เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 25-10-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกและอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนล่าง และอ่าวไทยตอนล่าง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในระยะนี้

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

อนึ่ง พายุไซโคลน "ฮอมูน" (HAMOON) บริเวณอ่าวเบงกอลตอนบน และคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศบังคลาเทศ ในช่วงวันที่ 25?26 ตุลาคม 2566 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 25 ? 29 ต.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ประกอบกับร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นมาพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนล่าง และอ่าวไทยตอนล่าง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน

ส่วนในวันที่ 30 ต.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ในระยะแรก หลังจากนั้นฝนจะลดลง ส่วนภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรตลอดช่วง

อนึ่ง พายุไซโคลน "ฮอมูน" (Hamoon) บริเวณอ่าวเบงกอลตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณชายฝั่งประเทศบังคลาเทศ ในช่วงวันที่ 25 ? 26 ต.ค. 66 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 25-10-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


นักท่องเที่ยวธรรมชาติเศร้า "ป่าชายเลน บางกะจะ จันทบุรี" กำลังถูกทำลายไปเรื่อยๆ หวั่นวันนึงจะไม่เหลือ


ภาพ: SUPscribe Chanthaburi (ปัจจุบัน พื้นที่ป่าบางส่วนในภาพนี้ถูกโค่นไปแล้ว)


เป็นข่าวไม่สู้ดีนักสำหรับนักท่องเที่ยวสายรักธรรมชาติและถวิลหาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เมื่อผู้ประกอบการพายซับบอร์ด ?ป่าชายเลน คลองบางกะจะ? เมืองจันทบุรี อัปเดทข้อมูลว่า ผืนป่าชายเลนที่เคยอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันกำลังถูกทำลายไปเรื่อยๆ จากการเติบโตของเมือง หวั่นในอนาคตป่าชายเลนธรรมชาติของเมืองจันทบุรีจะไม่มีหลงเหลืออยู่

เมื่อวานนี้ (23 ต.ค.66) กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวพายซับบอร์ด "SUPscribe Chanthaburi" ซึ่งดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เรียนรู้ธรรมชาติ ผ่านรูปแบบพายซับบอร์ดไปชมระบบนิเวศในคลองบางกะจะ อำเภอเมืองจันทบุรี และยังเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวพายซับ ที่แนะนำโดย ททท.สำนักงานจันทบุรี

โดยกลุ่มฯ ได้โพสต์ข้อมูลผ่านแฟนเพจ SUPscribe Chanthaburi แสดงความเสียใจและกังวลกับสถานการณ์พื้นที่ป่าชายเลนของบ้านบางกะจะ ซึ่งเป็นป่าชายเลนโบราณอันมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในอำเภอเมืองจันทบุรี ว่าปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนถูกบุกรุกทำลายหายไปเรื่อยๆ

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อมูลเบื้องต้นจากทางกลุ่ม ได้อธิบายว่า ทางกลุ่มได้ออกไปพายซับบอร์ดกับนักท่องเที่ยวอยู่เป็นประจำ จึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของหลายพื้นที่ของป่าชายเลนบางกะจะ ที่มีการออกโฉนดที่ดิน ทำให้เกิดการก่อสร้างพื้นที่อยู่อาศัยตามมา ทั้งในปัจจุบันซึ่งมีการถางป่าออกไปแล้ว รวมทั้งในอนาคตที่เริ่มมีการประกาศขายที่ดิน ซึ่งจะกระทบกับป่าชายเลนธรรมชาติอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ กลุ่ม SUPscribe Chanthaburi ได้โพสต์ข้อความกับรูปถ่ายผ่านทางแฟนเพจ (ปัจจุบัน ป่าบางส่วนที่ปรากฏในภาพถ่ายถูกทำลายไปแล้ว) โดยระบุว่า

เราทำท่องเที่ยว พาย SUP.. ในคลองบางกะจะ จันทบุรี มา 4 ปีแล้ว
และพยายามรบกวนธรรมชาติให้น้อยที่สุด
อยู่ในป่าชายเลน เหมือนเป็นบ้าน รู้ว่าป่าชายเลน มีประโยชน์ มากเพียงไร
ถึงแม้จะไม่ได้ทำท่องเที่ยว ในเส้นทางนี้ก็ตาม
..
อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง
ยิ่งทำไป ป่าชายเลนยิ่งหายไป หายไป และอนาคตไม่ไกล คงหมดไปจริงๆ
หลายเหตุการณ์ ได้ทำลายพื้นที่ป่าชายเลน ทำลายสมดุลธรรมชาติ ตัด โค่น ไถ ถม
ทิ้งขยะ ปล่อยน้ำเสียกันโดยไม่รู้เท่าทัน
อีกไม่นาน ก็คงจะไม่มีป่าชายเลนธรรมชาติหลงเหลืออยู่

เราพายไป ถ่ายภาพไป ให้ลูกค้ายิ้ม
แต่ในใจ คือนั่งร้องไห้ในป่า..
และแอบอิจฉาทุกที่ ที่ยังคงรักษาป่าชายเลนเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
..

ภาพในป่าชายเลนที่ถ่ายไว้มากมาย มันไม่มีทางสวยงาม มีคุณค่ามากไปกว่า..
การที่ชาวบ้านได้ปู ได้ปลา ได้อาหารปลอดภัย ได้ทำมาหากิน ในลำคลอง
ในป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์
ในบ้านของเขาเอง
..
เราคิดอย่างนั้น
..
23 10 2023
เรายอมเสียดินแดน
ให้ได้ เมืองจันทบุรีกลับมา
เพื่ออะไรกันหรือครับ.....


https://mgronline.com/travel/detail/9660000095429


******************************************************************************************************


"ภูเก็ต" ชูเอกลักษณ์ไทย ติดตั้งบ้านปะการังเทียมรูปช้าง เกาะราชาใหญ่ ในโครงการ "THE ONE FOR NATURE"


บ้านปะการังเทียมรูปช้าง เกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต

ททท.จับมือจังหวัดภูเก็ต และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ชูเอกลักษณ์ไทย ร่วมกันติดตั้งบ้านปะการังเทียมทำจากขยะรีไซเคิลเป็นรูปช้าง 6 เชือก ลงสู่ใต้ทะเลอ่าวทือ เกาะราชาใหญ่ ในโครงการ "THE ONE FOR NATURE" เพื่อเป็นจุดท่องเที่ยว-ดำน้ำใต้ทะเลแห่งใหม่ของภูเก็ต ภายใต้แนวคิด ?Travel with Responsibility in Thailand? ดึงต่างชาติเที่ยวไทยเชิงอนุรักษ์ พร้อมฟื้นฟูแนวปะการังคืนความยั่งยืนสู่ท้องทะเลไทย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผนึกกำลัง จังหวัดภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และ บริษัท ซีแพค กรีน โซลูชั่น จำกัด เครือซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) จัดโครงการ "THE ONE FOR NATURE" ยิ่งเที่ยวยิ่งรักษ์ ครั้งที่ 2 เพื่อรณรงค์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Responsible Tourism) ภายใต้ แบรนด์ Amazing Thailand เชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใส่ใจต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ผ่านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในไทย

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเปิดเผยถึงวัตถุประสงค์การจัดโครงการ "THE ONE FOR NATURE" ยิ่งเที่ยวยิ่งรักษ์ ครั้งที่ 2 ว่า การกลับมาของโครงการ "THE ONE FOR NATURE" ยิ่งเที่ยวยิ่งรักษ์ ครั้งที่ 2 นี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ททท.ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืน โดยเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มคุณภาพให้เข้ามาเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยในรูปแบบท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ตามแนวคิด "Travel with Responsibility in Thailand" พร้อมสร้างจิตสำนึกให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ (Travel with Care) เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งในการดูแล อนุรักษ์ และรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ (Quality Leisure Destination) อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2566 - กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ททท. ได้ประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านกิจกรรมออนไลน์ช่องทาง www.tourismthailand.org/theonefornature และสื่อออนไลน์ทั่วโลก ซึ่งสามารถสร้างยอดการรับรู้ได้สูงถึงกว่า 10 ล้านคน-ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 เดือน

พร้อมกันนี้ ททท. ยังจัดกิจกรรม On Ground ประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านกิจกรรมการคัดแยกขยะเพื่อให้สามารถนำขยะไปรีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ ณ สถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ได้แก่ แหลมบาลีฮาย จังหวัดชลบุรี ถนนคนเดินวัวลายและถนนคนเดินประตูท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ และถนนคนเดินหลาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้านนายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การดำเนินการเชิงรุกของ ททท. ผ่านโครงการ "THE ONE FOR NATURE" ยิ่งเที่ยวยิ่งรักษ์นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญในการช่วยพลิกฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศให้กลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน โดยอาศัยการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เข้ามาขับเคลื่อนเพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดีในการท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลายและแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ ดังนั้น การปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์สมบัติทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และธรรมชาติ อย่างเหมาะสมในทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากเราเดินหน้าเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นอย่างต่อเนื่องทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทานให้ตระหนักถึงรูปแบบการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ และดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพให้มาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในจังหวัดภูเก็ต แต่กระจายสู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ อันจะเป็นผลดีต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจภาพรวม

โครงการ "THE ONE FOR NATURE" ยิ่งเที่ยวยิ่งรักษ์ ครั้งที่ 2 มีไฮไลต์ คือ กิจกรรมปลูกปะการังเทียม จากขยะรีไซเคิล โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สนับสนุนดูแลพื้นที่จัดตั้งบ้านปะการังเทียม และภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ซีแพค กรีน โซลูชั่น จำกัด ในธุรกิจซิเมนต์ เครือซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี สนับสนุนการผลิตบ้านปะการังเทียมที่มีการออกแบบเอกลักษณ์ความเป็นไทย รูปช้าง 6 เชือก จากนวัตกรรม 3D printing และซีเมนต์ที่ได้รับการรับรองว่าสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งสัตว์น้ำสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยและเพาะพันธุ์ตามระบบนิเวศทางธรรมชาติได้จริง รวมถึงได้รับความร่วมมือจากโรงแรมเดอะราชา และกลุ่มนักประดาน้ำมืออาชีพอาสาสมัคร ในนาม Racha master diver อาสาดำเนินการติดตั้งบ้านปะการังดังกล่าว ลงสู่ใต้ทะเลอ่าวทือ เกาะราชาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ในครั้งนี้

สำหรับจังหวัดภูเก็ต เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดดเด่นด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ วัฒนธรรมอาหารพื้นเมืองและเทศกาลประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวที่มีนัยยะสำคัญต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก จังหวัดภูเก็ตจึงได้ต่อยอดจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อเปิดฤดูกาลท่องเที่ยว อาทิ กิจกรรมดำน้ำเก็บขยะ ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนจากความตื่นตัวต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วนในจังหวัดที่ได้นำแผนพัฒนาด้านต่าง ๆ เข้ามาใช้ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในพื้นที่ อาทิ การส่งเสริมการใช้รถสาธารณะ Smart Bus รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) เพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวจากสนามบินไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารจัดการพื้นที่และความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ รวมทั้งการจัดโครงการ "THE ONE FOR NATURE" ยิ่งเที่ยวยิ่งรักษ์ ของ ททท. ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ จังหวัดภูเก็ต ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมยกระดับสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศของโลกได้อย่างยั่งยืนต่อไป


https://mgronline.com/travel/detail/9660000095573

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 25-10-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


น้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกละลายเร็วกว่าเดิม 3 เท่า เมืองชายฝั่งเตรียมรับผลกระทบ



ดูเหมือนปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะเริ่มออกฤทธิ์ให้เราได้เห็นกันเรื่อย ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อสัตว์ ผลกระทบต่อมนุษย์ หรือธรรมชาติ และล่าสุดอย่างธารน้ำแข็ง ละลายเร็วกว่าเดิม 3 เท่า ทำน้ำทะเลสูงขึ้น 5 เมตร
งานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ทาง NATURE CLIMATE CHANGE พบว่า การละลายของชั้นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกตะวันตกเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แล้ว สืบเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ทวีความรุนแรงมากขึ้น

นั่นทำให้ผลกระทบที่ตามมาคือ ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และแม้เราจะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขนาดไหน ก็จะไม่ทำให้น้ำแข็งละลายช้าลง

การศึกษาดังกล่าวนำทีมโดย Kaitlin Naughten ในการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เราเห็นว่าอัตราการละลายของน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเลอามุนด์เซนที่แอนตาร์กติกตะวันตกจะเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าในช่วงศตวรรษนี้

แม้ว่าโลก จะร่วมกันทำข้อตกลงปารีสในเรื่องการรักษาระดับอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น แม้เราจะช่วยกันลดความร้อนของโลกลง ณ ตอนนี้ก็ช่วยสถานการณ์นี้ได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น ที่จะหยุดน้ำในมหาสมุทรไม่ให้อุ่น จนไปละลายน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกตะวันตก

เป็นที่ทราบดีว่า แอนตาร์กติกตะวันตกเป็นภูมิภาคสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และแอนตาร์กติกตะวันตกก็มีปริมาณน้ำแข็งมากเพียงพอที่จะทำให้น้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นกว่า 5.3 เมตร

นอกจากนี้ แอนตาร์กติกตะวันตกยังเป็นที่ตั้งของธารน้ำแข็ง THWAITES หรือที่รู้จักกันในชื่อ ?ธารน้ำแข็งแห่งวันโลกาวินาศ? เนื่องจากน้ำทะเลที่สูงขึ้นหลายเมตรจากการละลายของธารน้ำแข็ง ทำให้ประเทศแถบชายฝั่งได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง

ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ย่อมมีผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย เพราะกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลแค่ 1.5 เมตร หมายความว่า ถ้าระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นถึง 5.3 เมตรจริง กรุงเทพฯ ก็มีโอกาสสูงทีเดียวที่น้ำจะท่วม รวมถึงพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลในส่วนอื่น ๆ ของประเทศไทยด้วย

เท็ด สคัมบอส นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาครั้งนี้ กล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจก็เพราะ

"ผู้คนในปัจจุบันจะทันได้เห็นอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มสูงขึ้นในประเทศแถบชายฝั่งทะเลทั่วโลก"

ผู้เชี่ยวชาญอีกหนึ่งท่านที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อการศึกษาครั้งนี้คือ TIAGO SEGABINAZZI DOTTO นักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่ศูนย์สมุทรแห่งชาติในสหราชอาณาจักร โดยกล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้ควรต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากในการศึกษาหรือสรุปอะไรออกมา

ทางด้านของ NAUGHTEN และผู้ร่วมศึกษาได้แจ้งว่า เธอเข้าใจว่าการศึกษานี้มีข้อจำกัดอยู่ และการจะทำนายอัตราการละลายในอนาคตของแอนตาร์กติกตะวันตกนั้น เป็นเรื่องซับซ้อนมาก แต่ทาง NAUGHTEN ก็ยังยืนยันว่า 'ขณะนี้การละลายของน้ำแข็งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว'

"คำถามเรื่องความเศร้าและหายนะเป็นสิ่งที่ฉันใช้เวลาครุ่นคิดอยู่มากเหมือนกันกับการศึกษาครั้งนี้ เพราะฉันไม่รู้จะสื่อสารข่าวร้ายนี้ออกไปอย่างไร" NAUGHTEN กล่าว

"ถ้าเป็นวิธีตามขนบ ฉันก็ควรจะต้องให้ความหวังกับผู้คนบ้าง แต่กับเรื่องนี้ฉันไม่เห็นว่าเราจะมีหวังกันได้อย่างไร แต่นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์บอกฉัน และฉันต้องบอกให้ทุกคนรู้"

"การละลายของชั้นน้ำแข็งในแอนตาร์กติกตะวันตกถือเป็นผลกระทบหนึ่งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แล้วเราทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ เพราะถึงยังไง เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นได้แล้ว" NAUGHTEN กล่าว


https://www.nationtv.tv/gogreen/378934117


******************************************************************************************************


โลกเสี่ยงเดือดหนัก ผลวิจัยเผยโลกปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้น 1.5% ในปี 66



ต้นเหตุของสภาวะโลกร้อน มนุษยชาติสอบตก เพราะแทนที่โลกจะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และลดการปลดปล่อยคาร์บอนลงตามเป้าหมาย 5% แต่กลับพบว่า อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลับสูงขึ้นถึง 1.5% คาดว่าระดับการปล่อยคาร์บอนจะขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาลภายในสิ้นปีนี้

สถาบันวิจัยสภาพภูมิอากาศ CICERO ในนอร์เวย์เผย โลกกำลังพลาดเป้าแก้โลกร้อน หลังจากพบว่าอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกในปีนี้เพิ่มสูงขึ้น 1.5% สวนทางกับแนวทางสู่เป้าหมายความตกลงปารีสที่ในปีนี้เราควรจะต้องลดอัตราการปล่อยคาร์บอนลง 5%


โลกเดินสวนทางแก้วิกฤตโลกเดือด

ผลตรวจการบ้านด้านการแก้ไขวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกแล้ว และผลประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอัน เป็นต้นเหตุของสภาวะโลกร้อนในปีนี้ มนุษยชาติสอบตก เพราะแทนที่โลกจะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และลดการปลดปล่อยคาร์บอนลงตามเป้าหมาย 5% แต่กลับพบว่า อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลับสูงขึ้นถึง 1.5% และคาดว่าระดับการปล่อยคาร์บอนจะขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาลภายในสิ้นปี 2566 นี้

Glen Peters ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันวิจัยสภาพภูมิอากาศ CICERO ในนอร์เวย์ กล่าวว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสในการจำกัดภาวะโลกร้อนและหลีกเลี่ยงผลกระทบวิกฤตภูมิอากาศ โลกจำเป็นที่จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนลงครึ่งหนึ่งภายในทศวรรษนี้ ดังนั้นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกในปี 2566 ควรจะต้องลดลงประมาณ 5%

อย่างไรก็ตาม จากผลการประเมินโดยทีมวิจัย กลับพบว่า

โลกยังคงอัตราการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าปีนี้ เราจะเห็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นระหว่าง 0.5% - 1.5%

"มีความเป็นไปได้ยากอย่างยิ่งที่เราจะเห็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงในปี 2566" Peters กล่าว

เขาระบุว่า ผลการประเมินขั้นสุดท้ายจะเปิดเผยระหว่างการประชุมโลกร้อนประจำปี COP28 ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ช่วงปลายปีนี้ เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนให้ประชาคมต้องเร่งเจรจากรอบการแก้ไขปัญหาโลกร้อนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เร็วที่สุด ก่อนที่เราจะพลาดเป้าหมายในการป้องกันวิกฤตสภาพภูมิอากาศตลอดกาล


ทำไมเราต้องรีบลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเร็ว

ก๊าซเรือนกระจกอย่าง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ รวมถึงก๊าซพิษอื่นๆ อันเกิดจากกิจกรรมมนุษย์ ถือเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดปรากฎการณ์สภาวะโลกร้อน เพราะก๊าซเหล่านี้พอสะสมตัวมากเข้าในชั้นบรรยากาศ จะทำหน้าที่กักเก็บความร้อนที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ ไม่ให้กระจายออกสู่อวกาศ ส่งผลให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

จากการประชุมความตกลงโลกร้อน COP21 ที่กรุงปารีส ประชาคมโลกได้ตกลงกันว่า เราจะต้องควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้พุ่งเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับอุณหภูมิเฉลี่ยโลกช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นจนเกินเกณฑ์ดังกล่าว อาจก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนอันตรายต่อระบบภูมิอากาศโลก นำไปสู่ภัยธรรมชาติร้ายแรงจนอารยธรรมมนุษย์ไม่อาจรับมือไหว

อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงทะลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้ กำลังน้อยลงเรื่อยๆ จากการที่โลกยังคงปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นๆ ดังนั้นผลการประเมินชิ้นนี้ จึงอาจเป็น final call ก่อนที่มนุษยชาติจะพลาดเป้าหมายลดโลกร้อน และต้องเผชิญกับพิษการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้วในอนาคตอันใกล้


https://www.nationtv.tv/gogreen/378934118

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:51


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger