เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงยังคงปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียสในภาคเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนบางแห่งเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้งและลมแรง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกให้ระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งจนถึง วันที่ 27 ม.ค. 67 นี้ไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันลดลง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังแรงขึ้น


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็นกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 25 - 27 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้
ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-3 องศาเซลเซียสในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ในขณะที่ในช่วงวันที่ 25 ? 28 ม.ค. 67 คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคกลางตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งเกิดขึ้นได้

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 28 ? 30 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 - 3 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า

สำหรับอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันตอนบน ในช่วงวันที่ 25 - 27 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 28 - 30 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1?2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 25 ? 28 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศแห้งและลมแรง ส่วนเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

ส่วนช่วงวันที่ 28 ? 30 ม.ค. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย

สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วยตลอดช่วง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 25 - 27 ม.ค. 67 นี้ไว้ด้วย



******************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยตอนล่างและทะเลอันดามัน ฉบับที่ 6 (17/2567) (มีผลกระทบในช่วงวันที่ 25 - 27 มกราคม 2567)

มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมาและบริเวณทะเลอันดามัน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 27 มกราคม 2567 นี้ไว้ด้วย












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


พบซากฉลามอายุเกินร้อยที่กรีนแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญชี้ เป็นพันธุ์หาดูยาก

ชาวบ้านท้องถิ่นในกรีนแลนด์พบซากปลาขนาดใหญ่ถูกซัดเข้าหาฝั่ง ทีมนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบพบว่าเป็นฉลามที่มีอายุมากกว่า 100 ปี อีกทั้งเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยมีคนพบเห็นบ่อยนัก


เครดิตภาพ : Greenland Institute of Natural Resources

สถาบันแหล่งทรัพยากรธรรมชาติแห่งกรีนแลนด์ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมาว่ามีชาวบ้านริมฝั่งทะเลเมืองนุก พบเห็นซากปลาฉลามขนาดใหญ่ในระหว่างที่กำลังมีพายุ?

แอนนี บัสค์ เลนเนิร์ต หนึ่งในกลุ่มคนที่พบซากฉลามดังกล่าว? ให้ข้อมูลว่าเธอเคยเห็นฉลามตัวนี้ในทะเลแถบนั้นมาก่อนหลายครั้ง จนกระทั่งมันหายหน้าไป

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าของท้องที่ก็ได้รับรายงานหลายครั้งว่าพบซากฉลามตัวหนึ่งบนชายหาดของหมู่บ้านอะวานนาร์ลีตในเมืองนุก

ดาเนียล เอสเตเวซ-บาร์เซีย นักชีววิทยาจากสถาบันระบุว่า ซากฉลามที่มีผู้พบตัวนั้นคือฉลามพันธุ์กรีนแลนด์ ซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นมันบ่อยนัก

เขาระบุว่า ฉลามตายตัวนี้เป็นเพศเมีย มีความยาวลำตัวประมาณ 13 ฟุต (ราว 3.9 เมตร) น่าจะมีอายุมากกว่า 100 ปี ดูจากร่องรอยส่วนหางของมันที่ขาดหายไป สันนิษฐานว่ามันตายเพราะโดนชาวประมงตามล่า

องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐระบุว่า ฉลามกรีนแลนด์เป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่อายุยืนที่สุดในโลก อายุขัยขั้นต่ำของพวกมันคือ 250 ปี และอาจอยู่ได้จนถึงอายุ 500 ปี แหล่งอาศัยและหากินของมันคือทะเลที่หนาวเย็นแถบขั้วโลกเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก และมีมนุษย์พบเห็นมันน้อยมาก

สถาบันแหล่งทรัพยากรธรรมชาติฯ ชี้ว่า ซากของฉลามกรีนแลนด์ที่โดนคลื่นซัดเข้าหาฝั่งนั้นมีน้อยครั้งมาก แต่ไม่มีการเก็บสถิติไว้

ต่อมาในวันที่ 22 ม.ค. 2567 ทีมนักวิทยาศาสตร์แถลงเรื่องการผ่าซากของฉลามดังกล่าวเพื่อตรวจสอบว่ามันมีไข่หรือตัวอ่อนอยู่ในร่างกายหรือไม่? เนื่องจากไม่เคยมีฉลามเพศเมียที่ตั้งท้องเข้ามาในเขตชายฝั่งมาก่อน ผลปรากฏว่าฉลามตัวนี้ไม่ได้ตั้งท้อง อย่างไรก็ตาม ตับของมันมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามันกำลังเข้าสู่ภาวะเตรียมตัวเพื่อมีลูก

นอกจากนี้ สถาบันฯ ยังเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากซากฉลามและเก็บซากส่วนหัวของมันไว้เพื่อการศึกษาต่อไป

ปัจจุบันยังมีข้อมูลเรื่องการขยายพันธุ์ของฉลามกรีนแลนด์อยู่น้อยมาก นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ฉลามกรีนแลนด์ตัวเมียจะสามารถวางไข่หรือมีลูกได้เมื่อเติบโตจนมีขนาดลำตัวยาวราว 13 ฟุตหรือเกือบ 4 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 150 ปี

ที่มา : miamiherald.com


https://www.dailynews.co.th/news/3112018/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


พบแล้วนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือตกปลา15 คนลอยคอกลางทะเลเกาะกูดสภาพจับมือกันแน่น จนท.ช่วยได้ทุกคน



ตราด ? พบแล้วนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือตกปลา 15 คนหลังเกิดเหตุเรือล่มปลายแหลมเทียนเกาะกูด จ.ตราด สภาพจับมือกันแน่นลอยคอกลางทะเล เจ้าหน้าที่เร่งนำตัวขึ้นฝั่งที่ท่าเรือบ้านคลองมาศ ให้แพทย์ตรวจดูอาการ พบถูกคลื่นซัดไกลจากจุดเกิดเหตุ

จากกรณีที่เกิดเหตุเรือไม้ตกปลาล่มบริเวณปลายแหลมเทียนเกาะกูด จ.ตราด เมื่อเวลา 14.30 น.ที่ผ่านมาหลังพุ่งชนโขดหินจนทำให้ท้องเรือแตกทำนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือรวม 15 คนต้องลอยคออยู่กลางทะเล และเจ้าหน้าที่หลายหน่วยต้องเร่งระดมกำลังค้นหานั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00 น.ที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายเดชาธร จันทร์อบ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะกูด ว่าหลังจากได้นำเรือสปีดโบ๊ท 3 ลำ และเรือประมงพาณิชย์ ออกเดินทางค้นหานักท่องเที่ยวและลูกเรือบริเวณพิกัด 3532 ตามที่ได้รับแจ้งในครั้งแรกแต่ไม่พบ จนต้องตระเวนหาไปตามจุดที่คาดว่าจะถูกคลื่นซัดไปตามกระแสน้ำ

"กระทั่งเมื่อเวลา 17.15 น.ก็ได้พบนักท่องเที่ยวและลูกเรือทั้ง 15 คนพากันลอยคออยู่กลางทะเลในลักษณะรวมตัวจับมืออยู่กับชูชีพ จึงเข้าให้การช่วยเหลือขึ้นฝั่งได้ครบทุกคน"

และจากการตรวจสอบร่างกายเบื้องต้นพบว่ามีผู้หญิง 1 คน ที่มีอาการที่อิดโรยเนื่องจากหิวข้าว จึงต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลเกาะกูดเพื่อตรวจดูอาการ

ขณะที่ในส่วนของ ศรชล.ตราด ได้เตรียม เรือต.ไว้สำรองกรณีที่มีนักท่องเที่ยวมีอาการไม่ปกติเพื่อนำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลคลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ต่อไป


https://mgronline.com/local/detail/9670000007144

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


แห่ดำน้ำ 'โค้งแห่งความลับ' ตื่นตาตื่นใจ "ดอกซากุระใต้ทะเล" หาชมได้ง่ายๆ ใต้ทะเลไทย

ตรัง นักท่องเที่ยว แห่ดำน้ำ "โค้งแห่งความลับ" เกาะแหวน สถานที่จัดวิวาห์ใต้สมุทรครั้งแรกของโลก ลุ้นตื่นตาตื่นใจ "ดอกซากุระใต้ทะเล" หาชมได้ง่ายๆ ใต้ทะเลเมืองไทย



24 ม.ค. 67 ? ทีมผู้ประกอบการท่องเที่ยวทะเลตรัง นำโดย นายพฤกษ์ เกิดอุบล ผู้จัดการมดตะนอย รีสอร์ท ได้พานักดำน้ำลงไปสำรวจยังบริเวณเกาะแหวน หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยววันเดย์ทัวร์ที่ขึ้นชื่อ จุดดำน้ำลึกที่สำคัญที่สุดของจังหวัดตรัง

รวมทั้งยังเป็นสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทร หรือจดทะเบียนสมรสใต้น้ำเป็นครั้งแรกของโลก เนื่องจากบริเวณรอบเกาะเป็นแนวหินน้ำตื้นใต้ทะเลที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจ จนทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาดำน้ำชมความงดงามของแหล่งปะการัง หรือฝูงปลาน้อยใหญ่กันเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

โดยเฉพาะจุดดำน้ำที่อันซีนที่สุดของเกาะแหวนนั้น จะเป็นช่วงโค้งสันผาที่มีกระแสน้ำเชี่ยว หรือที่นักดำน้ำเรียกจุดนี้ว่า "โค้งแห่งความลับ" เนื่องจากโลกใต้ทะเลบริเวณนี้ จะมีปะการังอ่อนแสนสวยซ่อนตัวอยู่เป็นดงใหญ่และหลากหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ฟ้า ชมพู และขาวอมชมพู ซึ่งถือเป็นกลุ่มสีดาวเด่นที่มีอยู่มากมาย ยิ่งเมื่อยามที่พวกมันพร้อมใจกันเบ่งบานรับกระแสน้ำที่พัดพา ก็จะแลดูคล้ายกับดอกซากุระเบ่งบานไปทั่วบริเวณ จนทำให้หลายคนยกให้โค้งแห่งความลับว่า เป็นจุดชมซากุระใต้ทะเลอันน่าตื่นตาตื่นใจที่หาชมไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองไทย

นอกจากนี้ใต้ทะเลบริเวณเกาะแหวน ยังเต็มไปด้วยฝูงปลาน้อยใหญ่ และกัลปังหาที่ขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปด้วย จึงยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศใต้ทะเลให้สวยงามมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่านักท่องเที่ยวทุกคนจะสามารถดำน้ำไปเจอซากุระใต้ทะเลได้ตลอดเวลา เพราะปะการังอ่อนพวกนี้จะบานตามความแรงของกระแสน้ำ ซึ่งหากกระแสน้ำยิ่งแรง ปะการังก็จะยิ่งบานเยอะ แต่ก็จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดำน้ำลงไปชมความงดงาม แต่ถ้าหากกระแสน้ำนิ่งเกินไป ปะการังก็หุบดูเป็นก้อนๆ ไม่เหมือนดอกซากุระใต้ทะเลแต่อย่างใด

สราวุฒิ สวัสดิ์กลาง หนึ่งในนักดำน้ำที่ร่วมลงไปสำรวจยังบริเวณเกาะแหวนล่าสุด ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเล่าถึงการลงไปยังโค้งแห่งความลับนั้นว่า ขึ้นอยู่กับจังหวะผสมกับโชค จุดที่ลงตัวคือ วันที่กระแสน้ำแรงพอสมควร และแสงแดดดี ส่องถึงใต้น้ำ ซึ่งจะทำให้ปะการังอ่อนบานประมาณ 60-70 %

จึงเหมาะต่อการดำน้ำลงไปชมความน่ามหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นปะการังอ่อนสีซากุระ หรือสีอื่นๆ ที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยบางจุดจะมียอดหินตื้นแค่เมตรกว่าๆ จนทำให้มองเห็นดอกซากุระใต้ทะเลได้จากผิวน้ำเลยทีเดียว


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/travel/news_8065618

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


โลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว! อุณหภูมิโลกเพิ่ม 1 องศา ทำอายุสั้นลง 'ครึ่งปี'



"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ล่าสุดงานวิจัยเปิดเผยว่า เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเพียง 1 องศา จะทำให้อายุโดยเฉลี่ยของมนุษย์สั้นลงครึ่งปี

โลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว! จากการวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร PLOS Climate "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา ทำให้คนอายุสั้นลงถึงครึ่งปี ถือเป็นอีกหนึ่งผลกระทบร้ายแรงของภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์


อุณหภูมิ และปริมาณน้ำฝน สัมพันธ์กับอายุขัย

อามิท รอย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชาห์จาลาล ในบังกลาเทศ ทำการศึกษาหาความเชื่อมโยงที่มีความซับซ้อนระหว่างอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และอายุขัยของสิ่งมีชีวิตใน 191 ประเทศในตลอด 80 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 1940-2020 โดยใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว เพื่อควบคุมความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆ ทำให้ได้ข้อสรุปใหม่เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤติสภาพภูมิอากาศ และชีวิตมนุษย์

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนา "ดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงประกอบ" ที่รวบรวมข้อมูลอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝน เพื่อให้เห็นภาพของปัญหาได้ละเอียดยิ่งขึ้น เนื่องจากทั้ง 2 ปัจจัย มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับส่งผลต่อสุขภาพ และปัจจัยด้านสาธารณสุขหลายประกาศ อีกทั้งยังเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน รับมือยาก เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วม คลื่นความร้อน ไปจนถึงภัยทางอ้อมแต่ก็สร้างความเสียหายไม่แพ้กัน ทั้งโรคระบบทางเดินหายใจ และปัญหาสุขภาพจิต แม้ว่าผลกระทบเช่นนี้สามารถสังเกตได้ และบันทึกไว้อย่างดี แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีการวิจัยที่สร้างความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับอายุขัยมาก่อน


อุณหภูมิเพิ่ม 1 องศา ทำอายุสั้นลง 'ครึ่งปี'

ผลการศึกษาพบว่า อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียล มีความเชื่อมโยงกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์ที่ลดลงประมาณ 0.44 ปี หรือเทียบเท่ากับ 6 เดือน 1 สัปดาห์ สอดคล้องกับดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงประกอบเพิ่มขึ้นถึง 10 จุด ทั้งอุณหภูมิ และปริมาณน้ำฝน ส่งผลให้อายุขัยลดลง 6 เดือนเช่นเดียวกัน

เมื่อพิจารณาเฉพาะปริมาณน้ำฝน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอาจสร้างประโยชน์หรือส่งผลเสียได้ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ ที่มีฝนตกหนักอยู่แล้วหรือพื้นที่ ที่ประสบภัยแล้ง

ทั้งนี้ อายุคาดเฉลี่ยหมายถึง ระยะเวลาที่มนุษย์อาจมีชีวิตอยู่ได้ โดยพิจารณาจากปัจจัยทางประชากร และส่วนบุคคล ขณะที่อายุขัยคือ อายุเฉลี่ยสูงสุดของประชากรกลุ่มหนึ่งๆ ที่ถูกสังเกตว่ามีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

การศึกษานี้ยังแสดงให้เห็นว่ากลุ่มเปราะบางต่างๆ เช่น ผู้หญิง และประชากรในประเทศกำลังพัฒนาที่มีระบบการรักษาพยาบาลที่ไม่ดี และมีบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ จะได้รับผลกระทบโดยตรง สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาให้ตรงเป้าหมาย และเท่าเทียม โดยให้ความสำคัญกับประชากรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ทั้งนี้ นักวิจัยยังต้องทำการศึกษาที่เจาะลึกถึงผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ไฟป่า สึนามิ ที่มีปัจจัยอื่นๆ ประกอบไม่ได้มีเพียงแค่อุณหภูมิ และปริมาณฝนเพียงเท่านั้น


คนทั้งโลกต้องช่วยกันลดโลกร้อน

ดร. รอย ยังหวังว่าดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงประกอบจะสร้างมาตรฐานการสนทนาระดับโลกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกลายเป็นตัวชี้วัดที่ใช้งานได้สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ พร้อมส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเป็นวิธีที่สำคัญลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีที่สุด ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเชิงรุกเพื่อช่วยให้ชุมชนปรับตัวเข้ากับรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และรับมือกับสถานการณ์ที่คาดการณ์ได้ยากขึ้นให้ครอบคลุมได้มากที่สุด

"ภัยคุกคามระดับโลกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนหลายพันล้านคน ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะในวิกฤติด้านสาธารณสุข"

"เราต้องร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างปฏิบัติการเชิงรุก ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องอายุขัยและปกป้องสุขภาพของประชากรทั่วโลก" ดร.รอย กล่าวสรุป


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1109991


******************************************************************************************************


หน้าร้อนปีนี้จะมี "น้ำ"เพียงพอหรือไม่ "เอลนีโญ" ถล่มทำฝนน้อย - แล้งหนัก



หน้าร้อนปีนี้จะมี "น้ำ"เพียงพอหรือไม่ "แอลนีโญ" ถล่มทำฝนน้อย - แล้งหนัก
จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.เมื่อ 16 ม.ค.67) ในหัวข้อเรื่อง รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมประเทศ ระบุว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ได้บูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และสรุปสถานการณ์น้ำระหว่างวันที่ 9 -15 ม.ค.2567 มีดังนี้

1. สภาพอากาศ และการคาดการณ์ฝนปัจจุบันพบว่าปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังแรง จะอ่อนลงเป็นเอลนีโญกำลังปานกลาง และอ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนพ.ค.2567 ซึ่งช่วงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมีผลทำให้ฝนตกน้อยกว่าค่าปกติ (ม.ค. - พ.ค.2567)

สภาพอากาศ บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีน จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้มีลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้ พัดนำความชื้นจากทะเลเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน

ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมา จะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่งเกิดขึ้นได้ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่าง และภาคใต้มีกำลังแรงขึ้นทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในช่วงวันที่ 15-18 ม.ค.2567 จากนั้นในช่วงวันที่ 18-20 ม.ค.2567 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจะมีกำลังอ่อนลง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง

2. สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ และการคาดการณ์ โดย สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำภาพรวมประเทศ ปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 11 ม.ค.2567) มีปริมาณน้ำ 60,337 ล้านลูกบาศก์เมตร (73%) น้อยกว่าปี 2566 จำนวน 4,025 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนมีปริมาณน้ำใช้การ 36,124 ล้านลูกบาศก์เมตร (62%) มีอ่างเก็บน้ำที่ต้องเฝ้าระวังน้ำน้อย (ปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์เก็บกักต่ำสุด (Lower Rule Curve) 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำสิริกิติ์ อ่างเก็บน้ำกระเสียว และอ่างเก็บน้ำคลองสียัด

ส่วนการคาดการณ์ปริมาณน้ำใช้การอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ต้นฤดูฝน ปี 2567 (วันที่ 1 พ.ค.2567) จะมีปริมาณน้ำ 19,661 ล้านลูกบาศก์เมตร (47%) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ที่มีปริมาณน้ำใช้การ 17,787 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่า 1,874 ล้านลูกบาศก์เมตร

ต้นฤดูแล้ง ปี 2567/68 (วันที่ 1 พ.ย.2567) จะมีปริมาณน้ำ 32,835 ล้านลูกบาศก์เมตร(69%) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ที่มีปริมาณน้ำใช้การ 32,849 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่า 14 ล้านลูกบาศก์เมตร

3. พื้นที่ประสบอุทกภัย ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงน้ำหลากดินถล่ม ในช่วงวันที่ 9-15 ม.ค.2567 ไม่พบพื้นที่แจ้งอพยพน้ำหลากดินถล่ม

ด้านพื้นที่เกิดอุทกภัย ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว

4. การลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ตามมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 ในช่วงวันที่ 8-12 ม.ค.2567 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ มุกดาหาร อุบลราชธานี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ำต้นทุนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ศักยภาพการผลิตน้ำประปาต่ำกว่ามาตรฐาน และขาดการบริหารจัดการน้ำที่เป็นระบบ จึงได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นโดยการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ เช่น การจัดหาน้ำอุปโภคบริโภค การสูบน้ำระยะไกลเพื่อนำน้ำมาเก็บในแหล่งน้ำชุมชน การสำรวจศักยภาพน้ำบาดาลในพื้นที่ การอบรม และให้ความรู้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบำรุงรักษาระบบผลิตประปาหมู่บ้าน เป็นต้น สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาวโดยการเสนอแผนงานโครงการผ่านระบบ Thai Water Plan เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ

จากข้อมูลที่มีอยู่สถานการณ์ "น้ำ" ในประเทศไทย ยังพอจัดการได้หากไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบ ซึ่งคาถาสำคัญของทุกคนคือ การประหยัด และรู้จักคุณค่าน้ำทุกหยด จึงจะทำให้หน้าร้อนปีนี้น่าจะมี "น้ำ" เพียงพอแม้ "เอลนีโญ" จะทำฝนน้อย-แล้งหนักมากก็ตาม


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1109623

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


อุทาหรณ์ 'โลกรวน' เมื่อพยากรณ์อุตุฯ ทั่วโลกพลาด ไฟป่าแสนรู้ยังเงิบ
............. โดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจนเกิด "สภาวะโลกรวน" มีผลต่อการพยากรณ์ในทางอุตุนิยมวิทยามากขึ้น มีข่าวสารที่เกี่ยวข้องปรากฏออกมามากมาย รวมถึงมีตัวอย่างของการ "พยากรณ์ผิดพลาด" เพิ่มมากขึ้นในทั่วโลก!



"ภาวะโลกรวน" ที่ส่งผลให้เกิดการพยากรณ์ผิดพลาดดังกล่าว เคยเกิดกับประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วในเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา เมื่อประกาศเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่าจะมีฝนตก แต่เมื่อถึงวันจริงกลับไม่ปรากฏ มีแต่เพียงการแก้ไขถ้อยคำในประกาศฉบับถัดไป

เหตุการณ์เริ่มจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน ฉบับที่ 1 (91/2566) ลงวันที่ 4 เมษายน 2566 แจ้งว่า ในช่วงวันที่ 6-9 เมษายน 2566 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนลงมา ฯ ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง

รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ และเริ่มให้รายละเอียดตามประกาศฉบับที่ 2 (92/2566) ถึงพื้นที่ผลกระทบ โดยบอกว่าจะเริ่มมีผลกระทบในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกก่อน ส่วน ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคเหนือ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป


ในส่วนของชาวภาคเหนือซึ่งขณะนั้นประสบวิกฤติมลพิษฝุ่นควันเมื่อได้ยินประกาศดังกล่าวย่อมดีใจเป็นธรรมดา มีสื่อท้องถิ่นที่หยิบไปนำเสนอพาดหัวต่อทำนองว่า อีกไม่กี่วันจะเกิดมีพายุฝน บรรเทาความทุกข์ยากที่กำลังเผชิญ เพราะในประกาศฉบับที่ 1 ได้ระบุชัดเจนว่า จะเริ่มมีฝนในพื้นที่ภาคเหนือตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ที่จังหวัดตอนล่างและซีกตะวันออกของภาค คือ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ ขณะที่ในวันที่ 8 เมษายน 2566 พายุฝนจะเกิดในพื้นที่ตอนบน คือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 9 เมษายนทั้งวัน

หากฝนตกต่อเนื่องสองวันตามประกาศจริง จะทำให้ไฟที่เกิดท่วมไปทุกหย่อมหญ้าเวลานั้นดับลง อากาศก็จะดีขึ้นมาก

กรมอุตุฯ ยังมีประกาศต่อเนื่องเช้า-เย็นวันละสองรอบ ยืนยันว่าจะมีพายุฝนในภาคเหนือแน่ จนถึงฉบับที่ 6 (96/2566) ลงวันที่ 7 เมษายน 2566 เมื่อเวลา 05.00 น. ซึ่งเป็นวันก่อนหน้าคำพยากรณ์ที่บอกว่า จะมีฝนภาคเหนือในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 8 เมษายน โดยจะมีในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

สถานการณ์แปรเปลี่ยนไปตลอดทั้งวันที่ 7 เมษายน โมเดลพยากรณ์ของกรมอุตุฯ ให้ข้อมูลใหม่ เปลี่ยนไปจากเดิม ต้องขยับวันเลื่อนออกไป

เมื่อถึงวันที่ 8 เมษายน ในเวลา 05.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศฉบับใหม่ เป็นฉบับที่ 8 (98/2566) เปลี่ยนแปลงพื้นที่พยากรณ์ โดยระบุว่าในภาคเหนือจะมีฝนที่โซนล่าง/ตะวันออก คือ จังหวัดน่าน อุตรดิตถ์ ตาก พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ เท่านั้น ส่วนโซนบนคือเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง ฝนจะมาในวันที่ 9 เมษายน

เอาล่ะ ชาวเหนือจำนวนหนึ่งยังใจชื้นคือ แค่เลื่อนวันจากเดิมคือจากวันที่ 8 เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 9 เมษายน..ก็แค่วันเดียว !

และปรากฏว่าจริงตามที่เปลี่ยนนั้นเพราะ ตลอดทั้งวันที่ 8 เมษายน ไม่ปรากฏฝนในจังหวัดภาคเหนือโซนบน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ ยังคงแห้งร้อนและท่วมไปด้วยฝุ่นไฟ แต่ก็ยังคงมีความหวังเพราะว่าอุตุฯ บอกว่าฝนจะมาในวันรุ่งขึ้น

ในเย็นวันที่ 8 เมษายน เวลา 17.00 น. ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 9 (99/2566) ก็ยังยืนยันว่ารุ่งขึ้น วันที่ 9 เมษายน เหนือตอนบน คือ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิจิตรพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ จะยังมีฝนตกลงมา

ข่าวสารทำให้คนรอคอยและทำให้ผู้คนทำอะไรต่อมิอะไรรอรับสิ่งที่คาดว่าจะเกิด คนที่รอคอยฝนเพราะทนทุกข์ทรมานกับมลพิษฝุ่นควันมีไม่น้อย แต่ในภาคเหนือก็ยังมีพวกมือเผา ชอบจุดไฟโดยเหตุผลต่างๆ นานา ที่เมื่อทราบข่าวว่า จะมีงบก็จุดดักรอไว้ก่อน สถิติการเกิดไฟไหม้มากขึ้นเกิดขึ้นแทบทุกครั้งเมื่อเริ่มมีข่าวฝนจะตก ในรอบนี้ก็เช่นกัน ไฟเริ่มมากขึ้นตั้งแต่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศแล้ว

เช้าวันที่ 9 เมษายน 2566 อันเป็นเช้าที่คนภาคเหนือจำนวนมากรอคอย กลับกลายเป็นเช้าที่น่าผิดหวังยิ่ง เพราะกรมอุตุนิยมวิทยา เปลี่ยนแปลงคำประกาศ กลับลำฝนจะไม่มีในเขตภาคเหนือตอนบนเช่นที่บอกไว้เมื่อวาน

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาฉบับที่ 10 (100/2566) ลงวันที่ 9 เมษายน 2566 ณ เวลา 05.00 น. บอกว่า จังหวัดที่คาดว่าจะมีผลกระทบ ได้แก่ ภาคเหนือ: จังหวัดตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ตัดคำประกาศเดิมฉบับที่ 9 เมื่อวานตอนห้าโมงเย็นที่ระบุว่า เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง จะมีฝนออกไปดื้อๆ และวันนั้นก็ไม่มีฝนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนจริงๆ !


อุทาหรณ์ สี่เท้ารู้พลาด คำทำนายในยุคโลกรวน !

คำประกาศเตือนตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ต่อเนื่องมาถึงเย็นวันที่ 8 เมษายน รวมแล้ว 4 วันเต็มที่กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ว่า ภาคเหนือตอนบน คือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง จะมีพายุฝน แล้วกลับไม่มีฝนตามที่คาดในวันสุดท้าย คือเช้าที่พยากรณ์ว่าจะเกิดมี ไม่ใช่ความผิดพลาดเลินเล่อของผู้พยากรณ์อย่างแน่นอน นั่นเพราะในช่วงดังกล่าวโมเดลพยากรณ์ระดับโลกของค่ายอเมริกา GFS และค่ายยุโรป ECMWF ก็พร้อมใจกันรายงานว่า ภาคเหนือของไทยจะเกิดมีฝนตกเช่นเดียวกัน

คำทำนายอากาศก่อนสงกรานต์ผิดพลาดกรณีนี้ ไม่ใช่แค่กรมอุตุฯ แม้กระทั่งโมเดลพยากรณ์ระดับโลกก็พลาดเช่นเดียวกัน !

นี่เป็นอีกกรณีตัวอย่างของความผิดพลาดของการพยากรณ์ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศของโลก ที่ผู้เกี่ยวข้องเริ่มสนใจว่า การเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทำให้ไม่อาจใช้รูปแบบความรู้ พฤติกรรมเดิมๆ มาสรุปผลหรือพยากรณ์ตามแนวทางแบบแผนหรือชุดสถิติเดิมได้

การทำนายพลาดในครั้งนี้ เป็นบทเรียนให้อุตุนิยมวิทยาทั่วโลก ต่างต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นอุทาหรณ์สำหรับภาคประชาชนคนทั่วไปด้วย อย่างน้อยคือผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องกับคำทำนายสภาพอากาศ และผู้ที่อยู่ในวงการแก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นควันและไฟป่า

ไฟป่าในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากมนุษย์เผา มีนักเผา มือเผาให้เกิดไฟตรงกับช่วงจะเกิดฝนตกที่มีการตั้งฉายาว่า ?ไฟแสนรู้? มือเผากลุ่มนี้พยายามหาช่องในการเผาป่าโดยคำนวนว่าหากเผาแล้วมีฝนตกลงมาจะช่วยดับให้ไม่ลามไปไกล ต่อไปการเผาป่าเพราะเชื่อคำพยากรณ์ว่าเผาไปเถอะ เดี๋ยวฝนก็ตก อาจไม่เป็นจริงแล้ว คำพยากรณ์ของหน่วยงานรัฐหรือโมเดลต่างประเทศเองก็สามารถผิดพลาดได้ทั้งสิ้น


https://www.bangkokbiznews.com/lifes...prakai/1109880
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก อสมท.


สูญเสียสัตว์ทะเลครั้งใหญ่ อีกครั้ง! เธอ คือ "แม่ท้ายเหมือง" พิสูจน์ซากเจอไข่สมบูรณ์นับร้อย



24 ม.ค.67 - นี่คือการสูญเสียสัตว์ทะเลครั้งใหญ่ อีกครั้ง! คาดเธอคือ ?แม่ท้ายเหมือง? ถูกเชือกอวดรัดจมน้ำตาย ผ่าพิสูจน์พบไข่สมบูรณ์ในท้องนับร้อย ขณะที่ชุดลาดตระเวณกรมอุทยานฯ ยังมีข่าวดีพบ ?แม่ Big Mom? ขึ้นวางไข่เพิ่มอีก 1 รัง

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จากศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากสิรีธาร ได้ร่วมกันสำรวจการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล หลังจากการผ่าชันสูตรศพแม่เต่ามะเฟืองที่เสียชีวิต ซึ่งคาดว่าเป็นแม่ท้ายเหมือง


ผลจากการผ่าพิสูจน์ซากเต่าโดยสัตว์แพทย์พบว่า

"เต่ามะเฟืองที่เกยตื้นบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง มีสาเหตุจากเชือกที่พันรัดบริเวณคอของเต่า ทำให้เต่าจมน้ำตาย จากหลักฐานปอดได้รับความเสียหาย ซากเริ่มเน่าและยังพบไข่ที่กำลังพัฒนา และไข่ที่สมบูรณ์อยู่ในรังไข่จำนวน 136 ฟอง ซึ่งถือเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของสัตว์ทะเลที่มีขนาดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง"

หลังข่าวการสูญเสียต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวน พบร่องรอยการขึ้นวางไข่ของเต่ามะเฟือง บริเวณชายหาดท้ายเหมือง ในพื้นที่อุทยานฯ กลางดึกของคืนวันที่ 22 มกราคม 2567 เวลา 23.15 น. โดยครั้งนี้นับเป็นรังที่ 6 ของอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง (รังที่ 10 ของฤดูกาล) จากการวัดรอย พบความกว้างพายทั้งหมด 202 ซม. ความกว้างอก 130 ซม. ซึ่งตรงกับขนาดของ Big mom วัดความลึกปากหลุมถึงไข่ 72 ซม. พบไข่สมบูรณ์ 92 ฟอง ไข่ลม 43 ฟอง รวม 135 ฟอง ไข่เต่ามีขนาด 5.07 ซม.

เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดย้ายไข่เต่า เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสูญหายและน้ำทะเลจะท่วมถึง จึงได้ย้ายไข่เต่ามะเฟืองไปเพาะฟักในจุดที่สะดวกต่อการดูแลบริเวณหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อยู่พ้นแนวน้ำขึ้นสูงสุดเพื่อให้ไข่เต่าได้มีโอกาสฟักตัวตามธรรมชาติ คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 15-20 มีนาคม 2567

สำหรับการพบแม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่อีกครั้งเป็นการยืนยันว่าท่ามกลางความสูญเสียยังคงมีความหวัง ขอเพียงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะช่วยลดภัยคุกคามบริเวณด้านหน้าชายหาดในช่วงระยะเวลาที่แม่เต่ากลับขึ้นมาวางไข่นี้


https://www.mcot.net/view/YnD7SQYw

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ


11 จังหวัดวิกฤต ปลาหมอสีคางดำ ระบาด ประมงชายฝั่ง ตะวันออก เดือดร้อนหนัก

11 จังหวัดวิกฤต "ปลาหมอสีคางดำ" แพร่ระบาดหนัก ขยายพันธุ์เร็ว กระทบอาชีพ "ประมงชายฝั่ง" เดือดร้อนหนัก เหตุ "กุ้ง-หอย-ปู-ปลา" ถูกจับกินหมด ทำลายเศรษฐกิจ ระบบนิเวศ เผยยังพบวางขายใน "ร้านขายลูกปลา" หวั่นคนเข้าใจผิดว่าเป็น "ปลานิลจิตรลดา"


ปลาหมอสีคางดำ

วันที่ 24 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวจังหวัดตราดรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ลงพื้นที่จังหวัดตราด และเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำ

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ปลาหมอสีคางดำซึ่งเป็นปลาต่างถิ่นมีกำเนิดในทวีปแอฟริกา ตระกูลเดียวกับปลาหมอเทศ ปลานิล แต่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ กำลังแพร่ระบาดรุกรานในประเทศไทยไปประมาณ 11 จังหวัดแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยกปัญหานี้ขึ้นมาแก้ไขอย่างเร่งด่วน


โดยกรมประมงมีแผนดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก คือ

1) จังหวัดที่มีจำนวนมาก ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกประกาศกฎกระทรวง ให้ใช้เครื่องมืออวนรุน เพื่อกำจัดปลาได้ ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการประมงจังหวัด

2) ปล่อยผู้ล่า เนี่องจากปลาหมอสีคางดำมีการขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว จะออกลูกทุก ๆ 22 วัน จะใช้ปลากะพงขาวกำจัดในระบบนิเวศ และ 3) ใช้บริโภค เนื่องจากเป็นปลาที่ไม่ได้มีพิษโดยตรง กรมประมงให้นำปลาชนิดนี้นำมาใช้ประโยชน์ บริโภคเหมือนปลาหมอเทศ ปลานิล ทำปลาแดดเดียว ปลาล้ม

ทั้งนี้ ได้ประสานสมาคมปลาป่น ให้นำปลาชนิดนี้ไปทำปลาป่น เนื่องจากมีปริมาณโปรตีนสูงถึง75% ราคากก.ละ 7-9 บาท ซึ่งจะช่วยลดปริมาณปลาในทะเลที่จะนำไปทำปลาป่นได้ ในภาพรวมจะแก้ปัญหานี้ได้ ทั้งนี้เกษตรกรเพาะเลี้ยงชายฝั่ง เช่น เลี้ยงกุ้ง ต้องมีมาตรการ เกษตรกรมีเทคนิควิธีการอยู่แล้ว การนำน้ำเข้าบ่อต้องกรองก่อนเพื่อไม่ให้มีไข่ปลาชนิดนี้เข้าไป

"กรมประมงจะเร่งดำเนินการ โดยในวันที่ 29 ม.ค. 67 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะ Kick Off กำจัดปลาหมอสีคางดำที่จังหวัดสมุทรสาคร จะใช้ขบวนเรืออวนรุน 23 ลำ ที่ได้รับการอนุมัติแล้วภายใต้การควบคุมคณะกรรมการประมงจังหวัด กำจัดปลาหมอสีคางดำและปล่อยปลากะพงขาวลงสู่แม่น้ำและนำปลาไปเข้าโรงงานปลาป่น หรือใช้ประโยชน์ จากนั้นจะดำเนินการ 5 จังหวัดบริเวณใกล้เคียงกันด้วย" อธิบดีกรมประมงกล่าว


นายนิพนธ์ สร้อยทอง รองประธานสภาเกษตรกรจังหวัดจันทบุรี กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตอนนี้การทำประมงชายฝั่ง ต.ช้างข้าม อ.นายายอาม จ.จันทบุรี ได้รับความเดือดร้อนหนัก เนื่องจากปลาหมอสีคางดำมาทำลายกุ้งหอย ปู ปลา ในลำคลอง ปกติชาวบ้านจะหากุ้ง ปู ปลา ในคลองช้างข้ามที่เป็นน้ำกร่อย ตามธรรมชาติเป็นอาหารและอาชีพเล็ก ๆ น้อย ๆ ชาวบ้านเกรงว่าจะมีการแพร่ระบาดไปทั่วเพราะปลาหมอสีคางดำจะอยู่ได้ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย ทางอำเภอเคยทำหนังสือแจ้งความเดือดร้อนไปอธิบดีกรมประมงแล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567

"เดือนธันวาคม ประมงอำเภอนายายอาม ลงไปเก็บข้อมูลที่คลองช้างข้าม ใช้เวลา 1ชั่วโมงยกยอ จับปลาได้กว่า 20 กก. เพราะจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ปลาหมอสีคางดำไม่กัดทำร้ายคน แต่กินสัตว์น้ำในคลองทั้งหมด กุ้ง หอย ปู ปลา มีชาวบ้านจับมาขาย กก.ละ 20-30 บาท (ตัดหัว) แล้ว แต่เนื้อน้อย เนื้อแข็ง รสชาติไม่อร่อยเท่าปลานิล

หากปล่อยไว้จะขยายตัวเข้าไปในลำน้ำอำเภอที่ติดต่อกัน หรือจังหวัดใกล้เคียง จะทำลายสัตว์น้ำธรรมชาติหมด ทำลายเศรษฐกิจ และระบบนิเวศจะเสียไป บางคนเปรียบเทียบความสำคัญของปัญหาเหมือนหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนของภาคใต้ที่ทำความเสียหายต่อผลผลิตทุเรียน

ดังนั้น เรื่องนี้กรมประมงต้องรีบแก้ไขและไม่ให้ลุกลาม แพร่กระจายไปพื้นที่อื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบเห็นมีลูกปลาจำหน่ายในร้านขายลูกปลา โดยที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นปลานิลจิตรลดา แต่ดูลักษณะแล้วน่าเป็นลูกปลาหมอสีคางดำมากกว่า" นายนิพนธ์กล่าว


https://www.prachachat.net/local-economy/news-1486481

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 25-01-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation


ยิ้มทั้งน้ำตา "บิ๊กมัม" เต่ามะเฟือง วางไข่ ดร.ธรณ์ บอกนักอนุรักษ์อย่าท้อ

ยิ้่มทั้งน้ำตา "บิ๊กมัม" เต่ามะเฟือง วางไข่ท้ายเหมือง ดร.ธรณ์ บอกนักอนุรักษ์อย่าท้อ หลังเกิดสุดเศร้า "แม่เต่ามะเฟือง" เกยตื้นตาย จากเหตุติดลอบหมึก



22 มกราคม 2567 จากข่าวเศร้า นายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ได้รับแจ้งจากนายดำรง สุวรรณกายี ชาวบ้านในพื้นที่ว่า พบซากเต่าทะเลเกยตื้นบริเวณชายหาดปาง ใกล้หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ลป.3 (ปาง) จึงรีบนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ

ซากเต่ามะเฟือง เพศเมีย ตายเกยตื้น 1 ตัว สภาพเน่าแล้ว พบมีเชือกพันรัดอยู่ที่บริเวณลำคอ และพายหน้าทั้ง 2 ข้าง คาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เต่าเสียชีวิต จากการติดลอบหมึก โดยศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากสิรีธาร ได้นำซากไปผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตาย และเก็บข้อมูลเชิงวิชาการต่อไป

ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯและผู้เชี่ยวชาญกำลังตรวจสอบว่า จะเป็นแม่เต่ามะเฟืองตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ระหว่างการขึ้นวางไข่อยู่หรือไม่


ล่าสุด ช่วงเช้าวันนี้ (23 ม.ค.) "ดร.ธรณ์" แจ้งข่าวดี พบ "แม่เต้ามะเฟือง" ทะเลไทยขึ้นวางไข่ที่ท้ายเหมือง โดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก "Thon Thamrongnawasawat" ระบุข้อความว่า..

ผมเชื่อว่าเมื่อวานบ่ายน้องๆ เหล่านี้กำลังร้องไห้กับการจากไปของแม่ท้ายเหมือง เต่ามะเฟืองที่ติดลอบหมึกตาย แต่พอถึงกลางดึก พวกเธออาจยิ้มทั้งน้ำตา เพราะ Big Mum กลับมาเพื่อวางไข่เป็นรังที่ 10 ของฤดูกาล (นับรวมทั้ง 3 แม่)

บิ๊กมัมวางไข่สมบูรณ์ 92 ฟอง ลูกๆ ของเธอจะออกมาสู่โลกประมาณกลางเดือนมีนาคม

ผมอยากให้กำลังใจน้องๆ ทุกคน การเป็นนักอนุรักษ์/นักธรรมชาติวิทยามันไม่ง่าย มีเรื่องเศร้าอีกมากมายที่พวกเธอต้องเจอ

แต่ก็ยังมีรอยยิ้มทั้งน้ำตา?

เหลืออีก 1 เดือน ลูกๆ ของแม่ท้ายเหมืองจะออกมา แม้ว่าแม่ของเธอจะจากไปแล้ว
ความหวังจะยังคงสืบสานต่อไป
ขอเพียงให้เราทำให้ดีขึ้นกว่านี้
เราต้องพยายาม?ถึงที่สุด
โคตรยาก แต่อย่าท้อ
บอกตัวเอง บอกน้องๆ บอกเพื่อนธรณ์
ถึงที่สุด อย่าท้อ????????
ภาพ - อุทยานท้ายเหมือง ????????


ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊ก "อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง Khao Lampi-Hat Thai Mueang NP" โพสต์ภาพและเนื้อหาระบุว่า..


การกลับมาของ"Big mom ดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ"

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์จากศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากสิรีธาร ได้ร่วมกันสำรวจการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล หลังจากการผ่าชันสูตรศพแม่เต่ามะเฟืองที่เสียชีวิต (คาดว่าเป็นแม่ท้ายเหมือง)

เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวน พบร่องรอยการขึ้นวางไข่ของเต่ามะเฟือง บริเวณชายหาดท้ายเหมือง ในพื้นที่อุทยานฯ กลางดึกของคืนวันที่ 22 มกราคม 2567 เวลา 23.15 น. โดยครั้งนี้นับเป็นรังที่ 6 ของอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง (รังที่ 10 ของฤดูกาล)

จากการวัดรอย พบความกว้างพายทั้งหมด 202 ซม. ความกว้างอก 130 ซม. ซึ่งตรงกับขนาดของ Big mom. วัดความลึกปากหลุมถึงไข่ 72 ซม. พบไข่สมบูรณ์ 92 ฟอง ไข่ลม 43 ฟอง รวม 135 ฟอง ไข่เต่ามีขนาด 5.07 ซม.

เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดย้ายไข่เต่า เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการสูญหายและน้ำทะเลจะท่วมถึง โดยจุดวางไข่อยู่บริเวณพิกัด 47P 413874 941610 จึงได้ย้ายไข่เต่ามะเฟืองไปเพาะฟักในจุดที่สะดวกต่อการดูแลบริเวณหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อยู่พ้นแนวน้ำขึ้นสูงสุดเพื่อให้ไข่เต่าได้มีโอกาสฟักตัวตามธรรมชาติ คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 15-20 มีนาคม 2567

การพบแม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่อีกครั้งเป็นการยืนยันว่าท่ามกลางความสูญเสียยังคงมีความหวัง ขอเพียงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะช่วยลดภัยคุกคามบริเวณด้านหน้าชายหาดในช่วงระยะเวลาที่แม่เต่ากลับขึ้นมาวางไข่ ก็พอ

????????????????
#อุทยานแห่งชาติเขาลำปีหาดท้ายเหมือง
#เต่ามะเฟือง
#เต่าวางไข่


https://www.nationtv.tv/gogreen/378939259

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:33


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger