เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 11-02-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนบางแห่งในระยะนี้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 11 - 13 ก.พ. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-3 องศาเซลเซียส

ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 16 ก.พ. 64 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ตลอดช่วง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 11 ? 13 ก.พ. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 16 ก.พ. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายสัญจรผ่านบริเวณที่หมอกไว้ด้วย












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 11-02-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


เจออีก !! มุกสีส้มคล้าย "มุกเมโล" หายากคราวนี้พบที่สะพานปลาแหลมฉบัง จ.ชลบุรี

ศูนย์ข่าว?ศรี?ราชา?- เจออีก !! มุกสีส้มคล้าย "มุกเมโล" หายากที่ตกเป็นข่าวโด่งดังคราวนี้พบที่แหลมฉบัง จ.ชลบุรี หลังหนุ่มเพชรบูรณ์อาชีพขับรถหัวลากไปซื้อหอยโข่งขนาดใหญ่จากสะพานปลามาต้มกินกับครอบครัว แต่กลับโชคดีพบเม็ดมุกขนาดใหญ่เตรียมประสานผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ



เย็นวันนี้(10 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีชาวบ้านใน ต.บึง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พบเม็ดมุกยักษ์สีส้ม ที่มีลักษณะ?คล้าย "มุกเมโล" ซึ่งเป็นมุกหายากและคาดว่าน่าจะเป็นมุกชนิดเดียวกับที่เป็นข่าวโด่งดังเมื่อไม่นานนี้ จึงเดินทางลงพื้น?ตรวจสอบ

โดยได้พบกับ 2 สามีภรรยาคือ นายมลเทียร จันสุข อายุ 40 ปี ชาว จ.เพชรบูรณ์? และ น.ส.วาสนา แสงจันทร์ อายุ 44 ปีที่เป็นเจ้าของมุกดังกล่าวซึ่งเล่าให้ฟังว่า ตนเองทั้งคู่ได้พักอาศัยอยู่ภายในแคมป์คนงานขับรถหัวลากภายในซอยชุมชนนายชาก ม.5 ต.บึง อ.ศรีราชา

การพบมุกดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ หลังไปซื้อหอยจากสะพานปลาแหลมฉบัง เพื่อนำกลับมาปรุงเป็นอาหารแต่กลับพบว่า มีเม็ดมุกสีส้มอยู่ภายในหอยโข่งขนาดใหญ่

นายมลเทียร เผยเพิ่มเติมว่าเนื่องจากในวันนี้ตนเองและภรรยา รู้สึกอยากรับประทาน?อาหารทะเลจึงชักชวนกันขับรถพาไปหาซื้ออาหารทะเลที่บริเวณสะพานปลาแหลมฉบัง ช่วงร้านอาหารสุดทางรัก โดยได้พากันเดินเลือกซื้อกุ้ง หอย ปู และปลาเพื่อนำกลับมาทำอาหารตามปกติ



กระทั่งพบหอยโข่งที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวภายในร้าน จึงสอบถามแม่ค้าว่าสามารถนำกลับมาทำเป็นอาหารได้หรือไม่เนื่องจากไม่รู้จักและไม่เคยกิน ซึ่งได้รับการยืนยันจากแม่ค้าว่าหอยดังกล่าวมีรสชาติอร่อยและเหลืออยู่เพียงตัวเดียวจึงตัดสินใจซื้อจากแม่ค้าในราคา 50 บาท เพราะอยากลองกิน

" หลังได้อาหารทะเลครบตามที่ต้องการก็พากันเดินทางกลับมาที่ห้องพักพัก และได้ต้มหอยตัวดังกล่าวเพื่อรับประทาน?กับน้ำจิ้ม แต่ระหว่างที่ลูกชายกำลังแกะเนื้อหอยออกมาจากเปลือก ได้พบเม็ดมุกสีส้ม ซึ่งในครั้งแรกยังคิดว่าเป็นไข่หอย จึงส่งให้ลูกชายกินตามปกติแต่กลับปรากฏ?ว่าเนื้อแข็งจนกัดไม่เข้า ภรรยาจึงนำมาเคาะกับพื้นห้องก่อนจะวางไว้ที่พื้นโดยไม่สนใจ"

นายมลเทียร ยังบอกอีกว่ากระทั่งทุกคนในครอบครัวรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้น จึงนำเม็ดสีส้มดังกล่าวมาดูอีกครั้ง และได้เปิดหาข้อมูลในเว็ปไซต์ต่างๆ จนพบว่ามีลักษณะ?คล้ายกับมุกที่เคยเป็นข่าวโด่งดัง จึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ จะได้ประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญให้เข้าตรวจสอบอีกครั้ง และหากเป็นมุกชนิดเดียวกับที่เป็นข่าวโด่งดังก็เชื่อว่าจะช่วยให้ครอบครัวมีชีวิตที่สุขสบายยิ่งขึ้น


https://mgronline.com/local/detail/9640000013644


*********************************************************************************************************************************************************


ชาวประมงกระบี่หน้าบานแห่จับแมงกะพรุนสร้างรายได้

กระบี่ - ชาวประมงหน้าบาน แมงกะพรุนลอดช่องมาเร็วกว่าทุกปี แห่จับขายสร้างรายได้ดี ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าต้องแย่งกันรับซื้อให้ราคาสูงตัวละ 5 บาท



วันนี้ (10 ก.พ.) ที่บริเวณท่าเทียบเรือประมง บ้านคลองทราย ดินแดงน้อย ม.6 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ ได้มีชาวประมงในพื้นที่ตำบลหนองทะเล เขาทอง คลองประสงค์ อ.เมืองกระบี่ และอำเภอใกล้เคียงกว่า 300 ลำ บรรทุกแมงกะพรุนลอดช่องที่ตักได้เต็มลำเรือมาขายบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่มาตั้งเต็นท์รับซื้อตลอดแนวชายฝั่ง บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักโดยในปีนี้ พบว่าแมงกะพุรนมาเร็วกว่าทุกปี

ขณะเดียวกัน ชาวประมงที่หันมาตักแมงกะพรุนก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว เช่นกัน เนื่องจากช่วงการระบาดของโควิด-19 เรือหางยาวนำเที่ยวขาดรายได้ จึงดัดแปลงเรือออกมาจับแมงกะพรุนแทน เป็นรายได้ทดแทนจากการการท่องเที่ยวที่หายไป

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ราคาแมงกะพรุนยังสูงอยู่ พ่อค้าแม่ค้าจะรับซื้อในราคาตัวละ 5 บาท โดยมีพ่อค้าแม่ค้าเปิดรับซื้อหลายราย เรือ 1 ลำ สามรถจับแมงกะพรุนได้ 300- 600 ตัว คิดเป็นเงิน 1,500-3,000 บาท ซึ่งแบ่งรายได้กันแล้วเฉลี่ยคนละ 500-1,000 บาท



นายสายัณห์ หมาดชาย อายุ 45 ปี ชาวประมงกล่าวว่า ตนเริ่มจับแมงกะพรุนมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากปีนี้แมงกะพรุนมาเร็ว เดิมทีตนออกเรือประมงวางอวน หาปลาเล็กๆ น้อยๆ รายได้ไม่แน่นอน บางวันก็ไม่ได้เลย แต่พอมีแมงกะพรุนโผล่ขึ้นมาในทะเล พื้นที่บริเวณหมู่เกาะห้อง ในพื้นที่ตำบลเขาทอง และบริเวณใกล้เคียงจึงได้ดัดแปลงเรือหาปลามาเป็นเรือตักแมงกะพรุน แทน ทำให้มีรายได้ดีขึ้น และค่อนข้างแน่นอน

ซึ่งในปีนี้แมงกะพรุนมาเร็วกว่าปกติ และตัวขนาดใหญ่ ทำ.ห้มีเรือประมง รวมทั้งเรือหางยาวท่องเที่ยวก็หันมาจับแมงกะพรุนขายกันเป็นจำนวนมาก จากเดิมมีเรือจับแมงกะพรุน 100-200 ลำ ปีนี้มีเกือบ 1,000 ลำ อาจจะส่งผลให้แมงกะพรุนลดลงเร็วกว่าเดิมเพราะคนออกล่าแมงกะพรุนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปีนี้พ่อค้าให้ราคาดีตัวละ 5 บาท ซึ่งเรือแต่ละลำจะจับแมงกะพรุนได้ไม่ต่ำกว่า 200-300 ตัวต่อวัน ซึ่ง 1 ลำจะใช้กำลังคน 2-3 คน คือนายท้ายเรือ และคนทำหน้าที่ตักแมงกะพรุนที่หัวเรือ 1-2 คน เมื่อแบ่งรายได้กันแล้วตกคนละ 500-300 บาท แต่จะจับแมงกะพรุนได้ประมาณ 3 เดือนเท่านั้นหลังจากนี้มันย้ายไปที่อื่น ส่วนคนที่จับกะพรุนเป็นอาชีพหลักก็จะมีรายได้หลักแสนบาทต่อปี เพราะจะตระเวนไปทุกจังหวัดในฝั่งอันดามัน ตั้งแต่ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง ไปจนถึง จ.สตูล

ด้านนายนัฐวุฒิ สันติธราภรณ์ ผู้จัดการแพรับซื้อแมงกะพรุน กล่าวว่า ปีนี้แมงกะพรุนจะมาเร็วกว่าทุกปี ซึ่งทุกปีที่ผ่านมาจะมีมากในช่วงเดือนเมษา-มิถุนายน คาดว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ แต่ถือว่าเป็นโชคดีของชาวประมงที่จะมีรายได้เร็วขึ้น ขณะที่ทางผู้ประกอบการก็มาตั้งเต็นท์รับซื้อเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียว โดยในปีนี้เฉพาะที่หาดคลองทราย มีอยู่เกือบ 20 เต็นท์ โดยจะว่าจ้างชาวบ้านในพื้นที่ให้ช่วยล้างคัดแยกแมงกะพรุน ซึ่งชาวบ้านจะมีรายได้อีกวันละ 400-500 บาท รวมแล้วเงินสะพัดไม่ต่ำว่า 5 แสนบาทต่อวัน

สำหรับแมงกะพรุนที่รับซื้อจากชาวประมงจะเป็นแมงกะพรุนลอดช่อง นำมาหมักเกลือ พอแห้งแล้วก็ส่งต่อไปบริษัทที่จังหวัดชลบุรี จากนั้นจะทำการแปรรูปอีกครั้ง บรรจุใส่ลังไม้ส่งขายในประเทศและต่างประเทศ เช่น เกาหลี จีน เป็นต้น ซึ่งนิยมรับประทานกัน เพราะเชื่อว่ามีส่วนช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลังวังชา ส่วนในประเทศไทยจะนิยมทานเป็นกับ เช่น ยำแมงกะพรุน เป็นต้น


https://mgronline.com/south/detail/9640000013511
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 11-02-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


หมอดังเตือน อันตราย ฝุ่นพิษ เจอไม่นาน เสี่ยงหัวใจวาย งานศึกษาเผยชัด

หมอดังเตือน อันตราย ฝุ่นพิษ เจอไม่นาน เสี่ยงหัวใจวาย งานศึกษาเผยชัด ไม่ได้ทำร้ายปอดอย่างเดียว แต่มีผลต่อหัวใจลักษณะเฉียบพลัน


วันที่ 10 ก.พ.64 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ?ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha? ถึงอันตรายของฝุ่นละอองขนาดเล็ก Pm 2.5 ความว่า ฝุ่นจิ๋วพิษเจอไม่นาน?หัวใจวาย

เจอฝุ่นจิ๋วพิษ 2.5 และจิ๋วใหญ่ PM 10 กับไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) เพียงแค่วันถึงสองวันโอกาสเสี่ยงตายสูงจากเส้นเลือดหัวใจตัน (acute MI) เป็นการรายงานในวารสารของสมาคมโรคหัวใจ (Journal of American College of Cardiology) วันที่ 26 มกราคม 2021 นี่เอง รวมทั้งบทบรรณาธิการ

คพ.เผย 18 จังหวัด จม ?ฝุ่นพิษ? ค่าพุ่งเกินมาตรฐาน เหนืออ่วมหนัก 8 จว.
ศิริราช แนะแก้ฝุ่นเพิ่มดัชนีเตือน เหลื่อมเวลาเรียน-ทำงาน ชี้ทำโควิดรุนแรงขึ้น
ฝุ่นพิษ ฟุ้งทั่วกรุง เช้านี้อากาศแย่หนัก ทำตัวเลขพุ่งติดอันดับท็อป 10 โลก
ทั้งนี้ ทุกๆปริมาณของฝุ่นเล็กจิ๋วและจิ๋วใหญ่ที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จนกระทั่งถึงระดับ 33.3 และ 57.3 ตามลำดับ จะเสี่ยงตายต่อโรคหัวใจสูงขึ้น และเช่นเดียวกันกับความเข้มข้นของไนโตรเจนไดออกไซด์

เป็นการศึกษาในประเทศจีนในช่วงปี 2013 ถึง 2018 แต่ประเทศจีนมีการปรับตัว เตรียมการจัดการกับฝุ่นจิ๋วเหล่านี้ ตั้งแต่ปี 2011 ถึง 2012 และประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ โดยเริ่มมีการติดตั้ง เครื่องวัดทุกๆ 1 ตารางกิโลเมตร โดยจะมีเครื่องวัดหนึ่งเครื่อง คอยเตือนและคอยจัดการกำจัดมลพิษเหล่านี้ ตามนโยบายเด็ดขาด จนมีความสำเร็จอยู่บ้าง

การศึกษานี้เป็นการพิสูจน์ตอกย้ำ ข้อสังเกตก่อนหน้านี้ที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่นจิ๋วพิษ ที่ไม่ได้ทำร้ายปอดอย่างเดียว แต่มีผลต่อหัวใจในลักษณะเฉียบพลันด้วย และไม่ใช่เป็นในลักษณะที่เป็นผลเรื้อรังเท่านั้นแบบที่เข้าใจกัน

ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นและทำให้เกิดความพินาศต่อสภาพแวดล้อมส่งผลต่อสมดุลของสิ่งมีชีวิต จนกระทั่งมีการยักย้ายถ่ายเทการเคลื่อนตัวของสัตว์ป่า มีการย้ายถิ่น และโดยที่สัตว์ตามธรรมชาติเหล่านี้เป็นตัวซ่องสุมของเชื้อโรค (โดยไม่มีอาการ) ทั้งพาราสิต แบคทีเรีย และโดยเฉพาะไวรัส เช่น โควิด-19

ทำให้เชื้อโรคจากสัตว์ป่ากระจายไป จนกระทั่งในที่สุดเข้าสู่มนุษย์ และมีวิวัฒนาการในทางการแพร่กระจายและเข่นฆ่ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า พายุทราย ภูเขาไฟระเบิด การจงใจเผาป่าเพื่อประโยชน์ทางเกษตรกรรมอย่างอื่น และมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น จากการต้องการพลังงานจากการเผาถ่านหินฟอสซิล เหล่านี้เป็นตัวการสำคัญในการเกิดฝุ่นจิ๋วพิษ 2.5 และผลกระทบจากการเผาฟอสซิล เพื่อพลังงานอย่างเดียว เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอย่างน้อย 12% ทั่วโลก

ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอันดับสี่ ในการเสียชีวิตทั้งบุรุษและสตรี และมากกว่าปัจจัยอื่นที่เกี่ยวกับไขมันสูง ระดับน้ำตาล ความอ้วน การไม่ออกกำลัง หรือภาวะไตแปรปรวนด้วยซ้ำ

การที่ต้องเผชิญกับมลภาวะเช่นนี้ ทุกนาทีทุกวันต่อเนื่องทั้งชีวิต และมลพิษที่ยังถูกปลดปล่อยออกมา จากเครื่องยนต์ จากรถ จากโรงงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายสุขภาพ และฝุ่นจิ๋วพิษเหล่านี้ทำให้เสียชีวิตจากโรคทางหัวใจและเส้นเลือดมากกว่า 50% ทั้งนี้ เกิดขึ้นได้แม้ว่าระดับฝุ่นพิษเหล่านี้จะต่ำกว่าระดับมาตรฐานที่กำหนดตามขององค์การอนามัยโลกหรือตามมาตรฐานของประเทศต่างๆ

ประชากรโลกมากกว่า 92% จะอยู่ในพื้นที่ที่ค่าฝุ่นพิษและมลภาวะทางอากาศ เกินมาตรฐานองค์การอนามัยโลกมาตลอด โดยมีการประเมินว่าต้องเสียงบประมาณในการรักษาเยียวยาบำบัด สวัสดิการ เป็นล้านล้านดอลลาร์ ที่เกี่ยวเนื่องกับการเสียชีวิตจากมลภาวะทางอากาศเหล่านี้

มลภาวะทางอากาศเหล่านี้ ทราบกันดีมานานว่าเกี่ยวข้องกับฝุ่นพิษจิ๋วเล็กและใหญ่รวมกระทั่งถึงซัลเฟอร์?ออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ และมีการศึกษาความเชื่อมโยงกับสาเหตุการตาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและระบบเส้นเลือดในประเทศทางฝั่งตะวันตกแต่ยังมีข้อจำกัดในการระบุระดับ และชนิด และขนาดของฝุ่น และผลกระทบระยะเวลาที่ส่งผลกับการตายเฉียบพลัน

การศึกษาที่มีการรายงานครั้งนี้มาจากพื้นที่มณฑลหูเป่ย และมีเมืองหลวงก็คืออู่ฮั่น ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดโควิด-19 นั่นเอง ทั้งนี้ เป็นพื้นที่ที่มีมลภาวะทางอากาศเข้มข้น และทำให้สามารถทำการศึกษาจากคนที่ตายจากโรคหัวใจและเส้นเลือดจำนวน 151,608 ราย ค่าเฉลี่ยรายวันของฝุ่นเล็กจิ๋ว 2.5 ในมณฑลนี้ และในหลายพื้นที่ของประเทศจีนและอินเดียอยู่ที่ 63.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และการที่ได้รับฝุ่นพิษจิ๋วเล็ก 2.5 และจิ๋วใหญ่ขึ้นขนาด 10 ไมครอนภายในหนึ่งวัน หรือในวันนั้นเองจะส่งผลกับการตายอย่างมีนัยสำคัญ

ผลที่ได้จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทุกๆปริมาณที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่นจิ๋ว 2.5 จะเพิ่มความเสี่ยงของการตาย 4.14% และสำหรับไนโตรเจนไดออกไซด์เพิ่มความเสี่ยงในลักษณะเดียวกันโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นอีก 1.3%

จากการวิเคราะห์ในเชิงลึกในรายงานนี้ไม่พบความสัมพันธ์ชัดเจนกับระดับของโอโซน แต่การที่ไนโตรเจนไดออกไซด์มีส่วนในการตายทำให้มีการเพ่งเล็งถึงมลพิษ ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์ของรถเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ แน่นอนคนสูงวัยอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป ตายเยอะกว่าคนหนุ่มสาวและคนที่อายุน้อยกว่า 70 ปี แต่การตายที่ไม่สมควรเหล่านี้ พบได้ในทุกกลุ่มอายุ

การระบาดของโควิด-19 ปรากฏผลชัดเจน จากการที่แทบไม่มีการใช้รถยนต์และเครื่องบินโดยสาร และมีผลต่อการที่มลภาวะฝุ่นจิ๋วเล็กเหล่านี้หายไปมาก

ทั้งนี้ เป็นความฝันของมวลมนุษยชาติที่จะเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงิน โดยเทคโนโลยีจะเป็นซีโร่ อีมิสชัน (zero emission) ปล่อยก๊าซเป็นศูนย์ การทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ต้องไม่ลืมว่าไม่ได้เกิดมลพิษอย่างเดียว แต่สร้างไวรัสที่น่าสะพรึงกลัว ตัวแล้วตัวเล่าและไวรัสโควิด-19 อาจจะไม่ใช่ตัวสุดท้ายที่จะต้องเจอะเจอ


https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5923945

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 11-02-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


เมื่อธารน้ำแข็งหิมาลัยแตกที่อินเดีย แต่ส่งผลสะเทือนมาถึงไทย



ไม่ว่าธารน้ำแข็งหิมาลัยจะละลายมากไปหรือละลายจนไม่เหลือแล้วประเทศไทยก็เดือดร้อนทั้งนั้น

อุบัติเหตุธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยแตกจนทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ของอินเดียตอกย้ำให้เราเห็นว่าเทือกเขาหิมาลัยกำลังเปราะบางอย่างหนักจากภาวะโลกร้อน

หลังจากวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมบรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าแผ่นดินถล่มหรือหิมะถล่มอยู่เบื้องหลังหายนะครั้งนี้ และนักวิยาศาสตร์หลายคนก็ลงความเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลาย เมื่อหิมะละลายทะเลสาบธารน้ำแข็ง แผ่นดินถล่ม และหิมะถล่มก็เพิ่มขึ้น วันดีคืนดีจึงถล่มลงมาด้านล่างอย่างที่เกิดที่อินเดีย

ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยและธารน้ำแข็งหิมาลัย-ฮินดูกูชถูกขนานนามว่าเป็น "ขั้วโลกที่สาม" เพราะมีหิมะและน้ำแข็งมากที่สุดในโลกรองจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ โดยน้ำแข็งของเทือกเขาหิมาลัยกินพื้นที่ถึง 100,000 ตารางกิโลเมตร และยังเป็นแหล่งต้นกำเนิดของน้ำจืดสำคัญของแม่น้ำแยงซีเกียง คงคา และแม่น้ำโขง

แต่ธารน้ำแข็งหิมาลัยซึ่งก่อตัวเมื่อราว 70 ล้านปีที่แล้วถูกคุกคามอย่างหนักจากภาวะโลกร้อน นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 ธารน้ำแข็งเริ่มบางลงและหายไป ส่วนพื้นที่ที่เคยมีหิมะปกคลุมก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงหลังๆ ธารน้ำแข็งยิ่งละลายหายไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

รายงานของศูนย์นานาชาติเพื่อการพัฒนาพื้นที่ภูเขาแบบบูรณาการเมื่อปี 2019 พบว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจากน้ำมือมนุษย์ส่งผลให้ธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายเข้าขั้นวิกฤต หายไปปีละประมาณ 50 เซนติเมตร หรือเร็วขึ้นเป็นสองเท่านับตั้งแต่ปี 2000 เมื่อเทียบกับปี 1975-2000 หรือ 25 ปีก่อนหน้า ที่ละลายปีละ 25 เซนติเมตร

ความร้อนยังมีผลต่อการก่อตัวของน้ำแข็งด้วย โมฮัมหมัด ฟารูค อาซาม จากสถาบันเทคโนโลยีอินดอร์ของอินเดียซึ่งศึกษาด้านธารน้ำแข็งบอกว่า เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นน้ำแข็งจะก่อตัวน้อยลง

และแม้ว่าน้ำแข็งยังคงก่อตัวอยู่แต่ก็ขยับเข้าใกล้จุดที่จะละลายเต็มที ดังนั้นความร้อนเพียงเล็กน้อยก็ทำให้หิมะถล่มแล้ว

สอดคล้องกับ ยอร์ก เชเฟอร์ ศาสตราจารย์จากศูนย์วิจัยลามอนต์-โดเฮอร์ตีแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่บอกว่า ?แม้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสก็สร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาล?

แต่ตอนนี้มีแนวโน้มว่าอุณหภูมิของโลกกำลังจะสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว นั่นหมายความว่าความร้อนนี้จะยิ่งเร่งปฏิกิริยาต่างๆ ของธารน้ำแข็งหิมาลัยไปอีก

และแน่นอนว่าปฏิกิริยานี้ส่งผลสะเทือนมาถึงไทยแน่นอน แม้ว่าเหตุการณ์ธารน้ำแข็งถล่มในอินเดียเกิดห่างจากไทยหลายพันหลายหมื่นกิโลเมตร

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าธารน้ำแข็งหิมาลัยเป็นแหล่งน้ำจืดของแม่น้ำหลายสายในเอเชีย รวมทั้งแม่น้ำโขงที่ไหลผ่านประเทศไทย ดังนั้นไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบกับไทยด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในระยะสั้น หากธารน้ำแข็งหิมาลัยละลาย ระดับน้ำในทะเลจะสูงขึ้น ส่งผลให้พื้นที่แถบชายฝั่งจมน้ำเร็วขึ้น งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature ระบุว่า ในปัจจุบันการละลายของธารน้ำแข็งภูเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

และจากข้อมูลของศูนย์นานาชาติเพื่อการพัฒนาพื้นที่ภูเขาแบบบูรณาการ (ICIMOD) พบว่า หากธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายทั้งหมดจะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นราว 1.5 เมตร

หากเป็นเช่นนี้พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบเป็นที่แรกๆ คือ กรุงเทพมหานคร ที่ขณะนี้จมลงปีละ 1-2 เซนติเมตรอยู่แล้ว อีกทั้งน้ำทะเลในอ่าวไทยยังสูงขึ้นถึงปีละ 4 มิลลิเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก

ดังนั้นหากมีน้ำจากธารน้ำแข็งหิมาลัยลงมาสมทบอีก เมืองหลวงของเราคงหนีไม่พ้นสภาพจมบาดาล

ขณะที่ในระยะยาว หากธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายหมดแล้ว แม่น้ำสายสำคัญโดยเฉพาะแม่น้ำโขงที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนนับล้านจะขาดน้ำ ประเทศที่จะเดือดร้อนคือ ไทย ลาว เมียนมา จีน

และที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ ข้อมูลหรืองานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากการละลายของธารน้ำแข็งหิมาลัยต่อประเทศไทยยังมีน้อยมาก ในขณะที่ธารน้ำแข็งละลายเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ


https://www.posttoday.com/world/645061

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 11-02-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


นักวิทย์จีนชี้ 'ทะเลสาบ' กว่า1ใน3ทั่วโลก ?น้ำเปลี่ยนสีใสขึ้น?



10 กุมภาพันธ์ 2564 สำนักข่าวซินหัวรายงาน งานวิจัยที่เผยแพร่ทางออนไลน์ในวารสารไซเอนซ์ทิฟิก ดาต้า (Scientific Data) ระบุว่ามากกว่า 1 ใน 3 ของทะเลสาบหลายร้อยแห่งทั่วโลกซึ่งมีขนาด 25 ตารางกิโลเมตรหรือมากกว่า มีสีของน้ำใสขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ราวร้อยละ 36 ของทะเลสาบขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำ 1,049 แห่งทั่วโลก มีสีของน้ำเปลี่ยนจากสีเหลืองไปเป็นสีฟ้า ซึ่งโดยทั่วไปหมายความว่ามีความใสขึ้น โดยทะเลสาบและอ่างเก็บน้ำจากการวิจัยครั้งนี้ อยู่ในภูมิภาคอากาศหนาว อาทิ ที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ตอนเหนือของยุโรป ตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ และตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้

ส่วนทะเลสาบอีกร้อยละ 8 ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก มีสีของน้ำเปลี่ยนจากสีฟ้าไปเป็นสีเหลืองระหว่างปี 2000-2018 บ่งบอกว่ามีความใสลดลง

งานวิจัยนี้มีขึ้นโดยอิงจากภาพถ่ายทางดาวเทียมระยะไกล และดำเนินการโดยคณะนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสถาบันวิจัยข้อมูลการบินและอวกาศ สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน

จางปิง ผู้นำการวิจัย กล่าวว่าการวิจัยใช้ดัชนีสีของน้ำเพื่อแสดงความแตกต่างของสีและการเปลี่ยนแปลงความใสในทะเลสาบ

การสังเกตสีของน้ำมีขึ้นโดยอิงจากข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำที่ใสจะมีสีฟ้า ขณะที่น้ำขุ่นจะมีสีเขียวและ/หรือสีเหลือง เพราะมีระดับตะกอนแขวนลอยเพิ่มขึ้น

หากเทียบกับน้ำในมหาสมุทร น้ำในทะเลสาบมีความซับซ้อนและได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมโดยรอบและกิจกรรมของมนุษย์มากกว่า

คณะนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ทะเลสาบทั่วโลกเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงในด้านคุณภาพน้ำ อันเนื่องมาจากผลกระทบของการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นเขตชุมชน การเติบโตของจำนวนประชากร และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ยังคงขาดแคลนข้อมูลสีของน้ำที่สอดคล้องกันอยู่

จางกล่าวว่า การวิจัยใหม่จะแก้ปัญหาการขาดแคลนข้อมูล โดยจะมีชุดข้อมูลใหม่สำหรับรูปแบบเชิงพื้นที่และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระยะยาวของสีของน้ำทั่วโลกตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งทีมนักวิจัยของจางเคยประสบความสำเร็จในการสังเกตความใสของน้ำในทะเลสาบขนาดใหญ่หลายแห่งของจีนในะระยะยาว

จางกล่าวว่าจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่สีของน้ำเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งพวกเขาคาดว่าสาเหตุหลักอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

"อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ธารน้ำแข็งละลายตัวมากขึ้น และปริมาณน้ำฝนในภูมิภาคอากาศหนาว ทำให้ทะเลสาบขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำมากขึ้น? จางกล่าวกับสำนักข่าวซินหัว ?หากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นไม่นำพาตะกอนหรือสารอาหารเข้ามามากเกินไป ทะเลสาบก็จะใสขึ้น"

การวิจัยครั้งนี้ ระบุว่าข้อมูลน้ำในทะเลสาบจะถูกนำไปใช้เพื่อค้นหาสาเหตุที่ทำให้น้ำในทะเลสาบทั่วโลกและทะเลสาบระดับภูมิภาคเกิดการเปลี่ยนสี และกลไกที่เชื่อมโยงกันระหว่างสีของน้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกิจกรรมของมนุษย์


https://www.naewna.com/inter/551894
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:02


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger