เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 20-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังปานกลาง ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดน้อยลง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังในช่วงที่มีฝนฟ้าคะนอง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆมาก กับมีฝนเล็กน้อย ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-29 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 20 - 21 ต.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้

ในช่วงวันที่ 22 - 25 ต.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีอากาศเย็นและมีลมแรง ในขณะที่ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคใต้ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

อนึ่ง พายุดีเปรสชัน (พายุระดับ 2) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน (พายุระดับ3) และจะเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์ลงทะเลจีนใต้ในช่วงวันที่ 20-21 ต.ค. 63 หลังจากนั้นจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งเวียดนามในช่วงวันที่ 23-24 ต.ค. 63 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 22-25 ต.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย และขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 20-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


เฮ! เปิด "เกาะสิมิลัน" รับนักท่องเที่ยวหลังคลื่นลมสงบ



พังงา - เปิด "เกาะสิมิลัน" แล้ว หลังฝนหยุดตก คลื่นลมสงบ นักท่องเที่ยวสุดดีใจได้ลงเรือชมความสวยงามหลังถูกปิดมานานเกือบ 7 เดือน

จากกรณีอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศปิดเกาะสิมิลันตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากฝนตกหนักและคลื่นลมแรง หวั่นเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยว ล่าสุด วันนี้ (19 ต.ค.) ทางอุทยานได้ประกาศเปิดเกาะรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหลังคลื่นลมสงบ

โดยที่ท่าเรือบ้านทับละมุ ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พบว่า บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย มากันเป็นหมู่คณะ ครอบครัว และคู่รัก มาขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวยังหมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์ จำนวนมาก เพื่อชมความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวหลังถูกปิดมายาวนานถึง 7 เดือน

โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังเกาะสิมิลันในครั้งนี้ต่างก็ดีใจที่ได้เดินทางไปยังเกาะสิมิลัน และเกาะสุรินทร์ หลังรอกันมาอย่างยาวนาน เนื่องจากขณะนี้แหล่งท่องเที่ยวมีความสวยงาม และกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง


https://mgronline.com/south/detail/9630000106321


*********************************************************************************************************************************************************


ฮือฮา! พบ "ปูไก่" สัตว์หายากอาศัยที่ทำการอุทยานหมู่เกาะลันตา นับ 1,000 ตัว

กระบี่ - ฮือฮา! พบ "ปูไก่" สัตว์หายาก ขุดรูอาศัยบริเวณที่ทำการอุทยานหมู่เกาะลันตา นับ 1,000 รู ระบุพบมากที่สุดใน จ.กระบี่ ชี้ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลมีความอุดมสมบูรณ์



นายวีระศักดิ์ ศรีสัจจัง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ.กระบี่ เปิดเผยว่า ทางอุทยานฯ ได้ทำการสำรวจสัตว์ทะเลและสัตว์บกตามเกาะแก่งต่างๆ บริเวณหมู่เกาะลันตา เพื่อเก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลตามหมู่เกาะลันตา ซึ่งปรากฏว่า จากการสำรวจ เจ้าหน้าที่พบ "ปูไก่" หรือปูภูเขา ซึ่งเป็นปูหายากชนิดหนึ่ง เข้ามาขุดรูอาศัยอยู่บริเวณใกล้ที่ทำการอุทยานฯ เป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 1 พันรู หรือ 1 พันตัว

และในช่วงกลางคืน "ปูไก่" ก็จะออกจากรูมาหากิน ส่งเสียงร้องคล้ายกับลูกไก่ สร้างความตื่นเต้นแก่เจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมอุทยาน และในตอนกลางวันปูไก่เหล่านี้ก็จะกลับเข้าไปอยู่ในรู ซึ่งจากที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในอุทยานฯ มาหลายแห่ง พบว่า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาพบปูไก่ เยอะมากที่สุดที่เคยพบมา เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญ เนื่องจากปูชนิดนี้นับวันจะเหลือน้อยลง และใกล้จะสูญพันธุ์ เหตุจากความหลากหลายทางธรรมชาติที่เปลี่ยนไป



นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปูไก่ที่พบใกล้ที่ทำการอุทยานหมู่เกาะห้อง มีขนาดรูและตัวหลายขนาด ตั้งแต่ 5-10 ซม. มีทั้งเพศผู้และเพศเมีย ในตอนกลางวันจะหลบซ่อนตัวอยู่ในรูและช่วงกลางคืนก็จะออกหากินซากพืชซากสัตว์เป็นอาหาร

ทั้งนี้ ที่ได้ชื่อว่าปูไก่นั้น ก็เพราะมีเสียงร้องคล้ายกับลูกไก่ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจตามเกาะอื่นๆ ยังไม่พบปูไก่ ขณะนี้พบเพียงที่เดียวในเขตอุทยานหมู่เกาะลันตา ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดี และบ่งชี้ถึงสภาพระบบนิเวศป่าภายในอุทยานหมู่เกาะลันตา ยังมีความสมบูรณ์อยู่เป็นอย่างมาก


https://mgronline.com/south/detail/9630000106358

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 20-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก PPTV


ทุบสถิติรอบ 86 ปี ฉลามในออสเตรเลียคร่าชีวิตคน 7 ราย

ฉลามในออสเตรเลียคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 7 รายในปีนี้ มากสุดในรอบ 86 ปี โดยส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป



โฆษกจากสมาคมอนุรักษ์สัตว์จาก สวนสัตว์ทารองกา ออสเตรเลีย เปิดเผยว่า การโจมตีของฉลามในออสเตรเลีย เกิดขึ้นในหลายรัฐทั้งควีนส์แลนด์และนิวเซาท์เวลส์ โดยเมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการนำเสนอข่าวการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่พบแม้กระทั่งศพของนักประดาน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากการถูกฉลามโจมตี 1-2 คน และในปี 2562 ไม่มีผู้เสียชีวิตเลย แต่ปรากฏว่าในปีนี้ คาดว่าฉลามคร่าชีวิตคนเหล่านั้นไปแล้ว 7 คน เท่ากับเมื่อ 86 ปีก่อน (พ.ศ.2477) โดยผู้เชี่ยวชาญ คาดว่า ฉลาม 3 สายพันธุ์ที่ต้องสงสัยว่า เข้าโจมตีมนุษย์จนเสียชีวิตมากที่สุด คือ ฉลามกระทิง ฉลามขาว และฉลามเสือ

ศาสตราจารย์ คูลัม บราวส์ (Culum Brown) จากภาควิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพของมหาวิทยาลัยแมคควอรี่ ในซิดนีย์ กล่าวว่า การเข้าโจมตีของฉลามในออสเตรเลียเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 21 ครั้งต่อปี และตลอด 50 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากการถูกฉลามโจมตี 1 ราย แต่ในปีนี้ถือว่าสูงมาก

มีคำอธิบายที่ถึงเหตุการณืที่เกิดขึ้นในหลายปัจจัย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ให้เห็นว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นคือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

"เมื่ออุณหภูมิในมหาสมุทรร้อนขึ้น ระบบนิเวศทั้งหมดกำลังถูกทำลายและถูกบีบให้ปรับตัว ปลาต่างๆ อพยพย้ายถิ่น ไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน พฤติกรรมของสัตว์แต่ละสปีชีส์ กำลังเปลี่ยนไป ส่งผลให้ระบบนิเวศโลกใต้ทะเลเปลี่ยนไปด้วย และฉลามก็ติดตามเหยื่อของมันซึ่งอาจทำให้ต้องเข้าใกล้ชายฝั่งและมนุษย์มากขึ้น" บราวส์ กล่าว

นอกจากนั้นแล้ว ผลพวงจากสถานการณ์ไฟป่าขนาดใหญ่ทำให้เกิดคลื่นความร้อน ภัยแล้ง ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติการณ์ ส่งผลไปยังมหาสมุทรทำให้เกิดสภาวะความเป็นกรดและอุณหภูมิที่สูงขึ้น สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย โดยพบว่าสภาพภูมิอากาศ และอุณหภูมิของน้ำร้อนขึ้นประมาณ 4 เท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลก

จุดสำคัญคือ แนวปะการัง เกรตแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) ซึ่งเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่สำคัญตามแนวชายฝั่งตะวันออก ประสบปัญหาปะการังฟอกขาวอย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้าง ส่งผลให้แนวปะการังตายไปกว่าครึ่ง ป่าชายเลนถูกทำลายไปอีกจำนวนมหาศาลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ทั้งหมดนี้ทำให้สัตว์ทะเลอพยพไปทางใต้มากกว่าปกติ เพื่อค้นหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น สัตว์จำพวกปลาหางเหลือง ที่มักพบเห็นได้ทั่วไปในน่านน้ำเขตร้อนทางตอนเหนือ ก็ปรากฏเป็นฝูงใกล้กับเกาะทางตอนใต้ของรัฐแทสเมเนีย ปลาหมึกซิดนีย์ เปลี่ยนจากรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของควีนส์แลนด์ลงมาที่แทสเมเนีย แม้แต่แพลงก์ตอนและพืชอย่าง สาหร่ายทะเล ก็เคลื่อนตัวไปทางใต้ เช่นกัน ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า นักล่าอย่างฉลามจะต้องตามล่าเหยื่อของมันไปด้วย

ประกอบกับในมหาสมุทร จะมีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวทั้งกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็น กระแสน้ำในออสเตรเลียตะวันออกมีบทบาทสำคัญในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา พัดพา กระแสน้ำจากเขตร้อนทำให้น้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้น ขณะเดียวกันกระแสน้ำที่มีความรุนแรงมากขึ้น ก็ทำให้น้ำเย็นที่อุดมด้วยสารอาหารไหลไปสู่ชายฝั่งตะวันออกบางแห่ง อุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่งเหล่านี้ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉลามเริ่มเคลื่อนตัวเข้าใกล้มนุษย์มากขึ้น

โรเบิร์ต ฮาร์คอร์ท นักวิจัยด้านนิเวศวิทยาของฉลามและผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนักล่าทางทะเลของ มหาวิทยาลัยแมคควอรี่ กล่าวว่า "พวกฉลามอาจมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน กิจกรรมทางทะเลของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นตลอดเวลา"

มหาสมุทรกำลังเปลี่ยนไป และฉลามก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับมัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ทำลายล้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของโลกและทำให้ทุกอย่างขาดความสมดุล รบกวนระบบนิเวศทางทะเล ที่อาศัยอยู่ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวอพยพที่มีผลต่อมนุษย์มากขึ้น

เรียบเรียงจาก CNN


https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/135146

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:00


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger