#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุม ด้านตะวันออกของภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกแล้ว ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นกับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลง 3-6 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ยังมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นเป็นบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ และอุณหภูมิลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 9 - 14 พ.ย. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้อากาศเย็นลงกับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลง 3-7 องศาเซลเซียสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพและปริมณฑลอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 9 ? 14 พ.ย. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย ส่วนประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก และประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "อากาศหนาวเย็นลงบริเวณประเทศไทยตอนบนกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบถึงที่ 13 พฤศจิกายน 2564)" ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 08 พฤศจิกายน 2564 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีน ได้แผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว และจะแผ่เข้าปกคลุม ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันนี้(วันที่ 8 พ.ย. 26564) ซึ่งจะปกคุลมถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง กับมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 3-7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ในวันที่ 9- 13 พฤศจิกายน 2564 ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร และทะเลอันดามันคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก ควรระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ช็อก ฉลามขย้ำชายอังกฤษ ริมหาดออสเตรเลีย เมียสุดเศร้า หมดทางช่วย ชายอังกฤษ ถูกฉลามทำร้าย ขณะลงว่ายน้ำในทะเลใกล้ชายหาดในออสเตรเลีย ภรรยาอยู่บนหาด แต่หมดทางช่วย ด้าน จนท.ค้นหาร่าง 2 วันแต่ยังไม่พบ เจอแต่แว่นตาสำหรับว่ายน้ำ Cr ภาพ :@WA Police เมื่อ 8 พ.ย.64 เดลี่เมลรายงานเหตุการณ์สุดสะเทือนใจ นายพอล มิลลาชิป ชายชาวอังกฤษวัย 57 ปี ถูกฉลามขาวยักษ์ ตัวยาวนับ 4.5 เมตร กัดทำร้ายจนเสียชีวิต ขณะว่ายน้ำทะเล ใกล้ชายหาดนอร์ท ฟรีแมนเทิล ในเมืองเพิร์ท รัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะที่ภรรยาอยู่ริมชายหาด แต่หมดทางช่วย ด้านเจ้าหน้าที่และหน่วยยามฝั่งของออสเตรเลียได้พยายามค้นหานายมิลลาชิป เป็นเวลา 2 วัน แต่ยังไม่พบศพ เพียงแต่หลักฐานสำคัญที่พบ คือ แว่นตาสำหรับว่ายน้ำของเขาเท่านั้น จากการเปิดเผยของภรรยานายมิลลาชิป ซึ่งไม่ขอเผยชื่อ และอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ กล่าวว่า สามีของเธอเสียชีวิตขณะทำในสิ่งที่เขารัก ที่ชื่นชอบในการเล่นเซิร์ฟ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยปกติ สามีจะลงว่ายน้ำทะเลบริเวณริมชายหาดในตอนเช้าเป็นประจำ พร้อมทั้งยกย่องสามีผู้ล่วงลับว่าเป็นสามีและพ่อที่มหัศจรรย์ ขอให้เขาหลับให้สบาย อีกทั้งขอบคุณเจ้าหน้าที่ออสเตรเลียที่พยายามค้นหาศพของสามีอย่างสุดความสามารถ มีหนุ่มวัยรุ่น 4 คนอยู่บนชายหาดขณะนั้น เล่าว่าพวกเขาเห็นฉลามตัวหนึ่งว่ายอยู่ริมชายหาด แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นฉลามพันธุ์อะไร โดยหลังเกิดเหตุสุดสลด เจ้าหน้าที่ได้แจ้งผู้คนที่ลงว่ายน้ำหรือเล่นเซิร์ฟให้ขึ้นจากทะเลเพื่อความปลอดภัย พร้อมกับติดป้ายปิดหาดบริเวณนี้ทันที. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2237964
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ครั้งแรก! "วาฬบรูด้าแม่จ๊ะเอ๋" โชว์งานวิทยาศาสตร์ 9-19 พ.ย. โชว์ "วาฬบรูด้าแม่จะ๊เอ๋" ผ่านโครงการดูกสมบูรณ์ที่สุดในไทย ความยาว 11 เมตร หลังวิจัยเพื่อต่อจิ๊กซอว์แล้วเสร็จ เพื่อให้คนรู้จักสัตว์สงวนตัวล่าสุดของไทย พร้อมโชว์ครั้งแรกในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งขาติ 2564 ที่เมืองทองธานีวันที่ 9-19 พ.ย.นี้ วันนี้ (8 พ.ย.2564) นายชลวิทย์ ทองเจริญชัยกิจ นักวิชาการ 6 สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่า ในมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทค โนโลยีแห่งขาติ 2564 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-19 พ.ย.นี้ อพวช.เน้นนิทรรศการโคร่งร่างสร้างเรื่องหรือ SKeleton โดยต้องการให้เด็กๆได้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงกระดูกของจริงที่นำมาจัดแสดง "ความโดดเด่น คืองานวิจัยซากวาฬบรูด้าแม่จ๊ะเอ๋ ที่ตายเมื่อปี 2563 โดยทีมวิจัยต้องใช้เวลากว่า 1 ปีในการทำวิจัยโครงกระดูก 11 เมตร เพื่อศึกษาถึงร่องรอยโรค และทำชิ้่นส่วนกระดูกกว่า 120 ชิ้นมาประกอบเป็นโครงที่สมบูรณ์ที่สุดในไทย" เรียนจากกระดูกวาฬไร้ชีวิต-สู่วาฬในทะเลที่มีเพียง 60 ตัว นายชลวิทย์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการสื่อสารเรียนรู้ผ่านโครงการดูกวาฬบรูด้าแม่จ๊ะเอ๋ เพราะต้องการให้เด็กๆ และคนทั่วไปทำความรู้จักวาฬบรูด้าทะเลไทยที่มีเพียง 60 กว่าตัว และเพิ่งขึ้นบญชีสัตว์สงวนตัวล่าสุดใน พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เพราะหากบ้านของวาฬบรูด้า ถูกทำลายก็จะทำร้ายสัตว์ทะเลทางอ้อม "การเข้ามาชมนิทรรศการไม่ใช่แค่จะเห็นแต่โครงวาฬบรูด้า แต่ยังมีการเรื่องเล่าของแม่จะเอ๋ในตอนที่มีชีวิตโดยใช้มือถือสแกน QR Code เป็นตัวละคร AR วาฬบรูด้าในอิริยาบถต่างๆ เนื่องจากวาฬแต่ละตัวที่มีการตั้งชื่อจะมีอัตลักษณ์ เช่น แม่จะเอ๋ จะชอบขึ้นมางับปลา และมีรอยแหว่งในตำแหน่งครีบวาฬ " โครงร่างอาจารย์ใหญ่-ตัวแทนชีวิตมนุษย์ นอกจากนี้วาฬบรูด้าแล้ว ยังมีโครงร่างอาจารย์ใหญ่จากโรงพยาบาลศิริราช 2 โครงร่าง จะบ่งชี้ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง อายุ รวมทั้งจะเป็นตัวแทนบ่งชี้สุขภาพตอนที่เสียชีวิต เพราะจะเห็นรอยโรคบางโรคที่ปรากฏในกระดูกได้ เช่น ข้อเข่าเสื่อม ออฟฟิศซินโดรม นอกจากนี้ยังมีนส่วนกระดูกสัตว์ที่โดดเด่น เช่น กระดูกคอยีราฟที่ยาวที่สุด และชิ้นส่วนกระดูกต้นขาไดโนเสาร์ซอโรพอดที่ใหญ่ และขุดพบที่ประเทศไทยนำมาจัดแสดง โดยมีจุดให้ผู้เข้าชมได้เทียบความสูงกับโครงกระดูกที่มีความสูง 1-2 เมตรอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงแต่ซากโครงกระดูกแต่งานครั้งนี้ ยังมีการนำเสนอกระดูกสัตว์ที่ยังมีชีวิต เช่น ปลาที่มีตัวใสจนเห็นกระดูก 2 ชนิดคือปลากั้งพระร่วงและปลาแป้นแก้ว รวมทั้งฟันเลื่อยของปลาฉนาก ซากฉลาม เป็นต้น สำหรับการเข้าชมนิทรรศการภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ทำให้ต้องจัดรอบเพื่อลดความแออัดเป็น 3 เวลาคือ 09.00-12.00 น. เวลา 12.00-15.00 น.และเงลา 15.30-19.00 น. ซึ่งวันธรรมดารองรับจองได้ 7,500 คน และวันเสาร์-อาทิตย์ 5,000 คน รวมทั้งจะใช้รูปแบบ Virtual Science จากทางบ้านได้ด้วย ทั้งนี้วันที่ 10 พ.ย.นี้มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะมาเปิดงาน https://news.thaipbs.or.th/content/309482
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
น้ำท่วม : กทม. "จะจมน้ำ" ย้อนดูคำเตือนจากกรีนพีซและธนาคารโลก หลังปรากฏการณ์ทะเลหนุน ที่มาของภาพ,PANUMASSANGUANWONG ภายในปี พ.ศ. 2573 หรือ ค.ศ. 2030 มากกว่า 96% ของพื้นที่กรุงเทพฯ อาจถูกน้ำท่วมหากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่กว่าปกติในรอบ 10 ปี... ใจความหลักจากรายงานโดยกรีนพีซที่ตีพิมพ์เมื่อกลางปีที่ผ่านมาฟังดูน่ากังวลยิ่งขึ้นหลังเมื่อเช้านี้ (8 พ.ย.) เกิดภาวะน้ำทะเลหนุนสูงสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ริมน้ำในพื้นที่ กรุงเทพฯ จ.สมุทรปราการ และ จ.นนทุบรี รวมถึงถนนหลายสายที่น้ำท่วมสูงจนรถเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ขณะที่การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ยังดำเนินไป สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และบางจังหวัดปริมณฑล ดูจะเป็นอีกสัญญาณเตือนหนึ่งว่าโลกจะได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศโลกที่แปรปรวนมากขึ้นเรื่อย ๆ หากมนุษย์ไม่สามารถจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ บีบีซีไทยสำรวจประกาศเตือนภัยที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊กของกรุงเทพมหานคร (กทม.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้จนถึงเช้าวันนี้ ไม่พบว่ามีการแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุนสูง มีเพียงการให้ข้อมูลว่าระดับน้ำบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาในวันนี้ คาดการณ์โดยกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ว่าน้ำขึ้นสูงสุดเวลา 09.55 น. สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 2.16 ม. ที่มาของภาพ,THAI NEWS PIX น.ส. ธนวรรณ รอดกลับ ประชาชนใน อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เล่าเหตุการณ์ให้บีบีซีไทยว่า ระดับน้ำจากคลองลัดหลวง ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เช้า จนกระทั่งทะลักล้นประตูน้ำไหลเข้าท่วมชุมชนริมคลอง รวมถึงบ้านของเธอ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2554 ที่น้ำทะเลหนุนสูงจนท่วมบ้าน สำหรับพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุนสูงวันนี้ ได้แก่ กรุงเทพฯ (เขตยานนาวา เขตราษฎร์บูรณะ เขตบางพลัด เขตสัมพันธวงศ์) อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี และ จ.สมุทรปราการ (อ.พระประแดง และ อ.เมืองสมุทรปราการ) ส่วนถนนที่มีรายงานน้ำท่วมสูงจนกระทบการจราจรอย่างหนัก เช่น ถ.พระราม 3 ถ.บางนา-ตราด ถ.สุขุมวิท (ช่วงสะพานข้ามคลองมหาวงษ์-หน้าโรงเรียนนายเรือ) ถ.รัตนาธิเบศร์ (จุดกลับรถใต้สะพานพระนั่งเกล้า) น. ถ.ราษฎร์บูรณะ (ช่วงสะพานข้ามคลองดาวคะนอง) และบริเวณสะพานกรุงธน เป็นต้น ที่มาของภาพ,THAI NEWS PIX คำเตือน ย้อนไปเมื่อเดือน มิ.ย. กรีนพีซตีพิมพ์รายงานความเสียหายทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์จากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลแบบสภาวะสุดขีดใน 7 เมืองของเอเชียภายในปี 2573 หรือ ค.ศ. 2030 (The Projected Economic Impact of Extreme Sea-Level Rise in Seven Asian Cities in 2030) ซึ่งมีกรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในนั้น กรีนพีซระบุว่า เมืองชายฝั่งทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุโซนร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น โดยอ้างข้อมูลจาก คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) ที่เตือนว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ระหว่าง 0.43-0.84 เมตรภายในปี พ.ศ.2643 กรีนพีซยังระบุอีกว่า ตลอดศตวรรษที่ 21 พายุมีความเร็วลมรุนแรงซึ่งสร้างความเสียหายมากขึ้น คลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนที่มีสภาวะสุดขีดมากกว่าในอดีต ใจความสำคัญของรายงานชุดนี้เกี่ยวกับกรุงเทพฯ คือ "มากกว่า 96% ของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำที่เสี่ยงน้ำท่วมหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาถึงอุทกภัยคาบอุบัติซ้ำ 10 ปี ที่จะเกิดขึ้นภายในปี พ.ศ. 2573" "อุทกภัยคาบอุบัติซ้ำ 10 ปี" หรือที่ในรายงานภาษาอังกฤษใช้คำว่า "ten-year flood" หมายถึงเหตุการณ์น้ำท่วมชายฝั่งที่เกิดจากคลื่นพายุซัดฝั่งและระดับน้ำขึ้นสูงสุด โดยมีโอกาส 10% ต่อปีที่จะเกิดน้ำท่วมสูงเกินระดับน้ำทะเล นอกจากนี้ กรีนพีซบอกว่า หากเกิดปรากฏการณ์นั้นขึ้น สัปปายะสภาสถาน รัฐสภาแห่งใหม่ของไทยเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม กรุงเทพฯ จะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ารวม 512,280 ล้านเหรียญสหรัฐ และประชากร 10.45 ล้านคนในนครหลวงอาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและน้ำท่วมชายฝั่งในปี พ.ศ.2573 โดยความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็น 96% ของจีดีพี หรือตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของกรุงเทพฯ (มูลค่าดังกล่าวคิดเป็นดอลลาร์สหรัฐโดยสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้า อัตราเงินเฟ้อคิดตามหลักความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ หรือ purchasing power parity - PPP) ที่มาของภาพ,THAI NEWS PIX อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนไปหลายปีก่อนหน้านี้ ธนาคารโลกเคยออกรายงานระบุว่า กรุงเทพฯ จาการ์ตา และโฮจิมินห์ซิตี้ เป็น "จุดเสี่ยง" ที่จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น พายุเขตร้อนที่รุนแรง และฝนตกหนัก เนื่องจากภาวะโลกร้อน โดยยืนยันว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่ความเสี่ยงที่ไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้ เมื่อปี 2561 ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของกรีนพีซ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยว่า "หากเราไม่ทำอะไรเลย กรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้น้ำในเวลา 10-15 ปี เพราะการใช้ที่ดินและสูบน้ำบาดาล" รายงานของธนาคารโลกชิ้นดังกล่าวบอกว่า กรุงเทพฯ มีโอกาสจะจมอยู่ใต้น้ำเป็นอาณาบริเวณกว้าง ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยความเสี่ยงนี้ เกิดจากภาวะโลกร้อนที่มีแนวโน้มรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ในตอนนั้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่าที่ทางการเร่งดำเนินการเตรียมรับมือหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นขุดคลอง สร้างสถานีสูบน้ำ และอุโมงค์ใต้น้ำ เพื่อระบายน้ำออกหากเกิดวิกฤต เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น https://www.bbc.com/thai/international-59204934
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|