เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 30-07-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฏาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย

อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในทะเลจีนใต้มีกำลังแรงขึ้น และคาดว่าจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสู่บริเวณชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้ ซึ่งจะส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นในช่วงวันที่ 1-2 สิงหาคม 2563


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 29 ? 30 ก.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุกประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ทำให้ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนต่อเนื่อง สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 31 ก.ค. - 4 ส.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรง ประกอบกับจะมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้นและเคลื่อนตัวมาทางทิศตะวันตกผ่านบริเวณเกาะไหหลำ ประเทศจีน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าฟ้าคะนองจะคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 31 ก.ค. - 4 ส.ค. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ และขอให้ชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 30-07-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ช็อก หญิงเก่ง อดีตประธาน Kipling ถูกฉลามขาวขย้ำเสียชีวิตที่รัฐเมน

หญิงเก่งชาวอเมริกันวัย 63 อดีตผู้บริหารธุรกิจแฟชั่น และเคยดำรงตำแหน่งประธานKipling ถูกฉลามขาวจู่โจมทำร้าย ขณะว่ายน้ำในทะเลกับลูกสาวที่รัฐเมน ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนเสียชีวิต



เมื่อ 29 ก.ค.63 เกิดเหตุการณ์สุดสลด ตำรวจยืนยัน Julie Dimperio Holowach (จูลี่ ดิมเพริโอ โฮโลวอช) หญิงชาวอเมริกันวัย 63 ปี ซึ่งเพิ่งวางมือ-เกษียณการทำงานในตำแหน่งผู้บริหารธุรกิจแฟชั่นในนครนิวยอร์ก รวมทั้งตำแหน่งประธานบริษัทผลิตกระเป๋าชื่อดัง Kipling ใน USA ได้เสียชีวิตจากการถูกฉลามขาวขย้ำ ขณะเธอลงไปว่ายน้ำในทะเลกับลูกสาว ใกล้เกาะเบลลีย์ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองพอร์ตแลนด์ ในรัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา จนถือเป็นเหตุการณ์ฉลามทำร้ายคนจนเสียชีวิตในรัฐเมนเป็นครั้งแรก

ตามรายงานของพอร์ตแลนด์ เพรสส์ เฮอรัลด์ ระบุว่า นางโฮโลวอช ซึ่งมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่รัฐเมน ถูกฉลามขาวทำร้ายขณะที่เธอกำลังว่ายน้ำในทะเลกับลูกสาว อยู่ห่างจากชายฝั่งเพียงแค่ 18 เมตรเท่านั้น ที่บริเวณใกล้กับอ่าว Mackerel Cove โดย ทอม ไวท์ เพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เขาได้มองเห็นจากที่ทำงานขณะนางโฮโลวอชว่ายน้ำอยู่ในทะเลกับลูกสาว ซึ่งตอนแรกเขาได้ยินเสียงเธอหัวเราะคิกคัก ทว่าต่อมากลับเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ และทันใดนั้น นายไวท์ก็เห็นนางโฮโลวอชจมลงไปใต้น้ำทะเล ซึ่งเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างดึงลงไป ขณะที่ลูกสาวของเธอก็รีบว่ายน้ำตรงมาหาแม่ทันที


ภาพจาก facebook : Julie Dimperio Holowach

หลังเกิดเหตุร้ายสะเทือนใจ มีคนพายเรือคายัค 2 คนที่กำลังพายเรือใกล้กับที่เกิดเหตุได้รีบช่วยกันนำร่างของนางโฮโลวอช ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสขึ้นมายังชายหาด จากนั้นมีรถพยาบาลมายังที่เกิดเหตุ ทว่านางโฮโลวอชได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนลูกสาวของนางโฮโลวอชไม่ได้ถูกฉลามทำร้ายแต่อย่างใด ซึ่งจากร่องรอยคมเขี้ยวของฉลาม ทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ระบุว่าฉลามที่ทำร้ายนางโฮโลวอช เป็นฉลามขาว

ตามรายงานยังระบุว่า นางโฮโลวอช ซึ่งเป็นคนชอบออกกำลังกาย สุขภาพแข็งแรง ทั้งเคยวิ่งมาราธอน ไตรกีฬา ได้สวมชุดดำน้ำลงไปว่ายน้ำในทะเล ขณะที่ลูกสาวของเธอไม่ได้สวมชุดดำน้ำ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่า ฉลามขาวตัวนี้อาจเข้าใจผิดคิดว่านางโฮโลวอช เป็นแมวน้ำก็เป็นได้ นอกจากนั้น ตามปกติแล้ว ฉลามขาวมักไม่ค่อยอาศัยอยู่ในทะเลบริเวณนี้ เนื่องจากน้ำทะเลจะเย็นกว่าบริเวณที่ฉลามขาวชอบอาศัยอยู่ แต่ฤดูร้อนไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีฉลามขาวมาป้วนเปี้ยนในทะเลที่รัฐเมนมากขึ้น เนื่องจากมีแมวน้ำอาศัยอยู่จำนวนมาก


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1899371

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 30-07-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


สุดงง! แนวรั้วสังกะสีโผล่บนชายหาดบางเทา จ.ภูเก็ต

ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สุดงง! แนวรั้วโผล่บนชายหาดบางเทา จ.ภูเก็ต ทำได้ด้วยหรือ ขณะที่นายก อบต.เชิงทะเล ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พบเป็นแนวเขตที่ดินราชพัสดุที่มีคนครอบครอง เตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวันที่ 31 ก.ค.นี้



จากกรณีมีการแชร์ภาพการปักเสาเหล็ก และพีวีซี บนชายหาดบางเทา ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และนำสังกะสีมาปิดกั้นเป็นแนวยาว จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก และรู้สึกงง เนื่องจากจุดที่ปักเสาและนำสังกะสีมาปิดกั้นนั้นอยู่บนชายหาด ต่างเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพื้นที่ที่มีการปักแนวเขตดังกล่าว

ล่าสุด วันนี้ (29 ก.ค.) นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล พร้อมด้วย ผอ.กองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล นายช่างเขตหมู่ที่ 3 และเจ้าหน้าที่เทศกิจ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขตการก่อสร้างรั้วสังกะสี บนหาดบางเทา ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต พร้อมประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่า สภาพพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ราชพัสดุที่มีผู้ครอบครอง ซึ่งมีแนวเขตยาวไปถึงทะเล

แต่จากสภาพปัจจุบันพบว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นชายหาด ซึ่งเรื่องนี้จะต้องประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานเจ้าท่า และสำนักงานธนารักษ์จังหวัดภูเก็ต โดยข้อเท็จจริงแล้วพื้นที่ที่น้ำทะเลขึ้นลงจะต้องมีการถอนสภาพจากที่ดินราชพัสดุเป็นพื้นที่ชายหาดสาธารณะ แต่ปัจจุบันพบว่ายังไม่มีการถอนสภาพ ทางผู้ครอบครองก็ยึดแนวเขตเดิม และทำรั้วขึ้นมาเพื่อกั้นบริเวณแนวเขตที่ตนเองครอบครอง

นายมาแอน กล่าวต่อไป เรื่องนี้เคยเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งทางผู้ครอบครองที่ดินราชพัสดุแปลงดังกล่าวได้มีการปักแนวรั้วเหมือนกับครั้งนี้ ตอนนี้ทางเทศบาลก็ได้เข้าไปพูดคุยขอให้ทางผู้ครอบครองรื้อถอนซึ่งเขาก็ยินดีและรื้อออกไป ส่วนครั้งนี้ในเบื้องต้นก็ได้ขอร้องให้มีการรื้อถอนรั้งสังกะสีออกไปก่อน ซึ่งเขาก็ยินดีแต่ระบุว่าจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 วัน ส่วนการดำเนินการตามกฎหมายนั้นทางเทศบาลไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เป็นพื้นที่ชายหาดสาธารณะ แม้ว่าสภาพความเป็นจริงจะเป็นชายหาดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีดังกล่าวนั้นจะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ สำนักงานเจ้าท่าภูเก็ต ธนารักษ์ องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อหาความชัดเจนเกี่ยวกับชายหาดบริเวณดังกล่าวว่าจะมีการถอนสภาพที่ดินราชพัสดุให้มาเป็นชายหาดสาธารณะตามสภาพความเป็นจริงหรือไม่ เพราะถ้าไม่ถอนสภาพทางเทศบาลก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการอย่างไรได้ ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 31 ก.ค.นี้ ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต


https://mgronline.com/south/detail/9630000077506

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 30-07-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก


นทท.แห่ไปพิสูจน์บ่อน้ำจืดผุดกลางทะเล ดื่มได้แทนน้ำ

นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังเกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง รอเวลาน้ำทะเลลดลงต่ำสุดเพื่อไปพิสูจน์บ่อน้ำจืดในทะเล ซึ่งสามารถดื่มได้แทนน้ำ สิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลที่มีเพียงหนึ่งเดียวใน จ.ตรัง



วันนี้(29 ก.ค) ที่เกาะลิบง ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง มีนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งซึ่งประกอบอาชีพอิสระ เดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะลิบง เพื่อพิสูจน์ความหัศจรรย์ของบ่อน้ำจืดซึ่งผุดขึ้นกลางทะเล ใกล้ ๆ กับสะพานหลีกภัย ห่างฝั่งประมาณ 200 เมตร โดยรอเวลาให้น้ำทะเลลดลงต่ำสุด เพื่อให้เห็นบ่อน้ำจืดอย่างชัดเจน ซึ่งชาวบ้านบอกว่าต้องตักน้ำเค็มที่ขังอยู่ในบ่อออกให้หมดก่อน จึงจะเห็นน้ำจืดผุดขึ้นจากชั้นใต้ดิน ไหลออกมาเป็นสายแทนที่น้ำทะเล เป็นน้ำที่ใสสะอาดและสามารถดื่มกินได้ โดยชาวประมงที่เกาะลิบงใช้อาศัยดื่มกินแทนน้ำมาตั้งแต่บรรพบุรุษนานกว่า 200 ปี ซึ่งนักท่องเที่ยวที่โชคดีเดินทางไปตรงกับในช่วงที่น้ำทะเลลดลงต่ำสุด จะได้แวะไปชิมน้ำจืดในบ่อน้ำที่อยู่กลางทะเลและมีเพียงแห่งเดียวใน จ.ตรัง

ซึ่งในอดีตชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะลิบง มีน้ำทะเลล้อมรอบ หาแหล่งน้ำจืดไม่ได้ นอกจากน้ำฝนหรือน้ำจืดที่ต้องขนจากฝั่งขึ้นไปบนเกาะ ต่อมามีชาวประมงพื้นบ้านไปพบว่า ตรงจุดดังกล่าวมีตาน้ำผุดขึ้นมาเป็นสาย จึงทดลองดื่มกินและพบว่าเป็นน้ำจืด หลังจากนั้นชาวประมงจึงได้อาศัยน้ำจืดที่บ่อแห่งนี้กินแทนน้ำเรื่อยมา จนกระทั่งมีการขุดเจาะบ่อบาดาลและซื้อน้ำถังเข้ามาในหมู่บ้าน บ่อน้ำจืดกลางทะเลจึงเหลือไว้เพียงตำนาน แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์และเป็นจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ส่วนที่ไม่มีปักป้ายหรือก่ออิฐถาวรเนื่องจากตรงจุดดังกล่าวมีคลื่นลมแรง มีน้ำทะเลท่วมสูง 6-8 เมตร และมีพะยูนว่ายเข้ามาบ่อย ๆ เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับพะยูน จึงก่อก้อนหินขึ้นมาล้อมรอบไว้ให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติสูงประมาณ 1 คืบ เพื่อสะดวกในการวิดน้ำเค็มออกจากบ่อ โดยมีเพียงธงสีเหลืองปักไว้เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น

ด้านนางกมลทิพย์ วัดโคก อายุ 45 ปีนักท่องเที่ยวจากอำเภอเมืองตรังกล่าวว่า ตนพิสูจน์แล้วว่าเป็นน้ำจืดจริง เมื่อเทียบกับน้ำข้างนอก สามารถดื่มแทนน้ำได้ และนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าประทับใจ ซึ่งตนเพิ่งเดินทางมายังเกาะลิบงเป็นครั้งแรก เพราะนึกว่ามายากแต่จริง ๆ แล้วมาไม่ยาก สามารถเดินทางเช้าไปเย็นกลับได้อย่างสบาย ๆ


https://www.komchadluek.net/news/reg...B8%B5%E0%B9%89

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 30-07-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


รายงานพิเศษ : กรมประมงนำปลาทูไทยกลับมาแล้ว... จะบริหารจัดการร่วมกันต่อไปอย่างไรให้ยั่งยืน



ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปลาทูในอ่าวไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนน่าตกใจ โดยเฉพาะระหว่างปี 2558-2561 ปริมาณการจับปลาทูในอ่าวไทยมีแนวโน้มลดลง จากเดิมเคยจับได้ 1.2 แสนตันต่อปีลดลงเหลือเพียง 33,931 ตันในปี 2558 และลดลงต่อเนื่อง เพราะปลาทูถูกจับ ?เกินศักยภาพการผลิต? ประกอบกับเครื่องมือทำประมงถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้พ่อแม่พันธุ์และปลาทูสาวถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์มากขึ้น กรมประมงจึงปรับเปลี่ยนมาตรการบริหารจัดการทรัพยากร เพื่อจะนำปลาทูกลับคืนมา กระทั่งปี 2562 พบมีปริมาณการจับปลาทูเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2561 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ

นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปัจจุบันปลาทูไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว เนื่องจากเดิมปลาทูถูกจับไปใช้ประโยชน์ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่ทันสมัย ปลาทูสาวร้อยละ 90 ที่พร้อมไปวางไข่ที่อ่าวไทยตอนกลางถูกจับในอัตราที่สูงขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้นและหลุดรอดไปยังแหล่งวางไข่น้อยมาก เป็นเหตุให้พ่อแม่พันธุ์ที่พร้อมวางไข่เหลือปริมาณน้อย ปลาทูรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนจึงลดลงไปด้วย จึงส่งผลให้ปริมาณปลาทูที่จับได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2561 กรมประมงจึงได้เพิ่มมาตรการอนุรักษ์ทรัพยากรปลาทูอย่างต่อเนื่องมีการจัดระเบียบการทำประมงทั้งในประเทศและน่านน้ำทั่วไปภายใต้พระราชกำหนดการทำประมง พ.ศ.2558 และพระราชกำหนดการทำประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 (ฉบับแก้ไข) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้การบริหารจัดการด้านการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล

ภายหลังจากการลดลงของปริมาณปลาทู กรมประมงเพิ่มมาตรการฟื้นฟูทรัพยากรปลาทูอย่างต่อเนื่องเช่น การใช้ปริมาณผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืนเป็นจุดอ้างอิงในการพิจารณาจัดสรรใบอนุญาตทำการประมงและจำนวนออกทำการประมง ขยายพื้นที่และเวลาปิดอ่าว เช่น การประกาศห้ามทำการประมงในพื้นที่ 7 ไมล์ทะเล นับจากชายฝั่งในพื้นที่ปิดอ่าวไทยตอนกลางเป็นระยะเวลา 30 วัน ตั้งแต่ 16 พ.ค.-14 มิ.ย. เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของลูกสัตว์น้ำขนาดเล็ก รวมถึงการประกาศห้ามทำการประมงหรือปิดอ่าวบริเวณรอยต่อของพื้นที่ปิดอ่าวไทยตอนกลางและอ่าวไทยรูปตัว ก เขตพื้นที่ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถึงอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.-14 มิ.ย.ของทุกปี และปรับปรุงประกาศปิดอ่าวไทยตัว ก ให้สอดคล้องกับรูปแบบการอพยพของปลาทู โดยประกาศปิดอ่าวเป็นสองช่วงได้แก่ อ่าวไทยตอนในฝั่งตะวันตกระหว่างวันที่ 15 มิ.ย.-15 ส.ค. และอ่าวไทยตอนในด้านเหนือระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-30 ก.ย.ของทุกปี

นอกจากนี้ ยังห้ามเครื่องมือทำการประมงบางชนิดในเขตทะเลชายฝั่ง เช่น อวนล้อมจับ อวนติดตาที่มีความยาวอวนมากกว่า 2,500 เมตร และเครื่องมือทำการประมงที่ใช้ประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (ปั่นไฟ) เป็นต้น และยังกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้ชาวประมงจับสัตว์น้ำวัยอ่อนที่ยังไม่ได้ขนาดอีกหลายมาตรการ เช่น ห้ามใช้เครื่องมือบางชนิดทำการประมงในเขตชายฝั่ง ห้ามทำการประมงอวนล้อมจับ โดยใช้ตาอวนขนาดต่ำกว่า 2.5 ซม.ในเวลากลางคืน การขยายขนาดตาอวนก้นถุงอวนลากเป็น 4.0 ซม.และยกเลิกเครื่องมือประมงบางชนิดที่ทำลายลูกพันธุ์สัตว์น้ำ ซึ่งกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2558



อย่างไรก็ดี นอกจากมาตรการบังคับใช้ทางกฎหมาย รวมถึงมาตรการกำหนดพื้นที่ทำการประมงในระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่เลี้ยงตัวอ่อน หรือที่เรียกว่ามาตรการปิดอ่าวที่แบ่งเป็น 5 ระยะเป็นเวลาประมาณ 225 วัน นั้นแม้จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ยังถือว่าไม่เพียงพอต่อการฟื้นตัวของปลาทูที่ลดลงมากมาตั้งแต่ปี 2558 จำเป็นต้องมีมาตรการทางสังคมเข้ามาช่วยฟื้นฟูปลาทูให้กลับคืนมาอีกทางหนึ่ง เช่น รณรงค์ให้หยุดบริโภคปลาทูขนาดเล็ก หยุดใช้เครื่องมือประมงผิด และหยุดจับพ่อแม่พันธุ์ปลาทูก่อนช่วงวางไข่ จึงจะช่วยให้ปลาทูไทยฟื้นฟูกลับมาได้เร็วขึ้น อีกทั้ง กรมประมงยังอยากให้มีมาตรการเพิ่มเติมในระยะที่ 6 เพื่อให้ครอบคลุมวงจรชีวิตปลาทูในเขตชายฝั่งอ่าวไทย ซึ่งเป็นรอบนอกวงจรชีวิตปลาทูจากมาตรการปิดอ่าวทั้ง 5 ระยะ เนื่องจากเป็นเส้นทางการเดินทางของปลาทูของวัยหนุ่มสาวที่จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ แต่มาตรการนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากชาวประมงในการบริหารจัดการร่วมกันภายใต้ข้อมูลทางวิชาการ และผลกระทบต่อชาวประมงน้อยที่สุด เพื่อขับเคลื่อนภายใต้การจัดการที่ดีก็จะช่วยให้ปลาทูคืนกลับมาสมบูรณ์อย่างแน่นอน

"กรมประมงได้พยามยามฟื้นฟูทรัพยากรปลาทูมาอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม กรมและภาครัฐไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงหากไม่ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากชาวประมง ซึ่งนโยบายของ รมว.เกษตรฯมุ่งคืนความสุขกับชาวประมง ในการอนุรักษ์สัตว์น้ำให้ชาวประมงได้ประกอบอาชีพ แต่การคืนความสุขนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากพี่น้องชาวประมงช่วยดูแล และต้องเกิดการยอมรับจากทุกภาคส่วน ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายภายใต้หลักการทางวิชาการรองรับและการตกผลึกทางความคิดร่วมกัน โดยมีเป้าหมายให้ทรัพยากรสัตว์น้ำกลับคืนมาเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนมีปริมาณปลาทูเพียงพอให้พี่น้องชาวประมงได้ประกอบอาชีพ และรับประโยชน์จากสัตว์น้ำอย่างเต็มที่และเหมาะสม ซึ่งต่อจากนี้ไปเราจะไม่ถามว่าปลาทูหายไปไหน แต่จะถามว่าเราจะเอาปลาทูกลับมาอย่างไรให้ยั่งยืนกรมประมงและพี่น้องชาวประมงจะร่วมกันบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ปลาทูอย่างไร เพื่อให้ปลาทูกลับมาสมบูรณ์อยู่คู่กับวิถีชีวิตของเราไปอีกนาน" อธิบดีกรมประมง ฝากทิ้งท้าย


https://www.naewna.com/local/508288


*********************************************************************************************************************************************************


'ดร.ธรณ์' โพสต์เซอร์ไพรส์ 'แม่เต่ามะเฟือง' ขึ้นวางไข่103ฟองที่?พังงา?



วันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว ?Thon Thamrongnawasawat? ได้โพสต์คลิปวีดีโอขณะที่แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ที่บนหาด จ.พังงา โดยระบุข้อความว่า ?เซอร์ไพรส์! แม่เต่ามะเฟืองเพิ่งขึ้นมาวางไข่ที่พังงาครับ คราวนี้เจอตัวด้วย ยาวเกือบ 2 เมตร วางไข่รวดเดียว 103 ฟอง เย้ ! ความมีอยู่ว่า เจ้าหน้าที่อุทยานท้ายเหมืองออกลาดตระเวนแถวเขาหน้ายักษ์ บริเวณที่พบเต่ามะเฟืองมาวางไข่นอกฤดูกาลถึง 3 รังก่อนหน้านี้ เจอเงาตะคุ่มบนหาด เข้าไปดู เป็นเต่ามะเฟืองจริงด้วยครับ แม่เต่าเพิ่งวางไข่ เจ้าหน้าที่รีบแจ้งศูนย์และเฝ้าดูโดยไม่รบกวนจนเต่ายักษ์เริ่มกลบหลุม จึงถ่ายคลิปไว้ เมื่อกลบเสร็จ เต่าคลานกลับทะเล เข้าไปวัดได้ พบว่าแม่รายนี้ยาว 1.9 เมตร กว้าง 0.85 เมตร

แม่เต่าลงทะเลไปอย่างปลอดภัย หลังวางไข่ไว้ 103 ฟอง ขอบคุณจ้ะ เนื่องจากรังไข่อยู่ใกล้แนวน้ำ จึงย้ายมาที่คอกของรังก่อนหน้านี้ จะได้ดูแลสะดวก เชื่อว่าน่าจะเป็นแม่เต่าตัวเดียวกันกับ 3 รังก่อนหน้านี้ และน่าจะมีไข่รวมเกือบ 400 ฟอง (บางรังไม่ได้ขุด บอกจำนวนไม่ได้) ตั้งแต่ปลายปี 62 ถึงตอนนี้ เต่ามะเฟืองวางไข่ไปแล้ว 15 รัง ฟักไปแล้วเกือบ 500 ตัว จะเพราะล็อคโควิดหรือเปล่า? ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเยอะจริงๆ ลูกๆ ของแม่เต่ารายใหม่ น่าจะเริ่มฟักเป็นตัวปลายเดือนหน้าต่อเนื่องถึงเดือนถัดไป (60 วันนับแต่วาง) จำสถิติเดิมไม่ได้ แต่เชื่อว่าในรอบ 10 ปี ไม่น่ามีช่วงไหนที่เต่ามะเฟืองวางไข่รัวๆ ขนาดนี้ ดีใจมากๆ ทะเลไทยเยี่ยมจริง ขนาดนอกฤดูกาลยังมีเต่ามาวางไข่เลยครับ เต่ามะเฟืองคือเต่าใหญ่สุดในโลกและเป็นเต่าที่ถูกคุกคามอย่างมาก ยังเป็นสัตว์สงวน คลิปนี้จึงหายากมาก ขอบคุณอุทยานท้ายเหมืองที่ช่วยดูแลและนำข้อมูล/ภาพมาฝากคนรักทะเลครับ เย้ๆๆ ดีใจจริงครับ คุณแม่เต่า สุดยอดจริง พวกเราคนไทย ต้องสุดยอดให้ไม่แพ้คุณแม่เต่า ช่วยกันลดขยะพลาสติกให้มากที่สุด อย่าให้ถุงในมือคุณไปอยู่ในพุงยอดคุณแม่รายนี้นะจ๊ะ ช่วยๆ กัน


https://www.naewna.com/likesara/508269
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 30-07-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนเสือโคร่งไทย ใน 2 กลุ่มป่าใหญ่



กทม. 29 ก.ค. 63- ไทยประสบความสำเร็จเพิ่มประชากรเสือโคร่งในธรรมชาติ พบมีจำนวนกว่า 130-160 ตัว กรมอุทยานฯ ตั้งเป้าขยายประชากรเสือโคร่งใน 2 กลุ่มป่าใหญ่ ที่ยังศักภาพรองรับประชากรเสือได้

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดงานวันเสือโคร่งโลก ประจำปี 2563 ในหัวข้อ ป่าไทยไม่ไร้เสือ Roar for Thai Tigers ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อรณรงค์การอนุรักษ์เสือโคร่งทั่วโลก ให้สามารถดำรงชีวิตในผืนป่าธรรมชาติ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต โดยมีนายพงศ์บุญย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดกิจกรรม



นายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า จากการสำรวจโดยทีมวิจัยเสือโคร่ง กรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับเครือข่ายอนุรักษ์ ใช้นวัตกรรมเครื่องติดตามปลอกคอสัญญานดาวเทียม และกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า ในแหล่งที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งในผืนป่าของไทย พบว่าปัจจุบันมีประชากรเสือโคร่งในป่าธรรมชาติประมาณ 130 ? 160 ตัว มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และติดอันดับต้นของโลก ขณะที่กลุ่มป่าห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร มีประชากรเสือโคร่งมากที่สุดประมาณ 80 ตัว

ขณะที่กลุ่มป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ เป็นอีกพื้นที่ที่น่าจับตามอง ด้วยพบข้อมูลการอาศัยหากินของเสือโคร่งในป่าทับลาน และปางสีดา ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแผนสำหรับการอนุรักษ์เสือโคร่งในผืนป่า โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนเสือโคร่งใน 2 กลุ่มป่าใหญ่ ได้แก่ กลุ่มป่าดงพยาเย็นเขาใหญ่ กลุ่มป่าภูเขียว ซึ่งมีผืนป่าขนาดใหญ่ และแหล่งอาหารที่เหมาะสม เพิ่มโอกาสการขยายพันธุ์ของประชากรเสือในอนาคตได้ โดยเฉพาะกลุ่มป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ ที่ได้สร้างทางเชื่อมและอุโมงค์สัตว์ป่า ทำให้ผืนป่าทับลาน ปางสีดา และเขาใหญ่ เชื่อมเป็นกลุ่มป่าขนาดใหญ่ เป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชากรสัตว์ป่า



รวมทั้งเสือโคร่งที่อยู่ในทับลานและปางสีดา อาจขยายประชากรมายังป่าเขาใหญ่ได้ในอนาคต นอกจากนี้การลาดตระเวณเชิงคุณภาพ รวมทั้งนโยบายป้องกันการล่า และค้าสัตว์ป่าของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เสือในธรรมชาติได้รับการปกป้องดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2553 สามารถเพิ่มมีประชากรเสือโคร่งจากเดิมให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2565

ด้านนายสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยประชากรเสือโคร่ง มีข้อมูลสำคัญพบว่าในรอบ 10 ปี เสือรุ่นใหม่จากป่าห้วยขาแข้ง ได้ออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในกลุ่มป่าใกล้เคียง เช่น ป่าแม่วงศ์ ป่าคลองลาน ป่าสลักพระ ป่าบริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ รวมกว่า 10 ตัว เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าประชากรเสือในห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร มีการขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เสือรุ่นใหม่ออกไปสร้างถิ่นฐานบริเวณอื่นที่มีพื้นที่ และแหล่งอาหารมากพอ .


https://tna.mcot.net/Line+Today+%E0%...0%B8%A1-482775

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:44


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger