เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 22-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลงอีก 2-3 องศาเซลเซียสในภาคเหนือ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 24 ธ.ค. 63

อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวไทยในช่วงวันที่ 23-24 ธ.ค. 63 ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็น และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 17-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-29 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 22 ? 23 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลงอีก 2-4 องศาเซลเซียส และมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 24 ? 27 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียสกับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง แตยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 22 - 23 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 23 - 25 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 22-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ตัวที่ 6! เจ้าหน้าที่ผ่าพิสูจน์พะยูนลอยตายหลังเกาะมุกด์ พบเงี่ยงกระเบนฝังบริเวณซี่โครงหน้าอก

ตรัง - พบพะยูนเพศผู้สมบูรณ์เต็มวัยลอยตายหลังเกาะมุกด์ เจ้าหน้าที่นำซากผ่าพิสูจน์หาสาเหตุ พบเงี่ยงปลากระเบนยาว 4 นิ้วครึ่ง ฝังอยู่ตรงบริเวณซี่โครงหน้าอก นับเป็นพะยูนตัวที่ 6 ที่ตายลงในปีนี้



วันนี้ (21 ธ.ค.) นายไมตรี แสงอริยนันท์ ผอ.สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 7 (สบทช.7) พร้อมด้วย นายสันติ นิลวัตน์ ผอ.ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง และเจ้าหน้าที่ ได้ช่วยกันนำซากของพะยูน เพศผู้ ขนาดน้ำหนักประมาณ 300 กิโลกรัม ความยาว 2.65 เมตร ซึ่งชาวประมงพบพะยูนตัวดังกล่าวลอยตายอยู่ที่บริเวณด้านตะวันตก หลังเกาะมุกด์ หมู่ที่ 2 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา เวลา 16.00 น. หลังจากนั้นได้นำซากพะยูนมาทำการผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตายที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง โดยเบื้องต้น ไม่พบบาดแผลภายนอก และพะยูนตัวดังกล่าวยังมีเขี้ยวครบทั้ง 2 ข้าง รวมทั้งมีสภาพสมบูรณ์

จากการสอบถาม สพ.ญ.ปิยรัตน์ คุ้มรักษา นายสัตวแพทย์ประจำศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง ทราบว่า ด้วยสภาพซากของพะยูนที่เน่ามาก จึงไม่สามารถที่จะระบุความผิดปกติได้ว่า เกิดจากสาเหตุอะไร และไม่สามารถบอกอายุได้ ต้องนำกระดูกไปประเมิน แต่เบื้องต้นพบว่าพะยูนตัวนี้มีขนาดโตเต็มวัย และพร้อมผสมพันธุ์ คาดว่าอยู่ในช่วงอายุ 35-50 ปี



"ในส่วนของผิวหนังจะมีรอยแผลเหมือนโดนเขี้ยว และเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน อย่างไรก็ตาม จากการผ่าพิสูจน์ซากพบเจอเงี่ยงปลากระเบน ยาวประมาณ 4 นิ้วครึ่ง ฝังอยู่ตรงบริเวณซี่โครงหน้าอกของพะยูน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้ ขณะกำลังว่ายน้ำลงไปกินหญ้าทะเล ทั้งนี้ ถือเป็นพะยูนตัวที่ 6 ที่ตายลงในปี 2563 และเป็นตัวที่ 2 ของเดือนธันวาคมนี้" สพ.ญ.ปิยรัตน์ กล่าว


https://mgronline.com/south/detail/9630000130040


*********************************************************************************************************************************************************


ฆ่าแม่พะยูนท้องแก่!! "กรณีทำร้ายทะเลที่โหดร้ายที่สุดในรอบปี" อ.ธรณ์ย้ำ "เรื่องนี้จะไม่เงียบแน่นอน"



เดือดสุดๆ!! การฆ่าแม่พะยูนท้องแก่เพื่อตัดเขี้ยว "อ.ธรณ์" ระบุเป็น "กรณีทำร้ายทะเลที่โหดร้ายที่สุดในรอบปี" ในฐานะประธานคณะสัตว์ทะเลหายากลั่น "เรื่องนี้จะไม่เงียบแน่นอน" ยืนยันภาพและความคิดเห็นส่วนตัวของดร.ก้องเกียรติคือจุดเริ่มต้น พร้อมเสนอแนะ 6 ข้อทุกฝ่ายร่วมกัน

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat ว่า

ดร.ก้องเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ทะเลหายากให้ "ความเห็นส่วนตัว" จากร่องรอยที่ปรากฎบนแม่พะยูน ว่าเป็นเจตนาฆ่าพะยูน

ทั้งนี้ ได้สันนิษฐานว่า เรือชนโดยบังเอิญ แต่คนร้ายใช้มีดแทงและใช้เชือกรัด
จนท้ายสุด แม่พะยูนท้องแก่เสียชีวิต ก่อนถูกเลาะฟัน
ความคิดเห็นส่วนตัวนี้ ขยายความจากการชันสูตรครั้งแรก
สำหรับผม คงต้องบอกว่าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
เพราะเจตนาฆ่าเพื่อเอาฟัน แตกต่างจากมาเจอซากแล้วเลาะฟัน
ต่างจากการตายโดยอุบัติเหตุ

ในฐานะประธานคณะสัตว์ทะเลหายาก ผมจะขอเชิญดร.ก้องเกียรติมานำเสนอประเด็นนี้ (ทันทีที่สามารถจัดประชุมได้แบบปลอดภัย)
ทั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติ อยู่ในคณะทำงานอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ในคณะของเรายังมีคุณหมอหนิง สามารถช่วยให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม
สองความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและคุณหมอที่ถือเป็นมือวางของทะเลไทย ย่อมมีความหมาย
และจะแปรเปลี่ยนจากความคิดเห็นส่วนตัว กลายเป็นสรุปจากที่ประชุมของคณะทำงาน
เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการทะเลแห่งชาติ ที่มีท่านรองนายกฯ เป็นประธาน และมีท่านรัฐมนตรีเป็นรองประธาน

เรื่องนี้จึงจะไม่เงียบแน่นอน และจะเข้าสู่ระบบตามที่ควรเป็น

นอกจากนี้ ผมจะประชุมคณะที่ปรึกษาอุทยานทางทะเลในอีกไม่กี่วัน (ถ้าได้ประชุม)
ผมจะเรียนถามในที่ประชุมเช่นกัน
เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แม่พะยูนตายเพราะโชคร้าย
ไม่ใช่แค่ความสงสาร
มันมีความหมายมากกว่านั้น
ภาพและความคิดเห็นส่วนตัวของดร.ก้องเกียรติคือจุดเริ่มต้น

ให้กำลังใจทุกฝ่ายในการหาผู้กระทำผิดในกรณีพะยูนแม่ลูกที่ตรัง ผมจะนำเรื่องนี้เข้าคณะสัตว์ทะเลหายาก เพื่อหาทุกทางที่จะไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก


๐ "ความเห็นส่วนตัว" ดร.ก้องเกียรติ

ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ภูเก็ต) โพสต์ในเฟซบุ๊ก Kongkiat Kittiwatanawong ว่า "กรณีการเสียชีวิตของแม่พะยูนที่ตั้งท้องลูกใกล้คลอดที่จังหวัดตรัง ผมตีความเหตุการณ์จากประสบการณ์ตามข้อมูลและรูปภาพที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลฝั่งอันดามันตอนล่างที่มีอยู่ในขณะนี้ จึงขอให้ใช้วิจารณญานในข้อมูลที่นำเสนอซึ่งเป็น "ความเห็นส่วนตัว" เท่านั้น ผมน้อมรับในความเห็นต่างเพื่อเอามาปรับปรุงให้ได้ความชัดเจนมากที่สุด ร่วมกับข้อมูลที่อาจมีเพิ่มขึ้นในอนาคต"

ผมคิดว่าการตายของพะยูนตัวนี้เกิดจากอุบัติเหตุทางเรือโดยบังเอิญ แต่ผู้อยู่ในเรือ "มีเจตนาฆ่าพะยูนเพื่อเอาเขี้ยว" ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร "ผู้ร้าย" ที่กระทำการเช่นนี้ควรได้รับการลงโทษตามกฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือบทเรียนครั้งนี้จะทำให้ทุกภาคส่วนร่วมกันคิดและ "ลงมือ" เพื่อการอนุรักษ์อย่าง "จริงจังและต่อเนื่อง"


๐ สรุปสาเหตุ - 6 ข้อเสนอแนะ

เฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat โพสต์ก่อนหน้านี้ว่า ทีมสัตวแพทย์ของทช.รายงานว่า "สรุปสาเหตุการเสียชีวิตคาดว่าเกิดจากการถูกของมีคมแทงทะลุจนถึงอวัยวะภายในร่างกาย ส่งผลให้สัตว์มีการเสียเลือดมากและส่งผลกระทบต่อลูกสัตว์ภายในท้อง ร่วมกับพะยูนอยู่ในภาวะใกล้คลอด ทำให้ลูกและแม่พะยูนเสียชีวิตอย่างฉับพลัน"

ยังพบว่าแม่พะยูนอยู่ในระยะใกล้คลอด เริ่มหลั่งน้ำนม พร้อมเลี้ยงลูกน้อยเพศเมีย
แต่เธอไม่มีโอกาสให้นมลูกแล้ว
นางเงือกถูกฆ่าพร้อมลูกน้อยในท้อง
เจ้าตัวเล็กที่ไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก ยาว 82 เซนติเมตรเท่านั้น
ยังมีร่องรอยการเลาะเขี้ยวด้านซ้ายของแม่พะยูน

การฆ่าแม่พะยูนท้องแก่เพื่อตัดเขี้ยว เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่คำนึงถึงกฎหมาย
เพราะเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าพะยูนเป็นสัตว์สงวน
การกระทำดังกล่าวทำร้ายความรู้สึกของคนไทยอย่างมาก จนบางท่านถึงขั้นหลั่งน้ำตา
(ท่านไหน - ผมเอง และเพื่อนธรณ์อีกเพียบ)

ในสถานการณ์ที่ทะเลกำลังดีขึ้น คนไทยกำลังมีความสุขกับการพบสัตว์ทะเลหายากจำนวนมาก
กรณีเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดของทะเลไทยในปีนี้
ในอดีตอาจมีการพบพะยูนถูกเลาะเขี้ยวบ้าง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าถูกแทงเช่นครั้งนี้

ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการทะเลแห่งชาติฯ และประธานคณะทำงานสัตว์ทะเลหายาก ขอเสนอแนะว่า

1. ดำเนินการอย่างเฉียบขาด จับกุมผู้กระทำผิดให้ได้โดยเร็วที่สุด
จะตั้งรางวัลนำจับ หรือใดๆ ก็ได้เพื่อให้เกิดผล

2. ร่วมกับหน่วยงานฝ่ายปกครอง/มั่นคง สืบสวน/จัดการขบวนการลักลอบตัด/ขายเขี้ยวพะยูนเพื่อเป็นของขลัง

3. เร่งรัดประกาศกระทรวงทรัพยากรฯ คุ้มครองทะเลในจังหวัดตรัง
(ทราบว่าผ่านครม.แล้ว อยู่ระหว่างการตรวจของกฤษฎีกา)

4. เร่งรัดการนำแผน "พะยูนแห่งชาติ/มาเรียมโปรเจ็ค" ที่ผ่านการพิจารณาของคณะทะเลแห่งชาติ เพื่อนำเสนอต่อครม. โดยเร่งด่วน
ในแผนมีการยกระดับการดูแลพะยูนและสัตว์หายากทั้งประเทศครบถ้วน จะมีส่วนช่วยเรื่องต่างๆ เป็นอย่างมาก

5. ขอร้องพี่น้องสื่อมวลชนช่วยกันติดตามกรณีนี้ด้วยครับ

6. สุดท้ายคือการขอร้องเพื่อนธรณ์
จะแชร์ จะไลค์ จะเขียนใหม่ จะทำอะไรก็ได้ ขอให้เรื่องนี้ไม่เงียบหายไป
เพราะเมื่อเรามองเจ้าตัวน้อยที่ไม่มีโอกาสเกิด
มันเจ็บใจ โกรธ
เราไม่สามารถเบือนหน้าหนี "กรณีทำร้ายทะเลที่โหดร้ายที่สุดในรอบปี"
จึงใคร่ขอความกรุณาช่วยกันทุกทาง
และช่วยสนับสนุนการทำงานของกระทรวงทรัพยากร และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เพราะความชั่วเช่นนี้ไม่สมควรมีในทะเลไทยครับ


๐ รายงานการพบครั้งแรก

เพจเฟซบุ๊ก "ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช" โพสต์รายงานการพบพะยูนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ว่า

สลด!!! เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง พบพะยูนเสียชีวิต เบื้องต้นพบบาดแผลภายนอก และเขี้ยวบริเวณปากถูกตัด ก่อนส่งต่อศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลฯชันสูตรหาสาเหตุอย่างละเอียด

18 ธันวาคม 2563 นายณรงค์ คงเอียด หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 เดือน ธันวาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 16.00 น. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมได้รับแจ้งจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ จม.3 เกาะกระดาน ว่าพบพะยูนเสียชีวิต 1 ตัว ลอยอยู่ในทะเล ระหว่างเกาะแหวนกับเกาะกระดาน หมู่ที่ 2 ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพศเมีย ความยาว 2.56 ซม. ความยาววัดแนบลำตัว 2.57 น้ำหนักประมาณ 300 กก.ลักษณะภายนอก มีบาดแผลประมาณ 3-4 นิ้ว บริเวณปากเหมือนถูกตัดเขี้ยวออกไป ทั้งนี้อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมได้ประสานสัตวแพทย์ ประจำศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่างเพื่อชันสูตรหาสาเหตุการตายอย่างละเอียดต่อไป


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000129957
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 22-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


กินอย่างไรให้ปลอดภัย? แพทย์ตอบปมสงสัย หลังผวาโควิดในอาหารทะเล

กินอย่างไรให้ปลอดภัย แพทย์ ตอบปมสงสัย หลังหลายคนผวา โควิด ในอาหารทะเล จากกรณี เจ้าของแพปลา ในตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร ติดเชื้อ



จากเหตุการณ์ที่มีแม่ค้าขายกุ้ง วัย 67 ปี จังหวัดสมุทรสาครได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา หลายๆคนก็คงตั้งข้อสงสัยว่าอาหารทะเลนั้นจะมีเชื้อโควิด-19 ปะปนมาหรือไม่ และเรายังสามารถรับประทานอาหารทะเลได้อย่างมั่นใจหรือไม่ วันนี้ทางทีม ข่าวสด มีคำตอบมาฝากทุกๆคนกัน

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป จากกรมควบคุมโรคได้ออกมาตอบคำถามข้อนี้เรียบร้อยแล้วว่า มีโอกาสน้อยมากที่เชื้อโควิด-19 จะปะปนอยู่ในอาหาร แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน จึงจำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารปรุงสุก ผ่านความร้อน รวมถึงใส่หน้ากากและล้างมืออย่างสม่ำเสมอ



ด้าน ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ ได้ออกมาโพสต์บทความถึงเรื่องการระบาดของโควิด-19 เช่นเดียวกันว่า ช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ไม่ควรรับประทานอาหารทะเลดิบ เนื่องจากอาหารทะเลส่วนใหญ่ จะถูกแช่แข็งไว้เพื่อคงความสดใหม่ ถ้าชาวประมง ผู้ขาย มีการติดเชื้อโควิด-19 โอกาสที่เชื้อจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารทะเลและไวรัสคงชีวิตอยู่ได้นาน จึงมีความเป็นไปได้ ที่จะตรวจพบไวรัสในอาหารทะเลแช่เย็น เช่น การตรวจพบในปลาแซลมอน กุ้งนำเข้าในประเทศจีนการติดต่อของโรคโควิด-19 ผ่านทางอาหารทะเล



"อย่างไรก็ตาม อาหารทะเลสามารถบริโภคได้ ถ้าปรุงสุก ความร้อนสามารถทำลายไวรัสได้อย่างแน่นอน Covid-19 สามารถทำลายด้วยความร้อน 56 องศานานครึ่งชั่วโมง และถ้าความร้อนสูงขึ้นระยะเวลาก็จะสั้นลง โดยทั่วไปแล้วถ้าความร้อนสูงกว่า 85 องศา ก็จะมั่นใจในการทำลายไวรัสได้ และถ้าต้มให้เดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาไวรัสจะถูกทำลายทันที"


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5572787

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 22-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


ผืนโลกเตรียมย้อนเวลา กลับไปเป็นมหาทวีปเหมือน "แพนเจีย" ในอีก 200 ล้านปีข้างหน้า



ในยุคดึกดำบรรพ์เมื่อกว่า 1.6 พันล้านปีที่แล้วถึงราว 300 ล้านปีก่อน แผ่นดินโลกเคยรวมตัวกันเป็นผืนเดียวหรือ "มหาทวีป" (supercontinent) มาแล้วหลายครั้ง ก่อนจะแตกแยกออกเป็นทวีปย่อยและกลับรวมเข้าด้วยกันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งในอนาคตอีกอย่างน้อย 200 ล้านปีนับจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำนายว่าแผ่นดินโลกก็จะรวมตัวเข้าเป็นมหาทวีปเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง

ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และโปรตุเกส รายงานผลการศึกษาข้างต้นในงานประชุมประจำปีของสหภาพวิชาการด้านธรณีฟิสิกส์อเมริกัน (AGU) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ศึกษาถึงความเป็นไปได้ของสภาพทางธรณีวิทยาทั่วโลก ซึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในอนาคตอันห่างไกลระดับหลายร้อยล้านปี

ผลการศึกษาพบว่า มีแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้อยู่สองแบบ โดยแบบแรกคือแผ่นดินโลกเกือบทั้งหมดถูกผลักให้ขึ้นไปรวมกันอยู่รอบขั้วโลกเหนือ เว้นแต่ทวีปแอนตาร์กติกาที่จะยังคงอยู่ในซีกโลกใต้ ซึ่งสภาพการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ภายในเวลา 200 ล้านปีนับจากนี้

ความเป็นไปได้อีกทางหนึ่งคือเกิดการรวมตัวเป็นมหาทวีปบริเวณโดยรอบเส้นศูนย์สูตร โดยมีผืนแผ่นดินเดียวครอบคลุมทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีก 250 ล้านปีข้างหน้า


เมื่อกว่า 2.5 พันล้านปีก่อน โลกอยู่ในยุค "ลูกบอลหิมะ" โดยมีอุณหภูมิต่ำจนน้ำแข็งเกาะทั่วทั้งผืนโลก

สิ่งที่น่าสนใจก็คือการเกิดมหาทวีปแบบแรก ซึ่งทีมผู้วิจัยให้ชื่อว่า "อามาเซีย" (Amasia) เพราะหากมหาทวีปในอนาคตนี้มีเทือกเขาสูงจำนวนมากแทนที่จะเป็นพื้นราบ สภาพภูมิประเทศแบบใหม่จะส่งผลให้ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงไป เพราะความร้อนที่กระแสน้ำในมหาสมุทรนำพามาจะไม่สามารถเข้าถึงแผ่นดินใหญ่ได้ จนพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกจะมีอุณหภูมิลดต่ำลงเหลือราว 4 องศาเซลเซียส

สภาพการณ์ดังกล่าวอาจทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งครั้งใหม่ที่ยาวนานเป็นพิเศษ ซึ่งอาจกินเวลาถึง 150 ล้านปีได้ ในขณะที่การเกิดมหาทวีปแบบที่สองหรือที่ทีมผู้วิจัยให้ชื่อว่า "ออริกา" (Aurica) จะไม่เป็นเช่นนั้น

การทำนายความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอนาคตครั้งนี้ ได้นำเอาข้อมูลอื่น ๆ นอกจากสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย เช่นความสว่างจ้าของแสงอาทิตย์ที่จะต้องร้อนแรงขึ้นกว่าในปัจจุบัน และคาบการหมุนของโลกที่ช้าลงเรื่อย ๆ จนทำให้เวลาในหนึ่งวันเพิ่มขึ้นราว 30 นาที ในอีก 200 ล้านปีข้างหน้า

ความรู้ทางธรณีวิทยาที่มีมาก่อนหน้านี้ระบุว่า มหาทวีปที่เกิดขึ้นครั้งหลังสุดก่อนแผ่นดินจะแยกออกเป็นทวีปต่าง ๆ เช่นในปัจจุบัน ได้แก่มหาทวีป "แพนเจีย" (Pangaea) ซึ่งมีอยู่เมื่อราว 300 ล้าน - 200 ล้านปีก่อน ส่วนมหาทวีปที่เก่าแก่กว่านั้นคือ "โรดิเนีย" (Rodinia) ซึ่งมีอยู่เมื่อ 700 ล้านปีที่แล้ว และมหาทวีป "นูนา" (Nuna) ซึ่งก่อตัวขึ้นเมื่อ 1.6 พันล้านปีก่อน และแยกออกจากกันในอีก 200 ล้านปีต่อมา


https://www.bbc.com/thai/features-55393030

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:08


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger