เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 08-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย

สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 27-29 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบนตลอดช่วง ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้และมีฝนตกหนักบางแห่ง ในขณะที่ในช่วงวันที่ 8 ? 9 ก.ค. 66 จะมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตลอดช่วง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 8 - 9 ก.ค. 66 ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 08-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


กรมวิทย์ฯ โต้กินปลาแถมปรอท ยืนยันผลตรวจการปนเปื้อน "อาหารทะเล" อยู่ระดับปลอดภัย

"กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์" ยืนยัน "อาหารทะเล" กินได้ พร้อมเผยผลตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนปรอท พบยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย แนะเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้



วันที่ 7 ก.ค. 2566 นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในโซเชียลมีเดียเรื่อง "เชยแล้ว กินปลาแล้วฉลาด สมัยนี้กินปลาแถมปรอท" พบการสะสมปรอทในปลาทะเลและปลาน้ำจืดใน 8 พื้นที่ จังหวัดสมุทรปราการ, สมุทรสาคร, ระยอง, ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา, เลย, ขอนแก่น และจันทบุรี พบปริมาณการปนเปื้อนของปรอทเกิน 24 เท่าจากมาตรฐาน จนอาจนำมาสู่มินามาตะโมเดลในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้บริโภค มีความวิตกเรื่องความปลอดภัยจากการบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งนี้ นั้น

ขณะที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ในฐานะห้องปฏิบัติการอ้างอิงของประเทศ และอาเซียน ด้านการตรวจวิเคราะห์คุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ได้รวบรวมข้อมูลผลตรวจวิเคราะห์ปรอททั้งหมดในปลา สัตว์น้ำ และอาหารทะเล ตั้งแต่ปี 2563 - 2566 จำนวน 108 ตัวอย่าง พบปริมาณการปนเปื้อน อยู่ระหว่าง 0.001 - 0.840 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (มก./กก.) ซึ่งไม่เกินค่าปนเปื้อนสูงสุดทุกตัวอย่าง โดยมีค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐาน 0.0025 มก./กก. และ 0.0010 มก./กก. ตามลำดับ เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ย พบว่า ปริมาณการได้รับสัมผัสจากปริมาณอาหารที่บริโภค

สำหรับประชากรไทย ช่วงอายุ 3 - 5.9 ปี เฉลี่ยเท่ากับ 0.0004 ?g/kg bw/week และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับค่าอ้างอิงปริมาณความเป็นพิษของสารปรอทต่อระบบประสาทในเด็กที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีความอ่อนไหวสูง ระบุค่าความปลอดภัย หรือ Provisional tolerable weekly intake (PTWI) เท่ากับ 1.6 ?g/kg bw/week จะเห็นว่าปริมาณ การได้รับสัมผัสยังคงต่ำกว่าค่าความปลอดภัยมาก (น้อยกว่า 4,000 เท่า) แสดงว่าการบริโภคปลา สัตว์น้ำ และอาหารทะเลของเด็กไทยและคนไทยยังคงมีความปลอดภัย

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่อว่า สารปรอท (Mercury) มักพบปนเปื้อนอยู่ในอากาศ น้ำ และดิน เป็นส่วนใหญ่ สาเหตุมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง การเผาขยะ ขยะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ตามบ้านเรือน และโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังพบ สารปรอทได้ในเครื่องสำอางและอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล ซึ่งสารปรอทสามารถแบ่งได้ออกเป็นหลายรูปฟอร์ม ได้แก่ โลหะปรอท สารประกอบปรอทอนินทรีย์ และสารประกอบปรอทอินทรีย์ เช่น Methyl Mercury และ Ethyl Mercury โดยปกติสารปรอทเมื่อสะสมอยู่ในปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ จะอยู่ในรูปฟอร์มสารประกอบปรอทอินทรีย์ ซึ่งเป็นรูปฟอร์มที่มีความเป็นพิษสูงกว่ารูปฟอร์มอื่น และพบในสัดส่วนประมาณร้อยละ 70

ดังนั้นเมื่อรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน ปอด ไต และอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์ และเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด ต่อการได้รับสัมผัสสารปรอท

ทั้งนี้ จากผลการตรวจวิเคราะห์สารปรอททุกตัวอย่างมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐาน แสดงให้เห็นว่าปลา สัตว์น้ำ และอาหารทะเลของไทย ยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ประชาชนสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย โดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 414) พ.ศ. 2563 ออกตามความพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน กำหนดให้มีปริมาณสารปรอทได้ไม่เกิน 0.5 - 1.7 มก./กก. ขึ้นอยู่กับชนิดของปลาและชนิดของอาหาร

อย่างไรก็ตาม สารปรอทหรือโลหะหนักสามารถปนเปื้อนในอาหารได้ แม้การปรุงอาหาร โดยผ่านกระบวนการต่างๆ ก็ไม่สามารถลดการปนเปื้อนได้ ดังนั้นควรเลือกบริโภคปลากินพืช เช่น ปลาสลิด ปลานิล ปลาจีน เป็นต้น และบริโภคปลาผู้ล่าที่มีชีวิตยืนยาวกว่าชนิดอื่น ซึ่งอยู่ในระดับบนของห่วงโซ่อาหาร เช่น ปลาดาบ, ปลาทูน่า เป็นต้น แต่พอเหมาะหรือน้อยลง เพื่อลดโอกาสการได้รับสัมผัสการปนเปื้อนปรอทหรือโลหะหนัก

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะปลาน้ำจืดบางชนิด ถือว่ามีความเสี่ยง และไม่ปลอดภัย เพราะเสี่ยงเกิดโรคพยาธิใบไม้ตับได้ พร้อมแนะว่าควรเลือกซื้อปลา สัตว์น้ำ และอาหารทะเลจากตลาดสดหรือสถานที่จำหน่ายที่เชื่อถือได้มีมาตรฐาน สะอาด สด ใหม่ เมื่อซื้ออาหารมาแล้ว หากไม่นำมาปรุงกินทันที ควรล้างทำความสะอาดแยกเก็บใส่ตู้เย็น และก่อนนำมาปรุงอาหาร ต้องล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ที่สำคัญเน้นปรุงสุกด้วยความร้อน และขอให้ยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอาหารเป็นพิษ และอุจจาระร่วง.


https://www.thairath.co.th/news/local/2707793

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 08-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


Siam Seaplane จัดให้! "เครื่องบินทะเล" บินตรงลง "เกาะหลีเป๊ะ" แห่งแรกในไทย



ข่าวดีสำหรับคนชอบเที่ยวทะเล เมื่อบริษัท Siam Seaplane เตรียมเปิดให้บริการ "Seaplane" หรือเครื่องบินทะเลเป็นเจ้าแรกในไทย และได้รับใบอนุญาตจาก กพท. แล้ว ซึ่งล่าสุดทางบริษัทวางแผนเตรียมประเดิมบินตรงสู่ "เกาะหลีเป๊ะ" จ.สตูล เป็นที่แรก!

บริษัท สยาม ซีเพลน จำกัด ผู้ให้บริการเครื่องบินทะเลที่มีคุณภาพสูง เตรียมเปิดให้บริการ "Seaplane" หรือที่หลายคนเรียกว่า "เครื่องบินทะเล" หรือ "เครื่องบินน้ำ" เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ออกใบอนุญาตให้ประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศใหม่ (AOL) ให้ทางบริษัทเรียบร้อยแล้ว

โดยทางบริษัทสยามซีเพลน มีแผนจะเริ่มนำร่องประเดิมบินสู่ "เกาะหลีเป๊ะ" จ.สตูล เป็นที่แรกในไทย ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางไปยังเกาะหลีเป๊ะเหลือประมาณ 30-45 นาทีเท่านั้น คาดว่าจะเริ่มในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 และจะเน้นให้บริการไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะในภาคใต้ และอาจจะขยายไปยังภาคตะวันออกของไทยต่อไป

สยาม ซีเพลน ปักหมุดกลุ่มเป้าหมาย Premium traveller โฟกัสทั้ง Premium Mass Market เจาะกลุ่มเจนวาย ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มผู้บริหารและนักเดินทางธุรกิจ ซึ่งราคาเที่ยวบินคาดว่าประมาณเที่ยวละ 8,000-10,000 บาทต่อคน โดยใช้เครื่องบิน Seaplane รุ่น Cessna caravan 208 สามารถลงจอดได้ทั้งบนบกและในน้ำ รองรับผู้โดยสารได้ 8-10 ที่นั่ง พร้อมบริการสะดวกสบายอย่างครบครัน

สำหรับ "เกาะหลีเป๊ะ" เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล ชื่อเกาะหลีเป๊ะมาจากภาษาถิ่นชาวเล แปลว่าแบนราบ ตั้งตามรูปพรรณสัณฐานของเกาะ แม้จะเป็นเกาะเล็ก ๆ แต่ด้วยความสวยงามของธรรมชาติ หาดทราย ท้องทะเล เกาะแห่งนี้จึงได้รับความนิยมอย่างสูง

หากในอนาคตมี "เครื่องบินทะเล" บินตรงสู่หน้าเกาะเช่นนี้ คาดว่า "เกาะหลีเป๊ะ" จะเป็นที่จับตามองและได้รับความสนใจมากขึ้น จนกลายเป็นแหล่งทำเงินสำคัญของสตูลอย่างแน่นอน


https://mgronline.com/travel/detail/9660000061779


******************************************************************************************************


'อ.ธรณ์' ส่งสัญญานดับเบิ้ลเอลนีโญ ! "ถ้าลากยาวถึงปี 68 เดือดร้อนทั้งอาเซียน"



ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat เมื่อ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา พูดถึงปรากฎการณ์ธรรมชาติ ?เอลนีโญ? ที่ส่งผลกระทบภัยแล้งจนอาจกลายร่างเป็นดับเบิ้ลเอลนีโญ ลากยาวไปจนถึงปี 2568

#อัปเดทเอลนีโญ ผมเพิ่งมีโอกาสคุยกับ ดร.ชวลิต จันทรรัตน์ และ ดร.วิษณุ อรรถวานิช สองผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ในรายการของคุณสุทธิชัย หยุ่น จึงอยากสรุปสถานการณ์ให้เพื่อนธรณ์ครับ

เอลนีโญเริ่มต้นแล้ว และจะลากยาวไปอย่างน้อยถึงต้นปีหน้า แต่แบบจำลองทำนายให้แม่นยำได้ประมาณนั้น หลังจากนั้นยังบอกไม่ได้

หน้าฝนของเหนือกลางอีสานมี 2 ช่วง เราผ่านช่วงแรกไปแล้ว ฝนน้อยกว่าปรกติประมาณ 20% ฝนจะทิ้งช่วง กลับมาอีกทีกลางสิงหาคม

ต้นทุนน้ำก่อนเข้าหน้าฝน มีน้ำในเขื่อน/ระบบชลประทาน 35% เนื่องจากฝนช่วงแรกน้อย การเก็บน้ำจึงไม่ได้มาก ต้นทุนน้ำตอนนี้จึงน่าเป็นห่วง ขึ้นกับฝนช่วงสองว่าเราจะทำได้แค่ไหน ยังขึ้นกับการปรับตัวของภาคเกษตร เราใช้น้ำแบบเดิมไม่ได้ อย่าให้ความเคยชินใน 2-3 ปีก่อนมาลวงตาเรา

พื้นที่เกษตรของเราค่อนหนึ่งอยู่นอกพื้นที่ชลประทาน อันนั้นยิ่งมีน้ำน้อยเข้าไปใหญ่ ผลผลิตการเกษตรจะลดลง เช่น ข้าว อ้อย ทุกฝ่ายออกมาเตือนเรื่องการใช้น้ำในภาคการเกษตร

ผลกระทบทั่วอาเซียน อินโดนีเซียอาจโดนหนัก เวียดนามก็ลำบาก เพราะน้ำเค็มหนุนส่งผลเยอะมากในพื้นที่ปลูกข้าวปากน้ำโขง

คาดการณ์จากเอลนีโญในอดีตว่า รายได้เกษตรกรไทยอาจลดลง 5% (เปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับว่าแรงแค่ไหนและการรับมือว่าทำแค่ไหน)

ผลกระทบในด้านอื่นๆ ยังมีอีกมาก เช่น ไฟป่า/ฝุ่น ฤดูฝุ่นปีนี้จะยาวนานและแรงกว่าปีก่อน ยังรวมถึงฝุ่นจากไฟป่าข้ามพรมแดนจากอินโดที่ต้องตามดูในภาคใต้ ปีนี้อาจรุนแรง สิงคโปร์เริ่มเตือนพลเมืองแล้ว (ไฟอินโดจะเริ่มช่วงกลางปี)

เอลนีโญแรงตั้งแต่กันยายนไปจนถึงต้นปีหน้า เป็นช่วงหน้าฝนภาคใต้ หลายคนจึงออกมาเตือนว่าภาคใต้ต้องระวังเรื่องน้ำให้ดีเพราะฝนปีนี้อาจน้อย

เพื่อนธรณ์ที่ทำงานโรงแรม/ภาคบริการหรือกิจการอื่นๆ ที่ต้องการน้ำมาก มองทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ น้ำอาจหายาก/แพง

กรณีแย่สุดคือเจอดับเบิ้ลเอลนีโญ ต่อเนื่องจากปีนี้ถึงปี 68

อันนั้นแย่จริงเพราะปีนี้เรายังมีต้นทุนน้ำจากปีที่แล้ว (ลานีญา) แต่ปีนี้เราแล้ง ปีหน้าเราแล้งซ้ำ ????อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครยืนยันสถานการณ์นั้นในตอนนี้ได้ เพราะไกลไปเกินทำนาย

ในทะเลเริ่มเห็นชัดแล้ว จากปะการังฟอกขาว น้ำเปลี่ยนสีต่อเนื่องถึงช่วงนี้ ที่น่าเป็นห่วงคือปีหน้าจะเป็นอย่างไร
หากเกิดดับเบิ้ลเอลนีโญ ทะเลเดือดร้อนหนักแน่ๆ

คำแนะนำสำหรับเพื่อนธรณ์คือติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด น้ำน้อย/น้ำเค็มหนุน/ฝุ่นเยอะ/อากาศร้อน/ทะเลร้อน คือสิ่งที่ต้องเตรียมตัวรับมือไว้

การเยียวยาจากภาครัฐอาจมีบ้าง แต่ผลกระทบจากเอลนีโญคือเหนือจรดใต้ไปถึงทะเล จะเยียวยาไหวไหม ?

สิ่งที่เรากำลังจะเจอ ไม่เหมือนที่เคยเกิดมา เพราะเรามีโลกร้อนมาหนุน

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization - WMO) เรียกปรากฏการณ์แบบนี้ว่า Double Whammy เป็นสิ่งที่เราจะเผชิญต่อไป ทั้งเอลนีโญและลานีญา ในภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น

ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ารัฐบาลต้องเร่งยกระดับประเด็นนี้ และหาทางรับมืออย่างจริงจัง ใช้งบประมาณให้ถูกจุดเพื่อการวางแผนรับมือในระยะต่างๆ

นอกจากรับมือกับปีนี้ จะได้ปรับตัวเตรียมรับมือกับระยะต่อๆ ไปที่ในอนาคตเราจะเจออีก ปีนี้หรือปีหน้า อุณหภูมิโลกจะร้อนทำลายสถิติเดิม

เศร้าแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ถึงตอนนี้สิ่งที่ทำได้นอกจากลด GHG เพื่อลูกหลาน เราคงต้องหาทางดีที่สุดเพื่อตัวเอง
บททดสอบแรกมาถึงแล้วครับ


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000061559

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:04


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger