เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 19-09-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (19 ก.ย. 2563) พายุระดับ 3 (โซนร้อน) "โนอึล" ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) "โนอึล" ปกคลุมบริเวณจังหวัดขอนแก่น ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่กับมีลมแรง บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ และระวังอันตรายจากลมแรง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนบน และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือจนถึงวันที่ 20 กันยายน 2563


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 18 - 20 กันยายน 2563 พายุระดับ 3 (โซนร้อน) "โนอึล" ปกคลุมบริเวณเมืองสาละวัน ประเทศลาวตอนกลาง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ เข้าสู่ประเทศเมียนมา และมีแนวโน้มว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน)ในระยะต่อไป ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยมีกำลังแรง ส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกเป็นบริเวณกว้างกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 3-5 เมตร และอ่าวไทยคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 5 เมตร

หลังจากนั้น ในช่วงวันที่ 21 - 24 กันยายน 2563 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 18 ? 20 ก.ย. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากลมแรง ฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรงดการเดินเรือในช่วงที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) "โนอึล" (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 20 กันยายน 2563)" ฉบับที่ 14 ลงวันที่ 19 กันยายน 2563

เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (19 ก.ย. 2563) พายุระดับ 3 (โซนร้อน) "โนอึล" ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) "โนอึล"บริเวณจังหวัดขอนแก่น หรือที่ละติจูด 16.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 102.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุกำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะอ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำและสลายตัวในบริเวณจังหวัดสุโขทัยในวันนี้ (19 ก.ย. 2563) ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่กับมีลมแรงบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ และระวังอันตรายจากลมแรง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรงไว้ด้วย


คาดว่าพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ มีดังนี้


วันที่ 19 กันยายน 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนักถึงหนักมาก

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์

ภาคกลาง: จังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรีสมุทรสงคราม และสมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล


วันที่ 20 กันยายน 2563 บริเวณที่มีฝนตกหนัก

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย และกำแพงเพชร

ภาคกลาง: จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี และชัยนาท

ภาคตะวันออก: จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่

สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนบน และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือจนถึงวันที่ 20 กันยายน 2563









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 19-09-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


2 ธารน้ำแข็งอันตรายสุดในโลกกำลังแตก เสี่ยงกระทบระดับน้ำทะเล



- ปัญหาระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ทั่วโลก มีความเสี่ยงจะรุนแรงขึ้นเร็วกว่าที่เคยคิดไว้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า ธารน้ำแข็งสำคัญในขั้วโลกใต้กำลังแตกเร็วขึ้นกว่าเดิม

- ภาพจากดาวเทียมทำให้รู้ว่า ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของขั้วโลกใต้ กำลังเผชิญวิกฤตการณ์ ซึ่งอาจก่อให้เกิด วังวนอันตราย ที่ส่งผลให้หิ้งน้ำแข็งพังทลายลงในอนาคต

- การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดในทันที แต่จะค่อยๆ สะสมพลัง และสร้างความเสียหายมากขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว

ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤติที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ความสูงเฉลี่ยของน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ถึง 1 ซม.ต่อปี แต่มันสะสมมาเรื่อยๆ จนในปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในปี ค.ศ.1900 ราว 13-20 ซม.แล้ว นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะก่อนยุคปี 2000 ระดับน้ำทะเลโลกไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยช่วงปี 1900-1990 ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.2-1.7 มม. แต่ในปี 2000 ตัวเลขกลับเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 3.2 มม. และ 3.4 มม.ในปี 2016

นักวิทยาศาสตร์เห็นตรงกันว่า ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือมนุษย์ และระดับน้ำทะเลก็เริ่มสูงขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 ไม่นานหลังจากมนุษย์เริ่มเผาถ่านหิน, ก๊าซธรรชาติ และเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ก๊าซตัวนี้ดูดความร้อนจากดวงอาทิตย์และกักเก็บเอาไว้ ทำให้ชั้นบรรยากาศโลกร้อนขึ้น

และเมื่อโลกร้อนขึ้น ก็เกิด 2 ปัจจัยที่ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น อย่างแรกคือ การละลายของน้ำแข็งบนแผ่นดิน อย่างเช่น ธารน้ำแข็ง (glacier) และพืดน้ำแข็ง (ice sheet) ที่เพิ่มน้ำลงในทะเล และอย่างที่ 2 คือ การขยายตัวของน้ำอุ่นกินพื้นที่น้ำเย็นมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มสูง


รอยแยกที่หิ้งน้ำแข็ง ลาร์เซน ซี. เมื่อปี 2017

ธารน้ำแข็งอันตรายที่สุดในโลกกำลังแตก

อย่างที่ระบุไปข้างต้นว่า การละลายของธารน้ำแข็งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ในวันที่ 14 ก.ย. 2020 ผ่านมา ก็มีข่าวที่ไม่สู้ดีนักสำหรับสถานการณ์น้ำแข็งขั้วโลก เมื่อธารน้ำแข็ง "ไพน์ ไอส์แลนด์" (Pine Island) กับธารน้ำแข็ง 'ธเวตส์' (Thwaites) ในทะเลอามันด์เซน ทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้ กำลังแตกตัวมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นในระดับสูง

การละลายของธารน้ำแข็งขนาดมหึมาทั้งสองในช่วงที่ผ่านมา มีส่วนทำให้น้ำทะเลโลกเพิ่มขึ้นคิดเป็น 5% ของปริมาณที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด โดยธารน้ำแข็ง ธเวตส์ เป็นหนึ่งในก้อนนำ้แข็งขนาดใหญ่และไม่มั่นคงที่สุดในแอนตาร์กติกา มีพื้นที่มากกว่า 192,000 ตร.กม. ใกล้เคียงกับรัฐฟลอริดา และเกาะบริเตนใหญ่ ธารน้ำแข็งทั้งสองยังทำหน้าที่เป็นเหมือนหลอดเลือด เชื่อมต่อ 'พืดน้ำแข็งแอนตาร์ติกตะวันตก' กับมหาสมุทรด้วย


เครื่องบินของนาซา บินสำรวจ ธารน้ำแข็ง ไพน์ ไอส์แลนด์ ในปี 2011 เพื่อศึกษารอยแตกที่กำลังกระจายไปทั่วหิ้งน้ำแข็ง

การอยู่รอดของมันสำคัญถึงขนาดที่สหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักร ต้องทุ่มเทงบประมาณหลายล้านดอลลาร์เพื่อการศึกษาวิจัย เพราะหากธารน้ำแข็งทั้งสองหายไป ก็อาจกลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการถล่มเป็นวงกว้างของ พืดน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตก ซึ่งมีน้ำแข็งมากพอจะเพิ่มระดับน้ำทะเลได้ถึง 10 ฟุต

และผลการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ผ่านวารสารวิทยาศาสตร์ 'Proceedings of the National Academy of Sciences' เมื่อ 14 ก.ย. แสดงให้เห็นรอยแยกและรอยแตกมากมายบนธารน้ำแข็งทั้งสอง บ่งชี้ว่า ระบบเบรกตามธรรมชาติที่ป้องกันไม่ให้น้ำแข็งของ ไพน์ ไอส์แลนด์ กับ ธเวตส์ ไหลออกสู่ทะเล กำลังอ่อนแอลง และความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้การถดถอยของธารน้ำแข็งรวดเร็วขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่หิ้งนำ้แข็งของมันจะพังทลายในอนาคต


กำลังเกิดอะไรขึ้นกับธารน้ำแข็ง ไพน์ ไอส์แลนด์ และ ธเวตส์

ระบบเบรกดังกล่าว เกิดขึ้นจาก หิ้งน้ำแข็ง (ice shelf) ซึ่งเป็นแผ่นน้ำแข็งลอยน้ำขนานใหญ่ที่แผ่ขยายจากขอบนอกของธารน้ำแข็ง ออกไปในมหาสมุทร โดยในขณะที่มันแผ่ขยายออกไปในน้ำ หิ้งน้ำแข็งเหล่านี้จะถูกแช่แข็งไปบนไหล่เขาหรือเกาะต่างๆ และยึดตัวเองกับพื้นทะเล ทำให้มันกลายเป็นเหมือนระบบเบรกตามธรรมชาติ ไม่ให้น้ำแข็งไหลออกไป

แต่ผลการศึกษาใหม่ซึ่งใช้การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมตั้งแต่ ค.ศ. 1997-2019 พบว่า พื้นที่ที่เรียกว่า ?shear margin? ซึ่งเป็นจุดที่น้ำแข็งซึ่งไหลออกสู่ทะเลอย่างรวดเร็วมาพบกับน้ำแข็งที่ไหลช้าหรือก้อนหินเบื้องล่าง จนทำให้เกิดแรงเสียดทานและชะลอการไหลของน้ำแข็ง กำลังอ่อนแอลง ทำให้น้ำแข็งไหลออกไปเร็วขึ้น กอปรกับน้ำทะเลอุ่นที่กัดเซาะด้านล่างของหิ้งน้ำแข็งจนมันเปราะบาง ทำให้ shear margin บางจุดเริ่มแตกเป็นชิ้นๆ หมายความว่า ตอนนี้น้ำแข็งจากธารน้ำแข็ง ธเวตส์ จะเพิ่มลงสู่ทะเลไวยิ่งขึ้นอีก

นักวิทยาศาสตร์พบด้วยว่า shear margin ของธารน้ำแข็ง ไพน์ ไอส์แลนด์ ที่เริ่มมีรอยแตกตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 เสียหายเร็วขึ้นอย่างมากในปี 2016 โดยน้ำแข็งแตกกินพื้นที่เข้าไปเรื่อยๆ และมีรอยแตกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วบนน้ำแข็งใกล้กับ 'เส้นเกยตื้น' (grounding line) หรือจุดสุดท้ายที่ธารน้ำแข็งสัมผัสพื้นดินก่อนยกตัวขึ้นเหนือก้นสมุทรกลายเป็นหิ้งน้ำแข็งลอยตัว

นักวิจัยเตือนว่า กระบวนการนี้กำลังจะทำให้เกิดวังวน ซึ่งหิ้งน้ำแข็งที่อ่อนแอลงจะเร่งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ shear margin อันเปราะบาง ก่อนจะส่งผลย้อนกลับไปเป็นความเสียหายและการแตกตัวของหิ้งน้ำแข็งเอง และนั่นอาจทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้ในปัจจุบัน


ภาพถ่ายดาวเทียมในปี 2000 ของธารน้ำแข็ง ไพน์ ไอส์แลนด์ แสดงให้เห็นรอยแตกขนาดใหญ่ราว 400-500 เมตร


ธารน้ำแข็งขั้วโลกกำลังเผชิญวิกฤติ

เรื่องที่น่ากังวลเกี่ยวกับธารน้ำแข็ง ไพน์ ไอส์แลนด์ และ ธเวตส์ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะผลการวิจัยอีกฉบับที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อน พบว่า มีช่องทางอยู่ลึกลงไปในทะเลใต้ธารน้ำแข็ง ธเวตส์ ซึ่งอาจทำให้น้ำทะเลอุ่นไหลเข้าไปละลายน้ำแข็งจากภายในได้ และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการละลายของธารน้ำแข็งทั้งสอง เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา

นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 14 ก.ย. ว่า ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีก้อนน้ำแข็งขนาดรวมกว่า 44 ตารางไมล์ หรือ 2 เท่าของเมืองแมนฮัตตัน แตกออกจากหิ้งน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ของทวีปกรีนแลนด์ ในอาร์กติก หรือขั้วโลกเหนือ ยิ่งเพิ่มความกังวลว่าจะเกิดการแตกตัวอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในภูมิภาคนี้

ศ.สเตฟ แลร์มิตต์ ผู้เชี่ยวชายด้านการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี เดลฟ์ต ในเนเธอร์แลนด์ ผู้นำการวิจัยในครั้งนี้ กล่าวว่า ธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกากำลังอ่อนแอลงในทุกด้าน โดยเฉพาะจากเบื้องล่าง เพราะกระแสน้ำอุ่นกำลังเล่นงานฐานของธารน้ำแข็ง ทำให้มันอ่อนแอลง ซึ่งมันอ่อนแอลงมาเสียจน shear margin เริ่มแตกเป็นชิ้นๆ


ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่งผลกระทบอย่างไร?

ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ไม่ใช่จู่ๆ จะมีคลื่นยักษ์ถาโถมท่วมบ้านเรือนเหมือนกับในภาพยนตร์ แต่สัญญาณแรกของมันคือ พายุต่างๆ หรือแม้แต่คลื่นสูง จะก่อความเสียหายมากขึ้น เหตุน้ำท่วมน้อยใหญ่จะเกิดบ่อยขึ้น พื้นที่ชายฝั่งจะถูกกัดเซาะทีละเล็กละน้อย ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน

ตามข้อมูลของรอยเตอร์ส ที่เผยแพร่ในปี 2014 เมื่อช่วงยุคก่อนปี 1971 หลายเมืองในพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกของสหรัฐฯ มีระดับน้ำสูงถึงขั้นน้ำท่วมเฉลี่ยไม่ถึง 5 วันต่อปี ทว่านับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา ค่าเฉลี่ยกลับเพิ่มเป็น 20 วันต่อปี

การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลยังทำให้ เส้นแนวชายทะเลขยับเข้ามาในแผ่นดินมากขึ้น ส่งผลให้คลื่นพายุหนุนซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จ เข้าท่วมชุมชนได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการบุกรุกของน้ำเค็ม ทำลายพืชผลทางการเกษตร และเปลี่ยนแปลงสารเคมีในดิน น้ำเค็มยังสามารถไหลเข้าสู่แหล่งเก็บน้ำบาดาล ทำให้ดินเค็มเกินกว่าที่จะเพาะปลูก

แม้ว่าผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ถึงช้ามาก แต่หากมนุษย์ยังไม่สามารถควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ภายในไม่กี่ศตวรรษข้างหน้า พื้นที่ชายฝั่งที่ปัจจุบันเป็นที่อยู่ของประชาชนกว่า 470-760 ล้านคน จะจมอยู่ใต้บาดาล และลูกหลานของเราจะกลายเป็นผู้ที่ต้องรับเคราะห์


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1931417

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 19-09-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ทัพเรือจับอีกเรือประมงเวียดนาม 2 ลำ พร้อมลูกเรือ 10 คน ลอบทำประมงผิดกฎหมาย

ปัตตานี - ทัพเรือภาคที่ 2 จับอีกเรือประมงเวียดนาม 2 ลำ พร้อมลูกเรือ 10 คน ลักลอบทำประมงผิดกฎหมาย ก่อนนำตัวขึ้นฝั่งตรวจคัดกรองโควิด-19 เข้ม



วันนี้ (18 ก.ย.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวว่า มีเรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในทะเลอาณาเขตของประเทศไทย

พล.ร.ท.สำเริง จันทร์โส ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 จึงได้สั่งการให้ออกปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตรวจสอบ กระทั่งพบเรือประมงต่างชาติ 2 ลำ กำลังลักลอบทำการประมง จึงเข้าไปดำเนินการจับกุม พร้อมลูกเรือ 10 คน จากนั้นจึงประสานเรือลาดตระเวนประจวบคีรีขันธ์ ทำการควบคุมเรือประมงของกลาง และลูกเรือทั้งหมดเดินทางกลับเข้าฝั่ง ที่ท่าเทียบเรือหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จ.ปัตตานี

ต่อมา ได้นำลูกเรือประมงต่างด้าวทั้ง 10 คน ทำการตรวจวัดไข้ ตามมาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยทั้งหมดไม่มีอาการไข้ จากนั้นจึงนำส่งตัวไปไว้ศูนย์กักกันตัวชาวต่างด้าว ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ก่อนที่จะนำตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้เป็นการจับกุมครั้งที่ 15 ในปีงบประมาณ 2563 จำนวนเรือที่จับกุมรวม 31 ลำ ผู้ต้องหารวม 191 คน สำหรับพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 113,275 ตารางกิโลเมตร


https://mgronline.com/south/detail/9630000095792


*********************************************************************************************************************************************************


ทิชชู่เปียก-แผ่นอนามัย (ทิ้งลงชักโครกได้) อีกตัวการ! ล้างพลาสติกออกสู่ทะเลและชายฝั่งมากขึ้น


(จากซ้าย) Dr Liam Morrison, Ana Mendes, Ois?n? Briain ที่หาด Grattan ประเทศไอร์แลนด์

นักวิจัยจาก Earth and Ocean Sciences and the Ryan Institute เผยการสำรวจตะกอนบริเวณชาดหาดใกล้กับโรงงานบำบัดน้ำเสีย พบเส้นใยไมโครพลาสติกจำนวนมาก ซึ่งไมโครพลาสติกเหล่านั้นเป็นส่วนประกอบของ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด "ทิชชู่เปียกและแผ่นอนามัย"

แม้ทิชชู่เปียกบางยี่ห้อจะระบุว่า Flushable หรือ ทิ้งลงชักโครกได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะย่อยสลายได้ทั้งหมด เพียงแต่มันสามารถละลายไปกับน้ำโดยไม่อุดตันท่อน้ำทิ้งเท่านั้น หากส่วนที่เป็นเส้นใยไมโครพลาสติกยังคงอยู่ และไหลลงไปในทะเลในท้ายที่สุด

จากการทดสอบทิชชู่เปียกยี่ห้อต่างๆ ที่ระบุว่า flushable แต่ก็พบว่ามีถึง 50% ที่มีส่วนประกอบของพลาสติก
นักวิจัยได้นำตะกอนดินเหล่านั้นมาตรวจ พบว่าตะกอนดิน 1 กิโลกรัม มีเส้นใยไมโครพลาสติกถึง 6,083 ชิ้น ปะปนอยู่กับดินและสาหร่ายจนอาจจะแยกไม่ออก
.
นอกจากนี้ไมโครไฟเบอร์เหล่านั้นยังสามารถนำพาเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส ลงสู่ทะเลได้อีกด้วย ซึ่งในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 มี่การใช้ทิ้งชู่เปียกและแผ่นอนามัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนใช้เช็ดทำความสะอาดบ่อยครั้งกว่าช่วงปกติ.


ล้างเศษสิ่งปฏิกูลมารวมกันในทะเล ที่ชายหาดพบทั้งผ้าเช็ดทำความสะอาดเปียกและแผ่นอนามัยผสมกับสาหร่ายทะเล

นักวิจัยกล่าวว่า เส้นใยไมโครพลาสติกเหล่านี้ เป็นเส้นใยพลาสติกที่ใช้ในผ้าที่ไม่ผ่านการถักทอ (non-woven) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากให้ความสะดวกในการใช้ แต่กลับถูกประเมินผลอันตรายของมันน้อยเกินไปภายหลังจากที่ใช้แล้วทิ้ง "ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทอเป็นแหล่งไมโครพลาสติกที่ถูกประเมินต่ำในสิ่งแวดล้อมทางทะเล"


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000095530

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 19-09-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


โควิด-19: "เนื้อวาฬเป็นตัวแทนวัยเด็กและความทรงจำของผม" เจ้าของร้านอาหารในนอร์เวย์กล่าว


ปีนี้เนื้อวาฬมียอดขายดีขึ้นในนอร์เวย์

ขณะที่วิกฤตโควิด-19 สร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไปทั่วโลก ชาวนอร์เวย์เลือกที่จะไปเที่ยวในประเทศแทน

"สำหรับผม เนื้อวาฬเป็นตัวแทนวัยเด็กและความทรงจำของผม" ฟรูเดอ เรฟเคอ เจ้าของร้านอุสต์ & ซอนต์ (Ost & Sant) ร้านขายอาหารตำรับนอร์เวย์ในกรุงออสโล นครหลวงของประเทศ เล่า

"สปาเก็ตตี้ซอสโบโลเนสสูตรแม่ผมยังใช้เนื้อวาฬเลย ครั้งแรกที่ผมไปอิตาลี ผิดหวังมาก [สปาเก็ตตี้ที่นั่น]ไม่มีรสอะไรเลย"

แม้ไร้นักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ปีนี้ร้านเขามีชาวนอร์เวย์มาอุดหนุนมากขึ้น

สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเขาเริ่มขายเนื้อวาฬได้มากขึ้น


ปีนี้มีความต้องการเนื้อวาฬสูงขึ้นโดยจับวาฬมิงค์ไปเกือบ 500 ตัวแล้ว ... ที่มาของภาพ,MYKLEBUS WHALE PRODUCTS

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อุตสากรรมค้าเนื้อวาฬทำยอดขายได้สูงขึ้น

วาฬเป็นอาหารที่ผิดกฎหมายในเกือบทุกประเทศทั่วโลก คณะกรรมการว่าด้วยการล่าวาฬระหว่างประเทศ (IWC) ประกาศห้ามล่าวาฬในปี 1986 แต่มีนอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และญี่ปุ่น เท่านั้นที่ยังล่าวาฬต่อในระดับอุตสาหกรรม ขณะที่ชนเผ่าพื้นเมืองในอะแลสกา แคนาดา กรีนแลนด์ และรัสเซีย ยังล่าวาฬอยู่แต่ไม่ได้ทำในเชิงพาณิชย์

นอร์เวย์ไม่สนคำสั่งห้ามดังกล่าวโดยอ้างเหตุผลทางวัฒนธรรม และยืนยันว่าแม้การล่าวาฬจะมีภาพลักษณ์ไม่ดีแต่ก็ที่จริงแล้วเป็นอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

อเลสซานโดร แอสโตรเซอ ที่ปรึกษาอาวุโสกระทรวงการค้านอร์เวย์ ตั้งคำถามว่าทำไมเนื้อวาฬถูกมองว่าแย่กว่าแหล่งโปรตีนอื่นทั้ง ๆ ที่วาฬที่จับมาถูกเลี้ยงแบบปล่อย ไม่ได้เสี่ยงสูญพันธุ์ และก็ไม่ได้สร้างก๊าซมีเทนแบบการเลี้ยงวัวด้วย


Norwegian whalers boxing up whale meat on their ship
ที่มาของภาพ,MYKLEBUS WHALE PRODUCTS


บางฝ่ายตั้งคำถามว่าทำไมเนื้อวาฬถูกมองว่าแย่กว่าแหล่งโปรตีนอื่นทั้ง ๆ ที่วาฬที่จับมาถูกเลี้ยงแบบปล่อย ไม่ได้เสี่ยงสูญพันธุ์

แล้วรสชาติมันเป็นอย่างไร

ชาวนอร์เวย์ใช้คำว่า "tran" ซึ่งไม่สามารถแปลเป็นอังกฤษแบบตรง ๆ ได้ ใกล้เคียงที่สุดคือมันมีรสคล้ายน้ำมันตับปลา บวกกับลักษณะที่เหมือนเนื้อวัว และรสเกลือเค็ม ๆ

หากคุณคิดว่าเนื้อวาฬไม่น่ากินเลย มีคนอื่นที่คิดเหมือนกัน

ชาวนอร์เวย์ต้องการเนื้อวาฬน้อยลงเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเมื่อปี 2019 มีการจับวาฬมิงค์น้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 429 ตัวจากที่มีทั้งหมดมากกว่า 100,000 ตัวในทะเลนอร์เวย์และแบเรนต์ส


ชาวนอร์เวย์นิยมกินเนื้อวาฬมาตั้งแต่ในอดีต

มาปีนี้มีความต้องการเนื้อวาฬสูงขึ้นโดยมีการจับวาฬมิงค์ไปเกือบ 500 ตัวแล้ว

เอยวิน ฮาราม จากสหพันธ์อาหารทะเลนอร์เวย์ บอกว่าโควิด-19 ไม่ใช่เหตุผลเดียว เขาบอกว่าโครงการรณรงค์ให้คนกลับมานิยมกินเนื้อวาฬที่เขาผลักดันเริ่มเห็นผลแล้ว

เขาบอกว่าเริ่มส่งเสริมการกินเนื้อวาฬทางโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นปีก่อนฤดูล่าวาฬแล้ว

เขาบอกว่าวาฬเป็นสินค้าท้องถิ่น ไม่ต้องขนส่งไกล มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีความยั่งยืนเพราะล่าไม่เกินกำหนดโควต้าในแต่ละฤดูกาลด้วย

นอกจากพยายามเชื้อชวนวัยรุ่นให้หันมากินเนื้อวาฬมากขึ้น เขายังร่วมงานกับเชฟชื่อดังของนอร์เวย์อย่าง โจนาธาน โรมาโน ด้วย

โรมาโน โตมาในบ้านที่มีเชื้อสายฟิลิปปินส์จึงไม่ได้กินเนื้อวาฬตั้งแต่เด็ก แต่ความคิดก็เปลี่ยนไปเมื่อได้มาเจอกับ เอยวิน ฮาราม

"ปัญหาคือ ตามธรรมเนียมคุณกินเนื้อวาฬในสตูว์กับน้ำเกรวี่ เนื้อกลายเป็นแข็งและมีรสชาติออกเหมือนโลหะ ทั้ง ๆ ที่คุณควรทอด เอาไปนาบกระทะและปล่อยให้เนื้อตรงกลางยังดิบอยู่"

โรมาโน เชื่อว่าจะมีเชฟหันมาใช้เนื้อวาฬทำอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ

เหมือนกับธุรกิจที่มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณอื่น ๆ การล่าวาฬเป็นธุรกิจที่ส่งต่อกันจากพ่อสู่ลูก ในช่วงที่ผ่านมา แทบไม่มีการจ้างงานใหม่เพื่อออกไปล่าวาฬเลยแม้ว่ามีโอกาสที่คน ๆ หนึ่งจะทำเงินได้ถึง 1.6 ล้านโครน หรือราว 5.5 ล้านบาทต่อปี และรัฐบาลก็พยายามลดขั้นตอนยุ่งยากโดยหวังให้คนหันมาทำธุรกิจนี้แล้ว

เซียรี มาร์ตินเซิน จากกลุ่มต่อต้านการล่าวาฬ โนอาห์(Noah) บอกว่า คนหนุ่มสาวจะไม่หันมากินเนื้อวาฬ โดยบอกว่ามีคนนอร์เวย์เพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่กินเนื้อวาฬเป็นประจำ

แต่ อูเลอ มูเลอบัสต์ ไม่คิดอย่างนั้น บริษัทเขาเป็นผู้ขายเนื้อวาฬมากกว่าร้อยละ 20 ของทั้งหมดในประเทศ และยังเป็นผู้ส่งออกไปญี่ปุ่นรายเดียวของนอร์เวย์ด้วย

เขาบอกว่าขายเนื้อวาฬให้เครือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์มากขึ้น และคาดว่าจะมากกว่านี้อีกในปีหน้า

กลับมาที่ร้านอุสต์ & ซอนต์ ฟรูเดอ เรฟเคอ บอกว่า เขาเริ่มเอาเนื้อวาฬมาขายแค่สนุก ๆ เท่านั้น แค่สงสัยว่าคนจะชอบไหม

"แต่ไม่กี่เดือน มันกลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมที่สุดในร้าน"


https://www.bbc.com/thai/international-54192699

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:46


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger