก็จะเกิดการฟอกขาว เพราะสาหร่าย "ซูแซนเทลลี" จะอพยพออกจากเนื้อเยื่อของปะการัง เพื่อแสวงหาสภาพแวดล้อมใหม่ให้มีชีวิตรอด ทำให้ปะการังสูญเสียแหล่งอาหารสำคัญ และเหลือเพียงโครงสร้างหินปูนสีขาว รมว.ทส. ระบุอีกว่า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ปะการังฟอกขาว เช่น การปล่อยน้ำบำบัดหรือสารเคมีต่างๆ จากโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่ทะเล น้ำจืดที่ไหลลงสู่ทะเลในปริมาณมากส่งผลต่อสภาพความเค็มของน้ำทะเล ดังนั้น จึงขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชน และหน่วยงานทุกภาคส่วนให้ช่วยกันลดปัจจัยที่จะเพิ่มความเครียดให้กับปะการัง เช่น การใช้ครีมกันแดดที่ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อปะการัง การไม่ทิ้งขยะในแนวปะการัง และไม่ปล่อยน้ำเสียลงในทะเล ทั้งนี้หากพบเห็นการเกิดปะการังฟอกขาว สามารถแจ้งข่าวสารผ่านเว็บไซต์ https://thailandcoralbleaching.dmcr.go.th/th เพื่อทุกฝ่ายจะได้เตรียมพร้อมรับมือและลงพื้นที่ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ปะการังฟอกขาวอย่างใกล้ชิดต่อไป พัชรวาท กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้สั่งการ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาปิดจุดดำน้ำบางแห่ง ที่พบปะการังฟอกขาวเป็นจำนวนมาก และให้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งฯ พยายามช่วยชีวิตปะการัง โดยดำเนินการตามหลักวิชาการ เช่น การลดปริมาณแสงโดยการใช้วัสดุปิดบังแสงในแนวปะการังน้ำตื้น และการย้ายปะการังบางชนิดลงไปในระดับน้ำที่ลึกมากขึ้น และที่มีอุณหภูมิน้ำต่ำกว่าปกติ เพื่อให้ปะการังได้พักฟื้นกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8222667
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เร่งชันสูตร "ซากพะยูน" เกาะพีพี ถูกใบพัดเรือฟัน 2 แผลใหญ่ เจ้าหน้าที่นำซาก "พะยูน" ส่งชันสูตร หลังพบลอยทะเลบริเวณร่องน้ำ ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา พบ 2 บาดแผลใหญ่ ถูกใบพัดเรือฟัน พร้อมลงบันทึกประจำวัน-หาตัวผู้กระทำผิด วันที่ 7 พ.ค.2567 เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้รับแจ้งจากผู้ประกอบการเรือหางยาว พบซากพะยูนลอยอยู่ในทะเลบริเวณร่องน้ำปากทางเข้าคลองแห้ง ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา หมู่ที่ 5 ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ซึ่งชาวบ้านได้ช่วยกันลากพะยูนเข้าฝั่ง นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติฯ เข้าตรวจสอบพบเป็นพะยูนตัวเมีย เต็มวัย น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม มีร่องรอยถูกใบจักรเรือฟันบริเวณหัว เป็นแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ 2 แผล ขณะตรวจสอบเบื้องต้น พะยูนยังมีชีวิต จึงกดแผลห้ามเลือด และประสานสัตว์แพทย์ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง (จังหวัดตรัง) ประเมินอาการ ต่อมาพะยูนดังกล่าวหยุดหายใจและตายลง ทางเจ้าหน้าที่ได้ประสานงานนำซากส่งศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง เพื่อตรวจสอบชันสูตรโดยละเอียด นอกจากนี้ หัวหน้าอุทยานฯ ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่จัดทำบันทึกการตรวจสอบ เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี พบการเข้ามาอยู่อาศัยของพะยูนค่อนข้างน้อย โดยเป็นการอพยพหากินตามแหล่งอาหารในแต่ละช่วงฤดูกาล ส่วนพื้นที่เกิดเหตุเป็นบริเวณเส้นทางเข้าออกของเรือนำเที่ยวจำนวนมาก ทั้งเรือสปีดโบ๊ท เรือหางยาว หากมีพะยูนเข้ามาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย ทั้งนี้ อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จะเร่งสำรวจการเข้ามาหากินของพะยูนในพื้นที่ดังกล่าว และประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ผู้ประกอบการนำเที่ยวใช้ความระมัดระวังในการขับเรือ ลดความเร็วเรือขณะเข้าพื้นที่น้ำตื้น ซึ่งอาจเป็นพื้นที่ที่มีพะยูนเข้ามาหากิน https://www.thaipbs.or.th/news/content/339777
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation
น่าห่วง! "ดอกไม้ทะเล" เกาะมุก บ้านปลาการ์ตูน ยังเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวต่อเนื่อง น่าเป็นห่วง "ดอกไม้ทะเล" ในทะเลตรัง บริเวณเกาะมุก เกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวอย่างต่อเนื่อง อาจจะกระทบต่อแหล่งอาศัยของปลาการ์ตูนในอนาคต แม้จะเริ่มมีฝนตกลงมาบ้างแล้ว พร้อมพารู้จักดอกไม้ทะเล (Sea Anemone) สีสันแห่งท้องทะเลที่มีชีวิต จากการที่ปีนี้อุณหภูมิของโลกพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแหล่ง "ดอกไม้ทะเล" ที่เปรียบเสมือนกับเป็นบ้านของ "ปลาการ์ตูน" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ปลานีโม" ทำให้นักดำน้ำพยายามลงพื้นที่เร่งทำการสำรวจในบริเวณแหล่งปะการัง และแหล่งที่มีดอกไม้ทะเลสวยงามที่มีหลายๆ แห่ง ในทะเลตรัง โดยเฉพาะตามจุดดำน้ำดูปะการังที่มีหลายแห่งบริเวณตามเกาะต่างๆ เพื่อสำรวจความเสียหาย ซึ่งล่าสุด (8 พ.ค. 67) จากการลงไปดำน้ำสำรวจของทีมผู้ประกอบการท่องเที่ยวทะเลตรัง นำโดย นายพฤกษ์ เกิดอุบล ผู้จัดการ มดตะนอย รีสอร์ท พบว่า ที่บริเวณรอบๆ เกาะมุก ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลชื่อดังของจังหวัดตรัง ที่เชื่อมต่อจาก "เกาะกระดาน" ที่นักท่องเที่ยวจะต้องไม่พลาดที่จะไปเยือน ก็ยังคงพบความเสียหายของ "ดอกไม้ทะเล" เป็นวงกว้างเช่นเดียวกัน เนื่องมาจากปรากฎการณ์ "ดอกไม้ทะเลฟอกขาว" ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ขณะนี้ดอกไม้ทะเลส่วนใหญ่จะค่อยๆ มีสีซีดลง หรือเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น หรือสีขาวใส จนแลดูคล้ายกับเห็ดเข็ม ทั้งที่ปกติพวกมันจะมีสีสันต่างๆ อย่างสวยงาม เช่น แดง เขียว ส้ม แต่ผลพวงจากโลกร้อนของปีนี้ได้ทำให้ดอกไม้ทะเลฟอกกลายเป็นสีขาว และห่วงว่าพวกมันอาจจะตายลง จนเกิดผลกระทบต่อแหล่งอาศัยของปลาการ์ตูนได้ เนื่องจากช่วงระยะนี้อุณหภูมิของน้ำทะเลตรังยังคงสูง ถึงแม้จะเริ่มมีฝนตกลงมาบ้างแล้วในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อุณหภูมิของน้ำทะเลตรังลดลงไปมากนัก รู้จัก "ดอกไม้ทะเล" อ้างอิงข้อมูลจาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่า ดอกไม้ทะเล ซึ่งถูกเรียกอีกอย่างว่า "ซีแอนนีโมนี่" (Sea Anemone) เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล ไม่มีกระดูกสันหลังมีอยู่หลายชนิดและหลายสกุล ถึงจะมีคำว่าดอกไม้ในชื่อ แต่ก็ไม่ใช่พืช มันเป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มย่อยเดียวกันกับปะการังแข็ง เพียงแต่ไม่มีโครงสร้างหินปูนเหมือนอย่างปะการังแข็ง จึงทำให้ดูอ่อนนุ่มพลิ้วไหวไปตามแรงของกระแสน้ำ แต่มีเส้นประสาทที่ประสานกันไปมาเป็นตาข่ายอยู่ตามลำตัวและบริเวณหนวด เพื่อรับความรู้สึกสัมผัสจากสิ่งแวดล้อม ดอกไม้ทะเล มีถิ่นที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน โดยบางชนิดที่อยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลง จะมีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดี รวมถึง มีความสามารถในการอยู่บนบกได้เป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงขณะที่น้ำทะเลลดลง ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักพบดอกไม้ทะเลเกาะอยู่ตามก้อนหินริมชายฝั่งโดยหดตัวเป็นก้อนกลม เพื่อรอให้น้ำทะเลท่วมบริเวณที่อาศัยอยู่อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง ลักษณะดอกไม้ทะเล ซีแอนนีโมนี่ มีลักษณะคล้ายดอกไม้ ส่วนบนมีหนวดอยู่รวมกันมากมายหลายเส้น มองเผินๆจะเห็นหนวดของมันพัดโบกตามกระแสน้ำไปมา ความพิเศษอย่างหนึ่งของหนวดเหล่านี้ คือ มีเข็มพิษฝังอยู่ใต้ผิวหนังของมัน เหมือนกับพวกแมงกะพรุน ส่วนลำตัวอ่อนนุ่ม แม้ว่ามันจะเคลื่อนที่ได้เล็กน้อย แต่ก็มีนิสัยชอบอยู่ประจำที่ เท่าที่พบในบ้านเรายังไม่เคยพบชนิดที่มีพิษร้ายแรง พวกนี้มักพบเป็นหย่อมๆ อาศัยอยู่ตามหาดที่มีปะการังทั่วไป ส่วนที่พวกนี้มีเข็มพิษ จะมีการทำงานของเข็มพิษเหมือนกับพวกปะการังไฟ มีพิษไม่ร้ายแรงมากนัก อาการที่เกิดหลังจากถูกพิษพวกนี้จะคล้ายๆ กับการถูกพิษของ "ปะการังไฟ" เพียงแต่อาการรุนแรงน้อยกว่า บางชนิดไม่มีพิษต่อมนุษย์แต่อาจจะรุนแรงถึงชีวิต อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ ควรป้องกันโดยการสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด ไม่ควรให้อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไปถูกพวกมัน เพราะอาจจะเจอพวกที่มีพิษร้ายแรงเข้าได้ การพึ่งพาอาศัยกันของดอกไม้ทะเล-ปลาการ์ตูน อย่างที่กล่าวไป หนวดของดอกไม้ทะเลแต่ละเส้นมีเข็มพิษฝังอยู่ใต้ผิวหนัง เข็มพิษจากหนวดของดอกไม้ทะเลนี้เอง ที่จะใช้สังหารเหยื่อ เพื่อกินเป็นอาหาร แต่สำหรับปลาการ์ตูนแล้ว มันสามารถอาศัยอยู่ในดอกไม้ทะเลได้ เนื่องจากมีชั้นเมือกรอบๆ ตัว ซึ่งใช้ป้องกันเข็มพิษ นอกจากนี้ ปลาการ์ตูนจะช่วยล่อเหยื่อให้เข้ามาใกล้หนวดของดอกไม้ทะเล ทำให้ดอกไม้ทะเลได้อาหาร ช่วยให้บริเวณผิวดอกไม้ทะเลสะอาดโดยการกินอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เหลืออยู่จนหมด ขณะเดียวกัน ปลาการ์ตูน จะโบกครีบไปมาให้เกิดกระแสน้ำไหลผ่าน เพื่อให้ออกซิเจนกับดอกไม้ทะเล ในยามกลางคืนที่ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง สัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงให้ประโยชน์แก่กันและกัน ในรูปความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน (Symbiosis) มีดอกไม้ทะเลเพียง 10 ชนิด ที่ "ปลาการ์ตูน" ใช้อาศัยได้ แม้ว่าเราจะพบชนิดของดอกไม้ทะเลทั่วโลก มากกว่า 1,000 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีลักษณะของหนวดที่แตกต่างกัน อาศัยเกาะตามพื้นหินหรือทรายที่มั่นคง แต่ก็พบเพียง 10 ชนิดเท่านั้นที่ปลาการ์ตูนใช้อาศัยได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 บ้าน ได้แก่ 1. บ้านแอคตินีอีดี้ มีลักษณะของปลายหนวดโป่งออกคล้ายลูกโป่ง 2. บ้านธาลัสซิแอนธิดี้ ลักษณะของหนวดสั้นคล้ายพรม 3. บ้านสตีโคแดคทิวลิดี้ มีหนวดยาว ดังนั้น เมื่อดอกไม้ทะเล เกิดการฟอกขาว ทำให้น่าเป็นห่วงว่าพวกมันอาจจะตายลง จนทำให้ปลาการ์ตูนไม่มีแหล่งหลบภัย หรือบ้านให้อาศัยได้ในอนาคต "โลกร้อน-ทะเลเดือด" จึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ ก่อนที่สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ทะเล และปลาการ์ตูน รวมถึง ระบบนิเวศใต้ท้องทะเล จะหายไป ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ https://www.seefatour.com กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง https://kapongschool.ac.th/ www.khaosod.co.th/lifestyle/news_647945 ขอบคุณภาพบางส่วนจาก : เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat https://www.shutterstock.com/ https://www.nationtv.tv/news/social/...ecommendations
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#8
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
หมู่เกาะแฟโร: ฆ่าวาฬ 40 ตัว ภายใน 5 วัน ธรรมเนียมเก่าแก่หรือโหดร้ายทารุณ? SHORT CUT - ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หมู่เกาะแห่งนี้สังหารวาฬและโลมาไปแล้วกว่า 20,000 ตัว เฉลี่ยปีละ 1,000 ตัว - หมู่เกาะแฟโรเป็นเขตปกครองตนเอง ตั้งอยู่ระหว่างไอซ์แลนด์และนอร์เวย์ มีประชากรราว 53,418 คน และมีธรรมเนียมล่าวาฬที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 800 - มีคนวิเคราะห์ว่า การล่าวาฬของหมู่เกาะแฟโรในบริบทของสังคมสมัยใหม่ อาจเป็นการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมที่พยายามบ่อนเซาะและเข้ามามีอิทธิพลเหนือ วันที่ 4 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ธรรมเนียมการล่าวาฬบนหมู่เกาะแฟโรได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และมีวาฬถูกฆ่าไปแล้วกว่า 40 ตัว สปริงชวนติดตามเรื่องราวนี้ หมู่เกาะแฟโรมีที่มาอย่างไร ธรรมเนียมการล่าวาฬมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และคนบนเกาะคิดยังไงกับเรื่องนี้ ?มันเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ของเรา? บ่อยครั้งที่ประโยคทำนองนี้ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำอะไรบางอย่าง สำหรับกรณีนี้ ถือเป็นสถานการณ์ตัวอย่างที่ดีในการถกเถียง เพราะความยึดมั่นในธรรมเนียมของหมู่เกาะแฟโร ทำให้วาฬกว่า 40 ชีวิตต้องถูกพรากไปอย่างโหดร้ายทารุณ สปริงชวนรีแคปสั้น ๆ ก่อนเข้าเนื้อหา รู้หรือไม่ว่า...ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หมู่เกาะแห่งนี้สังหารวาฬและโลมาไปแล้วกว่า 20,000 ตัว เฉลี่ยปีละ 1,000 ตัว และที่สำคัญเนื้อวาฬจะถูกนำไปปรุงเป็นอาหารหลากหลายสไตล์ให้คนบนเกาะได้ทานกันอย่างอูมามิ ทำความรู้จัก เกาะสวรรค์แห่งแดนไกล หมู่เกาะแฟโรเป็นเขตปกครองตนเอง ตั้งอยู่ระหว่างไอซ์แลนด์และนอร์เวย์ มีประชากรราว 53,418 คน สืบค้นไปพบว่าคนส่วนใหญ่บนเกาะแห่งนี้สืบเชื้อสายมาจากชาวไวกิ้ง และอพยพมาตั้งรกรากในช่วง ค.ศ. 800 (ไม่น่าเชื่อว่าเก่าแก่กว่ากรุงรัตนโกสินทร์เสียอีก) ธรรมเนียมการล่าวาฬ ที่มีมากว่า 1,200 ปี "grindadr?p" คือชื่อที่คนบนเกาะใช้เรียกธรรมเนียมการล่าวาฬ หลายเว็บไซต์ให้ข้อมูลว่า การล่าวาฬของหมู่เกาะแฟโรจะเกิดขึ้นช่วงมิถุนายนไปจนถึงตุลาคม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคลื่นทะเลและสภาพอากาศเป็นใจมากแค่ไหน โดยชาวบ้านจะแล่นเรือล้อมรอบวาฬหรือโลมาเอาไว้ จากนั้นพวกมันจะถูกอาวุธ เช่น ตะขอ หอก หรือใบมีดเฉือนจนเสียชีวิต จากนั้น พวกมันก็จะถูกลากไปจอดไว้ที่ริมชายฝั่ง ดังที่เราเห็นในภาพ เกริ่นไปเล็กน้อยแล้วว่าวาฬผู้น่าสงสารพวกนี้ เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วก็จะถูกนำไปทำเป็นอาหารเลิศรส เมนูฮิตที่สุดมีชื่อว่า "Tv?st and spik" พูดให้เข้าใจมันก็คือ fish and chip ดี ๆ นี่เอง เพราะบนจานประกอบไปด้วย เนื้อวาฬและมันฝรั่ง ใครเห็นก็ว่าโหดร้าย คนบนเกาะคิดเห็นยังไง? "วาฬก็เหมือนวัว แกะ หมู หรือไก่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอาหาร" นี่คือทัศนคติหรือมุมมองของคนแฟโรต่อวาฬ สัตว์ที่ทั้งโลกพร่ำบอกว่าให้ช่วยกันอนุรักษ์ ทั้งนี้ สปริงได้ไปสืบค้นเพิ่มเติม และได้ใจความดังนี้ คนบนหมู่เกาะแฟโรมองว่าวาฬหรือโลมาในมหาสมุทรเปรียบเสมือนสัตว์ที่ถูกเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ ดังนั้น การล่าหรือบริโภคเนื้อพวกมันจึงถือว่ายั่งยืนและเป็นธรรมชาติมากกว่าการเลี้ยงในฟาร์ม หรือเนื้อจากโรงงาน การล่าวาฬกับเสียงประท้วงที่ไม่เป็นผล กลุ่ม Blue Planet Society อธิบายว่า เมื่อปีที่แล้ว หมู่เกาะแฟโรใช้ตะขอลากวาฬเข้าฝั่งเป็นร้อยตัว และไล่เชือดทีละตัว ๆ จากท้องทะเลสีคราม ก็เปลี่ยนเฉดเป็นสีแดง คาวหึ่งไปด้วยเลือด ทำให้ชวนคิดต่อว่า หากเราปลดเปลื้องเลนส์หรือแนวคิดทุกอย่างออกไปทั้งหมด เราจะรู้สึกยังไงระหว่าง เฉย ๆ หรือ หดหู่ คำถามต่อมาคือ การล่าวาฬผิดกฎหมายหรือไม่ นี่แหละความตลกร้าย เพราะการล่าวาฬของหมู่เกาะแฟโรได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายของสหภาพยุโรป และด้วยความเป็นรัฐอิสระจึงทำให้หมู่เกาะแห่งนี้สามารถผ่านกฎหมายของตัวเองได้ "การล่าวาฬมันไม่จำเป็นเลยสำหรับประเทศที่มีเงินเดือนเฉลี่ยหัวละ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (2 ล้านบาท) พวกเขาทำเพื่อความเพลิดเพลิน และความบ้าเลือดล้วนๆ" กลุ่ม Blue Planet Society กล่าวถึงกรณีการล่าวาฬบนหมู่เกาะแฟโร มีคนวิเคราะห์ว่า การล่าวาฬของหมู่เกาะแฟโรในบริบทของสังคมสมัยใหม่ อาจเป็นการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมที่พยายามบ่อนเซาะและเข้ามามีอิทธิพลเหนือ ซึ่งระยะเวลาเป็นพันปีคงพิสูจน์ได้แล้วว่า "ไม่เป็นผล" คุณล่ะคิดเห็นอย่างไร นี่คือธรรมเนียมเก่าแก่หรือโหดร้ายทารุณ? ที่มา: Euro News, UK Whale, Britannica https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/850122
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#9
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
Dragon 12 : ว่าวใต้น้ำ ปั่นไฟฟ้าจาก ?คลื่นในทะเล? ผลิตพลังงานสะอาด SHORT CUT - พลังงานคลื่นในทะเล กำลังเป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่น่าสนใจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น - Dragon 12 คือว่าวใต้น้ำจากบริษัทสวีเดน ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมพลังงานจากกระแสน้ำ ผลิตไฟฟ้าสะอาด โดยทำงานคล้ายว่าวบินเป็นรูปเลขแปดใต้ทะเล - Dragon 12 มีบทบาทสำคัญในแผนใช้ไฟฟ้าสะอาด 100% ของหมู่เกาะแฟโร ด้วยการผลิตไฟฟ้าถึง 1.2 เมกะวัตต์ ความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้แต่ละประเทศพยายามแสวงหาพลังงานทดแทนราคาถูกมาผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์แล้ว "พลังงานจากคลื่นในทะเล" ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่กำลังได้รับการจับตามองมากขึ้น Minesto บริษัทสตาร์ทอัพจากสวีเดนได้สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่ชื่อว่า Dragon 12 ซึ่งเป็นว่าวใต้น้ำที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้พลังงานจากกระแสน้ำในมหาสมุทรมาผลิตกระแสไฟฟ้าสะอาดได้อย่างยั่งยืน ในช่วงเวลาที่ความต้องการพลังงานไฟฟ้ากำลังเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก หลายประเทศกำลังมองหาแหล่งพลังงานทดแทนที่มีราคาย่อมเยาเพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า นอกเหนือจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว พลังงานจากคลื่นในมหาสมุทรก็กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ว่าวใต้น้ำคืออะไร? ลองจินตนาการถึงว่าวที่บินอยู่ในอากาศ เป็นรูปแบบเลขแปด ซึ่งหลักการทำงานของ Dragon 12 คล้ายกับว่าวที่ลอยอยู่ในอากาศ โดยจะเคลื่อนที่เป็นรูปเลขแปดเช่นกัน แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นมันกำลังดำดิ่งลงสู่ใต้ท้องทะเล การเคลื่อนที่ในลักษณะนี้จะทำให้น้ำไหลผ่านปีกของมันด้วยความเร็วสูง ซึ่งจะไปหมุนกังหันที่ติดอยู่ เพื่อเปลี่ยนพลังงานจลน์ของน้ำให้กลายเป็นพลังงานกล แล้วส่งต่อไปยังเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 1.2 เมกะวัตต์ จากนั้นไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกส่งผ่านสายเคเบิลไปยังสถานีบนฝั่ง และถูกรวมเข้ากับระบบสายส่งไฟฟ้าหลักเพื่อจ่ายให้กับบ้านเรือนและธุรกิจต่างๆ Martin Edlund ซีอีโอของ Minesto กล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทคือการสร้างโลกที่พลังงานหมุนเวียนมีความยั่งยืนและคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งการที่ ว่าวใต้น้ำ Dragon 12 สามารถลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเรากำลังเข้าใกล้เป้าหมายนี้มากขึ้นทุกที และจะทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดในราคาที่ถูกลงได้ในอนาคต การทำงานของว่าวใต้น้ำ Dragon 12 การเคลื่อนไหว: Dragon 12 ได้รับการออกแบบให้บินในรูปแบบเลขแปดใต้น้ำ คล้ายกับว่าวเคลื่อนที่ในอากาศ การเคลื่อนไหวนี้จะทำให้น้ำไหลผ่านปีกเร็วขึ้น การแปลงพลังงาน: ขณะที่น้ำไหลผ่านปีก มันจะหมุนกังหันที่ติดอยู่กับว่าว กังหันนี้จะแปลงพลังงานจลน์ของน้ำที่กำลังเคลื่อนที่เป็นพลังงานกล การผลิตไฟฟ้า: พลังงานกลจากกังหันจะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ผลิตไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 1.2 เมกะวัตต์ การรวมระบบกริด: ไฟฟ้าที่สร้างโดย Dragon 12 จะถูกส่งผ่านสายเคเบิลไปยังสถานีบนบก จากนั้นจะรวมเข้ากับระบบกริดแห่งชาติ ทำให้พร้อมใช้งานสำหรับบ้านและธุรกิจที่ใช้พลังงานไฟฟ้า หมู่เกาะแฟโรซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะใช้ไฟฟ้าสะอาด 100% ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่ง ว่าวใต้น้ำ Dragon 12 ถือเป็นตัวละครสำคัญที่จะช่วยผลักดันแผนการนี้ให้เป็นจริง ควบคู่ไปกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น ลม แสงอาทิตย์ และน้ำตก ที่มีอยู่ในหมู่เกาะอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Dragon 12 จะมีการออกแบบที่เป็นนวัตกรรมและมีข้อดีหลายประการ แต่ก็ยังมีข้อกังวลบางประการ เช่น ความน่าเชื่อถือในระยะยาว และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล ซึ่ง Minesto จำเป็นต้องศึกษาและปรับปรุงเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานคลื่นในมหาสมุทรเป็นไปอย่างยั่งยืนจริงๆ ที่มา :Foxnews PHOTO : Minesto
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#10
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
เม.ย. 2024 ร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิน้ำทะเลโลกก็ร้อนสุดเช่นกัน ไม่แปลกใจที่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศไทยของเราจะเผชิญกับอากาศร้อนจัดจนผู้คนล้มป่วย เพราะหน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหภาพยุโรปยืนยันแล้วว่า ในเดือนเมษายนปี 2024 เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกสถิติมา (โลกร้อน) สำนักงานสภาพอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป ยืนยันว่า เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่เคยมีการบันทึกข้อมูลเอาไว้ เช่นเดียวกับอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลโลกก็ร้อนขึ้นเช่นกัน โดยอากาศบนโลกของเราร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตลอด 11 เดือนที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น อุณหภูมิแต่ละเดือนก็ร้อนขึ้นทุบสถิติใหม่ตลอด บรรดานักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนสุดโต่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งทำให้ทั้งฟิลิปปินส์และกัมพูชาต้องสั่งงดการเรียนการสอนในห้องเรียน เพื่อรักษาสุขภาพของนักเรียนไว้ นอกจากนี้ อากาศยังร้อนจัดจนเป็นอันตรายในอินเดียและบังกลาเทศด้วย รายงานยังระบุว่า 12 เดือนที่ผ่านมานับจนถึงสิ้นสุดเดือนเมษายนปี 2024 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในระยะเวลา 12 เดือน โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยในยุคก่อนอุตสาหกรรม 1.61 องศาเซลเซียส การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นสาเหตุหลักของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ซึ่งทำให้น้ำทะเลแถบมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออกอุ่นขึ้น ก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นด้วย สำนักข่าวบีบีซียังรายงานว่า อุณหภูมิน้ำทะเลโลกร้อนขึ้นทำลายสถิติใหม่ในทุกวันตลอดระยะเวลา 11 เดือนที่ผ่านมาด้วยมหาสมุทรทั่วโลกเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญ แต่ปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญต่างเป็นกังวล เพราะมีหลักฐานต่างๆมากมายที่แสดงให้เห็นว่า มหาสมุทรโลกกำลังย่ำแย่ เพราะอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลกำลังร้อนขึ้น นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2023 ที่ผ่านมา อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลทั่วโลกเริ่มอุ่นขึ้น และทำลายสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในเดือนสิงหาคมปี 2023 นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลก็ทุบสถิติใหม่ค่าเฉลี่ยรายวันที่ 21.09 องศาเซลเซียส ปัญหาน้ำทะเลร้อน ซึ่งเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ กำลังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลโลก โดยทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวหมู่ครั้งใหญ่ในหลายจุดทั่วโลก ซึ่งปะการังนับเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของระบบนิเวศน์ทะเล เป็นบ้านของสัตว์ทะเลจำนวนมาก ข้อมูลจาก : bbc , REUTERS https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/850136
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|