เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 21-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อน แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้า รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอก

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนลง และการระบายของอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้า
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 21 ? 22 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อน แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ในขณะที่ลมตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่างและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 23 - 26 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ และอุณหภูมิจะลดลงกับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1 - 3 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณตอนล่าง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 21 - 22 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้า รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอก ส่วนในช่วงวันที่ 23 - 26 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 21-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


เตือนแมงกะพรุนไฟสีชมพูโผล่ทะเลเกาะห้า จ.กระบี่ พิษร้ายแรง

กระบี่ - อุทยานลันตา กระบี่ ออกเตือนให้นักท่องเที่ยวระวัง "แมงกะพรุนไฟ" สีชมพู ลอยโผล่ทะเลเกาะห้าจำนวนมาก พิษร้ายสุดอันตราย



วันนี้ (20 ม.ค.) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ นำเรือตรวจการณ์ออกลาดตระเวนแจ้งประชาสัมพันธ์เตือนผู้ประกอบการนำเที่ยว นักท่องเที่ยวที่เล่นน้ำทะเลบริเวณเกาะห้า และพื้นที่ใกล้เคียงให้ระวังอันตราย หลังจากพบแมงกะพรุนไฟ ชื่อแมงกะพรุนสีชมพู ลอยอยู่ในทะเลเป็นจำนวนมาก บริเวณเกาะห้า แหล่งท่องเที่ยวดำน้ำ ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ หากนักท่องเที่ยวจะไปสัมผัสจะทำให้ได้รับอันตรายได้

เนื่องจากแมงกะพรุนชนิดดังกล่าวมีพิษร้ายแรง หากสัมผัสโดยตรงจะปวดแสบปวดร้อน บางคนมีอาการแพ้ขั้นรุนแรงจะต้องไปพบแพทย์โดยทันที การแก้พิษเบื้องต้นเมื่อถูกแมงกะพรุนไฟ โดยการใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่ถูกพิษ และนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

นายพันธ์พงศ์ คงแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดการบลูมของแมงกะพรุน อาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมหลายปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศตามฤดูกาล อุณหภูมิ การลดลงของจำนวนปลาในช่วงนั้นๆ ปรากฏการณ์ยูโทรฟิค องค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมาจะทำให้ปริมาณอาหาร และสภาพแวดล้อมในระบบนิเวศเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตและการสืบพันธุ์ของแมงกะพรุนมากขึ้น ส่วนอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ลดลง สามารถชักนำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของแมงกะพรุนได้เช่นเดียวกัน ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการกระแพร่กระจายของแมงกะพรุน


https://mgronline.com/south/detail/9670000005888


******************************************************************************************************


ฮือฮา! พบ "ปลาโมล่า" ปลามหาสมุทรสุดน่ารักในทะเลไทย


ภาพจากในคลิปจากเจ้าของคลิปที่ไม่ประสงค์ออกนาม

ดร.ธรณ์ ยืนยันพบ "ปลาโมล่า" ในทะเลอันดามัน ซึ่งปลาโมล่าเป็นปลามหาสมุทรที่โอกาสเจอในทะเลแทบจะไม่มี คาดอาจจะหนีมาในช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญในมหาสมุทรอินเดีย

เฟซบุ๊ก "Thon Thamrongnawasawat" หรือ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ระบุข้อความว่า

น่าจะเป็นครั้งที่สองที่เราเจอโมล่าใต้น้ำในทะเลไทย พี่ๆ ที่เจอจึงส่งคลิปมาให้ผมลงไว้เป็นหลักฐานครับ

โมล่าเป็นปลามหาสมุทร จะแวะเข้ามาใกล้ฝั่งตามเกาะกลางทะเล น้ำลึก น้ำเย็น จึงแทบไม่โผล่มาในทะเลไทย แม้เป็นอันดามันก็ตามเถอะ

แต่ IOD ปรากฏการณ์ในมหาสมุทรอินเดียทำให้อะไรก็เป็นไปได้ ตัวประหลาดโผล่มากันเพียบ

จุดที่เจอคือหินม่วง/หินแดงเป็นกองหินกลางทะเลกระบี่/ตรัง น้ำลึกกว่าแนวปะการังชายฝั่ง

ผู้ที่พบแจ้งว่า เจอที่ความลึก 31 เมตร ตามสายทุ่นจอดเรือที่อยู่นอกกองหิน ปลาว่ายเข้ามาดูและว่ายออกไปอย่างเร็ว ไม่กลับเข้ามาอีก

หากย้อนไปเมื่อเดือนก่อน มีข่าวว่าชาวประมงล้อมอวนติดโมล่า 2-3 ตัว ก่อนรีบปล่อยลงทะเล ทำให้เราพอทราบว่าช่วงนี้มีโมล่าเข้ามาในไทย การพบใต้น้ำหนนี้จึงเป็นไปได้

เชื่อว่าเพื่อนธรณ์คงรู้จักโมล่ากันดีแล้ว เพราะเป็นปลาสุดน่ารัก โผล่บ่อยมากในสติ๊กเกอร์ ตุ๊กตา ฯลฯ คนญี่ปุ่นรักมากๆ

โมล่าชื่อฝรั่งคือ ocean sunfish เรามักทับศัพท์ว่าปลาแสงอาทิตย์ แต่ปัจจุบันเรียกกันว่าโมล่า ตามชื่อวิทยาศาสตร์ Mola mola

พบเกือบทั่วโลกยกเว้นเขตหนาวจัด ตัวใหญ่สุดอาจยาวเกิน 3 เมตร หนักเกิน 2.5 ตัน โมล่าจึงเป็นปลากระดูกแข็งหนักที่สุดในโลก

(ฉลามวาฬเป็นปลากระดูกอ่อน วาฬ/โลมาไม่ใช่ปลา และโมล่า ?หนัก? ไม่ใช่ยาวใหญ่)

ตัวที่เจอจึงยังเป็นโมล่าเด็ก ยาวแค่ 1 เมตรนิดๆ (ตามรายงานของผู้พบ)

โมล่ากินแมงกะพรุนเป็นหลัก ยังรวมถึงญาติๆ เช่น หวีวุ้น จึงใช้ชีวิตกลางทะเลเปิด

สังเกตท่าว่ายน้ำอันแปลกประหลาดในคลิปนี้ ทำให้โมล่ามีชื่อเสียงเป็นที่จดจำ

เพราะะปลาอื่นใช้หางว่ายน้ำ แต่โมล่าใช้ครีบหลังและครีบก้นที่ยาวเป็นพิเศษโบกน้ำไปมา ขณะที่ครีบหางสั้นกุดแทบไม่เกี่ยวอะไรกับการว่ายเลย

โมล่ายังเป็นปลาที่ออกไข่มากที่สุดในโลก 200-300 ล้านฟองต่อครั้ง เพราะโอกาสรอดของลูกๆ มีน้อยมาก

ลูกปลาที่เพิ่งเกิดตัวเล็กจิ๋ว 2-3 มิลลิเมตร กลายเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นเพียบ กว่าจะรอดมาเป็นตัวเต็มไว ใหญ่และเร็วพอที่จะรอดตายจากศัตรู

แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัว ฉลามและวาฬขนาดใหญ่ที่กินเนื้อเป็นนักล่าตามธรรมชาติของโมล่า เช่น วาฬเพชฌฆาต

โมล่ายังเป็นปลาที่มีปรสิตเยอะ บางหนจึงว่ายเข้ามาที่แนวปะการังกลางมหาสมุทรให้ปลาช่วยตอดปรสิต บางทีอาจถึงขั้นขึ้นไปลอยบนผิวน้ำให้นกช่วยจิก

อยากเห็นแค่เสิร์ช mola seabirds มีให้ดูแน่นอน หรืออยากให้ลูกรู้ด้วยก็ซื้อการ์ตูน ?โมล่าหาเพื่อน? ที่อาจารย์รูปหล่อเคยแต่งไว้ให้น้องๆ เด็กอนุบาลเมื่อหลายปีมาแล้ว (ภาพในเมนต์ฮะ ????)

หากเทียบความหายากของสัตว์ที่โผล่มาในอันดามันช่วงนี้

1 วาฬโอมูระเผือก (ไม่มีรายงานในโลก)

2 oarfish (ไม่เคยมีรายงานในไทย)

3 หมึกผ้าห่ม (มีตัวอย่าง เคยจับได้จากชาวประมง แต่มีคนเจอใต้น้ำเป็นครั้งแรก)

4 โมล่า เคยมีคนถ่ายคลิปไกลๆ ได้ที่สิมิลัน (2018) หนนี้น่าจะเป็นครั้งที่สองที่มีการบันทึกได้ใต้น้ำ (รายงานตามท่าเรือหรือชาวประมงจับได้มีเป็นระยะนานปีหน)

เนื่องจากมาตาม IOD จึงไม่หวังว่าจะอยู่ประจำ คงจากไปในไม่ช้า แต่แค่ได้เจอก็กรี๊ดๆๆๆ

ทะเลไทยปีนี้พีคสุดขีดครับ


https://mgronline.com/travel/detail/9670000005795

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 21-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก Springnews


น้ำแข็งกรีนแลนด์ละลาย 30 ล้านตันต่อชั่วโมง เท่าเรือไททานิคจม 650 ลำพร้อมกัน



งานวิจัยใหม่เผย แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลาย 30 ล้านตันต่อชั่วโมง เทียบเท่าเรือไททานิค 650 ลำจมลงสู่ก้นมหาสมุทรพร้อมกัน น้ำแข็งกรีนแลนด์ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างไร?

รุนแรงกว่าที่คาดไว้! การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกเดือดกำลังเร่งให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย โดยเฉพาะกรีนแลนด์


น้ำแข็งกรีนแลนด์กำลังละลาย

จากการศึกษาล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อระบุตำแหน่งสิ้นสุดของธารน้ำแข็งหลายแห่งในกรีนแลนด์ทุกเดือน ตั้งแต่ปี 1985 ? 2022 จากการคำนวณน้ำหนักและขนาด แสดงให้เห็นการลดขนาดลงมหาศาลของกรีนแลนด์

โดยล่าสุด กรีนแลนด์สูญเสียน้ำแข็งโดยเฉลี่ย 30 ล้านตันต่อชั่วโมง หรือหากเทียบกับสิ่งที่หลายคนรู้จัก เราขอเทียบกับเรือไททานิคที่มีน้ำหนักราว ๆ 46,000 ตัน ดังนั้น 30 ล้านตันจึงคาดว่าจะเทียบเท่ากับเรือไททานิคจมลงสู่ก้นมหาสมุทรพร้อมกัน 650 ลำใน 1 ชั่วโมง ซึ่งมันแย่กว่าที่นักวิทย์คาดไว้ก่อนหน้านี้ซะอีก


น้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างไร?

นักวิทย์บางคนกังวลว่า น้ำแข็งจากกรีนแลนด์ละลายจะเพิ่มน้ำจืดลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการล่มสลายของกระแสน้ำในมหาสมุทร หรือที่เรียกว่า กระแสน้ำพลิกคว่ำในมหาสมุทรได้ (the Atlantic meridional overturning circulation (Amoc)) และที่สำคัญคือทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น

เมื่อกระแสน้ำเปลี่ยน ระดับน้ำเปลี่ยน รวมถึงรูปแบบของสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน แน่นอนว่าจะกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารทั่วโลก ซึ่งนั่นคือพื้นฐานสำคัญของการดำรงชีพของมนุษย์หลายพันล้านคน


สถิติการล่มสลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เผยว่า จากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ร่วมกับข้อมูลที่ศึกษามานานนับทศวรรษและการติดตามธารน้ำแข็งมากกว่า 235,000 แห่ง การศึกษาพบว่า ตลอดระยะเวลา 38 ปี แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์สูญเสียพื้นที่โดยรอบไปแล้ว 5,000 ตารางกิโลเมตร นับตั้งแต่ปี 1985

และจากการอัปเดตล่าสุดพบว่า น้ำแข็งกรีนแลนด์สูญหายไป 221 พันล้านตันทุกปี นับตั้งแต่ปี 2003 และการศึกษาใหม่นี้ก็ได้เพิ่มไปอีก 43 พันล้านตันต่อปี ซึ่งก็เท่ากับน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายประมาณ 30 ล้านตันต่อชั่วโมง

ที่มาข้อมูล : The Guardian / Nature / Reuters


https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/847046

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:09


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger