เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 13-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 13 กันยายน 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านประเทศเมียนมาและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้

สำหรับทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 13 ? 14 ก.ย. 66 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลงแต่ยังคงมีฝนตกหนักบางพื้นที่

ส่วนในช่วงวันที่ 15 ? 18 ก.ย. 66 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยยังคงมีกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง ตลอดช่วง โดยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 13-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ภัย! ทิ้งกากมลพิษปี 66 สารปนเปื้อนพิษร้าย ............... สกู๊ปหน้า 1



ประเทศไทยยังต้องเผชิญ "การลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม" ที่ได้ก่อให้เกิดการปนเปื้อนสารอันตรายสู่ "ดิน-แหล่งน้ำ" ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งมีชีวิตร้ายแรง แล้วพื้นที่สุ่มเสี่ยงสูงคงหนีไม่พ้น "ภาคกลางและภาคตะวันออก" มักปรากฏร่องรอยซากสารเคมีถูกทิ้งมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนใหญ่มักเป็น "พื้นที่ของเอกชน บ่อดินเก่า และที่รกร้างว่างเปล่า" ตามข้อมูลมูลนิธิบูรณะนิเวศรวบรวมมาตั้งแต่ปี 2560-30 มิ.ย.2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 395 เหตุการณ์ แบ่งเป็นปล่อยน้ำเสีย 260 เหตุการณ์ ทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม 90 เหตุการณ์ ทิ้งขยะติดเชื้อ 18 เหตุการณ์ ทิ้งขณะทั่วไป 27 เหตุการณ์

ถ้าแยกเป็นรายจังหวัดพื้นที่ทิ้งสูงสุด 5 อันดับ คือ จ.ระยอง 40 เหตุการณ์ จ.ชลบุรี 30 เหตุการณ์ จ.ปราจีนบุรี 27 เหตุการณ์ จ.สมุทรสาคร 26 เหตุการณ์ จ.นครราชสีมา 20 เหตุการณ์ โดยเฉพาะปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย.มีปล่อยน้ำเสีย 25 เหตุการณ์ ทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม 10 เหตุการณ์ ขยะทั่วไป 3 เหตุการณ์

อย่างล่าสุดที่ "อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา" ในระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรมปิดประกาศคำสั่งให้บริษัทเอกชนแก้ไขการประกอบกิจการโรงงานรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม ก็พบเห็นกากถูกทิ้งกระจัดกระจายในโรงงานปล่อยทิ้งลงในร่องน้ำต่างๆ เรื่องลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมนี้ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ บอกว่า

จริงๆแล้วภาพรวม "การลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม" สถานการณ์ผิวเผินดูเหมือนเงียบๆ แต่ว่าปัญหายังคงเกิดขึ้น "ส่งผลกระทบชุมชนร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง" ส่วนใหญ่เป็นโรงงานรีไซเคิลกากของเสียอุตสาหกรรมที่ได้รับอนุญาตแล้วลักลอบฝังกลบทั้งในโรงงาน และขนย้ายออกนอกพื้นที่ไปทิ้งในหลายจังหวัด

ไม่ว่าจะเป็น "ภาคกลางและภาคตะวันออก" โดยเฉพาะพื้นที่ EEC แล้วมีหลายกรณีสามารถตรวจเจอ ?การลักลอบทิ้ง? เพียงแต่ว่าผู้ประกอบการมักอ้างไม่สามารถรับผิดชอบความเสียหายได้

ยิ่งกว่านั้น "กฎหมายยังไม่สามารถจัดการกับผู้กระทำผิดได้มาก" เช่นกรณีซุกซ่อนสารเคมีอันตรายหลายชนิดในโกดังเก่าใน อ.ภาชี จ.พระนคร ศรีอยุธยาจากบริษัทเอกชนเชื่อมโยงกับโรงงานรีไซเคิลกากของเสียอุตสาหกรรม ใน อ.อุทัย กรณีเจ้าหน้าที่พบร่องรอยการเททิ้งกากอุตสาหกรรมในโรงงานไม่ได้บำบัดกำจัดอย่างถูกวิธี

ทั้งยังตรวจพบการต่อท่อสายยางและท่อพีวีซีจากบ่อกักเก็บของเหลวเททิ้งพื้นที่ภายนอก ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อพื้นที่เกษตรกรรมข้างเคียงที่นับเป็นการกระทำความผิดอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมกลับพบว่า "โรงงาน 2 แห่งนี้มีเจ้าของเดียวกัน" แถมยังเชื่อมโยงต่อเนื่องกับกรณีปัญหามลพิษเกิดจากโรงงานใน อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ และ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แล้วปัจจุบันก็ตกเป็นจำเลยในคดีที่ประชาชนฟ้องเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และให้หยุดประกอบกิจการด้วย

ทั้งยังเชื่อมโยงกรณีการลักลอบทิ้งในพื้นที่เอกชน ต.บ้านดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี รวมถึงโรงงานรีไซเคิลกากของเสียอุตสาหกรรม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่ปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำกระทบพื้นที่เกษตรกรรมจนชาวบ้านฟ้องร้อง ทำให้ศาลจังหวัดระยองมีคำพิพากษาให้โรงงานชดใช้เงินให้ชาวบ้าน พร้อมฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบด้วย

ฉะนั้นแล้วทั้ง 5 เหตุการณ์ล้วนเป็นการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จาก "ผู้ประกอบการรายเดียวกัน" ที่ก่อปัญหาส่งผลกระทบทำให้ดิน แหล่งน้ำ และน้ำใต้ดินปนเปื้อนอย่างรุนแรง

ปัจจุบันนี้ทราบว่า "ผู้ประกอบการรายนี้ขายกิจการหนีความผิดแล้ว" แต่ด้วยลักษณะความผิดค่อนข้างสร้างความเสียหายต่อ "สิ่งแวดล้อมมหาศาล" แค่กรณีเฉพาะความเสียหายใน ต.บ้านดีลัง อ.พัฒนานิคม "กรมควบคุมมลพิษ" เคยประเมินการฟื้นฟูจุดนี้ให้กลับมาเหมือนเดิมต้องใช้เงินพันกว่าล้านบาท

แม้แต่ในส่วน "การลักลอบทิ้งใน อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา" ก่อนหน้านี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเคยเชิญบริษัทรับกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมมาหารือ 10 บริษัท เพื่อหาทางแก้ปัญหาฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนก็ไม่สามารถจัดการได้ ทำให้ปัจจุบันพื้นที่ทิ้งกากของเสียทั้ง 5 จุดยังคงปล่อยทิ้งไว้ไม่มีการดำเนินการใดๆ

เรื่องนี้คงต้องเฝ้าดู "รัฐบาลชุดใหม่" จะมีแผนนโยบายดำเนินการกับกลุ่มลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างไร? เพราะส่วนตัวรู้สึกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลายดูเหมือนจริงจังแต่ก็ยังไม่เข้มงวดเด็ดขาด

สังเกตจากการลักลอบทิ้งกากของเสียฯ "ยังเป็นปัญหาในหลายระดับหลายพื้นที่" แล้วในเรื่องนี้ก็คงต้องกล่าวโทษหน่วยงานที่รับผิดชอบ "ไม่อาจบังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบ และกำกับกิจการโรงงานจริงจัง" ทำให้มีจุดบกพร่องเยอะแยะมากมายจนไม่สามารถติดตามตรวจสอบการกำกับดูแลได้อย่างเคร่งครัด

หนำซ้ำ "การดำเนินคดีผู้กระทำความผิดก็ไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร" ส่วนหนึ่งก็มาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความแล้ว ?กระบวนการสอบสวนล่าช้ามักมีปัญหาติดขัด? กลายเป็นคนทำผิดไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ทำให้มีการกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งอยู่เช่นนี้

เหตุนี้ทำให้ "หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน" มีการพูดคุยประเด็นผลกระทบการลักลอบทิ้งกากของเสียฯอันสร้างความเสียหายมหาศาล "ควรต้องมีมาตรการลงโทษกับโรงงานแหล่งกำเนิดด้วย" เพราะเป็นบุคคลจ้างให้โรงงานรีไซเคิลกากของเสียฯ "ขนย้ายไปกำจัด" แต่กลับไปไม่ถึงการกำจัดอย่างถูกต้อง

มีผลให้นำไปสู่ "ซุกซ่อนตามพื้นที่ต่างๆ หรือฝังกลบอย่างไม่ถูกวิธีในโรงงาน" ทำให้ดินปนเปื้อนใช้ประโยชน์ไม่ได้ แล้วสารอันตรายผิวดินซึมผ่านลงน้ำใต้ดิน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนตามมา

ประเด็นนี้ "กรมโรงงานอุตสาหกรรม" จึงปรับปรุงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ.2566 โดยกำหนดความรับผิดชอบตั้งแต่ต้นทางโรงงานผู้ก่อกำเนิด ไปจนกว่าสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจะได้รับการจัดการจนแล้วเสร็จต่างจากเดิมความรับผิดชอบสิ้นสุดเมื่อโรงงานผู้รับกำจัดได้รับมอบ

แล้วกฎกระทรวงฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 พ.ค.2566 มีผลบังคับใช้วันที่ 1 พ.ย.นี้ "ผู้ก่อกำเนิดของเสียโรงงานทั่วประเทศ" ต้องรายงานประจำปีเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว

ในส่วน "ผู้รับบำบัดกำจัดของเสีย" โรงงานลำดับที่ 101,105 และ 106 ต้องจัดส่งรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับการจัดการวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ อันจะมีผลนับถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น

ฉะนั้นประกาศกระทรวงฉบับใหม่นี้ "นับเป็นการขยับอีกขั้นในการเอาผิดผู้ก่อกำเนิดกากของเสียอุตสาหกรรม" แม้การลักลอบจะถูกฝังกลบไปนานเท่าใดก็ตาม แต่หากเกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมภายหลัง "เจ้าหน้าที่รัฐ" สามารถสืบสวนสอบสวนย้อนหลังไปสู่ต้นกำเนิดปัญหาเจ้าของกากนั้นก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นเดิม

ทำให้ในปีนี้ "การลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมน้อยลง" เพราะมีการเพิ่มบทลงโทษและเฝ้าระวังมากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่า "กฎกระทรวงบางฉบับยังเปิดให้ฝังกลบกากอุตสาหกรรมไม่อันตรายในโรงงานได้" แล้วเมื่อฝังกลบก็มักไม่มีใครตรวจสอบ ทำให้มีการลักลอบสอดไส้กากอุตสาหกรรมอันตรายฝังกลบลงไปด้วย

อย่างไรก็ดี ฝากถึง "รัฐบาลชุดใหม่" ต้องมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน ทั้งต้องให้ความสำคัญในการแก้ปัญหามลพิษจากการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมจริงจัง แล้วเร่งฟื้นฟูการปนเปื้อนมลพิษบริเวณจุดลักลอบทิ้งนั้น โดยเฉพาะการติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีที่ต้องมีความเด็ดขาดทุกกรณี

ย้ำว่าเมื่อกฎกระทรวงออกมาแล้ว "หน่วยงานที่รับผิดชอบ" ต้องบังคับใช้กฎหมายในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินคดีเฉียบขาดทุกกรณีกับ ?ผู้ลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรม? เพื่อให้คนทำผิดเกิดความเกรงกลัวต่อการกระทำนั้น.


https://www.thairath.co.th/news/local/2724436

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 13-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


สร้างทับรางนํ้า! ชาวเกาะหลีเป๊ะสุดระทม บ้านถูกนํ้าท่วมทั้งที่ตั้งอยู่บนเกาะ

ชาวเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล สุดระทม บ้านเรือนหลายหลังยังคงถูกน้ำท่วม หลังจากที่มีฝนตกหนักตลอดทั้งวัน พบสาเหตุรางนํ้าถูกอ้างกรรมสิทธิ์สร้างทับปิด จนทำนํ้าระบายออกไม่ทัน ทั้งที่ตั้งอยู่ในทะเล



เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เกิดฝนตกอย่างหนักที่ จ.สตูล ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ และระดับน้ำท่วมในหลายพื้นที่ดังกล่าวนั้น เริ่มแห้งขอดกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ที่บนเกาะหลีเป๊ะ ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล นั้นยังคงมีน้ำท่วมขัง ส่งผลให้บ้านเรือนชาวเลหลายหลังคาเรือนถูกน้ำท่วมได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า แม้ทางราชการได้มีการระดมเครื่องสูบน้ำเข้าไปติดตั้งเพื่อเร่งสูบน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ชั้นในออกกันอย่างเร่งด่วนแล้วก็ตาม

แต่ที่ "ชุมชนกรือโป๊ะ" เป็นชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ที่เป็นชุมชนทางผ่านไป-มาของนักท่องเที่ยว และอยู่กลางเกาะ พบว่ายังมีน้ำท่วมขังรอการช่วยเหลืออยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ชาวบ้านบอกว่าปัญหาบนเกาะหลีเป๊ะนั้น เมื่อมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ปริมาณน้ำที่ท่วมขังจะไม่สามารถสูบออกจากเกาะหลีเป๊ะได้ เพราะว่าไม่มีช่องทางน้ำที่จะระบายน้ำออก เนื่องจากลำรางถูกก่อสร้างปิดทับ แถมมีการอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดิน ฉะนั้นจึงส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังซ้ำซากและยาวนาน จากน้ำฝนที่ท่วมขังกลายเป็นน้ำเน่า ดังนั้นอยากให้ทางราชการเร่งสูบน้ำที่กำลังท่วมอยู่บนเกาะออกไปในทะเล


https://www.dailynews.co.th/news/2712508/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 13-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


พบปลาโรนันขนาดใหญ่ สัตว์หายากใกล้สูญพันธุ์ติดหาดแหลมเกด



ประจวบคีรีขันธ์ - พบปลาโรนันขนาดใหญ่ สัตว์ทะเลหายากใกล้สูญพันธุ์ เกยตื้นที่หาดแหลมเกด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ช่วยกันผลักดันออกสู่ทะเลได้สำเร็จ

ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจากนายพรหมสิงห์ สิงหเสนี อาสาสมัครอนุรักษ์พิทักษ์สิ่งแวดล้อมทะเลปราณบุรี ว่า มีชาวบ้านพบสัตว์ทะเลขนาดใหญ่เกยตื้นชายหาดแหลมเกด ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และมีชาวบ้านบันทึกเหตุการณ์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทีมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย อบต.ปากน้ำปราณ และชาวบ้านกลุ่มหนึ่งช่วยกันจับและนำไปปล่อยสู่ทะเลได้สำเร็จ ซึ่งปลาโรนันตัวนี้มีขนาดความยาวประมาณกว่า 2 เมตร หนักประมาณ 80 กิโลกรัม พร้อมได้เรียกเสียงชื่นชมจากชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่คอยลุ้นให้กำลังใจ

จากการสอบถาม นายอัครพล วงศ์น้อย เลขานุการนายก อบต.ปากน้ำปราณ ผู้ให้การช่วยเหลือกล่าวว่า ช่วงประมาณ 7 โมงครึ่งมีชาวบ้านได้แจ้งนายก อบต.ปากน้ำปราณ ว่าเจอปลาฉลามอยู่ชายหาดที่ว่ายออกสู่ทะเลไม่ได้ติดตาวน ตั้งแต่ตาลสามต้น พอมาดูตอนแรกยังไม่รู้ว่าเป็นปลาฉลามโรนัน คิดว่าเป็นฉลามธรรมดา พอเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าเป็นปลาโรนัน เราช่วยต้อนจากหน้าหาดตาลสามต้นมาถึงหน้าหาดกาสะลอง เพื่อจะยกข้ามสันทราย

โรนันตัวนี้ตัวใหญ่ ความยาวน่าจะประมาณ 2 เมตร น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม ตอนนั้นเหมือนมีสภาพอิดโรย เพราะว่าน่าจะเกยตื้นตั้งแต่กลางคืน อาจจะไล่พวกปลาพวกอะไรกินแล้วกลับข้ามไม่ทันน้ำลงเลยติดอยู่ที่ตาวน พอน้ำทะเลขึ้นเริ่มข้ามสันทราย เราช่วยกันยกแล้วดันตัวออกค่อนข้างยากเพราะตัวใหญ่และสะบัดแรง ต้องใช้ประมาณ 4 คนช่วยกันยกแล้วดันเข้าไป รู้สึกดีใจที่ช่วยชีวิตสัตว์หายากไว้ได้ งานนี้ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง

สำหรับ ปลาโรนัน เป็นปลากระดูกอ่อน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลามแต่มีส่วนหัวแบนแหลมเหมือนปลากระเบน ซึ่งเป็นรอยต่อของวิวัฒนาการจากปลาฉลามมาถึงปลากระเบน โดยวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคจูราสสิกตอนต้น พบในเขตน้ำอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก ทั้งทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปแอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลียทางตอนเหนือ

ปลาโรนัน มีปากอยู่บริเวณด้านล่างของลำตัวเหมือนปลากระเบน หรือปลาฉนาก อาศัยและว่ายน้ำรวมกันเป็นฝูงใหญ่ โดยปกติปลาตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้มาก ออกลูกเป็นตัว โดยไข่พัฒนาอยู่ในลำตัวแม่ เป็นปลาที่พบได้น้อยและมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์แล้วทุกชนิด ในน่านน้ำของไทยเคยพบอยู่บ้างในอดีตทั้งทะเลอันดามันและอ่าวไทย และเคยถูกเบ็ดหรือแหของชาวประมงเกี่ยวติดขึ้นมาบ้าง แต่มิได้ตั้งใจเพราะมิใช่ปลาเศรษฐกิจ อีกทั้งยังนิยมตกเป็นเกมกีฬา ถูกพบเห็นบ้างโดยนักดำน้ำที่หมู่เกาะสิมิลัน และรอบกองหินริเชริว ปลาโรนันขนาดโตเต็มที่อาจมีขนาดได้ถึง 3 เมตร น้ำหนักกว่า 200 กิโลกรัม ที่พบในน่านน้ำไทย

ฉะนั้น จึงวิงวอนขอให้พี่น้องเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ผู้ประกอบการเดินเรือ และชาวประมงในพื้นที่ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลและเฝ้าระวังการเกยตื้นซ้ำ หรือการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อปลาชนิดนี้ รวมไปถึงสัตว์ทะเลหายากทุกชนิด หากพบเจอสถานการณ์แบบนี้ให้แจ้งเบาะแสมาได้ที่สายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร.1362 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จะประสานไปยังหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อเข้าตรวจสอบและดำเนินการได้


https://mgronline.com/local/detail/9660000082228

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 13-09-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


รู้จักเทคโนโลยีเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด อีกหนึ่งทางเลือกช่วงภัยแล้ง



นวัตกรรมการเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด สำหรับใช้อุปโภคบริโภคจะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ถอดด้าม แต่ว่าด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ขณะนี้ราคาต้นทุนต่อหน่วยการผลิตน้ำถูกลงเรื่อยๆ เป็นอีกทางออกในการแก้ภัยแล้งช่วงฤดูแล้งที่จะถึงนี้

จากสภาวะภัยแล้งที่ส่อเค้าทวีความรุนแรงในช่วงปลายปี อันเป็นผลมาจากปรากฎการณ์เอลนีโญกำลังแรงช่วงปีนี้ ทำให้หลายภาคส่วนต่างวิตกกังวลถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ เมื่อปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ต่างร่อยหรอ ไม่เพียงพอต่อความต้องการน้ำในช่วงฤดูแล้ง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปริมาณน้ำจืดบนฝั่งอาจลดต่ำจนไม่พอใช้ แต่ในมหาสมุทรยังมีน้ำปริมาณมหาศาลที่อาจช่วยทดแทนความต้องการน้ำในช่วงหน้าแล้งนี้ได้


เปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด ทำได้ไง?

จากข้อมูล ฐานข้อมูลความรู้ทางทะเล โดยสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การผลิตน้ำประปาโดยทั่วไปจะเลือกผลิตน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูก และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่สำหรับในบางพื้นที่ที่สภาพภูมิประเทศไม่เหมาะสม ปริมาณน้ำจืดขาดแคลน แต่ว่าอยู่ใกล้ชายฝั่ง สามารถเข้าถึงน้ำทะเลได้ การเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับการอุปโภค บริโภค และการชลประทาน

สำหรับการเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดจำเป็นจะต้องใช้เทคโนโลยีการกรองน้ำแบบรีเวอร์สออสโมซีส (Reverse Osmosis: RO) ที่ใช้แรงดันสูงดันน้ำทะเลผ่านเยื่อกรองที่มีรูขนาดเล็กเพื่อกรองแร่ธาตุ เกลือ และสารตกตะกอนต่างๆ ออกจากน้ำทะเล ทำให้น้ำจืดออกมาและพร้อมป้อนเข้าสู่ระบบจ่ายน้ำประปา

ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า เนื่องจากการกรองน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด ต้องผ่านตัวกรองที่มีความละเอียดมาก จึงทำให้จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูง ดังนั้นต้นทุนการผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเลจึงสูงมากถึง 40 บาท ต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร ในขณะนี้น้ำประปาทั่วไปที่เราใช้กันอยู่นั้นมีราคาตกอยู่เพียง 10 บาท ต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร

นอกจากนี้ ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าวว่า

นอกจากต้นทุนราคาที่สูงแล้ว การเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดยังมีอีกหนึ่งผลกระทบที่ควรระวังนั่นคือ การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลจะทิ้งของเสียเป็นน้ำเค็มจัดถึงครึ่งต่อครึ่ง น้ำเค็มจัดเหล่านี้เป็นผลมาจากการกรองเอาเกลือและแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำทะเลออก ดังนั้นเมื่อมีการตั้งโรงผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลแล้ว หนึ่งในข้อควรระวังคือต้องมีการจัดการน้ำเค็มจัดเหล่านี้อย่างเหมาะสม

"น้ำเค็มจัดเหล่านี้ปกติจะมีการปล่อยกลับลงสู่ทะเล แต่ถ้าหากมีการปล่อยน้ำเค็มจัดเหล่านี้ทิ้งโดยใม่ระวัง อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมได้ เพราะน้ำปล่อยทิ้งเหล่านี้มีความเค็มจัดเกินกว่าสัตว์ทะเลจะทนได้ โดยปกติแล้วน้ำเค็มจัดเหล่านี้จึงถูกส่งต่อท่อไปปล่อยกลางทะเล" ผศ.ดร.สิตางศุ์ อธิบาย


ความเป็นไปได้ในการเอามาใช้กู้ภัยแล้ง

สำหรับในประเทศไทยที่มีทรัพยากรน้ำจืดอย่างอุดมสมบูรณ์ เราอาจไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดสำหรับการอุปโภคบริโภคเท่าใดนัก หากแต่เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศที่ใกล้ทะเลแต่ขาดแคลนน้ำจืดอย่างเช่น สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือซาอุดิอาระเบีย โดยเมืองใหญ่กลางทะเลทรายแต่ติดทะเลอย่าง ดูไบ มีอัตราการพึ่งพิงน้ำจืดจากโรงกรองน้ำทะเลถึง 80%

ในขณะที่สิงคโปร์ ต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำจืดจากมาเลเซียเป็นปริมาณมหาศาลในทุกๆ ปี ก็กำลังปรับลดการพึ่งพาน้ำจืดนำเข้าลง ด้วยการเปิดโรงกรองน้ำจืดจากน้ำทะเลเป็นของตนเองนับตั้งแต่ปี 2005 (พ.ศ.2548) โดยในปัจจุบันสิงคโปร์สามารถผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลหล่อเลี้ยงประชากรได้ถึง 10% ของความต้องการน้ำทั้งหมด

ประเทศไทย เองก็เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดแล้วเช่นกัน โดย ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าวว่า หนึ่งในพื้นที่ที่ริเริ่มใช้น้ำจืดจากการกรองน้ำทะเลแล้วนั่นก็คือ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่มีบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทิลิตี้ส์ จำกัด (ยูยู) เป็นผู้นำเทคโนโลยีการผลิตน้ำประปาจากน้ำทะเล โดยใช้ระบบรีเวอร์ส ออสโมซีส (RO) เป็นรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

"ดิฉันมองว่าการเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืดถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการผลิตน้ำสะอาด สำหรับพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำจืดและอยู่ใกล้ทะเล อย่างเช่นตามเกาะแก่งต่างๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการขนน้ำจืดข้ามฝั่งไปจะมีราคาแพงกว่ามาก อย่างเช่น บนเกาะพีพี ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำค่อนข้างสูงจากการท่องเที่ยว แต่มีปริมาณน้ำจืดบนเกาะน้อย และการขนน้ำจืดข้ามทะเลมามีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้ค่าน้ำแพงถึง 100 ? 250 บาทต่อคิว (1 ลูกบาศก์เมตร)" ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าว

นอกจากนี้ เนื่องด้วยต้นทุนการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลที่เริ่มถูกลงแล้ว ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าวว่า การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ทดแทนการใช้ทรัพยากรน้ำจืดที่เริ่มร่อยหรอจากสภาวะฝนแล้งในพื้นที่อย่างเช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีปริมาณการใช้น้ำสำหรับภาคอุตสาหกรรมสูง แต่ปริมาณน้ำจืดในพื้นที่ไม่พอเพียง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยบรรเทาความกระหายน้ำของภาคส่วนต่างๆ ในช่วงฤดูแล้งนี้ แต่การบริหารจัดการน้ำและการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ยังถือเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกภาคส่วนจะมีน้ำใช้อย่างพอเพียง และไม่รบกวนธรรมชาติมากจนเกินไป


https://www.nationtv.tv/gogreen/378930003

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:56


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger