เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 08-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และอ่าวไทย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

อนึ่ง พายุโซนร้อน "ยุนยาง" (YUN-YEUNG) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าชายฝั่งด้านตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 8?9 กันยายน 2566 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 7 ? 8 ก.ย. 66 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 9 ? 13 ก.ย. 66 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากในภาคตะวันออก คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

อนึ่ง พายุโซนร้อน "ยุนยาง" (YUN-YEUNG) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งด้านตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 8?9 กันยายน 2566 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 08-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ตะลึง "หาดบางแสน" ปลาน็อกตายเกลื่อน น้ำทะเลสีเขียว นทท.ไม่กล้าเล่นน้ำ

"ชายหาดบางแสน" ปลาน็อกตายเกลื่อน น้ำทะเลเป็นสีเขียว ทำนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจาก ตจว.ไม่กล้าเล่นน้ำ ด้านนักวิจัยทางทะเลเผยสาเหตุเกิดจาก "แพลงก์ตอนบลูม" ทำน้ำทะเลขาดออกซิเจน เป็นสาเหตุทำให้ปลาตาย ยันไม่เกี่ยวข่าวน้ำมันรั่ว



เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี มีปลาตายเกลื่อนชายหาดบางแสน จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบบริเวณชายหาดมีปลาหลากหลายชนิดถูกคลื่นซัดมาตายเกลื่อน นอกจากนี้ยังพบนักท่องเที่ยว 1 ราย กำลังเดินเก็บปลาอยู่บนชายหาด ทราบชื่อคือ นายภันทร เสลา อายุ 36 ปี เดินทางมาจาก จ.อุทัยธานี จากการพูดคุยสอบถามเจ้าตัว เล่าว่า เดินมาเที่ยวทะเลบางแสน แต่เห็นน้ำทะเลเป็นสีเขียว จึงไม่กล้าลงเล่น พอมาเห็นปลานอนตายเกลื่อนชายหาด จึงเก็บไปตากแดดทำปลาแห้ง เก็บไว้ทำอาหารให้แมวกิน เพราะคนคงไม่กล้ากิน จึงเอาไปให้แมวดีกว่า

ขณะที่ ร.ต.โสภณ คล่องอาสา อายุ 64 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า สาเหตุปลาตายเกลื่อนครั้งนี้ เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้น้ำทะเลเป็นสีเขียวและน้ำมีกลิ่นแรงมาก เมื่อก่อนนานๆ จะเกิดครั้ง แต่ครั้งนี้มีมรสุมพัดเข้ามาในประเทศไทย จึงทำให้เกิดฝนตกติดต่อกันหลายวัน ทำให้น้ำจืดไหลลงทะเล ทำให้ปลาน็อกน้ำตาย ส่วนข่าวน้ำมันรั่วนั้น ตนยังไม่เห็นคราบน้ำมันไหลเข้ามาในบางแสนเลย คาดว่าน่าจะมีการควบคุมเอาไว้ได้แล้ว

ด้าน นายอศลย์ มีนาภา ตำแหน่งนักวิจัยระดับปฏิบัติการ ฝ่ายวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว สาเหตุเกิดมาจากแพลงก์ตอนบลูม คือ แพลงก์ตอนพืชชนิดหนึ่งที่ชื่อ "น็อกติลูกา" ซึ่งแพลงก์ตอนพืชเหมือนต้นไม้ทั่วไปที่กลางวันจะสังเคราะห์แสง กลางคืนจะใช้ออกซิเจนเหมือนกัน ขณะเดียวกันเมื่อใช้ออกซิเจนไปเรื่อยๆ แล้ว ทำให้ออกซิเจนในน้ำหมดลง ซึ่งเมื่อวานนี้ (6 ก.ย.) ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้ลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูล ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ค่าออกซิเจนในน้ำมีค่าอยู่ที่ศูนย์ จึงเป็นเหตุผลหลักแรกๆ ที่ทำให้ปลาตาย โดยปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมในครั้งนี้ ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นกี่วัน ขึ้นอยู่กับอิทธิพลอื่นๆ เช่น กระแสลม กระแสน้ำ หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

"สาเหตุหลักๆ ในตอนนี้ที่ชายหาดบางแสนมีปลาตาย เกิดจากแพลงก์ตอนบลูมเป็นระยะเวลานานเลยทำให้ปลาตาย ส่วนเรื่องคราบน้ำมันนั้น ยังไม่มีข่าวเข้ามาในพื้นที่บางแสนเลย" นายอศลย์ กล่าว.


https://www.thairath.co.th/news/local/east/2723240


******************************************************************************************************


สุดระทึก นักล่องเรือ 3 ชีวิต ถูกฉลามรุมกัดเรือ



นักล่องเรือชาวรัสเซียและฝรั่งเศสเกือบเอาชีวิตไม่รอด หลังฝูงฉลามรุมกัดเรือคาตามารันยางของพวกเขา เคราะห์ดีที่ได้รับการช่วยเหลือได้ทันเวลา

หน่วยงานความปลอดภัยทางทะเลออสเตรเลียรีบเข้าไปช่วยเหลือเรือคาตามารันที่ล่องอยู่นอกชายฝั่งออสเตรเลีย ห่างจากชายฝั่งทางตะวันออกกว่า 800 กิโลเมตร ในช่วงเวลาราวตี 1 ครึ่งตามเวลาในท้องถิ่น หลังได้รับสัญญาณแจ้งขอความช่วยเหลือ จากการถูกฉลามรุมกัด โดยเมื่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาถึงก็พบว่าตัวเรือได้รับความเสียหายโดยมีร่องรอยถูกฉลามกัดหลายครั้ง จนส่วนหน้าเรือหายไป ขณะที่นักล่องเรือชายทั้ง 3 คนปลอดภัยดี โดยมีเรือสัญชาติปานามา ดูกอง เอซ เข้ามารับตัวทั้ง 3 คนขึ้นมาอย่างปลอดภัย

เรือลำดังกล่าวเป็นเรือคาตามารันยางที่มีนักล่องเรือชายชาวรัสเซีย 2 คนและชาวฝรั่งเศสอีก 1 คน อายุระหว่าง 28-64 ปี หลังจากที่ทั้งสามได้ล่องเรือจากวานูอาตู เพื่อมายังออสเตรเลีย โดยมีกำหนดจะเดินทางถึงบริสเบนในวันพฤหัสบดีนี้ แต่มาถูกฉลามโจมตีเสียก่อน เคราะห์ยังดีที่เรือมีระบบจีพีเอสฉุกเฉิน ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจหาพิกัดของเรือจนเจอได้อย่างรวดเร็ว.

ที่มา : เอพี


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2723227

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 08-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ยังไม่พบ "คราบฟิล์มน้ำมัน" บริเวณชายหาด อ.ธรณ์ ชี้มีผลกระทบหนักต่อ "ปะการัง"

กรม ทช. ลงพื้นที่สำรวจหาดจากกรณี "น้ำมันดิบ" รั่วไหลลงทะเล ล่าสุดยังไม่พบก้อนน้ำมันดิบ หรือคราบฟิล์มน้ำมัน ด้าน อ.ธรณ์ ชี้ผลกระทบ 2 ด้าน ต่อ "แนวปะการัง" แนะต้องรับผิดชอบกับทะเล



วันที่ 7 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล หมายเลข 2 (SBM-2) ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ ซึ่งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.) กรม ทช. โดยศูนย์วิจัยฯ อ่าวไทยฝั่งตะวันออก เฝ้าระวังต่อเนื่องกรณีน้ำมันรั่วไหล จ.ชลบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณชายหาด 3 สถานี ได้แก่ หาดบางแสน หาดวอนนภา และสวนสาธารณะบางพระ

ผลการสำรวจเบื้องต้น สภาพน้ำทะเลปกติ ยกเว้นหาดบางแสน และหาดวอนนภา พบปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี รวมระยะทางประมาณ 4.3 กิโลเมตร และพบสัตว์น้ำตายเกยหาดจำนวนมาก ตั้งแต่บริเวณวงเวียนบางแสน ถึงสวนสาธารณะหาดวอนนภา ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร

ทั้งนี้ ไม่พบคราบฟิล์มน้ำมันและไม่พบก้อนน้ำมันดิน และทำการตรวจวัดคุณภาพน้ำเบื้องต้น โดยมีค่าความเป็นกรดและด่าง 7.50-8.25 อุณหภูมิ 31.5-32.4 องศาเซลเซียส และความเค็ม 29.6-32.3 ส่วนในพันส่วน และออกซิเจนละลายน้ำ 1.46-6.42 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน คุณภาพน้ำทะเล ประเภทที่ 4 และ 6 เพื่อการนันทนาการ และสำหรับเขตชุมชน ยกเว้นปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ บริเวณหาดวอนนภาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานฯ

จึงส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำตายได้ เนื่องจากการย่อยสลายของแพลงก์ตอน โดยเหตุการณ์นี้มักพบช่วงฤดูฝน ซึ่งมีการชะล้างสารอาหารจำนวนมากลงสู่ทะเล ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหล โดยจะติดตามข้อมูลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานผลให้ทราบต่อไป

ด้าน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า อำลาทะเลศรีราชา ด้วยแผนที่แนวปะการังตามเส้นทาง ที่คราบน้ำมันเคลื่อนผ่าน มีภาพดาวเทียม และการสำรวจทางอากาศยืนยัน แนวปะการังบริเวณนี้ มีพื้นที่รวมกันมากกว่า 250 ไร่ หลักๆ คือเกาะค้างคาว/ท้ายตาหมื่น เกาะร้านดอกไม้ และเกาะขามใหญ่

สำหรับเกาะสีชัง มีแนวปะการังกระจายกันไปตามจุดต่างๆ น้ำมันส่งผลกระทบต่อปะการัง 2 แบบ อย่างแรกคือเฉียบพลัน เกิดเมื่อน้ำมันเยอะๆ สะสมในอ่าว เมื่อน้ำลง คราบน้ำมันโดนปะการังโดยตรง ขาวทันทีตายทันที อีกแบบคือส่งผลระยะยาว ปะการังอาจไม่ตาย มองภายนอกก็ปกติ แต่จะอ่อนแอและเริ่มเกิดโรคเพิ่มมากขึ้น เมื่อโดนน้ำร้อนจะฟอกขาวง่ายฟื้นยาก หรืออยู่ในน้ำคุณภาพไม่ดี เช่น น้ำเขียวปี๋ ก็อาจมีผล

อย่างแรกประเมินไม่ยาก แต่อย่างที่สองยากครับ ต้องติดตามกันเป็นปีๆ ซึ่งก็คงต้องใช้งบประมาณเป็นกรณีพิเศษ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งๆๆ ว่าการตกลงกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมทะเล และผู้ก่อเหตุ จะครอบคลุมถึงส่วนนี้ไว้ครบถ้วน ให้มากพอ ถี่พอ และรับผิดชอบต่อระบบนิเวศ และท้องทะเลเพียงพอครับ.


https://www.thairath.co.th/news/local/2723251


******************************************************************************************************


ทร. ปิดศูนย์ควบคุมขจัดคราบน้ำมัน หลังควบคุมได้ มอบกรมเจ้าท่าดูแลต่อ

"ทัพเรือ" ปิดศูนย์ควบคุมขจัดคราบน้ำมัน หลังปฏิบัติการควบคุมได้ 100% ในพื้นที่รับผิดชอบ ทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมส่งต่อให้กับกรมเจ้าท่าดำเนินการต่อ ด้านผู้บริหารไทยออยล์ ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมรับผิดชอบทั้งหมด หลังจากนี้เร่งฟื้นฟูและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ



เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 66 เวลา 13.30 น. ศูนย์ควบคุมการปฏิบัติในการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันของกองทัพเรือ ในพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่ 1 ได้จัดแถลงข่าวยุติการปฏิบัติงานของศูนย์ฯ โดยมีผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย พล.ร.ต.พาสุกรี วิลัยรักษ์ รองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ / รอง โฆษกกองทัพเรือ พล.ร.ต.รังสรรค์ บัวเผือก เสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 นายนริศ นิรามัญวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า และนายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้

ตามที่เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบจากเรือบรรทุกน้ำมันรั่วไหลขณะทำการขนถ่ายน้ำมันบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 61 เวลา 21.00 น โดยภายหลังเกิดเหตุทางบริษัทได้เข้าควบคุมสถานการณ์โดยได้ทำการปิดวาล์วท่อน้ำมันที่เกิดปัญหาและวางทุ่นล้อมคราบน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและจำกัดการแพร่กระจายตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากลนั้น กองทัพเรือได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน

โดย พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้ทัพเรือภาคที่ 1 จัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการในการป้องกันและกระจายมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ทรภ.1 ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลภาคที่ 1 กรมเจ้าท่า ตำรวจน้ำ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมควบคุมมลพิษ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับจังหวัดชลบุรี และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

ซึ่งความคืบหน้าในการปฏิบัติ ทางศูนย์ควบคุมการปฏิบัติในการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันของกองทัพเรือ ในพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่ 1 ได้แถลงข่าวปิดศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน หลังไม่พบคราบน้ำมันในทะเล และเคลื่อนขึ้นฝั่ง ติดต่อกัน 3 วัน

โดยหลังจากนี้ศูนย์ประสานงานป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ซึ่งมีรองอธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นผู้บัญชาการ ประสานงานกับผู้ได้รับผลกระทบ และประสานหน่วยราชการ ในการวางแผนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่วต่อไป


https://www.thairath.co.th/news/local/east/2723401

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 08-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ทีมวิจัยจุฬาเกาะติด "น้ำมันรั่วกลางทะเล" จ.ชลบุรี หวั่นปะการังเป็นหมัน

นักวิจัย จุฬาฯ หวั่น น้ำมันรั่วในทะเลที่ จ.ชลบุรี ต้องติดตามใกล้ชิด ชี้อาจจะใช้เวลากว่าปีกว่าจะเห็นผลกระทบ เผยผลวิจัยชี้ชัดทำปะการังเป็นหมัน



วันนี้ (6 ก.ย.66) จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่ จ.ชลบุรี สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ร่วมกับ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกไปสำรวจเบื้องต้น พบว่า ยังไม่พบผลกระทบที่เห็นชัดเกิดขึ้น เนื่องจากคราบน้ำมันได้ถูกกำจัดไปเกือบหมดแล้ว

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของทีมวิจัยที่ทำงานศึกษาผลกระทบของน้ำมันรั่วที่มีต่อระบบนิเวศปะการัง ในอดีตที่ระยองทั้ง 2 ครั้ง พบว่า ผลกระทบอาจจะยังไม่เกิดให้เห็นทันที แต่สิ่งมีชีวิตอาจจะใช้เวลาในการแสดงออกถึงผลกระทบที่ได้รับภายหลัง

ศ.สุชนา ชวนิชย์ รอง ผอ.สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า จากการศึกษาในอดีต และในห้องปฏิบัติการที่ผ่านมา พบว่า น้ำมัน หรือ คราบน้ำมัน รวมทั้งสารขจัดคราบน้ำมันสามารถทำให้ปะการังเป็นหมัน โดยปะการังไม่สามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่และสเปิร์มได้ หรือ ถึงแม้ปะการังจะสามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่และสเปิร์มได้ แต่คราบน้ำมันและสารขจัดคราบน้ำมัน จะทำให้เซลล์สืบพันธุ์ที่ถูกปล่อยออกมามีรูปร่างที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถปฏิสนธิกันได้จึงทำให้เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า ปะการังเป็นหมันชั่วคราว

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งแวดล้อมกลับมาเหมือนเดิม ปะการังส่วนใหญ่ก็สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่อาจจะไม่ 100 % ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะมีผลกระทบในระยะกลางและระยะยาวอย่างไรต่อสัตว์ทะเล ซึ่งการตรวจติดตามผลกระทบนี้ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขึ้นสูงเพื่อดูไปถึงสรีรภายในของสัตว์ทะเล

ด้าน ศ.วรณพ วิยกาญจน์ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เผยว่า เนื่องจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีสถานีวิจัยสัตว์ทะเลตั้งอยู่บนเกาะสีชัง และมีงานวิจัยเกี่ยวกับการปลูกปะการังที่เกาะค้างคาว จึงต้องมีการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดว่า การรั่วไหลของน้ำมันในครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลบริเวณนั้นอย่างไร เนื่องจากทั้งเกาะค้างคาวและเกาะสีชังห่างจากบริเวณที่น้ำมันรั่วประมาณ 1-2 กม.เท่านั้น

ทางทีมนักวิจัยจากจุฬาฯ กำลังดำเนินการเก็บตัวอย่างและสำรวจอย่างละเอียดโดยจะใช้เรือจุฬาฯ วิจัย ออกไปเก็บตัวอย่างน้ำทะเลและดิน ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ กลุ่มคราบน้ำมัน เพื่อดูผลกระทบของน้ำมันที่รั่วและสารเคมีขจัดคราบน้ำมัน (Oil Spil Dispersant) ต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมบริเวณนั้น และจะนำมาศึกษาวิจัยในเชิงลึก และนำเทคโนโลยีการแยกลำดับสารทางพันธุกรรม (DNA) ของสิ่งมีชีวิตแบบ metagenomic มาประยุกต์ใช้ โดยการศึกษาในลักษณะนี้จะสามารถบ่งบอกถึงผลกระทบภายในของสัตว์ทะเล รวมทั้งปลาต่าง ๆ ในบริเวณเหล่านั้นได้

นอกจากนี้ ทางทีมจุฬาฯ ได้วางแผนการศึกษาผลกระทบของการรั่วไหลของน้ำมันในระยะยาวด้วยเช่นกัน โดยจะมีการลงไปเก็บตัวอย่างมาศึกษาเป็นระยะๆ

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2556 และเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2565 ที่ระยอง ซึ่งทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีการประเมินถึงการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงสู่สิ่งแวดล้อมโดยได้เข้าไปศึกษาปริมาณโลหะหนัก ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนในสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ผลของน้ำมันและสารเคมีขจัดคราบน้ำมันต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล

รวมทั้งการสะสมและส่งผ่านสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนในห่วงโซ่อาหารทะเล "สำหรับในครั้งนี้ ทางทีมวิจัยจะติดตามศึกษาผลกระทบต่อสัตว์ทะเลและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมมือกันป้องกันแก้ไขในระยะยาว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" ศ.ดร.วรณพ กล่าว


https://www.thaipbs.or.th/news/content/331353

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:36


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger