เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 24-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้ ในวันนี้ (24 ธ.ค. 63) ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณที่ลาดเชิงเขาและพื้นที่ลุ่มต่าง ๆ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง โดยควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2563

สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศหนาวเย็นนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 24 ? 29 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียสกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง ประกอบกับในช่วงวันที่ 24-26 ธันวาคม พ.ศ.2563 หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนผ่านบริเวณอ่าวไทย ภาคใต้ แล้วเคลื่อนออกไปทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 24 ? 29 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย และในช่วงวันที่ 24 - 26 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าว



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "ฝนตกหนักและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 25 ธ.ค. 2563)" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2563

หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวไทยและภาคใต้ ในวันนี้ (24 ธ.ค. 63) ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณที่ลาดเชิงเขาและพื้นที่ลุ่มต่าง ๆ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้

พื้นที่ที่คาดว่าได้รับผลกระทบมีดังนี้


วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563

บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง และพังงา


วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563

บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง และพังงา

ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง โดยควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2563












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 24-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ภูเขาไฟฟูจิ! เปลี่ยนไป ไร้หิมะในเดือนธันวาคม 2020 สร้างความกังวลให้กับคนอยู่อาศัยในญี่ปุ่น



ขณะนี้คนในโลกโซเชียลต่างแสดงความกังวลถึง "ความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ" ของภูเขาไฟฟูจิ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แม้ว่าอากาศหนาวขึ้น แต่ภูเขาไฟฟูจิกลับไม่มีหิมะปกคลุมเหมือนทุกปี

ตามทวีตต่างๆ เกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิที่ถ่ายในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวเน็ตในญี่ปุ่นแสดงความกังวลเกี่ยวกับการไม่มีหิมะบนภูเขาไฟฟูจิแม้ว่าอากาศหนาวเย็นในช่วงเวลานี้ของปีเหมือนเดิมอยู่ก็ตาม

ภาพของภูเขาไฟฟูจิที่มีหิมะปกคลุมในช่วงเดือนนี่เป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คาดหวังที่จะเห็น และบันทึกภาพที่สวยงามไว้ตอนที่เข้าสู่ฤดูหนาว

ลักษณะของภูเขาไฟฟูจิ เสมือนหมวกหิมะยังเป็นสัญลักษณ์ และเป็นสิ่งที่ทำให้เดือนธันวาคมของทุกปีเป็นหนึ่งในเดือนที่ดีที่สุดในการชมภูเขาไฟฟูจิ

"ภูเขาไฟฟูจิในช่วงฤดูหนาวสวยงามตระการตาปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์และมองเห็นได้จากที่ไกล ๆ ด้วยอากาศที่แห้ง" นี่คือสิ่งที่ Live Japan อธิบายไว้ในเว็บไซต์ของพวกเขา

ทั้งนี้ ภูเขาไฟฟูจิระเบิดครั้งสุดท้ายในปี 1707 แต่ยักษ์ที่สูงตระหง่านยังคงเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่นับตั้งแต่การปะทุครั้งก่อนเมื่อกว่า 300 ปีก่อน ภูเขาไฟอาจต้องผ่านเวลาที่ยาวนานจนกว่าจะสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนได้หลายร้อยครั้งต่อเดือน และนี่คือความกังวลใจของคนอยู่อาศัยในญี่ปุ่น




https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000131110


*********************************************************************************************************************************************************


จีนเริ่มสร้าง "เรือเลี้ยงปลาอัจฉริยะ" ลำแรกของโลก ล่องขุนปลาในน่านน้ำสากล


(แฟ้มภาพเอเอฟพี)

สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการจีนรายงาน (22 ธ.ค.) บริษัท ชิงเต่า คอนซอน เดเวลอปเมนต์ กรุ๊ป (Qingdao Conson Development Group) เริ่มก่อสร้าง "เรือเลี้ยงปลาอัจฉริยะ" ลำแรกของโลกในเมืองชิงเต่า

รายงานระบุว่า เรือดังกล่าวมีชื่อว่าคอนซอน นัมเบอร์วัน (Conson No.1 มีความกว้าง 45 เมตร ยาว 249.9 เมตร ด้วยระวางน้ำหนัก 1 แสนตัน และน้ำหนักบรรทุก (Displacement) 1.3 แสนตัน คาดว่าจะสร้างเสร็จในเดือนมีนาคม 2656

คอนซอน นัมเบอร์วันสามารถทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในน่านน้ำสากล โดยความสามารถในการแล่นด้วยความเร็วสูงสุด10 น็อตทำให้หลบหลีกพายุไต้ฝุ่น ตลอดจนสภาพอากาศรุนแรง และภัยพิบัติระดับสีแดง และสีอื่นๆ ได้ทันท่วงที

เรือดังกล่าวได้รับการติดตั้งระบบเปลี่ยนน้ำ และอุปกรณ์สูบน้ำลึก ทำให้ปลาสามารถเจริญเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ

นายหวัง เสี่ยวหู่ หัวหน้าสถาบันวิทยาศาตร์การประมงจีน (CAFS) เปิดเผยว่า จีนผลักดันแนวคิดเรือเพาะเลี้ยงปลาตั้งแต่ราวปี 2523 เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรประมง และความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม

บริษัทฯ เปิดเผยแผนความร่วมมือกับหุ้นส่วนหลายรายเพื่อสร้างเรือเลี้ยงปลา 50 ลำ เพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลลึก ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2 แสนตัน อันคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.1 หมื่นล้านหยวน (ราว 5 หมื่นล้านบาท)


https://mgronline.com/china/detail/9630000130360
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 24-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ใช้ได้จริง!! สะพานลอยสัตว์ข้าม



การเสียชีวิตของสัตว์ป่าจากการถูกรถชนเป็นปัญหาได้รับการแก้ไขมากขึ้น ล่าสุด เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หน่วยงานทรัพยากรสัตว์ป่ารัฐยูทาห์ (Utah Division of Wildlife Resources) สหรัฐอเมริกา เผยแพร่คลิปวิดีโอของสัตว์ป่าต่างๆ เช่น กวาง หมี สุนัขจิ้งจอก ฯลฯ มาใช้บริการสะพานลอยสำหรับสัตว์ป่า Parley's Canyon Wildlife Overpass ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน

สะพานลอยดังกล่าวมีมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ ข้ามถนน 6 ช่องทางที่มีรถยนต์พลุกพล่าน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดปัญหาการเดินทาง ช่วยให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนที่จะเกิดกับสัตว์ป่าได้เป็นอย่างดี


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000130707

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 24-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


โลกร้อนทำพิษ โลมาป่วยโรคผิวหนัง อันตรายถึงชีวิต เหตุพายุถี่-น้ำจืดรุกน้ำเค็ม



โลมาเหล่านี้ต้องเผชิญกับโรคผิวหนังที่เกิดขึ้น ทำให้โลมาเกิดรอยเหมือนแผลพุพองหรือแผลเน่าเปื่อย สามารถพบได้ครอบคลุมบริเวณผิวหนังประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย ซึ่งโรคนี้เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นบนโลก

ทั้งนี้หัวหน้านักวิจัย และอาจารย์ด้านพยาธิวิทยาทางสัตวแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเมอร์ด็อกได้กล่าวว่าแผลที่โลมาเหล่านี้ต้องพบเทียบเท่ากับแผลไฟไหม้ระดับที่สามในมนุษย์ ซึ่งเป็นอาการบาดเจ็บที่น่ากลัว และอาจทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว "แผลเหล่านี้จะฆ่าโลมาในที่สุด เพราะจะทำให้อิเล็กโทรไลต์หยุดชะงักในกระแสเลือดของโลมา และสุดท้ายพวกมันก็จะตายจากการล้มเหลวของอวัยวะ"

โรคลึกลับดังกล่าว ถูกเรียกว่า "Fresh Water Skin Disease" หรือโรคผิวหนังน้ำจืด ซึ่งส่งผลกระทบต่อโลมา และทำให้พวกมันทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก นักวิจัยพบโรคนี้ครั้งแรกในโลมาปากขวด 40 ตัวในเมืองนิวออร์ลีนส์รัฐลุยเซียนาในปี 2548 หลังจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโรคผิวหนังที่ร้ายแรงนี้ได้คร่าชีวิตโลมานับตั้งแต่พายุเฮอริเคนแคทรีนาและในที่สุดพวกเขาก็พบต้นตอของปัญหานี้



และการศึกษาใหม่ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในรายงานทางวิทยาศาสตร์ได้ให้คำจำกัดความกรณีแรกสำหรับโรค เกิดขึ้นหลังจากการระบาดในหลุยเซียน่า มิสซิสซิปปี แอละแบมา เท็กซัส ฟลอริดาและออสเตรเลีย แต่มันยังไม่จบแค่นั้น เพราะฤดูพายุเฮอริเคนในอ่าวเม็กซิโกในปีนี้ที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และพายุที่รุนแรงขึ้นทั่วโลกเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแพร่ระบาดที่ร้ายแรงที่คร่าชีวิตโลมาจะเกิดมากขึ้นกว่านี้แน่นอน

นักวิจัยจาก The Marine Mammal Center ในเมืองซอซาลิโต รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้ทำการศึกษาพบว่าในทุกสถานที่ที่ระบุไว้พบว่าระดับความเค็มในน่านน้ำดังกล่าวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งโลมาชายฝั่งแม้เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงของระดับเกลือ แต่มันก็ไม่สามารถอยู่ในน้ำจืดได้อยู่ดี

ทั้งนี้เว็บไซต์ทางวิทยาศาสตร์ชื่อดัง Phys.org ระบุว่าน้ำทะเลชายฝั่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน้ำจืดเนื่องจากมีพายุฝนเฮอริเคน และไซโคลนบ่อยครั้งทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากกว่าที่เป็นมา และก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่ชายฝั่งยังเกิดภาวะแห้งแล้งหนัก ปัจจัยเหล่านี้ทำให้น้ำจืดไหลลงทะเลปริมาณมากผิดปกติ และทำให้ความเค็มลดลง



ในแถลงการณ์ของหัวหน้าพยาธิแพทย์ของ The Marine Mammal Center กล่าวว่า "โรคผิวหนังที่ร้ายแรงนี้ได้คร่าชีวิตโลมา ครั้งตั้งแต่เกิดพายุเฮอริเคนแคทรีนา และเรายินดีที่จะชี้ให้เห็นถึงปัญหาดังกล่าว ด้วยฤดูพายุเฮอริเคนในอ่าวเม็กซิโกในปีนี้ และการเกิดพายุที่รุนแรงมากขึ้นทั่วโลก อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราจะได้พบกับการระบาดที่ร้ายแรง และโรคเหล่านี้ทจะคร่าชีวิตโลมาอีกหลายชีวิต"

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญยังให้ความหวังเล็กน้อยกับวิธีป้องกันไม่ให้โลมาต้องทรมานไปมากกว่านี้ โดยกล่าวว่าอุณหภูมิของมหาสมุทรที่ร้อนขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลทั่วโลก แต่เมื่อใช้ข้อมูลจากการศึกษานักวิทยาศาสตร์ เราจะสามารถหาวิธีบรรเทาโรคที่เกิดกับโลมาและป้องกันไม่ให้พวกมันติดโรคมากขึ้นได้ และที่สำคัญคือการค้นพบนี้จะกระตุ้นให้เราต้องต่อสู้กับโลกร้อนอย่างแข็งขันมากขึ้นด้วย


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5588469

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 24-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


รูปนกเพนกวินม่ายปลอบใจกัน คว้ารางวัลประกวดภาพถ่ายมหาสมุทร ประจำปี 2020


ภาพถ่ายผลงานของโทเบียส บามแกร์ตเนอร์ เป็นผู้ชนะในสาขาภาพถ่ายขวัญใจมหาชน

รูปของนกเพนกวินม่ายสองตัวที่ยืนเหม่อมองท้องทะเล โดยที่ตัวหนึ่งใช้ปีกเล็ก ๆ โอบกอดอีกตัวไว้ในลักษณะเหมือนการปลอบใจกัน ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในภาพที่ชนะการประกวดภาพถ่ายมหาสมุทร Ocean Photography Awards ประจำปี 2020 ของนิตยสาร Oceanographic Magazine

ภาพถ่ายชิ้นนี้ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะในสาขาภาพถ่ายขวัญใจมหาชน โดยเป็นผลงานของนายโทเบียส บามแกร์ตเนอร์ ที่ถ่ายภาพนี้ได้จากบริเวณท่าเรือเซนต์คิลดา ในนครเมลเบิร์น ของออสเตรเลีย ซึ่งมีนกเพนกวินชนิดนี้อาศัยอยู่ประมาณ 1,400 ตัว

ช่างภาพชาวเยอรมันผู้นี้บอกว่า เขาได้รับการบอกเล่าจากคนในพื้นที่ว่า เพนกวินนางฟ้า (Fairy penguin) สองตัวนี้ เพิ่งจะสูญเสียคู่ครองของพวกมันไปเมื่อไม่นานมานี้ และมีคนเห็นว่าพวกมันมักแสดงท่าทางปลอบประโลมใจกันและกันอยู่เสมอ

"อาสาสมัครคนหนึ่งที่ดูแลเพนกวินกลุ่มนี้เล่าให้ผมฟังว่า เพนกวินตัวสีขาว (ทางขวามือ) เป็นเพนกวินเพศเมียวัยชราที่เพิ่งจะสูญเสียคู่ครองของมันไป เช่นเดียวกับเพนกวินหนุ่มทางซ้ายมือ" นายบามแกร์ตเนอร์ ระบุทางอินสตาแกรม

"นับจากนั้นพวกมันมักใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ปลอบใจกัน และยืนมองแสงไฟจากเมืองใกล้ ๆ นานหลายชั่วโมง" เขาเล่า

ช่างภาพผู้นี้บอกว่าเขาใช้เวลา 3 คืนกับเพนกวินกลุ่มนี้กว่าที่จะบันทึกภาพถ่ายที่แสนกินใจภาพนี้เอาไว้ได้ เพราะมีเงื่อนไขหลายอย่าง เช่น ไม่สามารถใช้แสงไฟรบกวนฝูงเพนกวินได้

"การที่ไม่สามารถใช้แสงไฟบวกกับการที่เพนกวินตัวน้อยเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทั้งใช้ปีกลูบหลังกันและกัน และทำความสะอาดให้กัน มันจึงทำให้เป็นเรื่องยากมากว่าที่จะได้ภาพช็อตนี้"

"แต่ผมก็มีโชคในจังหวะที่งดงามช่วงหนึ่ง"


เพนกวินนางฟ้า เป็นสัตว์ที่มักมีคู่ครองตัวเดียวไปตลอดชีวิต
ที่มาของภาพ,AUSCAPE/GETTY


เพนกวินนางฟ้า มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น เพนกวินน้อย, เพนกวินสีน้ำเงิน หรือ เพนกวินสีน้ำเงินน้อย (Little penguin, Blue penguin, Little blue penguin) เป็นเพนกวินที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดานกเพนกวินทั้งหมด มีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 33 - 43 เซนติเมตร และน้ำหนักราว 1.5 กิโลกรัม

เพนกวินชนิดนี้มีขนที่ส่วนหลังสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน มีจะงอยปากสั้นสีดำ พวกมันมีถิ่นอาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมถึงบางพื้นที่ในประเทศชิลี และเป็นสัตว์ที่มักมีคู่ครองเดียวไปตลอดชีวิต


https://www.bbc.com/thai/features-55422763

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:46


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger