เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 12-04-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใกล้สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย สำหรับภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ และมีลมกระโชกแรง อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 12 - 14 เม. ย. 63 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรง รวมทั้งอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 15 - 17 เม. ย. 63 ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ตลอดช่วง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 12 - 14 เม. ย. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงลูกเห็บตก โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 14 เมษายน 2563)" ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 12 เมษายน 2563

ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น ซึ่งมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลกระทบก่อน ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า และลูกเห็บตกที่อาจเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีดังนี้


วันที่ 12 เมษายน 2563

ภาคเหนือ: จังหวัดน่าน พะเยา แพร่ อุตรดิตถ์ พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี และสระบุรี


ในช่วงวันที่ 13-14 เมษายน 2563

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย กำแพงเพชร และตาก

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา อุทัยธานี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และราชบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนอีกระลอกจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ทำให้เกิดการปะทะกันของมวลอากาศเย็นและอากาศร้อน ส่งผลทำให้มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 12-04-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


อินโดฯระทึก ภูเขาไฟตำนานสุดสะพรึง 'กรากะตัว' ปะทุครั้งใหม่

ภูเขาไฟกรากะตัว ในอินโดนีเซียปะทุครั้งใหม่ พ่นเถ้าถ่าน-ลาวาแดงฉาน คาดจะเป็นการปะทุครั้งรุนแรงสุดในรอบปีกว่าที่ผ่านมา หลังจากตำนานสุดสะพรึงของภูเขาไฟชื่อดังลูกนี้ยังถูกกล่าวขานมาจนถึงวันนี้



เมื่อ 11 เมษายน 63 สำนักข่าวต่างประเทศและเว็บไซต์เดลี่เมล รายงานและเผยแพร่คลิปนาทีสุดระทึก ภูเขาไฟกรากะตัวบนเกาะกรากะตัว ในช่องแคบซุนดรา ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของชาวโลก ได้เกิดการปะทุครั้งใหม่ พ่นเถ้าถ่านขึ้นสู่ท้องฟ้า สูงนับ 15 กิโลเมตร และลาวา หินหนืดแดงฉานออกมาจากปากปล่องภูเขาตั้งแต่เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่เสียงจากการปะทุของภูเขาไฟกรากะตัว ยังดังคำรามกึกก้องไปถึงกรุงจาการ์ตา ที่อยู่ห่างไกลกันนับ 150 กิโลเมตร

ศูนย์บรรเทาภัยพิบัติภูเขาไฟและทางภูมิศาสตร์ของอินโดนีเซียรายงานว่า ภูเขาไฟกรากะตัวได้เกิดการปะทุสองครั้ง เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่น โดยครั้งแรกปะทุตอนเวลา 21.58 น.และ 10.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น อีกทั้งยังได้เกิดการปะทุต่อเนื่อง จนถึงเช้าวันเสาร์ที่ 11 เมษายน


ภูเขาไฟกรากะตัว ในอินโดนีเซีย ปะทุครั้งใหม่เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน 63

เดลี่เมลยังเผยว่าภาพจากดาวเทียม ได้แสดงให้เห็นเหตุการณ์ภูเขาไฟกรากะตัวปะทุรุนแรง พ่นเถ้าถ่านและควันสู่ท้องฟ้า โดยเชื่อว่าจะเป็นการปะทุครั้งรุนแรงที่สุดของภูเขาไฟชื่อดังลูกนี้นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2561

ทั้งนี้ ภูเขาไฟกรากะตัว นับเป็นหนึ่งในภูเขาไฟในโลกที่เคยสร้างความน่าสะพรึงกลัวและความสูญเสียมากที่สุดลูกหนึ่ง โดยได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อ 27 ส.ค.2426 และแรงระเบิดได้คร่าทุกชีวิตบนเกาะ ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ และทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 36,417 ศพ


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1818274

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 12-04-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ดร.ธรณ์ เผยภาพหายาก ลูกเต่ามะเฟืองกินแมงกะพรุน ชี้ ไทยกำลังก้าวเป็นผู้นำอนุรักษ์เต่าใหญ่-หายากที่สุดของโลก

ดร.ธรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเลและรองคณบดีคณะประมง เผย คลิปลูกเต่ามะเฟืองกินแมงกะพรุน ระบุเป็นภาพหาดูยาก ชี้ ที่แมงกะพรุนเพิ่มส่วนหนึ่งเพราะขยะทะเลมหาศาลทำร้ายเต่า ภูมิใจไทยกำลังก้าวไปเป็นผู้นำในการอนุรักษ์ดูแลเต่าใหญ่ที่สุดและหายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก



วันนี้ (11 เม.ย.) เฟซบุ๊กส่วนตัว "Thon Thamrongnawasawat" หรือ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์คลิปหายาก โดยระบุว่าเป็นคลิิปวิดีโอจากรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล เป็นภาพลูกเต่ามะเฟืองกินแมงกะพรุน

โดยระบุเนื้อหาโพสต์ว่า ยังไม่ลืมพวกหนูใช่ไหม ? คลิปพิเศษสุดยอดนี้ส่งตรงมาจากกรมทะเล เพื่อเพื่อนธรณ์ได้ชมพฤติกรรมหาดูได้ยากมากๆ ลูกเต่ามะเฟืองกิแมงกะพรุน จากปรากฏการณ์สนั่นทะเลไทย แม่เต่ามะเฟืองวางไข่ 11 รัง มีลูกเต่าฟักออกมาถึงตอนนี้เกือบ 400 ตัว มีลูกเต่าบางตัวที่ไม่แข็งแรง ไม่พร้อมลงทะเล กรมทะเลจึงนำมาอนุบาลไว้ โดยใช้บ่อขนาดใหญ่บ่อเดียวกับที่มาเรียมเคยอยู่

เน้นย้ำว่า โดยปรกติเราไม่เลี้ยงลูกเต่ามะเฟืองนะครับ แต่ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ อีกทั้งเรายังมีบ่อใหญ่มาก มีเจ้าหน้าที่และบุคลากรเพียงพอ จึงสามารถดูแลได้หากลูกเต่ามีจำนวนไม่มากเกินไป หนนี้เราจึงมีโอกาสเห็นพฤติกรรมหายากมาก ว่าง่ายๆ คือผมไม่เคยเห็นมาก่อน เรารู้ว่าลูกเต่ามะเฟืองเกิดมาจะเร่งรีบว่ายไปกลางทะเล ไปให้ไกลฝั่งสุดเท่าที่ทำได้ แต่ที่น่าสงสัยพวกเธอกินอะไรนะ เราพอรู้ว่าเต่ามะเฟืองกินแมงกะพรุนเป็นอาหารหลัก ถือเป็นสัตว์ช่วยควบคุมแมงกะพรุนตามธรรมชาติไม่ให้มีมากเกินไป

เจ้าหน้าที่กรมทะเลจึงนำแมงกะพรุนมาให้ลูกเต่าลองกิน คลิปนี้แสดงชัดเจนว่าน้องเต่ามะเฟืองชอบกินแมงกะพรุนจริงจัง เริ่มจากการดูท่าว่าย จะเห็นว่าน้องเต่าใช้ครีบคู่หน้าที่ใหญ่และยาวมาก เพื่อพาตัวเองไปข้างหน้า ครีบคู่หลังมีไว้เพื่อช่วยกำหนดทิศทางเล็กๆ น้อยๆ เต่ามะเฟืองอาศัยกลางมหาสมุทร ต้องว่ายน้ำเก่ง แข็งแรง ลูกเต่าจึงมีครีบหน้าที่เจ๋งมาก เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ จากนั้นลองสังเกตว่า เต่ามะเฟืองมีหัวขนาดใหญ่ ปากใหญ่และกว้าง สามารถอ้ำแมงกะพรุนเข้าไปได้ทั้งตัว เป็นลักษณะพิเศษของเต่าชนิดนี้ เต่าชนิดอื่นก็กินแมงกะพรุน แต่ไม่ใช่อาหารหลัก และส่วนใหญ่จะกัดแทะ ไม่อ้ำไปทั้งตัวเหมืองน้องมะเฟือง แนะนำให้เพื่อนธรณ์ดูแล้วดูอีก มีลูกมีหลานสมควรชวนดู เพราะผมคิดว่าเป็นครั้งแรกๆ ในโลกที่เรามีโอกาสเห็นพฤติกรรมแบบนี้ แม้จะเป็นในที่เลี้ยงก็ตาม คราวนี้ลองคิดว่า ถ้าเป็นเศษถุงพลาสติกหรือขยะทะเลลอยในน้ำ ลูกเต่าเข้าใจผิดกินเข้าไป เธอย่อมป่วยหรืออาจตายได้ นั่นคือเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราต้องช่วยกันลดขยะพลาสติกใช้แล้วทิ้ง ไม่เช่นนั้นเต่าตายหมด แล้วใครจะมาคอยช่วยควบคุมปริมาณแมงกะพรุน ช่วงนี้มีข่าวแมงกะพรุนเพิ่มที่นั่นที่นี่ สาเหตุหนึ่งเพราะขยะทะเลมหาศาล ขยะพวกนี้ทำร้ายเต่าและย้อนกลับมาทำร้ายเรา ของมันเห็นๆ กันอยู่

ยิ่งช่วงนี้ ขยะใช้แล้วทิ้งเยอะมาก พวกเราคงต้องช่วยกันทำทุกทางเท่าที่ทำได้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลไทยได้เรียนรู้เรื่องเต่ามะเฟืองเพิ่มขึ้นมากมาย ตั้งแต่พฤติกรรมวางไข่ การดูแลของพวกเรา การช่วยไข่ที่ยังไม่ฟัก ไปจนถึงการเลี้ยงลูกเต่ามะเฟืองในระยะแรกเราจะเลี้ยงลูกเต่ามะเฟืองพวกนี้ไปสักระยะ เพื่อให้เรียนรู้พฤติกรรม ฯลฯ ที่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการอนุบาลช่วยชีวิตลูกเต่ามะเฟืองในวันหน้า และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเต่ามะเฟืองทั้งโลก เพราะไทยกำลังก้าวไปเป็นผู้นำในการอนุรักษ์ดูแลเต่าใหญ่ที่สุดและหายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

ทั้งหมดนี้ เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกคน ทั้งพี่ๆ เจ้าหน้าที่กรมทะเล/กรมอุทยาน/ข้าราชการในพื้นที่ พี่น้องพังงาและภูเก็ต ตลอดจนคนรักทะเลทั่วไทยที่ติดตามให้กำลังใจกันตลอด จากใกล้หมดหวังเมื่อ 5 ปีก่อน กลายเป็นเริ่มมีหวังเมื่อ 2 ปีก่อน กลายเป็นก้าวไปข้างหน้าในวันนี้ ในทะเลสีคราม ตราบใดที่ยังไม่ยอมแพ้ ปาฏิหาริย์เกิดได้เสมอ มอบคลิปหายากสุดๆ ให้เพื่อนธรณ์ยิ้มรักเมืองไทยมากมายครับ มาเรียมอยู่บนฟ้า ช่วยคุ้มครองน้องเต่าด้วยนะจ๊ะ น้องมาอาศัยบ่ออยู่ต่อจ้ะ


หมายเหตุซ้ำ - ตัวแรกชื่อเจน อีกสองตัวชื่อนุ่น กับโบว์ เจนกินก่อน นุ่นโบว์เห็นเข้าว่ายมาจอยฮะ"


https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000037665

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 12-04-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


กรีนพีชเผย มลพิษทางอากาศร้ายไม่แพ้โควิด ทำเศรษฐกิจไทยเสียหายหลักแสนล้าน

รายงานกรีนพีชตอกย้ำชัดว่ารัฐบาลต้องไม่ละเลยแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ เผย ในปี พ.ศ.2562 มลพิษทางอากาศใน 6 หัวเมืองใหญ่สร้างความสูญเสียทางสุขภาพและเศรษฐกิจให้่กับประเทศไทยกว่า 200,000 ล้านบาท แถมเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อและป่วยหนักจากไวรัส COVID-19 มากขึ้น

เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2563 กรีนพีซ ประเทศไทย เปิดเผยผลการวิจัยร่วมกับแอพพลิเคชั่นตรวจวัดคุณภาพอากาศ AirVisual พบว่า ในปี พ.ศ.2562 ปัญหามลพิษทางอากาศสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 200,000 ล้านบาท


มลพิษทางอากาศมลพิษทางอากาศในกรุงเทพมหานคร / สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม / ปรัชญ์ รุจิวนารมย์

รายงานฉบับนี้ยังเปิดเผยว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ได้รับความเสียหายทางสุขภาพและเศรษฐกิจจากมลพิษทางอากาศมากที่สุดในประเทศไทย โดยคิดเป็นมูลค่าโดยประมาณ 5,965 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 194,932 ล้านบาท ในขระที่เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น สมุทรสาครและระยอง เป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศรุนแรงรองลงมา

กรีนพีช ระบุว่า มลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก จนนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบเช่น การเจ็บป่วยที่เกิดจากมทลพิษทางอากาศ ทำให้ผู้ป่วยต้องหยุดเรียน หยุดงาน เพิ่มรายจ่ายด้านสุขภาพ และทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอย

จากการคำนวณและคาดการณ์ต้นทุนผลกระทบของมลพิษทางอากาศทั้งจากฝุ่น PM2.5 และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) แบบเรียลไทม์ โดยใช้ฐานข้อมูลคุณภาพอากาศระดับพื้นดินแบบรายชั่วโมง มาคำนวณด้วยอัลกอริทึ่มชุดเดียวกัน กรีนพีซยังเผยต่อว่า สถุานการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากมลพิษทางอากาศยังคงมีแนวโน้มรุนแรงต่อเนื่องในปีนี้

โดยจากการคำนวณพบว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2563 เป็นต้นมา กรุงเทพมหานครได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจจากพิษฝุ่นควันแล้วกว่า 1,954 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 63,000 ล้านบาท ซ้ำยังทำให้คนกรุงกว่า 5,000 คนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในขณะที่เชียงใหม่มีมูลค่าความเสียหายที่ 413,268,885 เหรียญสหรัฐ และมีอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 1,070 คนโดยประมาณ


มลพิษทางอากาศความเสียหายจาก PM2.5 ในแง่เศรษฐกิจและอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร คำนวณโดยกรีนพีซ ประเทศไทย / สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม / ณิชา เวชพานิช

ผลการศึกษาของกรีนพีช สอดคล้องกับผลการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากฝุ่น PM2.5 ระหว่างช่วงวันที่ 5 มกราคม- 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ซึ่งเปิดเผยว่า มลพิษฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ก่อให้เกิดค่าเสียโอกาสด้านสุขภาพ ด้านการท่องเที่ยว และค่าเสียโอกาสของภาคธุรกิจอื่นที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมราว 3,200?6,000 ล้านบาท

เช่นเดียวกับรายงานเมื่อปีพ.ศ. 2562 โดย รศ. ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งยืนยันว่าต้นทุนความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์จากฝุ่น PM10 ของกรุงเทพฯ จะมีมูลค่าสูงถึง 446,023 ล้านบาทในปี พ.ศ.2560 โดยคำนวณจากมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายเพื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศดี จึงอาจประเมินได้ว่าฝุ่น PM2.5 ที่มีขนาดเล็กกว่าและสามารถนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้มากจะมีต้นทุนความเสียหายสูงกว่า PM10

ผลการวิจัยข้างต้นแสดงให้เห็นว่าฝุ่น PM2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ขณะเดียวกันงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่ามลพิษทางอากาศนั้นมีผลต่อสุขภาพปอด เป็นผลให้ผู้อยู่อาศัยในบริเวณมีมลพิษอากาศมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น เช่น ไวรัสโควิด-19 ซึ่งกำลังระบาดอยู่ ณ ปัจจุบัน

"ในช่วงวิกฤต Covid-19 รัฐบาลต้องไม่ละเลยในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ (Public Policy) ที่มีความสำคัญ นั่นคือ การยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศและการป้องกันมลพิษทางอากาศที่แหล่งกำเนิดที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันให้กับคนในสังคม อากาศดีคือ รากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" วริษา สี่หิรัญวงศ์ หัวหน้าโครงการขออากาศดีคืนมา กรีนพีซ ประเทศไทย แสดงความเห็น


https://greennews.agency/?p=20872

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:17


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger