เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมีลมตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า โดยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 5-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 6 ? 8 ก.พ. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมีลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 9 ? 11 ก.พ. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียสกับมีลมแรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1 ? 3 องศาเซลเซียส

สำหรับภาคใต้ในช่วงวันที่ 6 ? 9 ก.พ. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ส่วนในวันที่ 10 ? 11 ก.พ. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนบนของภาค ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ตลอดช่วง

ส่วนในช่วงวันที่ 9 - 11 ก.พ. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 06-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


"อ่าวมาหยา" คว้าอันดับ 3 "ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก" โดย Lonely Planet



ทะเลไทย สวยระดับโลกอีกแล้ว รอบนี้ "อ่าวมาหยา" แห่งเกาะพีพี ถูกยกให้เป็นอันดับ 3 "ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก" โดยสื่อท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet

ชายหาดของประเทศไทย โด่งดังในระดับโลกอีกครั้งในปีนี้ โดยล่าสุดสื่อท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกอย่าง Lonely Planet จัดอันดับ 20 ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก (20 of the world's best beaches) ซึ่ง "อ่าวมาหยา" ของประเทศไทย ติดอยู่ในอันดับที่ 3

ทั้งนี้ Lonely Planet ระบุว่า การจัดอันดับครั้งนี้ มีตั้งแต่อ่าวสีทองระดับตำนานไปจนถึงอ่าวนอกกระแสที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก ทีมงานได้ส่งนักเขียนไปทุกที่เพื่อค้นหาแนวชายฝั่งที่มีคลื่นสูง เปรียบดั่งสวรรค์ที่เข้าถึงยาก สำหรับหนังสือเล่มใหม่ของ Lonely Planet ว่าด้วยชายหาดที่ดีที่สุดในโลก โดยในระหว่างนั้น ทีมงานได้ว่ายน้ำ ดำน้ำตื้น จิบค็อกเทล และเดินป่า เก็บข้อมูลมาเขียนคัมภีร์ว่าด้วยชายหาดที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยชายหาดที่ดีที่สุดในโลก ได้แก่

1. The Pass, Byron Bay, รัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย
2. Ipanema Beach, ริโอ เดอ จาเนโร บราซิล
3. อ่าวมาหยา, เกาะพีพี จังวัดกระบี่ ประเทศไทย
4. Mnemba Island, แซนซิบาร์ แทนซาเนีย
5. Sarakiniko, หมู่เกาะมิลอส กรีซ
6. Chesterman Beach, เกาะแวนคูเวอร์ บริทิชโคลัมเบีย แคนาดา
7. Cabo San Juan del Gu?a, อุทยานแห่งชาติไทโรนา โคลอมเบีย
8. Anse Source d?Argent, La Digue, ซีเชลส์
9. Playa Balandra, La Paz BCS, เม็กซิโก
10. Punta Paloma, Tarifa, C?diz, สเปน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.lonelyplanet.com/article...s-best-beaches


สำหรับเหตุผลที่ระบุถึงอ่าวมาหยา เป็นชายหาดที่ซ่อนตัวอยู่ในหน้าผาหินปูน แต่ก็ดึงดูดสายตาของผู้กำกับภาพยนตร์ ?แดนนี่ บอยล์" ที่ใช้น้ำทะเลครามไล่โทนสี กับหาดทรายขาวละเอียด มาเป็นฉากสำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Beach (ปี ค.ศ.2000) ที่นำแสดงโดยพระเอกดัง "ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ"

ความนิยมของภาพยนตร์เรื่องนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาตามรอยประมาณ 6,000 คนต่อวัน จนเกิดการสะสมของขยะ ต้นไม้ และปะการังเสียหาย รวมถึงผลกระทบต่อสัตว์น้ำ

แต่ปัญหาเหล่านี้ ทำให้ทางการไทยปิดอ่าวในปี พ.ศ. 2561 ไปราว 4 ปี จากนั้นจึงเปิดอีกครั้งโดยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้นและการป้องกันเพิ่มเติม โดยกฎระเบียบใหม่ เช่น การควบคุมกิจกรรมการท่องเที่ยว ห้ามว่ายน้ำ เรือไม่สามารถทอดสมอในอ่าวได้ และจำกัดผู้เยี่ยมชมเพียง 375 คนเท่านั้น ภายในช่วงเวลาที่กำหนด

อ่าวมาหยา จึงเป็นการเดินทางคุ้มค่าที่จะใช้เวลาในสวรรค์อันน่าทึ่งแห่งนี้และชื่นชมความงามของธรรมชาติที่เกือบจะสูญหายไป


https://mgronline.com/travel/detail/9670000010614

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 06-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation


ลูกเต่ามะเฟืองทายาท "แม่ท้ายเหมือง" ฟักจากไข่กลับสู่ทะเล เป็นรังแรกของปี

ของขวัญจากทะเล! ลูกเต่ามะเฟืองทายาท "แม่ท้ายเหมือง" ออกจากไข่คลานออกจากหลุม กลับสู่ท้องทะเลเป็นรังแรกของปีแล้ว ที่ จ.พังงา



5 กุมภาพันธ์ 2567 นายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2567 เจ้าหน้าที่ได้พบการยุบตัวของหลุมอนุบาลไข่เต่ามะเฟือง รังแรกของปี จากแม่เต่าชื่อ "แม่ท้ายเหมือง" ที่พบการเสียชีวิตจากเชือกลอบหมึกพันรัดจนจมน้ำตาย ซึ่งจากการเฝ้ารอของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ มา 58 วัน

เมื่อพบสัญญานการยุบตัวของหลุมไข่กว่า 24 ชม. พบลูกเต่ามะเฟืองบางส่วน เริ่มเดินขึ้นจากหลุมเวลา 22.45 น. คืนที่ผ่านมา จำนวน 6 ตัว จากการตรวจสอบเบื้องต้น ลูกเต่าทุกตัวมีความแข็งแรงไข่แดงหน้าท้องยุบตัวแล้วมีช่องเปิดหน้าท้องเล็กน้อยแสดงถึงความพร้อมของลูกเต่าที่จะใช้เป็นพลังงานในการเดินทางสู่ทะเล

ลูกเต่ามะเฟืองทายาท "แม่ท้ายเหมือง" ฟักจากไข่กลับสู่ทะเล เป็นรังแรกของปี
นอกจากนี้ ยังพบลูกเต่าที่โผล่หัว ขึ้นจากพื้นทราย แต่ยังไม่เดินออกจากหลุมเพาะฟักจำนวน 23 ตัว คาดว่าจะเดินกลับสู่ทะเลในช่วงค่ำของวันนี้ และยังมีลูกเต่าที่อยู่ใต้ผืนทรายอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะมีการป้องกันแสงแดด อุณหภูมิ ความร้อนไม่ให้ทำอันตรายต่อลูกเต่าโดยการทำหลังคาคลุมทับหลุมไว้เรียบร้อยแล้ว

ลูกเต่ามะเฟืองทายาท "แม่ท้ายเหมือง" ฟักจากไข่กลับสู่ทะเล เป็นรังแรกของปี
ทั้งนี้ อุทยานฯ ได้ควบคุมกระบวนการให้ลูกเต่าเดินขึ้นจากหลุมด้วยตัวเองเพื่อให้เป็นไปตามธรรมชาติ ได้สร้างพื้นที่เดินกลับที่ไม่ปะปนกับรอยเท้าของมนุษย์และทำอาณาเขตให้ผู้สนใจที่มาเยี่ยมชม และเรียนรู้โดยไม่รบกวนเต่า และจัดเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการสอดส่องปัจจัยคุกคามตลอดเวลา ซึ่งการตายของแม่ท้ายเหมือง จะไม่สูญเปล่า หากได้รับการถอดบทเรียน ที่นำไปสู่การคุ้มครองสัตว์ทะเลหายากในอนาคตต่อไป


https://www.nationtv.tv/news/region/378939879


******************************************************************************************************


งานวิจัยพบหูฉลามที่ขายในไทยกว่า 62% มาจากฉลามเสี่ยงสูญพันธุ์



ผลสำรวจล่าสุดพบการบริโภคหูฉลามของคนไทยมีแนวโน้มลดลงในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ไวล์ดเอดขอคนรุ่นใหม่ชวนครอบครัว #ฉลองไม่ฉลาม ตรุษจีนนี้ หลังงานวิจัยพบ "หูฉลาม" ที่ขายในไทยกว่า 62% มาจากฉลามเสี่ยงสูญพันธุ์
เปิดศักราชใหม่ปีมังกร องค์กรไวล์ดเอด ขอชวนทุกคนเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน #ฉลองไม่ฉลาม ลด ละ เลิกบริโภคเมนูที่ทำจากฉลาม โดยเฉพาะซุปหูฉลาม หลังผลการศึกษาดีเอ็นเอจากผลิตภัณฑ์หูฉลามที่ขายในไทยพบ ชนิดพันธุ์ฉลามส่วนใหญ่ (62%) มีสถานภาพเสี่ยงสูญพันธุ์

โดยผลสำรวจความต้องการบริโภคหูฉลามของคนไทยที่อาศัยในเขตเมืองทั่วประเทศไทยจำนวน 1,007 คน พ.ศ. 2566 โดยองค์กรไวล์ดเอดและบริษัทวิจัยแรพพิด เอเชีย (Rapid Asia) พบว่า คนไทยในเขตเมืองบริโภคหูฉลามบ่อยที่สุดในร้านอาหารกับครอบครัว (60%) ตามด้วยงานแต่งงาน (57%) สังสรรค์กับเพื่อนในร้านอาหาร (46%) และงานรวมญาติในช่วงเทศกาลตรุษจีน (42%) ไวล์ดเอดจึงขอชวนทุกคนชวนสมาชิกในครอบครัวเลิกสั่ง เลิกสังสรรค์ด้วยเมนูจากฉลามทุกชนิดตั้งแต่ตรุษจีนนี้และตลอดไป

ผลสำรวจล่าสุดพบว่า การบริโภคหูฉลามของคนไทยในเขตเมืองมีแนวโน้มลดลงในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยผู้บริโภคที่ยังกินหูฉลามในรอบ 12 เดือน มีจำนวนลดลง 27.5% เมื่อเทียบกับการสำรวจในพ.ศ. 2560 นอกจากนี้ คนไทยที่บริโภคหูฉลามเป็นครั้งคราวตั้งแต่ 2-5 ครั้งต่อปี มีจำนวนลดลง 47% ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า การรณรงค์มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคฉุกคิดถึงผลกระทบของการบริโภคฉลามมากยิ่งขึ้น ถึงแม้การบริโภคมีแนวโน้มที่ลดลง แต่ยังมีคนไทยมากกว่าครึ่ง (56%) ที่ต้องการบริโภคหูฉลามในอนาคต บ่งชี้ว่า ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดผู้บริโภคหูฉลามที่สำคัญ

องค์กรไวล์ดเอด (WildAid) ร่วมกับทีมนักวิจัยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กรมประมง และนักวิจัยอิสระ เผยผลการศึกษาที่ระบุชนิดพันธุ์ปลาฉลามจากผลิตภัณฑ์หูฉลามจากแหล่งค้าในหลายจังหวัดครั้งแรกในประเทศไทย และได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Conservation Genetics พบฉลามอย่างน้อย 15 ชนิดพันธุ์ ซึ่งชนิดพันธุ์ฉลามส่วนใหญ่ (62%) มีสถานภาพเสี่ยงสูญพันธุ์ตามบัญชีแดงของ IUCN Red List

"ผลวิจัยสะท้อนชัดเจนว่าซุปหูฉลามที่ถูกเสิร์ฟนั้นอาจมาจากฉลามที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ แถมอาจจะเป็นฉลามที่ยังไม่สมบูรณ์พันธุ์อีกด้วย ถ้าให้เปรียบก็เหมือนกับเรากำลังกินเสือหรือแม้แต่ลูกเสือที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของป่า การบริโภคของเราทุกคนจึงมีส่วนกำหนดชะตากรรมของฉลามหลายชนิดและย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความสมดุลของท้องทะเลในที่สุด เทศกาลตรุษจีนจึงเป็นโอกาสที่ดีที่ทุกคนจะเชิญชวนครอบครัวมาสังสรรค์กันโดยไม่ต้องมีเมนูฉลามทุกรูปแบบ" ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ปรึกษาองค์กรไวล์ดเอด และผู้ร่วมเขียนงานวิจัยกล่าว

"การพบชนิดพันธุ์ฉลามที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ไปจนถึงใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์หูฉลามที่ขายอยู่ในไทย สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากฉลาม โดยเฉพาะชนิดพันธุ์ที่ต้องการการอนุรักษ์อย่างเร่งด่วน และการพบชนิดพันธุ์ที่มีสถานภาพถูกคุกคาม ตาม IUCN Red List ในครีบขนาดเล็ก ทำให้ต้องมีการศึกษาการใช้ประโยชน์จากฉลามที่ยังไม่สมบูรณ์พันธุ์ต่อไป เนื่องจากปลาฉลามที่ยังไม่สมบูรณ์พันธุ์จะเป็นกลุ่มประชากรที่สำคัญในการฟื้นตัวของประชากรปลาฉลามในอนาคต" ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้วิจัยและอาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์และประมง คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าว


ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของชนิดพันธุ์ปลาฉลามและกระเบนทั่วโลกตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากการทำประมงมากเกินขนาด เพราะความต้องการนำทุกชิ้นส่วนไปบริโภค สอดคล้องกับการลดลงของประชากรฉลามในหลายส่วนทั่วโลก นอกจากนี้ทีมนักวิจัยยังพบว่า ร้อยละ 34 ของชนิดพันธุ์ปลาฉลามที่พบในตัวอย่างครีบไม่เคยปรากฏพบในน่านน้ำไทย บ่งชี้ว่าตลาดค้าหูฉลามในประเทศไทยต้องพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบจากต่างประเทศ เป็นศูนย์กลางการนำเข้าผลิตภัณฑ์ครีบฉลามมาจากหลายแหล่ง เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในประเทศและเพื่อส่งออกอีกครั้ง

"ผลของงานวิจัยชิ้นนี้ช่วยยืนยันว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในผู้เล่นสำคัญในการนำเข้าและส่งออกหูฉลามในภูมิภาค สอดคล้องกับรายงานฉบับอื่นที่พูดถึงบทบาทการกระจายผลิตภัณฑ์หูฉลามของไทยในท้องตลาดในระดับสากล ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการจับฉลามมาตัดครีบเป็น ๆ ก่อนทิ้งร่างกายที่เหลือลงทะเลจะลดน้อยลงมากแล้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยหูฉลามจำนวนมากมาจากฉลามที่ถูกจับจากเครื่องมือประมงทั่วไป แต่ก็ปฏิเสธได้ยากถึงบทบาทของอุตสาหกรรมหูฉลามที่ส่งผลต่อประชากรปลาฉลามหลายชนิดที่ถูกคุกคามจนเสี่ยงต่อการสูญพันธ์และกระทบโครงสร้างประชากรปลาฉลามไปแล้วหลายชนิดในอดีตรอบโลก" นายศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย ช่างภาพสื่อมวลชน นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และทีมนักวิจัย กล่าว

"กรมประมงเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านบริหารจัดการทรัพยากรและการอนุรักษ์ฉลาม ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลฉลามจากการส่งออกและนำเข้า และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฉลาม กรมประมงยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับมาตรการเพื่อควบคุมติดตามและตรวจสอบการค้าฉลามชนิดพันธุ์ที่อยู่ในบัญชีของอนุสัญญาไซเตสเพื่อการใช้ประโยชน์จากฉลามอย่างยั่งยืนต่อไป" นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าว

ทั้งนี้ องค์กรไวล์ดเอดเตรียมดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของการบริโภคเมนูฉลามที่มีต่อระบบนิเวศในท้องทะเล โดยอ้างอิงจากผลวิจัยดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และจะทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) สร้างการมีส่วนร่วมและผลักดันการอนุรักษ์ฉลามอย่างยั่งยืนต่อไป


https://www.nationtv.tv/gogreen/378939865

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:39


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger