เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้แล้ว ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทยและประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ และลมกระโชกแรง
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 25 ? 26 ก.พ. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในขณะที่ประเทศไทยมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ส่วนในช่วงวันที่ 27 ก.พ. ? 1 มี.ค. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหล้วในตอนกลางวัน และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ในช่วงวันที่ 24 - 25 ก.พ. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. ? 1 มี.ค. 67 ลมตะวันออกกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดช่วง

โดยในช่วงวันที่ 25 - 26 ก.พ. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ในระยะแรก โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


"ปลาตีน" กับการทำหน้าที่ นักรักษาสมดุลแห่งป่าชายเลน

- รูปร่างหน้าตา อาจจะไม่น่ารัก แต่รู้หรือไม่ "ปลาตีน" เขาได้รับฉายา นักรักษาสมดุลแห่งป่าชายเลน เลยนะ

- นอกจากว่ายน้ำได้แล้ว ปลาตีน ยังสามารถอาศัยอยู่บนบกได้นาน รวมถึงปีนเกาะรากไม้ชายเลนได้ด้วย



เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินชื่อของ "ปลาตีน" กันมาบ้างแล้ว แต่น้อยคนที่จะเห็นว่า ปลาตีนลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร และมีความสำคัญต่อระบบนิเวศป่าชายเลนอย่างไร

วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง

สำหรับ "ปลาตีน" ถือว่าเป็นปลาที่อาศัยได้ทั้งบนบก น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม พบได้เฉพาะบริเวณป่าชายเลน ในเขตร้อน ที่มีน้ำท่วมถึง ซึ่งหากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวป่าชายเลน อาจจะได้เห็นปลาตีน ใช้ครีบทั้ง 2 ข้าง ไถตัวเองไปตามดินเลน ซึ่งจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ประจำป่าชายเลนก็ว่าได้


ลักษณะทั่วไปของ "ปลาตีน"

สำหรับปลาตีนนั้น ตัวผู้จะตัวใหญ่กว่าตัวเมีย จะออกลูกเป็นไข่ โดยตัวเมียสามารถวางไข่ได้ ครั้งละ 8,000 ? 48,000 ฟอง หรือเฉลี่ยประมาณ 19,000 ฟอง/ตัว เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืช อย่างเช่น เศษใบไม้ และสัตว์ อาทิ กุ้ง ปู ปลาขนาดเล็ก และแมลง

ปลาตีนจะมีหัวขนาดใหญ่ มองเห็นได้ดี เพราะมีตาหนึ่งคู่อยู่ส่วนบนสุดของหัว ใช้ครีบอกในการเคลื่อนที่บนบก มีครีบพิเศษใต้อกใช้ยึดเกาะรากไม้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนที่อีกหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการพยุงตัว ใช้ในการจับอาหาร การสลัดหางเพื่อช่วยในการกระโดด หนีผู้ล่า

ส่วนที่ปลาตีนสามารถใช้ชีวิตบนบกได้เป็นเวลานาน เพราะมีอวัยวะพิเศษอยู่ข้างเหงือก ที่จะเก็บความชุ่มชื้นจากน้ำ และสูดอากาศบนบกเข้าปาก นำออกซิเจนเข้าไปผสมกับน้ำ เพื่อใช้ในการหายใจ

โดยปลาตีนจะขุดรูไว้เป็นที่หลบภัย และวางไข่สืบพันธุ์ พร้อมทั้งหากมีศัตรู ก็จะกางครีบหลังเพื่อเป็นการขู่ฝ่ายตรงข้าม และอีกหนึ่งความสามารถพิเศษของปลาตีนคือ การปรับเปลี่ยนสีลำตัว และปรับอุณหภูมิร่างตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้


ตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ป่าชายเลน

ในป่าชายเลนประเทศไทยนั้น สามารถพบ ปลาตีน ได้หลายชนิด อาทิ ปลาตีนจุดฟ้า, ปลาตีนเล็กสีน้ำตาล, ปลาตีนใหญ่ (จุมพรวด) ฯลฯ และอย่างที่บอกไปว่า ปลาตีนสามารถกินได้ทั้งพืชและสัตว์ มันจึงทำหน้าที่ควบคุมประชากรสัตว์น้ำอื่นไม่ให้มีมากเกินไป ช่วยควบคุมสมดุลในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ ของระบบนิเวศป่าชายเลนและความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ภายในพื้นที่.


https://www.thairath.co.th/futureper...00JnJ1bGU9NA==

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


โคลอมเบียเผยแผนสำรวจซากเรือใบโบราณจมทะเลลึก เก็บกู้สมบัติหลายพันล้าน

รัฐบาลโคลอมเบีย ประกาศแผนการสำรวจใต้ทะเลลึก บริเวณซากเรือใบโบราณ "ซาน โฮเซ" ที่จมอยู่ใต้ทะเลหลังอับปางเมื่อกว่า 300 ปีก่อน คาดมีสมบัติมูลค่ารวมกันหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ



เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2567 รัฐบาลโคลอมเบีย ประกาศแผนการสำรวจใต้ทะเลลึก บริเวณซากเรือใบโบราณ "ซาน โฮเซ่" ที่จมอยู่ใต้ทะเลหลังอับปางลงเมื่อช่วงศตวรรษที่ 18 บริเวณนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลแคริบเบียน โดยเชื่อว่าเรือลำนี้บรรทุกสมบัติล้ำค่า รวมไปถึงเหรียญทองคำและเหรียญเงิน 11 ล้านเหรียญ หยกและอัญมณีล้ำค่าจากประเทศอาณานิคมของสเปน คาดว่าหากเก็บกู้ขึ้นมาได้แล้วสมบัติต่างๆ จะมีมูลค่ารวมกันหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อัลเฮนา ไคเซโด เฟอร์นานเดซ ผู้อำนวยการสถาบันประวัติศาสตร์และโบราณคดีโคลอมเบีย กล่าวว่า สำหรับเฟสแรกจะเป็นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใต้ทะเลลึก 600 เมตร จุดที่ซากเรือจมอยู่เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการสำรวจ

ทางด้านแฮร์มันน์ เลออน รินกอน พลเรือตรีกองทัพเรือและนักสมุทรศาสตร์ กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้ต้องใช้อุปกรณ์หุ่นยนต์ใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับเรือของกองทัพเรือ โดยหุ่นยนต์ที่สามารถลงไปใต้น้ำได้ลึกถึง 1,500 เมตร จะถูกวางตำแหน่งโดยเชื่อมต่อกับดาวเทียมที่อยู่ในวงโคจรค้างฟ้า โดยใช้กล้องและบันทึกรายละเอียดการเคลื่อนไหว

ทั้งนี้ รัฐบาลโคลอมเบียสามารถระบุพิกัดซากเรือซาน โฮเซ่ ได้ในช่วงปี 2558 แต่เผชิญอุปสรรคด้านการทูตและข้อกฎหมายระหว่างโคลอมเบีย กับสหรัฐฯ และสเปน ทำให้ยังไม่สามารถสำรวจซากเรือได้ และจนถึงขณะนี้รัฐบาลโคลอมเบียยังเก็บพิกัดที่แน่ชัดที่ตั้งของซากเรือไว้เป็นความลับ

โดยรัฐบาลตั้งเป้าใช้งบประมาณ 4.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ ในการสำรวจทางโบราณคดีของเรือใบซานโฮเซ ที่จมลงเมื่อปี ค.ศ.1708 พร้อมเสากระโดงเรือ 3 เสา ปืน 62 กระบอก หลังจากถูกฝูงบินอังกฤษซุ่มโจมตีระหว่างเดินทางไปเมืองคาร์ตาเฮนา คาดว่า การลงสำรวจใต้ทะเลจะเริ่มขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสภาพในขณะนั้น.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2765678

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พิธีลอยเรือ...อูรักลาโว้ย ปล่อยผีชั่วร้าย..สู่ทะเลกว้าง



การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดยยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

พูดไปให้เสียดายกรณี "เกาะหลีเป๊ะ" หรือ "ลิเป๊ะ" ภาษามลายูหมายถึงที่ราบบนเกาะขนาดกระจิ๋วหลิว 3 ตารางกิโลเมตรกลางทะเล อันดามัน... ห่างแผ่นดินสตูลทางทะเล 75 กิโลเมตร ติดตะเข็บน่านน้ำทะเลสากลมาเลเซีย...เชื่อมไกลไปสู่มหาสมุทรอินเดีย บังกลาเทศ ศรีลังกา และอินเดีย

ทะเลแถบนี้เดิมทีเป็นถิ่นชนพื้นเมืองชาว "อูรักลาโว้ย" หรือ "ชาวเล" ที่ใช้ภาษาพูดตนเองไม่มีภาษาเขียน สันนิษฐานว่าเคลื่อนย้ายจากอินโดนีเซีย สู่เกาะลันตา กระบี่ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน แล้วจากนั้นปี 2452 กระจายมายังเกาะอาดัง-ราวีและหลีเป๊ะ ยังชีพด้วยการทำประมง สันทัดเรื่อง "ดำน้ำ" ได้นานโดยปราศจากท่ออากาศหายใจ สามารถจับกุ้งมังกรที่เรียก "การัง" ซึ่งซ่อนตัวตามหลืบหินใต้ทะเลลึกมาบริโภคเป็นอาหาร

คนกลุ่มนี้เล่าว่านับถือ "ภูตผีแห่งท้องทะเล" ไร้ซึ่งศาสนา แต่ด้วยอาศัยในถิ่นไทยกับแนวเขตติดต่อเพื่อนบ้าน จึงรู้ที่จะใช้ภาษาไทยและยาวี ส่วนศาสนาเริ่มนับถืออิสลามมากกว่าศาสนาอื่น

กระทั่งปี 2517 ทางการไทยได้ส่งคนลงไปสำรวจทรัพยากรธรรมชาติที่มีทั้งสัตว์น้ำ พืชใต้น้ำและป่าไม้บนเกาะต่างๆพบว่าล้วนอุดมสมบูรณ์ มีบางส่วนแอบถูกลักลอบใช้ระเบิดทำประมง โค่นล้มป่าไม้และล่าสัตว์จากกลุ่มนายทุน จึงเร่งประกาศพื้นที่เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของไทย มิให้ถูกคุกคามไปมากกว่านี้

ครั้งนั้น...มีการถกเถียงกันถึงสถานะเกาะหลีเป๊ะก่อนจะประกาศ โดยฝ่ายหนึ่งเห็นควรรักษาไว้ดั่งไข่ในหินให้วิถีชีวิตและธรรมชาติแหล่งนั้นเป็นทรัพยากรมีค่า เป็นสินค้าเชิดหน้าชูตาทางการท่องเที่ยวให้แก่คนมาเที่ยวในอนาคต ส่วนอีกฝ่ายก็เห็นแย้ง...ควรเร่งคุ้มครองภายใต้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ ป้องกันถูกปู้ยี่ปู้ยำเช่นหลายพื้นที่ที่ควบคุมไม่ทัน...ผลสรุปปักธงให้พื้นที่ 1.4 พันตารางกิโลเมตร ทั้งบนบกในน้ำ

เป็น..."อุทยานแห่งชาติตะรุเตา" แต่ปล่อยให้หลีเป๊ะอยู่นอกกรอบอุทยาน


O O O O


ขณะชาวอูรักลาโว้ยอีกกลุ่มจำต้องอพยพจากเกาะอาดัง-ราวี สู่หลีเป๊ะมาสมทบด้วยกรอบ พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน ทำให้ครัวเรือนที่มี 100 หลังประชากร 700 ชีวิต เพิ่มเป็น 1.8 พันทันที

วันนี้...หากจะเอ่ยถึง "หลีเป๊ะ" ก็คงจะได้เพียงตำนานบอกเล่าที่ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2518 ชุมชนบนเกาะขนาดจิ๋วกลางท้องทะเลย่านนี้ มีลูกหลานชาวเลอูรักลาโว้ยอยู่ในเขต ต.สาหร่าย อ.เมืองสตูล ดำรงอาชีพประมงสลับปลูกมะพร้าวกับมีสุขศาลา 1 แห่ง พยาบาลผดุงครรภ์ 1 คน โรงเรียน 1 โรง นักเรียน 102 คน ครู 2 คน สอนคนละ 2 ชั้น...แล้วก็มีสภากาแฟเล็กๆ ขายกาแฟชงน้ำร้อนจากหม้อต้มบนเตาฟืน ไม่มีครีมนมข้นหวานน้ำตาลก้อน จะมีเพียงโอเลี้ยงทิพย์ตามมโนปราศจากน้ำแข็ง นอกจากที่ใช้แช่ปลาปูกุ้งหอยเท่านั้น

แต่...ก็มีข้าวเหนียวหน้าน้ำตาลหน้ามะพร้าวห่อใบตอง ขายห่อละ 50 สตางค์ประจำสภาชุมชน ส่วนร้านอาหารไร้เมนูตามสั่งมีแต่ขนมจีนน้ำยาปลาหรือปูขายยืนพื้น กินกับมะละกอสดซอยแบบส้มตำ เหนาะ...(แกล้ม)ใบมะม่วงหิมพานต์อ่อนเรียกเล็ดลอด ยาร่วง หัวครก เป็นผักเครื่องเคียง ป๊อปปูลาร์ฟินสุดยามนั้น

ว่ากันถึงเรื่องโลจิสติกส์ติดต่อฝั่งสตูลก็มีทางเดียวคือพึ่งเรือประมง ใช้เวลา 8?9 ชั่วโมงบนระยะทาง 75 กิโลเมตร เท่ากับเวลารถไฟด่วนกรุงเทพฯ 717 กิโลเมตรถึงเชียงใหม่ และปีหนึ่ง ทะเลจะสงบ 3 เดือน...เหลือ 9 เดือนมากมีด้วยมรสุมคลื่นลมแรงจัดเสี่ยงต่อการสัญจรไปมา

หลีเป๊ะเวลานั้นในอดีต...จึงถือเป็นดินแดนลี้ลับออร่าธรรมชาติงดงาม ราวกับอยู่บนโลกคนละใบกับมนุษย์บนฝั่ง กูรูผู้เฒ่าที่เปรียบเสมือนปราชญ์ท้องถิ่นยุคนั้น สามารถบอกเล่าถึงวีถีชีวิตชาวเลอูรักลาโว้ย ที่เรียบง่าย...ด้วยบ้านเรือนไม้หลังคามุงจาก ฝาขัดแตะด้วยใบจากกันแดดน้ำค้าง เม็ดฝนบนพื้นทรายใต้ทิวมะพร้าว

บ้านไหนฐานะดีหน่อยก็มุงหลังคากั้นฝาด้วยสังกะสี แต่ไม่พ้นใช้น้ำจืดบ่อเดียวกันในชีวิตประจำวันอย่างทัดเทียมกัน


O O O O


กูรูผู้เฒ่าชาวเล "อูรักลาโว้ย" เล่าให้ฟังอีกว่า..."วัฒนธรรมประเพณี" ที่ชาวอูรักลาโว้ยสืบทอดกันมานานช่างเรียบง่าย เช่น...การร้องรำทำเพลงริมทะเลโคนต้นมะพร้าวในคืนเดือนแรม เป็นเชิงหนุ่มเกี้ยวสาว มีดนตรีชิ้นสองชิ้นให้จังหวะเต้นรองเง็งตามลีลามลายู

ส่วนหนุ่มสาวเมื่อพ่อแม่ยินยอมให้ตกร่องปล่องชิ้น ขบวนเจ้าบ่าวจะยกอาหารเหล้ายาปลาปิ้งไปฉลองกันบ้านสาวเจ้า พร้อมข้าวของฝ่ายชายกับเสื้อผ้าสวยๆ 1 ชุดติดไปมอบเจ้าสาว...

ยามค่ำบ่าวสาวจะลอยเรือไปหาความสุขสองต่อสอง ณ เวิ้งอ่าวแห่งใดแห่งหนึ่ง เสร็จถึงกลับมาโดยฝ่ายชายจะต้องอยู่บ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียม เพื่อดูแลสมาชิกทุกคนในครัวเรือน

อีกประเพณีที่ชาวอูรักลาโว้ยยึดมั่นกันมา ก็คือ "พิธีลอยเรือ" เสมือนการปล่อยผีชั่วร้าย ให้ลอยล่องไกลไปกลางทะเลกว้างคืนเดือน 6 ครั้งหนึ่งกับเดือน 11 อีกครั้งหนึ่ง

เรือที่ว่าจำลองขึ้นด้วยไม้ระกำขนาด 50 คูณ 250 เซนติเมตร บรรจุอาหารจากชาวท้องถิ่นที่พร้อมใจมาชุมนุมและมีคนว่ายน้ำประคองเรือลำนั้นออกห่างฝั่ง แล้วปล่อยให้หายไปเองกับคลื่นลมทะเล

...เป็นอันเสร็จพิธีสะเดาะเคราะห์ของชาวอูรักลาโว้ย เว้นเสียแต่...เรือลำนั้นกลับลำเบนเข็มสู่ฝั่ง นั่นเป็นสัญญาณเตือนอาจมีภัยร้ายอุบัติขึ้นบนเกาะ...ให้พึงระวังเหตุที่จะตามมา!

ถึงตรงนี้กูรูผู้เฒ่าถือโอกาสเล่าพิธีทำศพของพวกเขา ที่ใช้สุสานไม่ห่างทะเลและร่มรื่นด้วยเงามะพร้าว โดยศพจะถูกคลุมร่างด้วยโสร่งผืนใหม่ มีชายชรานำผลมะพร้าวมาชำระศพ ก่อนหย่อนร่างลงหลุมลึกประมาณหนึ่งเมตร...

จากนั้นญาติผู้ใหญ่หรือคนใกล้ชิดผู้ตายจะหยิบทรายหนึ่งกำมือโปรยใส่ ตามด้ายทรายอีกหนึ่งกำมือจากหมอไสยศาสตร์ นำผู้เข้าร่วมพิธีทำตามจนครบจึงกลบหลุมฝังร่างศพ ใช้ไม้ปักบอกให้รู้เขตฝังศพผู้ตาย พร้อมสร้างหลังคาเป็นร่มเงาหรือไม่ก็วางร่มไว้กันแดดให้ผู้ตาย

ซึ่งเชื่อว่า...จะช่วยให้ "ร่มเงา" และ "ร่มเย็น" เมื่อวิญญาณดวงนั้นลอยสู่สวรรค์

ประเพณีทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้เป็นความเชื่อที่มีมาแต่บรรพบุรุษ ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นยุคที่สภาพ แวดล้อมเกาะหลีเป๊ะถูกบูลลี่ไปมากแล้วก็ตาม แต่ไม่ควรด่วนสรุปลบหลู่ด้วยมิจฉาฐิติ...เพื่อลบล้างความเชื่อนั้น?

"ศรัทธา" นำมาซึ่ง "ปาฏิหาริย์" เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ "ลบหลู่".


https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2765708

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


เรือประมงเวียดนามอีกแล้ว! ตำรวจน้ำสงขลาไล่จับได้ 2 ลำ ลอบเข้ามาคราดปลิงทะเล

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ตำรวจน้ำสงขลาไล่ล่าติดตามจับกุมเรือประมงเวียดนาม 2 ลำ รุกล้ำน่านน้ำเข้ามาคราดปลิงทะเล ห่างจากปากร่องน้ำสงขลาประมาณ 42 ไมล์ทะเล แม้จะพยายามเร่งเครื่องหนีสุดชีวิต



วานนี้ (23 ก.พ.) ตำรวจน้ำสงขลา นำโดย พ.ต.อ.ปรเมษฐ โพยนอก ผู้กำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ และ พ.ต.ท.ศรัณย์วิทย์ ฐีระเวช สว.ส.รน.1 กก.7 บก.รน. (ตำรวจน้ำสงขลา) ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทางทะเล นำเรือตรวจการณ์ 808 และเรือยางท้องแข็ง และชุดปฏิบัติการพิเศษ (มัจฉานุ) กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจน้ำ จับกุมเรือประมงเวียดนาม 2 ลำ ที่ลักลอบเข้ามาคราดปลิงทะเล ห่างจากปากร่องน้ำสงขลาไปทางทิศตะวันออกประมาณ 42 ไมล์ทะเล

เรือประมงเวียดนามท้้ง 2 ลำพยามเร่งเครื่องหลบหนีการจับกุม แต่ถูกเรือของตำรวจน้ำสงขลาติดตามไล่ล่าอย่างกระชั้นชิดตามยุทธวิธี ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง จนควบคุมและจับกุมเรือประมงเวียดนามได้ทั้งจำนวน 2 ลำพร้อมกับลูกเรือจำนวน 11 คน และควบคุมกลับมาจอดที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ กองกำกับการ 7 เพื่อส่ง สภ.เมืองสงขลา ดำเนินคดี

การจับกุมเรือประมงเวียดนามทั้ง 2 ลำ เป็นไปตามการอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ พ.ต.อ.ชณพล วันขวัญ พ.ต.อ.ศราวุฒิ ลิจฉวีราช รองผู้บังคับการตำรวจน้ำ ที่ได้สั่งการให้เรือตรวจการณ์ 808 กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ ออกลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบ และได้รับแจ้งจากเรือประมงไทยว่าพบเรือประมงต่างชาติรุกล้ำน่านน้ำเข้ามาทำการประมง จึงออกติดตามจับกุมได้ทั้ง 2 ลำ


https://mgronline.com/south/detail/9...16911?tbref=hp

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


โผล่อีกเพจดัง! โพสต์ภาพน้ำสีดำไหลลงทะเลหาดบางเทา จ.ภูเก็ต



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สนั่นโซเชียล เพจดังโพสต์ ภาพน้ำสีดำไหลลงทะเล พร้อมข้อความ คราบน้ำมันดิบหน้าหาดบางเทา จ.ภูเก็ต ส่งเข้าประกวด ทำหน่วยงานเกี่ยวข้องตื่นรี่เข้าตรวจสอบ ยืนยันไม่ใช่น้ำเสีย ไม่มีกลิ่นเหม็น

กลายเป็นกระแสในโซเชียลอีกแล้ว เมื่อเพจ ขยะมรสุม monsoongarbage Thailand โพสต์รูปน้ำสีดำที่กำลังไหลลงทะเลที่หน้าหาดบางเทา ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมข้อความระบุว่า น้ำมันดิบ หาดบางเทา จ.ภูเก็ต ส่งเข้าประกวด แก้ไม่ได้หรือไม่เคยจะแก้ นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีปัญหามานับ 10 ปี ครับ จนถึงปัจจุบันไม่มีอะไรเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม หลังมีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ปรากฏว่ามีลูกเพจ และผู้ที่เห็นโพสต์ดังกล่าวเข้ามาแสดงความคิดเห็นกับภาพดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

ขณะที่ ดร.จตุรงค์ คงแก้ว รองคณบดีฝ่ายบริหารและทรัพยากรบุคคล และคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ซึ่งลงมาตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว กล่าวว่า ทาง อบต.เชิงทะเล ได้มอบหมายให้ลงมาช่วยดูสถานการณ์น้ำที่หน้าหาดบางเทา ซึ่งจากการตรวจสอบในส่วนของโรงบำบัดน้ำเสีย มีการรายงานค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ของการบำบัดน้ำ ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์บำบัดน้ำเสียอยู่ในเกณฑ์ที่ได้มาตรฐาน

แต่ถ้าดูด้วยสายตา จะมีลักษณะเชิงกายภาพอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือการมอบจากด้านในออกไปด้านนอก จะไม่เห็นตะไคร่น้ำ น้ำไม่ขุ่น ไม่ได้มีกลิ่นเหม็น ส่วนปลายคลองที่ไหลลงชายหาด พื้นทรายขาวปกติไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าจุดที่เห็นเป็นน้ำเสีย แต่เมื่อดูจากด้านนอกเข้ามาด้านในจะเห็นตะไคร่ เมื่อดูด้วยตาเปล่าจะเห็นน้ำเป็นสีดำเหมือนกับน้ำเสีย แต่เข้าใจว่าในช่วงหน้าแล้งน้ำธรรมชาติมีน้อยทำให้เกิดตะไคร่น้ำมากขึ้น

วิธีแก้ที่เร็วที่สุด คิดว่าต้องติดตั้งกังหันน้ำ เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้น้ำเพื่อบรรเทาไปก่อน ส่วนการแก้ไขปัญหาในอนาคตจะต้องไปลองดูในส่วนของโรงงาน เพราะถ้าเข้าสู่หน้าแล้ง น้ำไหลช้า อาจจะมีปัญหาทำให้เกิดตะไคร่น้ำมากขึ้น และถ้าน้ำขังไว้นานๆ อาจจะเกิดผลกระทบได้ ซึ่งเรื่องนี้ไปหารือกับทางผู้บริหารพื้นที่ต่อไป อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้มีการพูดคุยกับนักท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวเองเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับน้ำที่ไหลลงทะเล

ขณะที่จากการสอบถามผู้ประกอบการรายหนึ่งในพื้นที่หน้าหาดบางเทา กล่าวว่า ตนอยู่หน้าหาดมาประมาณ 1 ปีแล้ว น้ำที่ไหลออกจากจุดดังกล่าวไม่มีกลิ่น และที่เห็นน้ำดำจะอาจเป็นตะไคร่น้ำมากกว่า แต่ถ้าอากาศร้อนจัดๆ แล้วน้ำไม่ไหลลงทะเล น้ำอาจจะทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นได้


https://mgronline.com/south/detail/9670000016930

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


เฮ! แม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ที่หาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต 137 ฟอง



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - แม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ หน้าโรงแรมดังบนหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต 137 ฟอง เจ้าหน้าที่ย้ายไข่เต่าไปอยู่ในที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง คาดฟักจากไข่ช่วง 19-24 เมษายนนี้

นายวัชระ ส่งสีอ่อน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ รายงานว่า เมื่อเวลา 02.14 น. วันนี้ (24 ก.พ.) เจ้าหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ออกลาดตระเวนการสำรวจการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล ได้ตรวจพบการขึ้นวางไข่ของเต่ามะเฟือง หน้าโรงแรมแมริออท หาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต

หัวหน้าศูนย์จึงได้ประสานมายังหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เพื่อเข้าตรวจสอบดังกล่าว โดยเข้าตรวจสอบพื้นที่ วัดขนาดความกว้างอก 110 ซม. ความกว้างพายทั้งหมด 200 ซม. ตำแหน่งหลุมไข่พิกัด UTM 422180 902891 ความลึกหลุมไข่ 70 ซม. ความกว้างหลุมไข่ 30 ซม. ขนาดของไข่ 5.30 ซม.

พบไข่สมบูรณ์ 103 ฟอง ไข่ลม 34 ฟอง รวม 137 ฟอง ทั้งนี้สภาพพื้นที่ที่เต่าวางไข่ บริเวณดังกล่าวจะมีน้ำทะเลท่วมถึง เพื่อความปลอดภัยจึงทำการย้ายไข่ไปเพาะฟัก ในคอกเดียวกับรังแรก โดยมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและสังเกตการณ์ตลอดเวลา จนถึงเวลาฟักเป็นตัว ไข่เต่ามะเฟืองจะใช้เวลาเพาะฟักประมาณ 55-60 วัน อยู่ระหว่างวันที่ 19-24 เมษายน 2567 ก่อนปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติต่อไป

สำหรับข้อมูลทั่วไปของ "เต่ามะเฟือง" จะขึ้นมาวางไข่บนชายหาดประมาณ 66-104 ฟองต่อรัง ขึ้นอยู่กับปัจจัยในการวางไข่ เช่น อายุ สภาพอากาศ สภาพแวดล้อมของสถานที่วางไข่ ใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 60-70 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อม ซึ่งมีประมาณ 85% ที่ฟักตัวได้ นอกจากนี้ อุณหภูมิในหลุมฟักยังเป็นตัวแปรในการกำหนดสัดส่วนเพศของลูกเต่ามะเฟืองในหลุม โดยสัดส่วนของเพศเมียจะมีมากขึ้นเมื่อมีอุณหภูมิสูง

หลังจากฟักตัวลูกเต่าจะคลานออกจากรัง ลงสู่ทะเลโดยทันที เนื่องจากเป็นเต่ามะเฟืองเป็นเต่าน้ำลึก จึงไม่สามารถเก็บมาอนุบาลเป็นเวลานานได้ ซึ่งต่างกับเต่าทะเลสายพันธุ์อื่น ในวัยเจริญพันธุ์จะเติบโตและใช้เวลาอยู่ในทะเลเกือบชั่วชีวิต โดยเต่ามะเฟืองสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 1,280 เมตร สถานภาพการอนุรักษ์ในประเทศไทย เต่ามะเฟืองเป็นสัตว์ป่าสงวน ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562


https://mgronline.com/south/detail/9670000016841

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


การปฏิบัติการค้นหา-ปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย วันที่ 3

24 ก.พ. ? การปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย วันที่ 3 ในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นการดำน้ำจำนวน 4 เที่ยว



วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของปฏิบัติการค้นหาและปลดวัตถุอันตรายเรือหลวงสุโขทัย ชุดปฏิบัติการของกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐ บนเรือ Ocean Valor ที่จอดเรืออยู่บริเวณอ่าวไทยใกล้จุดที่เรือหลวงสุโขทัยอับปาง ในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การดำน้ำจำนวน 4 เที่ยว โดยมีผลการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้

เที่ยวที่ 1 สำรวจห้องผู้บังคับการเรือ

เที่ยวที่ 2 สำรวจห้องใต้ป้อมปืน 76/62 โอโต้ เมลาร่า (OTO Melara 76 mm gun) และรอยฉีกบนเพดานใต้โครงกันคลื่น (Wave breaker)

เที่ยวที่ 3 สำรวจประตูทางลงห้องเครื่องจักรใหญ่ โดยเข้าทางประตูท้ายเรือซ้าย

เที่ยวที่ 4 ดำลงไปเพื่อเปิดประตูผนึกน้ำท้ายเรือห้องเครื่องจักรใหญ่ ห้องเครื่องไฟฟ้าฉุกเฉิน และฝาทางเข้าช่องลำเอียงอาวุธปล่อยนำวิถีอัสปิเด (Hatch Reload Aspide)

โดยผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีอุปสรรคข้อขัดข้อง กำลังพลทุกนายปลอดภัย


ทั้งนี้ กองทัพเรือได้เผยแพร่ภาพการสำรวจตัวเรือในเที่ยวที่ 3 ของวานนี้ (23 ก.พ.) ซึ่งชุดประดาน้ำได้ทำการสำรวจสะพานเดินเรือ และนำพระพุทธรูป รวมถึงเอกสารบางส่วนบนสะพานเดินเรือ กลับขึ้นมายังผิวน้ำ เพื่อนำไปเก็บรักษาและใช้ประกอบการสอบสวนต่อไป

สำหรับการปฏิบัติการในวันพรุ่งนี้ (25 ก.พ.) จะเป็นการดำน้ำ จำนวน 6 เที่ยว เพื่อสำรวจ ถ่ายภาพเพื่อรวบรวมหลักฐานรอบตัวเรือ และถอดถอนอุปกรณ์ภายนอกบางส่วนขึ้นมาจากน้ำ.


https://tna.mcot.net/politics-1325378

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 25-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


ส่องสัตว์ขั้วโลกชนิดไหนบ้าง? ที่พบระหว่างจีนสำรวจมหาสมุทรในแอนตาร์กติกา


SHORT CUT

- เรือตัดน้ำแข็งเสวี่ยหลง-2 (Xuelong 2) ของจีนเสร็จสิ้นภารกิจการสำรวจมหาสมุทรในทวีปแอนตาร์กติกา พบสัตว์ขั้วโลกหลากหลายชนิด

- ในฤดูร้อนกระแสน้ำอุ่นจะเต็มไปด้วยแพลงก์ตอนและสิ่งมีชีวิตที่เป็นอาหาร และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การผสมพันธุ์ของวาฬ

- ทวีปแอนตาร์กติกาพบเพนกวินประมาณ 7 สายพันธุ์ พบแมวน้ำประมาณ 32 ล้านตัว



มหาสมุทรแอนตาร์กติกามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีอากาศหนาวเย็น และหนาวเย็นมาจนมหาสมุทรสามารถเป็นน้ำแข็งได้ในฤดูหนาว

เรือตัดน้ำแข็งเสวี่ยหลง-2 (Xuelong 2) ของจีนเสร็จสิ้นภารกิจการสำรวจมหาสมุทรในทวีปแอนตาร์กติกา พบความหลากหลายทางชีวภาพและและสัตว์ขั้วโลกหลากหลายชนิด


แอนตาร์กติกยังคงมีความหลากหลายทางชีวภาพ

เรือตัดน้ำแข็งเสวี่ยหลง-2 ลำนี้ออกเดินทางสำรวจแอนตาร์กติกครั้งที่ 40 ทีมงานสำรวจได้ดำเนินการสำรวจแบบสหสาขาวิชาชีพที่ครอบคลุม ถึงเรื่องอุทกวิทยา ชั้นบรรยากาศ น้ำแข็งในทะเล ชีววิทยาทางทะเล การศึกษาเคมีในมหาสมุทร และภารกิจสำรวจภาคพื้นดินเพื่อสำรวจแหล่งที่อยู่อาศัยของนกเพนกวิน รวมถึงการพบสัตว์ขั้วโลกนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย


สัตว์ขั้วโลกที่พบจาการสำรวจครั้งนี้

การสำรวจแอนตาร์กติกของเรือตัดน้ำแข็งเสวี่ยหลง-2 ครั้งนี้ ทำให้พบความหลากหลายของระบบนิเวศ พบสัตว์หลายชนิด ดังนี้

- วาฬ - แอนตาร์กติกในฤดูร้อนกระแสน้ำอุ่นจะเต็มไปด้วยแพลงก์ตอนและสิ่งมีชีวิตที่เป็นอาหารของวาฬ และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการผสมพันธุ์ของวาฬ และทางตอนใต้ของมหาสมทุรพบวาฬ 2 กลุ่ม คือ วาฬบาลีนและวาฬมีฟัน (toothed whales) ซึ่งแบ่งได้ 12 สายพันธุ์

- แมวน้ำ - จากการสำรวจคาดว่าในแอนตาร์กติกามีแมวน้ำประมาณ 32 ล้านตัว อาศัยอยู่บริเวณทะเลน้ำแข็งและชายฝั่ง เหล่าวแมวน้ำมีรูปร่างเพรียวบางืขนสั้นเรียบ ช่วยให้พวกมันปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นได้

- เพนกวิน - พบเหล่าเพนกวินแหวกว่ายน้ำในมหาสมุทรอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาอยู่บนบกและในทะเลช่วงเวลาเท่าๆ กัน ซึ่งทวีปแอนตาร์กติกาพบเพนกวินประมาณ 7 สายพันธุ์

- นกสกัว - นก skuas เป็นนกทะเลซึ่งนักล่า สัตว์ที่เป็นเป้าหมายของมันคือเพนกวิน มักจะขโมยไข่และลูกเพนกวิน เป็นสัตว์นักล่าที่น่ายำเกรงในพื้นที่นี้


ที่มา : CGTN / China Media Group


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/848132

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #10  
เก่า 25-02-2024
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,159
Default



Thanks a lot for the daily news.

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:02


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger