เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนตกหนักบางแห่งในบริเวณภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งภาคใต้ฝั่งตะวันตก เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนบน และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตขึ้นมามีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง จนถึงวันที่ 10 มิ.ย. 63


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25.-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 8 - 10 มิ.ย. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวมะตะบันจะมีกำลังแรงขึ้น และมีแนวโน้มจะเคลื่อนไปยังอ่าวเบงกอลตอนบน ทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่องกับมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะทางด้านรับมรสุม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้นโดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 11-13 มิ.ย. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกและภาคใต้ และคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 8 - 10 มิ.ย. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


ฉลามขาวขย้ำนักเซิร์ฟสูงวัยออสซี่ดับสยอง

ชายวัย 60 ปีชาวออสเตรเลีย ถูกปลาฉลามขาวขนาดความยาว 3 เมตร (10 ฟุต) บุกทำร้ายขย้ำที่ขา ขณะเล่นกระดานโต้คลื่นในทะเล ชายฝั่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เมื่อเช้าวันอาทิตย์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตที่ชายหาด ก่อนจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 7 มิ.ย ว่า ชายวัย 60 ปีจากรัฐควีนส์แลนด์ กำลังเล่นกระดานโต้คลื่น ที่หาดซอลท์ เมืองคิงส์คลิฟฟ์ ห่างจากเมืองซิดนีย์ขึ้นไปทางเหนือประมาณ 800 กม. เมื่อถูกฉลามขาวตัวเขื่องบุกจู่โจมทำร้าย กัดขย้ำที่ขาข้างซ้าย

ตำรวจและประชาชนหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ รีบวิ่งลงน้ำไปช่วย ขับไล่ฉลามหนีไป และนำตัวนักเซิร์ฟสูงวัยขึ้นฝั่งชายหาด ทำการปฐมพยาบาล ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ชายสูงวัยซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ ทนพิษบาดแผลไม่หว สิ้นใจบนหาดซอลท์

นับเป็นการเสียชีวิตจากการถูกฉลามทำร้ายรายที่ 3 ในออสเตรเลีย เท่าที่ทราบ ในปีนี้ จากข้อมูลของสมาคมอนุรักษ์ธรรมชาติทารองกา หน่วยงานของรัฐบาลออสเตรเลีย ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลอุทยานสัตว์ป่าหลายแห่งในประเทศ



ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศติดทะเล ที่เกิดเหตุการณ์ปลาฉลามทำร้ายประาชนบ่อยครั้งที่สุดในโลก แต่สถิติการเสียชีวิตมีน้อยมาก ในตลอดปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา เกิดเหตุฉลามทำร้ายประชาชน ในทะเลชายฝั่งรอบออสเตรเลียรวม 27 ครั้ง แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต.


https://www.dailynews.co.th/foreign/778690

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ตื่นตา!! น้ำทะเลลดต่ำสุดส่งผลปะการังโผล่ที่เกาะทะลุ ประจวบฯ

ประจวบคีรีขันธ์ - เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือนของปี 2563 ที่เกาะทะลุ บางสะพานน้อย จ.ประจวบฯ ส่งผลให้ปะการัง และสัตว์ทะเลอย่างหอยมือเสือโผล่พ้นน้ำเป็นพื้นที่กว้าง ขณะที่อธิบดีกรมทรัพย์ แจ้งว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น



วันนี้ (7 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ ผจก.ฝ่ายการตลาดเกาะทะลุ ไฮแลนด์รีสอร์ท ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม ว่าได้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติน้ำทะเลลดต่ำสุด ส่งผลให้ปะการังหลากหลายชนิดโผล่พ้นน้ำ บริเวณอ่าวมุก อ่าวใหญ่ และอ่าวเทียน ที่เกาะทะลุ ตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โดยทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม กล่าวว่า น้ำทะเลได้เริ่มลดต่ำในวันนี้เป็นวันแรกในครึ่งปี 2563 จนเห็นแนวปะการังโผล่เห็นได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้ปะการังหลายชนิดโผล่เห็นชัด เช่น ปะการังโขด ปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังสมอง ปะการังเขากวาง ปะการังแผ่น ปะการังดอกไม้ทะเล รวมทั้งหอยมือเสือ หอยเม่น และปลิงทะเล เป็นพื้นที่กว้าง

นายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเกาะทะลุ ไฮแลนด์รีสอร์ท เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม กล่าวว่าเบื้องต้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหอยมือเสือ เนื่องจากมันจะเก็บน้ำเอาไว้ อีกทั้งเมื่อน้ำทะเลขึ้นมันก็จะปรับตัวได้และไม่ตาย เช่นเดียวกับสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ เมื่อน้ำทะเลลดลงมันก็จะลงไปอยู่ในจุดที่น้ำทะเลลดลงไปไม่ถึง ซึ่งถือเป็นเป็นธรรมชาติ โดยทางมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม มีการเก็บรวบรวมข้อมูลและบันทึกภาพไว้ในทุกปีที่มีการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์น้ำทะเลลดต่ำสุดในวันนี้เป็นระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เวลา 10.30-12.30 น. หลังจากนั้นน้ำทะเลได้เริ่มกลับขึ้นตามปกติในช่วงเย็น ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในทุกปี บางปีเกิดปีละ 1-2 ครั้งในช่วงเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม โดยทางมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม ได้มีการติดตามตารางน้ำขึ้นน้ำลง ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ อย่างต่อเนื่อง และครั้งนี้ได้รายงานให้ทางอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้รับทราบในเบื้องต้นแล้ว



ด้าน นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่าสำหรับพื้นที่ตลอดแนวเกาะทะลุ เป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่มีชื่อเสียงและสวยงามแห่งหนึ่งของอ่าวไทย ภายหลังได้รับแจ้งจากทางมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากร ทะเลสยาม แล้วซึ่งขอแจ้งให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวได้รับทราบว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติน้ำทะเลลงต่ำ เป็นระยะเวลาช่วงสั้นๆ ไม่ได้ลงต่อเนื่องตลอดทั้งวัน จึงไม่มีผละกระทบต่อแนวปะการังและสัตว์น้ำ

ดังนั้น เมื่อเกิดน้ำทะเลลง สิ่งที่ต้องปฏิบัตินักท่องเที่ยวจะต้องงดเข้าไปดำน้ำ และแล่นเรือ ห้ามลงไปเดินเหยียบและจับสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวในช่วงที่มีน้ำทะเลลง เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบได้ แต่เมื่อน้ำทะเลกลับขึ้นสู่ปกติแล้วก็สามารถดำน้ำได้ตามปกติ


https://mgronline.com/local/detail/9630000058945

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ฉลามขาวตัวยาว3เมตร กัดนักโต้คลื่น สิ้นใจคาชายหาด
รอบโลก



ฉลามขาวตัวยาว3เมตร - เอพี รายงานเหตุสะเทือนขวัญกลางทะเล เมืองคิงส์คลิฟ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ภาคเหนือของออสเตรเลีย เมื่อนักโต้คลื่นอายุ 60 ปีถูกฉลามขาว ตัวยาว 3 เมตรจู่โจมกัดที่ด้านหลังของต้นขา ขณะที่นักโต้คลื่นคนอื่นๆ รุดเข้าช่วยพาร่างกลับเข้าฝั่ง แต่ผู้เคราะห์ร้ายสิ้นใจบนหาด

กลุ่มช่วยเหลือนักโต้คลื่น เซิร์ฟ ไลฟ์ เอ็นเอสดับเบิลยู ออกแถลงการณ์ว่า ผู้ตายมาจากเมืองทูกัน รัฐควีนสแลนด์ แม้จะได้รับความช่วยเหลือ แต่ไม่รอดชีวิต

ด้านเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลาม ยืนยันว่าภาพที่มีผู้บันทึกได้นั้นเป็นฉลามขาวตัวที่จู่โจมเหยื่อ ส่วน เทอเรนซ์ ซาเวจ หน่วยพยาบาลฉุกเฉินนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า เป็นสถานการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวมากสำหรับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์

"พอได้รับแจ้งว่าให้ไปช่วยคนจากเหตุฉลามทำร้าย คุณจะนึกภาพความเสียหายไม่ออก จนกว่าคุณจะไปถึงที่เกิดเหตุ และแม้ว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ก็อาจทำอะไรมากไม่ได้" นายซาเวจกล่าว

ทั้งนี้หลังเกิดเหตุสยองขวัญนี้ เจ้าหน้าทรี่ชายหาดที่อยู่ใกล้เคียงรีบเรียกผู้คนที่ว่ายน้ำและโต้คลื่นอยู่กลับเข้าฝั่ง พร้อมสั่งปิดหาด 24 ชั่วโมง



นายสจวร์ต กอนซาล ชาวบ้านเมืองคิงส์คลิฟ กล่าวว่า จังหวะมาถึงที่หาดเตรียมจะลงไปโต้คลื่น ถึงได้รู้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตำรวจพยายามกั้นไม่ให้คนลงทะเล

เหตุการณ์ฉลามทำร้ายคนถึงตายครั้งนี้เป็นครั้งที่สามสำหรับปี 2563 หลังจากเมื่อเดือนมกราคม นักดำน้ำถูกฉลามทำร้ายจนตายใกล้เมืองเอสเพอแรนซ์ ชายฝั่งเวสเทิร์นออสเตรเลีย จากนั้นเดือนเมษายน พนักงานอนุรักษ์แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์ รีฟ อายุ 23 ปี ถูกฉลามกัดตาย


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_4273463

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


'ศศิน' ชี้ต้นเหตุหาดทรายเมืองเพชรหาย-สารพัดโครงการยื่นลงทะเลกักตะกอน

"ศศิน" ชี้เหตุหาดทรายเมืองเพชรหาย-สารพัดโครงการยื่นลงทะเลกักตะกอน ระบุจุดชมวิวชะอำสร้างขึ้นใหม่ไม่กี่ปีแต่กั้นทรายจนหาดด้านใต้แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังแหว่ง



วันที่ 7 มิถุนายน 2563 นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ร่วมกันนายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อดูสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งบริเวณชายหาดในจังหวัดเพชรบุรี ว่าปัญหาในตอนนี้คือการขาดการจัดการชายหาดทั้งระบบ ตั้งแต่ศาลเจ้าแม่ทับทิมในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบฯจนถึงแหลมผักเบี้ยในอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยโครงการแรกที่ทำให้เกิดปัญหาคือสะพานหินชะอำของบริษัทชลประทานซีเมนต์ที่สร้างเพื่อให้เรือใหญ่เข้ามาขนปูนซีเมนต์โดยสะพานหินแห่งนี้ได้ถมหินเป็นสะพานยาวออกไปในทะเล ทำให้กักตะกอนทราย ส่งผลให้ชายฝั่งชะอำด้านเหนือไปจนถึงหาดเจ้าสำราญหายไปเป็นช่วงๆ และเจ้าของที่ดินแต่ละพื้นที่ต่างแก้ไขปัญหากันเอง บางรายเอาหินมาถม กลายเป็นฟันปลา

นายศศิน กล่าวว่า ในส่วนของทะเลชะอำทางทิศใต้นั้น น่าเห็นใจที่ชายหาดหายไปโดยเฉพาะบริเวณหน้าโรงแรมรีเจนท์ชะอำ ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ แต่ตอนนี้ชายหาดกลับหายไปเพราะการพัฒนาโครงการป้องกันชายฝั่งผิดพลาดของรัฐบาลในอดีต หลังพายุลินดาเมื่อกว่า 20 ปีก่อน โดยใต้หาดแห่งนี้คือที่ตั้งของอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ซึ่งนักวิชาการและหน่วยงานราชการได้"ลองวิชา" เนื่องจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่สมัยนั้น มีสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นหน่วยงานต้นเรื่องร่วมกับกรมเจ้าท่า ร่วมกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะ โดยทำแพ็คเก็จถมหินกันชายฝั่งอ้างป้องกันโบราณสถานอย่างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน


"จริงๆ ทำอย่างเดียวก็พอแล้ว แต่นี่ใส่เกราะเสีย 4 ชั้น ซ่อมกำแพงเดิมของพระราชนิเวศน์ 1 ชั้น ทำลานหินทิ้งหน้ากำแพงเพื่อกันคลื่นเซาะฐานรากอีก 1 ชั้น สร้างคันดักทรายด้วยกองหินยื่นไปในน้ำ 8 คัน เพื่อดักทราย มาเป็นเกราะชั้นที่ 3 ที่นอกฝั่ง มีกองหินวางขนานฝั่งเพื่อกันคลื่นวิ่งหาฝั่งอีก 1 ชั้น ระบบป้องกัน 4 ชั้นนี้เกินความจำเป็นไปมาก แต่อ้างว่า เพื่อจะได้เป็นต้นแบบสำหรับประเทศไทยได้มาดูงานป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งของอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติฯ จะได้เอารูปแบบสัก1-2อย่างไปทำบ้าง กลายเป็นโชว์รูมการถมหินชายหาด ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดยังไม่ร้ายเท่าของแถม คือเขื่อนกันทรายและคลื่นปากร่องน้ำ 4 แท่งยาวยื่นไปที่ปากคลอง 2 คลอง 2 ด้านของโครงการ แต่แรกก็ได้ยินว่าเพื่อให้ชาวบ้านเอาเรือมาจอดหลบคลื่นลม แต่พอเอาจริงบอกว่าเป็นพื้นที่ฝึกของตำรวจตระเวนชายแดน เขื่อนนี้ทำหน้าที่กั้นทรายที่จะปิดปากร่องน้ำเพื่อให้น้ำทะเลเข้ามาได้ตลอดปี เอาน้ำเค็มเข้ามาทำลายพื้นที่ดอนตะกาดทรายด้านใน เพื่อจะได้ทำโครงการให้คนมาช่วยกันปลูกป่าชายเลน กลายเป็นแปลงปลูกป่าที่น่าจะแพงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกทีเดียว" นายศศิน กล่าว

นายศศินกล่าวว่า ผลกระทบของโครงสร้างทั้งหมดคือกักทรายที่มากับกระแสน้ำเลียบฝั่งที่พัดขึ้นด้านเหนือไว้เกือบหมด โดยเฉพาะเขื่อนปากคลองที่เอาไว้ดึงน้ำเค็มมาปลูกป่า ทำให้ชายหาดด้านเหนือที่มีกระสอบขาดวิ่นอยู่ถูกกัดเซาะ ซึ่งกรมเจ้าท่าก็รู้ว่าผลกระทบเรื่องนี้มีแน่ ก็เลยมีของแถมสร้างเขื่อนกันคลื่นนอกฝั่งให้หมู่บ้านด้านเหนือที่ประชิดโครงการโดยชาวบ้านบางส่วนดีใจได้ประโยชน์ไว้จอดเรือ การกัดเซาะก็น้อยเพราะมีทรายงอกไปเชื่อมกองหินนอกฝั่ง เป็นอ่าวโค้งวงๆแบบแถวมาบตาพุด แต่นั่นยิ่งซ้ำเติมหาดด้านเหนือขึ้นไป เพราะทรายที่ควรจะเหลืออยู่บ้างที่จะไหลขึ้นเหนือก็ถูกกักอยู่เป็นทรายงอกหลังกองหิน 4 กอง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือทรายงอกหน้าร้านอาหารชื่อดังแถวนั้นคือ ร้านปลา



กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ กล่าวว่าหลังจากนั้นจึงถึงคิวชายหาดหน้าโรงแรมรีเจนท์และโรงแรมอื่นๆที่ถูกกัดเซาะ โดยโรงแรมรีเจนท์ได้ขอความช่วยเหลือไปยังกรมเจ้าท่า ซึ่งเขาไม่อยากได้กำแพงหินเพราะเป็นหาดท่องเที่ยว โครงการ"เติมทรายก็บังเกิดขึ้นยาวไป 1 กิโลเมตร ราคากว่า 100 ล้านบาท แต่ไม่เติมทรายเฉยๆ เอาใส่กระสอบยักษ์ที่สมัยนั้นเราก็เพิ่งรู้จักว่าชื่อ บิ๊กแบ็ก แล้วเอาทรายกลบทับหน้า เมื่อเวลาผ่านไปทรายกลบได้หายไป กรมเจ้าท่าก็เอามาเติมใหม่ 1-2 ครั้ง แต่ทรายก็หายไปอีก แต่ที่ร้ายกว่านั่นคือกองบิ๊กแบ็กด้านเหนือสุดทำหน้าที่เหมือนกำแพงกันคลื่นจากหิน ทำให้กระแสน้ำเลี้ยวเบนเข้ากัดเซาะหาดด้านเหนือต่อไป ขณะที่ผ่านไป 4-5 ปี กระสอบก็เริ่มขาด และมีชาวบ้านบางส่วนเดินลงหาดไม่ได้เพราะมีตะไคร่ลื่น ก็ต้องมาเจาะเพื่อให้ลงได้ นักท่องเที่ยวบางส่วนลื่นล้มหัวแตก โรงแรมต้องเอาป้ายห้ามลงหาดติดไว้

นายศศิน กล่าวว่า สำหรับชายหาดชะอำฝั่งด้านใต้ซึ่งขณะนี้กรมโยธาได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนก่อสร้างบันไดคอนกรีต 8 ขั้นกันคลื่นนั้น เนื่องจากเกรงว่าการกัดเซาะจะรุนแรงถึงแนวต้นสนใหญ่ริมถนนเลียบชายหาด จริงๆแล้วปัญหาที่ทำให้ชายหาดบริเวณดังกล่าวหายไปเพราะเทศบาลได้สร้างจุดชมวิวยื่นออกไปในทะเลจึงทำให้กั้นตะกอนทรายที่มากับน้ำ ดังนั้นหากต้องการแก้ปัญหาจริงๆก็คือการรื้อจุดชมวิวออก ซึ่งจริงๆแล้วชายหาดชะอำตลอดแนวควรมีทรายถมเพิ่มขึ้นทุกปีเพราะสะพานกินช่วยดักทรายเอาไว้ แต่เมื่อสร้างจุดชมวิวเพื่อทำกิจกรรมต่างๆของเทศบาล ทำให้กักตะกอนทราย

ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้มีทางออกเยียวยาชายหาดอย่างไร นายศศิน กล่าวว่าต้องสร้างสภาวะสมดุลให้ตะกอนทรายกลับคืนมา โดยกรมเจ้าท่าที่ดูแลร่องน้ำทรายที่สะสมมากๆมาไว้อีกฝั่งหนึ่ง หรืออาจจะต้องเสริมทรายอยู่เป็นระยะๆ เพราะหาดชะอำเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับชาติ ดังนั้นการจะก่อสร้างใดๆควรปรึกษาวิศวกรชายฝั่งหรือผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้วย


https://www.naewna.com/likesara/497732

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


ทส. แย้ม New Normal ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ

มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมทั้งมาตรการการท่องเที่ยวอุทยานฯ แบบ New Normal



ภายหลังที่รัฐบาลเริ่มมีการคลายล๊อคดาวน์กิจกรรมและกิจการต่างๆ มากขึ้น และกำลังเข้าสู่ระยะที่ 4 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก หนึ่งในนั้นที่กำลังเป็นที่จับตาคือ การประกาศเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวทางธรรมขาติตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ ซึ่งอยู่ภายใต้ความดูแลรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมขาติและสิ่งแวดล้อม และกรมอุทยานแห่งขาตฯ โดยในอาทิตย์นี้ทั้งทางกระทรวงและทางกรมฯ ได้มีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่ปรึกษาเพื่อหารือในประเด็นดังกล่าวพร้อมทั้งมาตรการรองรับเปิดพื้นที่หลังสถานการร์โควิด-29 คลี่คลาย

โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ วราวุธ ศิลปอาชา ได้ให้นโยบายหลักแก่หน่วยงานให้ปิดพื้นที่อย่างน้อยเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้ธรรมชาติได้หยุดพักฟื้นจากการเข้าใช้ประโยชน์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าว นายวราวุธได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ธรรมชาติในหลายๆแห่ง รวมทั้งสัตว์ป่าหายากต่างๆ ได้ปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวาฬเพชรฆาต ฉลามหูดำ และแม้กระทั่งการขึ้นมาวางไข่อย่างต่อเนื่องของเต่าหายากและเป็นสัตว์ป่าสงวนอย่างเต่ามะเฟือง ในอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีชื่อเสียงที่ปิดตัวชั่วคราวจากสถานการณ์โควิดตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในการประชุมที่เกิดขึ้น แม้จะยังไม่มีข้อสรุปในรายละเอียดถึงมาตรการที่จะดำเนินการต่อไป แต่มีความชัดเจนขึ้นว่า การเปิด-ปิดอุทยานฯ กว่าร้อยแห่งทั่วประเทศ จะจัดลำดับชั้นของการเข้าถึง โดยนายวราวุธเปิดเผยว่า ในเบื้องต้นจะแบ่งระดับการเข้าถึงดังกล่าวออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.อุทยานแห่งชาติที่เปิด 100 % เช่น ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 2.อุทยานแห่งชาติที่เปิดให้บริการเพียงบางส่วน และสุดท้ายคือ อุทยานแห่งชาติที่ยังไม่เปิดให้บริการ

ซึ่งนายวราวุธกล่าวว่า คาดว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์ จะสามารถแจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่า อุทยานแห่งชาติที่ไหนบ้างที่จะเปิดให้บริการ และเปิดเมื่อไหร่ อย่าวไร

และ ที่สำคัญคือ จะมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมทั้งมาตรการการท่องเที่ยวอุทยานแบบ New Normal

"ต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนทุกคนว่า New Normal ใหม่นี้ การท่องเที่ยวอุทยานฯ อาจไม่สะดวกสบายเหมือนเมื่อก่อน" นายวราวุธกล่าว

ทั้งนี้ มาตรการที่ได้มีการพูดคุยกันในเบื้องต้น นอกจาก เรื่องการเปิด-ปิดอุทยานฯ แล้ว ยังรวมถึงการจัดการนักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมพื้นที่ โดยรูปแบบสำคัญที่จะมีการปรับเปลี่ยนคือ การจำกัดนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ จะต้องมีการจองออนไลน์หรือการซื้อตั๋วล่วงหน้า เพื่อช่วยในการจัดการจำนวนของนักท่องเที่ยวที่แต่ละพื้นที่รองรับได้ นอกจากนี้ จะมีการใช้แพลตฟอร์มและแอพพลิเคชั่นของรัฐบาลคือ "ไทยชนะ" มาช่วยคัดกรองและติดตามการเข้าพื้นที่ของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

"จะไม่มีวอล์คอินเที่ยวอุทยานฯ เด็ดขาด แต่จะเป็นการจองทางออนไลน์ และมีไทยชนะเข้ามาคัดกรองสแกนเข้า-ออก ตามปกติ เพื่อจำกัดนักท่องเที่ยวในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19" นายวราวุธกล่าว



ในส่วนของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้จัดประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิชาการการอุทยานแห่งชาติทางทะเลด้วยเช่นกัน เพื่อพิจารณาการจัดการพื้นที่อุทยานฯ ทางทะเลที่สำคัญๆ ที่ผ่านมา รวมทั้ง พิจารณาการเตรียมความพร้อมของอุทยานฯ ทางทะเล เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวภายหลังภาวะ Covid - 19

ทั้งนี้ ได้มีการพิจารณาการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ (carrying capacity) ที่นับเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล โดยได้มีการพิจารณาตัวอย่างในบางพื้นที่ เช่น ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตา

นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาระบบสนับสนุนในการควบคุมดูแลกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ อาทิ ระบบติดตามเรือนำเที่ยว โดยใช้พิกัดตำแหน่งจากอุปกรณ์ลูกข่ายเครื่องรับ - ส่ง, ระบบสื่อสารวิทยุแบบดิจิทัล (Tourist Boat Tracking by Digital Trunk), ความก้าวหน้าระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (E-ticket) ในอุทยานแห่งชาติและการซื้อบัตรล่วงหน้าแบบออนไลน์, และการกำหนดและปรับค่าบริการเข้าในบางพื้นที่ อาทิ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา

ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานว่า ทางที่ประชุมได้ข้อสรุปในการกำหนดช่วงเวลาเปิด - ปิด การท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางทะเล และการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ด้านนันทนาการในอุทยานแห่งชาติทางทะเลอย่างไร

ทางด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ จากภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้กล่าวภายหลังการประชุมผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า การเปิดอุทยานฯ คงดำเนินการพร้อมกันทั้งทางบกและทะเล ซึ่งเป็นไปตามนโยบายกระทรวงและสัมพันธ์กับการคลายล็อคในระยะที่ 4

โดยอุทยานฯ ปกติจะมีการปิดประจำปี ด้วยเหตุผลต่างกัน รวมทั้งที่สัมพันธ์กับฤดูกาล เช่นในช่วงมรสุม ยกเว้นบางแห่งที่เปิดตลอด ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณา และที่สำคัญคือ การให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม



ผศ.ธรณ์ ในฐานะที่ปรึกษากรรมการฯ ทะเล และกรรมการยุทธศาสตร์ชาติด้านการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า อยากให้ปิดบางพื้นที่ แต่ไม่จำเป็นต้องทั้งอุทยานฯ และในส่วนของการตั้งขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ จำเป็นที่ต้องได้รับประเมิน โดยคิดถึงปัจจัยทางกายภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่ได้ดำเนินการ

"เรื่องท่องเที่ยว, ทุกอย่างต้องไปแบบสัมพันธ์กัน บางแห่งอาจเปิดมากนิดเพราะรองรับได้ บางแห่งเป็นหาดเกือบสาธารณะ แต่แห่งใดที่มีสัตว์หายาก มีเต่าวางไข่ มีแนวปะการังน้ำตื้น มีแนวหญ้าทะเลที่อยู่พะยูน พวกนี้ต้องให้ธรรมชาติมาก่อน" ผศ.ธรณ์กล่าว

ผศ. ดร. ธรณ์ เสนอแนะเรื่องการปิด-เปิดอุทยานฯ ทางทะเลที่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า อาจไม่จำเป็นต้องทำทั้งอุทยานฯ เพื่อให้ท่องเที่ยวชุมชนอยู่ได้ และอาจเลือกปิดเพิ่มในบางพื้นที่ ส่วนในพื้นที่ที่ปิดอยู่เดิมและเกิน 2 เดือนอยู่แล้ว ก็สามารถดำเนินการเหมือนเดิม เช่น สิมิลัน สุรินทร์

ทั้งนี้ ทางกรมฯ ควรขอให้อุทยานต่างๆ พูดคุยกับพื้นที่ก่อน แล้วนำเสนอมาอีกครั้ง และที่สำคัญ การปิดอุทยานฯ ต้องคำนึงถึงสัตว์หายากและระบบนิเวศที่บอบบางเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นความสำคัญรองลงมา

ในเรื่อง CC, ผศ. ธรณ์ กล่าวว่า มีหลายอุทยานฯ ทำเสร็จแล้ว ควรนำไปใช้ได้เลย ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ทำ สามารถใช้ตัวเลขกลาง โดยดูจากความสามารถรองรับทางกายภาพและกติกาโควิดไปก่อน ซึ่งตนยังไม่คิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมามากในพื้นที่บอบบาง

"เร่งทำ CC ให้ครบทุกอุทยาน และมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง" ผศ.ดร. ธรณ์แนะ


https://www.bangkokbiznews.com/news/..._campaign=life

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์


มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนฝั่งทะเล อันดามัน เริ่มเห็นผล



นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายสมบุญ ธัญญาผล ประมงจังหวัดกระบี่ว่า ชาวประมงพบฝูงลูกปลาทู-ปลาลัง ห่างจากฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร ในบริเวณพื้นที่อ่าวบ่อม่วง และอ่าวแหลมสัก จังหวัดกระบี่เป็นจำนวนมาก ทางสำนักงานประมงจังหวัดกระบี่จึงได้ประสานงานร่วมกันระหว่างศูนย์ปราบปรามประมงทะเลเขต 3 (กระบี่) และศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงอันดามันตอนบน(ภูเก็ต) นำเรือประมงออกสำรวจทรัพยากรสัตว์น้ำร่วมกับชาวประมงบ้านบ่อม่วง ซึ่งจากการสำรวจพบว่าฝูงปลาดังกล่าวเป็นลูกปลาทู-ปลาลัง เป็นปลาเศรษฐกิจขนาดประมาณ 4-6 ซม. โดยคาดว่าอีกประมาณ1-2 เดือน ฝูงลูกปลาดังกล่าวจะโตเต็มวัย สอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการของกรมประมงทั้งด้านความสมบูรณ์เพศและความชุกชุมของลูกปลาวัยอ่อนที่พบว่าในแต่ละปีจะมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม จึงคาดการณ์ว่าฝูงลูกปลาดังกล่าวอาจจะเป็นปลาที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เนื่องจากปีนี้มีฤดูร้อนที่ยาวนานมาจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ทำให้พ่อแม่พันธุ์ปลาบางส่วนพึ่งเคลื่อนตัวไปยังแหล่งวางไข่ในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนฝั่งทะเลอันดามันในระหว่างวันที่ 1 เมษายน ? 30 มิถุนายน ของทุกปีครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 5,000 ตารางกิโลเมตรในพื้นที่บางส่วนของจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ตั้งแต่ปลายแหลมพันวา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ถึงปลายแหลมหยงสตาร์ อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง

ในปีนี้พบผลของการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างชัดเจน เห็นได้จากหลังการประกาศปิดเอาอันดามันเพียง 2 เดือนกรมประมงก็ได้รับรายงานว่าพบฝูงลูกปลาทูโผล่ขึ้นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของท้องทะเลฝั่งอันดามันและทะเลกระบี่ได้เป็นอย่างดีและมีแนวโน้มที่ทะเลอันดามันจะมีความสมบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อธิบดีกรมประมง ขอบคุณพี่น้องชาวประมงทุกคนที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย ส่งผลให้ปัจจุบันทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องทะเลฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น


http://thainews.prd.go.th/th/news/de...00607110354178
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 08-06-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


วันแรก! น้ำทะเลลดต่ำ 2 ชั่วโมง แนวปะการังเกาะทะลุโผล่

นักอนุรักษ์ โพสต์ภาพแนวปะการังโผล่ที่เกาะทะลุ จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลลดต่ำ ตั้งแต่เวลา 10.30 น. -12.30 น. แต่ยังไม่พบการฟอกขาวของปะการัง ชี้เกิดต่อเนื่องติดต่อกัน 5 ปีในช่วงเดือนมิ.ย. เล็งเก็บข้อมูลทางวิชาการ



วันนี้ (7 มิ.ย.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ก เผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม โพสต์ข้อความระบุว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลลดต่ำจนปะการังโผล่ที่เกาะทะลุ จ.ประจวบคีรีขันธ์

ในช่วงวันที่ค่อนข้างพระจันทร์เต็มดวง น้ำทะเลจะขึ้นลงมากหรือเรียกว่าน้ำเกิด วันที่เป็นวันแรม 2 ค่ำ เดือน 7 เป็นวันแรกในรอบปีนี้ที่น้ำทะเลลดต่ำกว่าปกติ จนเห็นแนวปะการังโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำเป็นบริเวณกว้าง โดยปะการังที่พบจะมีปะการังโขด ปะการังสมอง ดอกไม้ทะเล หอยมือเสือ ตั้งแต่เวลาประมาณ 10.30 น. ถึงเวลา 12.30 น. โดยยังไม่พบการฟอกขาวของปะการังแต่อย่างใด


ภาพ:เฟซบุ๊ก เผ่าพิพัธ เจริญพักตร์

ทั้งนี้ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นทุกปีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ในช่วงเดือนมิ.ย. ทางเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม จะมีการเฝ้าสังเกตแนวปะการัง หากพบเกิดความผิดปกติจะได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2561 เคยเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติน้ำทะเลลดต่ำสุดในรอบปี และลดนานสุดต่อเนื่องหลายชั่วโมง ส่งผลให้ปะการังหลากหลายชนิดโผล่พ้นน้ำทะเล บริเวณ อ่าวมุก อ่าวใหญ่ และอ่าวเทียน ที่เกาะทะลุ ต.ทรายทอง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ น้ำทะเลลดลงเกือบ 70 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร


https://news.thaipbs.or.th/content/293378

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:54


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger