เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 01-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงยังคงแผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มีลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 31 ต.ค. ? 1 พ.ย. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้มีลมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกพัดปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้

ส่วนในช่วงวันที่ 2 ? 6 พ.ย. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนทีปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง และมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับภาคใต้ ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงเหนือยังคงพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ตลอดช่วง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 1 ? 2 พ.ย. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 01-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พบซาก 'ฉลามวาฬ' ยาว 5 เมตร ขึ้นอืดตายใกล้หาดเกาะเฮ จนท.เร่งหาสาเหตุ

สลด พบซาก "ฉลามวาฬ" ยาว 5 เมตร ลอยขึ้นอืดใกล้หาดเกาะเฮ จนท.เร่งนำซากมอบให้ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลฯ นำผ่าชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายที่แน่ชัด


ขอบคุณภาพ : บริษัทนิกรมารีน

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 31 ต.ค. 64 พนักงานประจำเรือสปีดโบ๊ท บริษัท นิกรมารีน จำกัด แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ตว่า พบฉลามวาฬขนาดใหญ่ลอยขึ้นอืดอยู่บริเวณใกล้ชายหาดเกาะเฮ ต.ราไวย์ อ.เมือง จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า เป็นฉลามวาฬ ยาวประมาณ 5 เมตร ไม่ทราบเพศ-น้ำหนัก สอบถามพนักงานบริษัท นิกรมารีน จำกัด ทราบว่า ขณะที่นำเรือสปีดโบ๊ทซึ่งมีนักท่องเที่ยวเต็มลำกำลังจะเข้าเทียบท่าที่ชายหาดเกาะเฮ เห็นซากฉลามวาฬลอยอืดอยู่ในทะเล จากนั้นได้ให้เรืออีกลำลากไปไว้ที่บริเวณโป๊ะสำหรับขึ้นลงเรือ เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อนำกลับไปยังศูนย์วิจัยผ่าชันสูตรหาสาเหตุการตายที่แน่ชัดอย่างละเอียดอีกครั้ง.


https://www.thairath.co.th/news/local/south/2232697

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 01-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


สุดตื่นเต้น! ครอบครัวฉลามวาฬ โผล่อวดโฉม อ่าวไร่เลย์ จ.กระบี่ รับเปิดประเทศ

ครอบครัวฉลามวาฬ โผล่อวดโฉม อ่าวไร่เลย์ จ.กระบี่ ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี ต้อนรับเปิดประเทศ ฟื้นฟูท่องเที่ยว 1 พ.ย.



เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า สุทิวัส อุ่นเสียม โพสต์ข้อความระบุว่า ที่กลางทะเลอันดามัน จ.กระบี่ เจอฝูงฉลามวาฬ จำนวนมาก บริเวณอ่าวไร่เลย์ พร้อมคลิปวีดีโอ ของฉลามวาฬที่กำลังว่ายวนเวียนอยู่รอบๆเรือ สร้างความตื่นเต้นแก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เบื้องต้นจากการตรวจสอบเจ้าของเฟซบุ๊ก ทราบชื่อ พ.ต.ท.สุทิวัส อุ่นเสียม สว.จร.เมืองกระบี่ ซึ่งหลังจากที่ ร่วมเป็นจิตอาสา เก็บขยะ ที่หาดอ่าวนาง ต.อ่าวนาง อ.เมือง เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้(31 ต.ค.) เสร็จภารกิจ ก็ได้ขึ้นเรือยอร์ช มาสเตอร์ ของบริษัทเกาะพีพี ทัวร์ เดินทาง ร่วมกับนักท่องเที่ยวและสื่อมวลชน เพื่อร่วมสังเกตการณ์ สถานที่ท่องเที่ยว ก่อนที่จะเข้าสู่การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาล ในวันที่?1 พ.ย.

โดยในคลิปนักท่องเที่ยว ต่างพูดกันด้วยน้ำเสียงด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากไม่เคยเห็นฉลามวาฬมาก่อน โดยความใสราวกระจกของน้ำทะเล ทำให้มองเห็นตัวฉลามวาฬว่ายเล่นกันไม่น้อยกว่า 3 ตัว และดูเป็ยมิตรกับนักท่องเที่ยวมากๆ คาดน้ำหนักของฉลามวาฬแต่ละตัวประมาณ 500 กิโลกรัม ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่สามารถยืนยันได้ว่าทะเลกระบี่ กำลังฟื้นฟูสมบูรณ์ที่สุด

ด้าน น.ส.ทิวา ร่มรื่น สื่อมวลชนกระบี่ ที่ร่วมเดินทางไปกับคณะ กล่าวว่า สำหรับจุดที่เจอฉลามวาฬ อยู่บริเวณระหว่างอ่าวไร่เลย์ และเกาะปอดะ มีฉลามวาฬประมาณ 3-4 ตัว มาว่ายวนเวียนอยู่รอบเรือ ในลักษณะที่เชื่องมาก สร้างความตื่นเต้นแก่คณะรวมถึงนักท่องเที่ยวเที่ยว ที่อยู่บนเรือ ซึ่งความยาวของฉลามวาฬแต่ละตัวใหญ่มากไม่ต่ำกว่า 5 เมตร บางตัวยาวร่วม 10 เมตรทีเดียว


https://www.dailynews.co.th/news/429365/


*********************************************************************************************************************************************************


พ.ย.นี้ เปิดใช้ท่าเรือปากเมง อวดโฉมใหม่รับเปิดประเทศ

"กรมเจ้าท่า" เปิดความคืบหน้ากว่า 99% สร้างท่าเรือปากเมง จ.ตรัง คาดแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายใน พ.ย.นี้ รองรับการเปิดประเทศ ประตูสู่อันดามัน กระตุ้นการท่องเที่ยวภายในจังหวัด เชื่อมหมู่เกาะ จ.สตูล-กระบี่ เพิ่มผู้ใช้บริการถึง 9 หมื่นคนต่อปี



ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมเจ้าท่า?(จท.)?แจ้งว่า กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการโครงการปรับปรุงท่าเรือปากเมง จ.ตรัง ปัจจุบัน มีความคืบหน้ากว่า?99%?คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย.นี้ เพื่อเปิดให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมต้อนรับการเปิดประเทศและการท่องเที่ยวให้กับ จ.ตรัง

รองรับการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของประชาชนในท้องถิ่นให้เข้าถึงระบบขนส่งอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม พร้อมเชื่อมโยงการเดินทางในอนาคต ด้วยการลงเครื่องบิน ต่อรถ ลงเรือ ไปท่องเที่ยวตามหมู่เกาะต่างๆ ใน จ.ตรัง เกิดเป็นเส้นทางการเดินเรือวงแหวนอันดามันได้ในอนาคต ตามนโยบายรัฐบาล และ กระทรวงคมนาคม

อย่างไรก็ตามหลังปรับปรุงท่าเรือแล้วเสร็จในปี 64 คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง?90,000?คนต่อปี เมื่อเทียบกับปี 62 ก่อนการระบาดโควิด-19 พบว่ามีผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวใช้งาน?67,000?คน เนื่องจากท่าเรือปากเมง เป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวและคมนาคมทางน้ำที่สำคัญใน จ.ตรัง

เรือส่วนใหญ่เป็นเรือรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากหาดปากเมงไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในหมู่เกาะทะเลตรัง อาทิ เกาะมุก เกาะรอก เกาะเชือก เกาะไหง เกาะกระดาน และเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อไปยังเกาะลันตา เกาะพีพี หาดอ่าวนาง จ.กระบี่ได้อีกด้วย?

สำหรับการปรับปรุงท่าเรือปากเมงครั้งนี้ เนื่องจากมีอายุการใช้งานมากกว่า?20?ปี ทำให้มีสภาพชำรุดทรุดโทรม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้บริการได้ กรมเจ้าท่า ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์?(มก.)?ศึกษาออกแบบ เพื่อปรับปรุงท่าเรือให้มีความแข็งแรง รูปแบบเหมาะสม สวยงาม

โดยในขั้นตอนการศึกษาออกแบบโครงการ ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนอย่างครบถ้วน พร้อมทำโครงการศึกษาร่วมกับอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จต้องขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุกับกรมธนารักษ์ และเห็นควรให้อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมเป็นผู้บริหารจัดการท่าเรือเช่นเดิม

ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นของท่าเรือปากเมง คือขนาดท่าเรือไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้มาใช้บริการสะพานท่าเรือคับแคบ ไม่มีอาคารพักคอยผู้โดยสาร ความลึกร่องน้ำไม่เพียงพอและมีสภาพค่อนข้างตื้นเขิน ท่าเรือยังไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เช่น บันไดขึ้น-ลงเรือ หลักผูกเรือและยางกันชนเรือ โครงสร้างท่าเรือชำรุดทรุดโทรม ระบบสาธารณูปโภค ได้แก่ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง โดยเฉพาะหน้าท่าและสะพานท่าเรือ ระบบน้ำประปาระบบขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และระบบขนย้ายสินค้า ไม่มีพื้นที่สำหรับจอดเรือและรถยนต์ ส่งผลให้เกิดความแออัดของการจราจรทางบกในช่วงเทศกาล?

ดังนั้นกองวิศวกรรม กรมเจ้าท่า จึงได้มีโครงการศึกษาวางแผนและสำรวจออกแบบท่าเทียบเรือให้มีฟังก์ชันการใช้งานสมบูรณ์ครบถ้วน พื้นที่ท่าเรือสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โครงสร้างมีความมั่นคง แข็งแรง พื้นที่ด้านหน้าท่าสามารถรองรับเรือเข้าเทียบท่าได้อย่างปลอดภัย พื้นที่ด้านหลังท่าเรือ

เพิ่มพื้นที่การใช้สอยครบถ้วนตามความต้องการของนักท่องเที่ยว การออกแบบท่าเรือเป็นสไตล์?Tropical modern?โดยการสร้างสเปซที่โปร่งโล่งขนาดใหญ่ด้วยเส้นสายการออกแบบที่เรียบง่าย คำนึงถึงสภาพอากาศและภูมิประเทศเป็นปัจจัยหลัก ผสานกับบริบทสภาวะแวดล้อมธรรมชาติของเขาเมงที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังท่าเรือปากเมง


https://www.dailynews.co.th/news/429530/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 01-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ธนาคารโลก ชี้วิกฤตโลกร้อน! อาจทำคนกว่า 200 ล้านย้ายถิ่นฐาน ในปี 2050



รายงานของธนาคารโลก ประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจจะผลักดันให้ผู้คนกว่า 200 ล้านคน ต้องอพยพออกจากบ้านภายในปี 2050

รายงานของธนาคารโลกระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจผลักดันให้ผู้คนมากกว่า 200 ล้านคนออกจากบ้านในช่วงสามทศวรรษข้างหน้า และสร้างจุดอพยพย้ายถิ่น เว้นแต่จะมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดการปล่อยมลพิษทั่วโลกและเชื่อมช่องว่างการพัฒนา

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เริ่มเกิดขึ้น เช่น การขาดแคลนน้ำ ผลผลิตพืชผลที่ลดลง และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อาจนำไปสู่สิ่งที่รายงานอธิบายว่าเป็น "ผู้อพยพจากสภาพอากาศ" ได้ภายในปี 2050 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่างๆ ที่มีระดับการกระทำและการพัฒนาด้านสภาพอากาศที่แตกต่างกัน

ภายใต้สถานการณ์ที่มองโลกในแง่ร้ายที่สุด ด้วยการปล่อยมลพิษในระดับสูง และการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกัน รายงานคาดการณ์ จำนวนประชากรอพยพสูงถึง 216 ล้านคน ที่ต้องเคลื่อนย้ายภายในประเทศของตนเองทั่วทั้งหกภูมิภาค คือ ละตินอเมริกา แอฟริกาเหนือ; ซับซาฮาราแอฟริกา; ยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง เอเชียใต้; และเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก

ในสถานการณ์ที่เป็นมิตรต่อสภาพอากาศมากที่สุด ด้วยการปล่อยมลพิษในระดับต่ำ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุม จำนวนผู้อพยพอาจลดลงมากถึง 80% แต่ยังคงส่งผลให้มีการย้ายถิ่น 44 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ในรายงานไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบในระยะสั้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ผลกระทบต่อเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว

Viviane Wei Chen Clement ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาวุโสของ World Bank และหนึ่งในผู้เขียนรายงานกล่าวว่า ผลการวิจัย "ยืนยันศักยภาพของสภาพอากาศที่จะกระตุ้นให้เกิดการอพยพภายในประเทศ"

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด แอฟริกาใต้สะฮารา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เปราะบางที่สุดเนื่องจากการกลายเป็นทะเลทราย ชายฝั่งที่เปราะบาง และการพึ่งพาการเกษตรของประชากร จะเห็นการเคลื่อนไหวมากที่สุด โดยมีผู้อพยพจากสภาพภูมิอากาศมากถึง 86 ล้านคนย้ายภายในพรมแดนของประเทศ

ส่วน แอฟริกาเหนือคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนผู้อพยพจากสภาพภูมิอากาศมากที่สุด โดยมีผู้อพยพ 19 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 9% ของประชากรทั้งหมด อันเนื่องมาจากการขาดแคลนน้ำที่เพิ่มขึ้นในชายฝั่ตะวันออกเฉียงเหนือของตูนิเซีย ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแอลจีเรีย ทางตะวันตกและทางใต้ของโมร็อกโก และเชิงเขาแอตลาสตอนกลาง

ในเอเชียใต้ บังคลาเทศได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและความล้มเหลวของพืชผลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของผู้อพยพจากสภาพอากาศที่คาดการณ์ไว้ โดยมีประชากร 19.9 ล้านคน รวมถึงผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยจะย้ายออกในปี 2050 ภายใต้สถานการณ์ในแง่ร้าย



ศ.มาร์เท่น ฟาน อาลสต์ ผู้อำนวยการศูนย์สภาพภูมิอากาศสภากาชาดสากล กล่าวว่า "นี่คือความเป็นจริงด้านมนุษยธรรมของเราในขณะนี้ และเรากังวลว่าสิ่งนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม โดยที่ช่องโหว่นั้นรุนแรงกว่า"

ดร.กันตา กุมารี ริกูด์หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคารโลกและผู้เขียนร่วมรายงานกล่าวว่า "ทั่วโลกเราทราบดีว่าสามในสี่คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ภายในประเทศ"

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการย้ายถิ่นจากชนบทไปยังเขตเมืองมักเกิดขึ้นก่อนการเคลื่อนไหวข้ามพรมแดนแม้ว่าอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อการย้ายถิ่นจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มักเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยหลายอย่างที่ผลักดันให้ผู้คนย้ายถิ่นฐาน และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งของภัยคุกคาม ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมกันนั้นมีความเสี่ยงต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่า เนื่องจากมีวิธีการในการปรับตัวที่จำกัด

รายงานยังเตือนด้วยว่า จุดอพยพย้ายถิ่นอาจเกิดขึ้นภายในทศวรรษหน้าและรุนแรงขึ้นภายในปี 2050 จำเป็นต้องมีการวางแผนทั้งในพื้นที่ที่ผู้คนจะย้ายไปอยู่และในพื้นที่ที่พวกเขาออกไปเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงอยู่

โดยให้ข้อเสนอแนะว่า การบรรลุเป้าหมาย คือ "การปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษนี้เพื่อเป็นโอกาส โดยจำกัด ภาวะโลกร้อนไว้ที่อุณหภูมิไม่เกิน 1.5 ? C " และลงทุนในการพัฒนาที่ "เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีความยืดหยุ่น และครอบคลุม ตามข้อตกลงปารีส"

ข้อมูลอ้างอิง https://www.cbsnews.com/news/climate...d-bank-report/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 01-11-2021 เมื่อ 04:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 01-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


Climate Change : Climate Chance : เปลี่ยนตัวเราก่อนเราจะถูกเปลี่ยน ..................... บทความโดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์



เพราะกระบวนการธรรมชาติซับซ้อนมาก แต่มนุษย์มักถูกกิเลสพาให้หลงคิดไปว่ามีวิวัฒนาการที่ไม่เพียงไล่ทัน แต่ยังสามารถจัดการกับระบบของธรรมชาติได้

บัดนี้ แม้แต่ผู้นำประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดรวมตัวกัน ก็ยอมรับว่าวิวัฒนาการที่มนุษยชาติได้สั่งสมมาทั้งหมด ไม่พอที่จะรักษาให้พวกเขามั่นใจได้เลยว่า หลานๆของเขาจะมีเผ่าพันธุ์สืบต่อไปได้อีกกี่รุ่น

ผู้นำชาติต่างๆ ไม่อาจการันตีกับประชากรได้ ว่าหลานๆของประชากรของเขาจะได้มีชีวิตอย่างไม่แร้นแค้น

งานประชุม COP26 (31 ตุลาคม-12 พฤศจิกายน 2021 ที่กลาสโกว์) กำลังจะเริ่มแล้ว คือการพบกันครั้งสำคัญอีกหนของผู้นำโลก เพื่อคุยกันจริงจังว่า เราต้องเอายังไง จึงจะไม่ถูกชนรุ่นหลังจารึกว่า แม้เห็นโค้งสุดท้ายมาถึงแล้ว แต่คนยุคนี้ก็ไม่เลี้ยวพวงมาลัยหลบ แถมยังมุ่งตรงไปสู่ขอบเหว ที่ลึกสุดดิ่ง

ที่จริง ผู้นำโลกเดินทางไปพบกันเรื่อง โลกร้อน ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ภาวะเรือนกระจก และสภาวะแวดล้อมต่างๆ มาหลายสิบหนแล้ว

แต่นี่จะเป็นครั้งแรก ที่ผู้นำทุกชาติเจอกันขณะที่ยังเผชิญความท้าทายจากการระบาดของเชื้อโควิด19 ที่ยังไม่เห็นทีท่าใดเลย ว่ามันกำลังจะผ่านไป หรือมันละเว้นพื้นที่ใด

ความผยองของเทคโนโลยีใดๆ จึงถูกบรรยากาศนี้ บั่นทอนความมั่นใจลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ต่อให้เป็นชาติเจ้าของเทคโนโลยีวัคซีน หรือเทคโนโลยีนิวเคลียร์ หรือเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตก็ตามที
ยังไม่มีชาติใดตอบโจทย์เรื่องโควิดได้จบ สักราย

แทบไม่ต้องคิดว่า โจทย์ระดับภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงจนเข้าขั้นวิกฤตินี้ จะมีคำปลอบขวัญที่ยืนยันได้ว่าจะควบคุมได้

ข้อเขียนนี้ ถูกผูกขึ้นด้วยเป้าประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ทำไม การแก้ปัญหาระดับวิกฤติการณ์ต่อมวลมนุษยชาติหนนี้ ต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างยิ่งใหญ่ของคนยุคเราขนาดไหน

เราทุกคนของยุคนี้ ไม่ว่าท่านจะเจนเนอเรชั่นอะไร โอกาสรอดจากการถูกประวัติศาสตร์จารึกว่า เราพากันขับรถพุ่งลงเหว ทั้งที่ยังเลี้ยวหลบหรือเบรคกันได้ทัน

จริงอยู่ ว่าเราไม่ใช่ชนรุ่นแรกที่พารถโดยสารวิ่งมาในเส้นทางนี้

แต่ในโศกนาฏกรรมทุกครั้ง ไม่ค่อยมีใครถามหรอกว่า มันเริ่มตอนใครอยู่ แต่จะสนใจว่ามันจบตอนไหน และใครคือผู้ถือพวงมาลัยสุดท้ายก่อนตกเหวดับทั้งคัน

แม้มีข่าวสารให้เราอ่านได้มากมายในอินเตอร์เน็ตว่า ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มายังไง แต่ผมก็อยากพยายามสื่อสารกับผู้อ่านสักหน ว่ามันคืออะไร มายังไง และ เราต้องทำอะไร เพื่อชะลอหรือให้ดีกว่านั้น หยุดมันให้ได้




ขอเริ่มจากสภาพของโลกใบนี้ ก่อนที่จะเกิดปัญหาขนาดนี้นะครับ

ภาวะเรือนกระจกของโลก..

เราเรียนมาตั้งแต่เด็กว่า โลกมีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มอยู่หลายชั้น มองด้วยตาเปล่าก็ไม่เห็น แต่มันทำหน้าที่ของมันตามระบบที่ธรรมชาติจัดสรรมาให้อย่างซับซ้อนในการปกป้องสิ่งมีชีวิตบนโลก

ดวงอาทิตย์ส่งคลื่นความร้อนทะลุทุกชั้นบรรยากาศได้ และพื้นผิวโลกก็สะท้อนความร้อนออกไปบางส่วน กักเก็บความร้อนไว้บางส่วน ซึ่งเกิดจากการดูดซับความร้อนนั้นไว้โดยก๊าซเรือนกระจก ที่มีอยู่หลายชนิด อย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ก๊าซเรือนกระจกจึงทำหน้าที่ควบคุมความอบอุ่นของโลกอยู่ให้ในสภาวะที่สมดุล เกิดสภาพอากาศและฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต

ซึ่งสัดส่วนของก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ในชั้นบรรยากาศที่ผ่านมาในอดีต มีค่อนข้างสม่ำเสมอ ดังนั้น ภาวะเรือนกระจกจึงมีข้อดีของมันมานับหลายแสนล้านปี

เมื่อเรามีก๊าซเรือนกระจก หรือเรียกโดยทั่วไปว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ได้ เพราะมีก๊าซชนิดนี้ อยู่ในปริมาณมากที่สุด ในชั้นบรรยากาศโลกในปริมาณที่พองาม

แต่บัดนี้ จากการที่โลกเรามีประชากรมากขึ้น มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ ต้องการผลิตไฟฟ้ามาให้เราใช้ ต้องการใช้พลังงานในบ้านเรือน อุตสาหกรรม ตลอดจนต้องการใช้เชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง ผลิตขยะและน้ำเสียออกมาในปริมาณมาก อย่างต่อเนื่อง ใช่ครับ เราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกไปสู่ชั้นบรรยากาศมากจนเกินสมดุล

ความร้อนที่ถูกกักเก็บไว้โดยก๊าซเรือนกระจก ในชั้นบรรยากาศจึงมากเกินกว่าที่ควร

ผลก็จะเหมือนเรานั่งรถปิดกระจก และดับแอร์ ต่อแม้จะเป็นกลางคืน เราก็จะรู้สึกอบอ้าว อึดอัดอยู่ดี
และความอึดอัดนี้จะมีทั่วห้องโดยสารไม่ว่าใครจะนั่งอยู่เบาะหน้าหรือหลัง จะเอนตัวลงนอน หรือลุกขึ้นยงโย่ยงหยก ก็จะรู้สึกอึดอัดอบอ้าวอยู่ดี

ยิ่งถ้าเรานั่งอัดกันหลายๆคนจะยิ่งอึดอัดเร็ว และอึดอัดมากกว่าการนั่งในรถปิดแอร์แต่เพียงลำพังคนเดียวด้วย
วันนี้ โลกมีประชากรถึง 7 พันล้านคน ยังไม่นับปศุสัตว์ที่เราขุนเลี้ยงกันไว้บริโภคอีกจนเยอะกว่าสัตว์ป่า
จุดนี้แหละครับที่ไม่ว่ารวยหรือจน ประชากรน้อยหรือมาก ก็อยู่ใต้ชั้นบรรยากาศเดียวกัน เพราะดันอยู่ดาวดวงเดียวกัน

ภาวะของเรือนกระจกจึงเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันรักษาสมดุล ไม่ให้มีก๊าซใดลอยขึ้นไปอยู่มากหรือน้อยจนเกินไป นี่จึงเป็นที่มาของชื่อองค์การมหาชนของไทย ที่เรียกชื่อว่า องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

และก็เพราะโลกมันร้อนขึ้นแยะ นับแต่โลกเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ที่มนุษย์มีกิจกรรมเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เราเลยเริ่มมี ภาวะโลกร้อน ซึ่งช่วงแรกเราสังเกตเอาจากการละลายของน้ำแข็งที่ยอดเขาและขั้วโลก ว่ามันละลายหนักกว่าเดิม และละลายนานกว่าฤดูที่มันเคยเป็น

แปลว่าโลกอุ่นขึ้น ศัพท์คำว่า Global warming จึงถูกใช้มาเรื่อย

แต่พอสังเกตนานเข้าก็พบพื้นที่ๆไม่ได้อุ่นขึ้น แต่กลับเย็นหนาวจนหิมะตก ทั้งที่ๆนั่นไม่เคยเจอหิมะมาก่อน
ทีนี้ ผู้คนก็เริ่มเห็นภาพของ สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change

จากนั้น ก็มีภัยจากพายุรุนแรง แห้งแล้งยาวนาน น้ำท่วมหนัก และระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น กัดเซาะชายฝั่งรุนแรงขึ้น การเกษตรเสียหาย กระทบต่อรายได้ประชาชน เกิดโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ

ภายหลังมีคนลองขยับคำเรียกไปเป็น Climate Crisis หรือ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ ที่จ๊าบหน่อยก็มีคำเรียกเพิ่มขึ้นว่า ภาวะโลกรวน ด้วยซ้ำ

แต่ในทางการของไทย และของหลายประเทศ ยังคงเรียกสภาวะที่เรากำลังคุยกันนี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ต่อไป



เอาล่ะ มาถึงบรรทัดนี้ ผู้อ่านคงพอจะเข้าใจว่าแต่ละคำมีที่มายังไง

ตานี้มาดูว่าคำว่า ก๊าซเรือนกระจก ที่ว่าลอยไปสะสมอยู่ที่ชั้นบรรยากาศนั้น มันมายังไง และเราจะลดมันลงได้ยังไงนะครับ

ในทางวิทยาศาสตร์ ก๊าซเรือนกระจกมีหลายอย่างมาก แต่ผู้ร้ายที่สำคัญๆที่เราท่านพอจะมีส่วนร่วมในการลดมันลงได้ ได้แก่

อันดับ 1

ไม่ใช่เพราะมันร้ายกาจพิเศษ แต่เพราะสะสมในชั้นบรรยากาศโลก เยอะมากที่สุด คือเจ้าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (จากการเผาไหม้ทุกชนิด) อันนี้เป็นก๊าซที่เราท่านรู้จักค่อนข้างดี

อันดับ 2 คือ ก๊าซมีเทน (มีเทนเป็นส่วนประกอบหลักของก๊าซชีวภาพ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน ของซากพืช ซากสัตว์ที่ทับถมมาเป็นเวลานาน การปศุสัตว์ ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับของก๊าซีเทนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องด้วย เช่น วัว ควาย ที่เป็นสัตว์กินหญ้า เกิดก๊าซมีเทน และปล่อยออกมาด้วยการตด หรือการเรอ ของวัว ควาย คือ ทั้งเอิ้กอ้ากและทั้งปู้ดป้าด) ก๊าซมีเทนนี้ มีพลังในการเป็นผู้กักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศที่ร้ายกาจสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่าตัว ! อีกทั้ง มีอายุอยู่ในชั้นบรรยากาศได้ราว 12 ปี

ส่วนอันดับ 3 ก๊าซไนตรัสออกไซด์ หรือก๊าซหัวเราะ ซึ่งมนุษย์มักใช้ในเวลาผ่าตัด เวลาทำฟัน เพื่อให้มีอาการชา จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดชั่วคราว นักแข่งรถหลายวงการก็เอาก๊าซนี้ไปใช้ประกอบเพื่อเพิ่มพลังเครื่องยนต์ แต่ท่านทราบหรือไม่ครับว่า ไนตรัสออกไซด์นี้เกิดจากภาคเกษตรกรรมถึง 65% เพราะใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ส่วนภาคอุตสาหกรรม ก็เป็นผู้ปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ราว 20% จากการผลิตพลาสติกบางกลุ่ม การผลิตเส้นไนลอน การผลิตกรดกำมะถัน การชุบโลหะ การทำวัตถุระเบิด และการผลิตไบโอดีเซล !!

ไนตรัสออกไซด์มีอายุในชั้นบรรยากาศได้ราวร้อยปี

ดีที่ว่า ไนตรัสออกไซด์สะสมในชั้นบรรยากาศยังไม่มาก แต่ที่เราพึงต้องระวังเพราะมันสามารถส่งผลต่อภาวะโลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีปริมาณเดียวกันได้ถึง 265 เท่านี่แหละ

ไนตรัสออกไซด์จึงนับเป็นผู้ร้ายลำดับ 3 ที่เราต้องรู้ไว้ เพราะถ้ามันลอยไปสะสมในชั้นบรรยากาศมาก เจ้าก๊าซหัวเราะมันจะพาเราพังได้เร็วกว่าคาร์บอนไดออกไซด์มาก

ทีนี้เหลืออีกตัวการภาวะโลกร้อนจากภาคอุตสาหกรรมแท้ๆ ได้แก่ พวกสาร CFC ซึ่งอยู่ในสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นมายาวนานจนเพิ่งถูกเลิกใช้ไปเมื่อไม่นานมานี้ ตามพิธีสารมอนทรีออล

แต่สารประกอบหมวดนี้ของ CFC มีอายุยืนได้นับร้อยจนถึงสามพันปี และไปโดนควบคุมภายใต้พิธีสารมอนทรีออล เพราะ CFC ดันไปก่อให้เกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน อีกต่างหาก

ดังนั้น เท่าที่ปล่อยๆไปแล้ว แม้เพราะผู้ผลิตยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็นับว่าเพียงพอจะไปทำลายความสมดุลมากพอควรแล้ว และมันจะยังคงทำลายต่อไปตราบที่มันยังไม่เสื่อมสลายไปเองตามอายุของมัน

มีคนเคยถามเหมือนกันว่า แล้วทำไมคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไม่ติดท้อป 5 ของผู้ร้ายในเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งที่ยานยนต์ทุกคัน ในเกือบร้อยปีที่ผ่านมาทั่วโลก ต่างก็ปลดปล่อยมาโดยตลอดมิใช่หรือ

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า แม้คาร์บอนมอนนอกไซด์จะอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์มากๆ ตอนที่มันออกมาจากท่อไอเสีย แต่พอมันเจอชั้นบรรยากาศในธรรมชาติ ออกซิเจนจะค่อยๆ เข้าไปผสมเอง และผลคือมันจะสลายเองในเวลาไม่กี่เดือน

มันจึงไม่ทันได้แสดงฤทธิ์มากนักต่อภาวะเรือนกระจก อย่างก๊าซอื่นที่มีช่วงชีวิตยาวนานมากๆ ที่ติดท็อป 4 ข้างต้นของข้อเขียนนี้


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000107769
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:26


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger