เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 30-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยและประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณมีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 30 ก.ค. ? 4 ส.ค. 66 ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือของประเทศไทย ประเทศลาวตอนบน และประเทศเวียดนามตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตั๋งเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก

ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง สำหรับเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 30 ก.ค. ? 4 ส.ค. 66 นี้ไว้ด้วย






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 30-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


"ขยะอาหาร" มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ไม่ควรมองข้าม ผลกระทบต่อ "สิ่งแวดล้อม"



"อาหาร" ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่ในปัจจุบัน ทั่วโลกนั้นกำลังเผชิญกับปัญหา "ขยะอาหาร" (Food Waste) เนื่องจากสถานการณ์ขยะอาหารของทั่วโลกในแต่ละปี พบว่าอาหารกว่า 1,300 ล้านตัน หรือ 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตได้ทั่วโลก ต้องกลายเป็นขยะอาหารที่ถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่า

สำหรับประเทศไทยนั้น กว่า 60% ของขยะ พบว่ามาจาก "ขยะอาหาร" โดยคนไทย 1 คน สร้างขยะอาหารสูงถึง 254 กิโลกรมต่อปี ทำให้เกิดปัญหาและผลกระทบที่ท้าทายมวลมนุษยชาติ เกิดการหมักและย่อยสลายกลายเป็นแก๊สมีเทน (CH4) ซึ่งเป็นแก๊สเรือนกระจกที่มีความรุนแรงกว่า แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 27-30 เท่า ถือเป็นสาเหตุให้เกิด 8-10% ของแก๊สเรือนกระจกทั่วโลก แถมยังเกิดกลิ่นรบกวน และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค


ขยะอาหารในไทย มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

อาจารย์ ดร.รชา เทพษร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SCI-TU) เผยว่า ขยะอาหารในประเทศไทย ปัจจุบันมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยพบว่าจากเดิมที่มีการรายงานตัวเลข ขยะอาหารของไทยในปี 2565 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 17 ล้านตัน จากสถานการณ์ปัจจุบันตัวเลขอาจขยับสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่าไทยมีการสูญเสียอาหารจนกลายเป็นขยะ จากการผลิตอาหารได้คุณภาพที่ไม่ตามมาตรฐานที่กำหนด (Food Loss) อยู่ที่ประมาณ 30% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก เมื่อเทียบกับประชากรกลุ่มที่ไม่มีอาหารบริโภค และอีกส่วนเกิดจากการบริโภคไม่ทันหรือบริโภคไม่หมด ทำให้ต้องทิ้งจนกลายเป็นขยะอาหาร

แม้ความนิยม "อาหารไทย" จะเพิ่มขึ้น จากการจัดอันดับอาหารอร่อยจากหลายเวที ที่ยกให้อาหารไทยหลายเมนู ติดอันดับในเมนูยอดนิยม จะส่งผลดีต่อภาพรวมของธุรกิจอาหาร ตั้งแต่สตรีทฟู้ด, หาบเร่แผงลอย ไปจนถึงระดับอุตสาหกรรม ที่เรียกได้ว่าเติบโตทั้งห่วงโซ่ แต่ปัญหาที่ตามมาคือ "ขยะอาหาร" ก็ยังเพิ่มขึ้นเป็นเป็นเงาตามตัว ซึ่งหากไทยยังไม่มีแผนสำหรับการจัดการอย่างเป็นระบบ อาจทวีความรุนแรงและอาจเริ่มส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมได้

ข้อแนะนำสำหรับ "ผู้ผลิต" ที่มีการผลิตหรือเตรียมอาหารแบบมากจนเกินไป (Over Prepare) หรือการทำอาหารเกินกว่าการบริโภคจริง ทำให้เกิดอาหารเหลือทิ้งจำนวนมาก ดังนั้น ผู้ผลิตจึงต้องมีการบันทึกรวบรวมข้อมูลว่า กระบวนการผลิตอาหารหรือแปรรูปอาหารขั้นตอนไหน ที่ทำให้เกิด Food Loss หรือ Over Prepare

รวมทั้งพบว่า มีการสูญเสียอาหารจากกระบวนการผลิตถึง 30% จึงควรหาแนวทางแก้ไขเพื่อลดการสูญเสีย เช่น การมีระบบการผลิตที่ดีมีคุณภาพที่ช่วยลดการสูญเสียอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ผลิตอาหารมักให้ความสนใจในเรื่องนี้ เพราะหากผลิตไม่ได้คุณภาพก็เท่ากับสูญเสียทั้งทรัพยากรและงบประมาณ

ส่วน "ผู้บริโภค" ที่มีพฤติกรรมการนำอาหารมากักตุนไว้จำนวนมาก โดยไม่มีการวางแผนในการบริโภค จนอาหารที่ตุนไว้เหลือในตู้เย็นจำนวนมากและหมดอายุจนต้องนำไปทิ้ง ซึ่งมักพบพฤติกรรมการกำจัดของในตู้เย็นทุกสัปดาห์ด้วยการนำไปทิ้ง และซื้ออาหารใหม่เข้ามากักตุนไว้อีก โดยแนะนำให้ใส่ใจข้อมูลการนำเสนอของผู้ผลิต เช่น ดูวันหมดอายุ และวางแผนการบริโภค เลือกซื้ออาหารที่มีระยะเวลาก่อนหมดอายุที่เหมาะสมกับแผนการบริโภค


"อาหารบุฟเฟต์" ทำให้เกิด "ขยะอาหาร" จำนวนมาก

อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ คือ "ธุรกิจอาหารแบบบุฟเฟต์" ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้เกิดขยะอาหารจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากจุดขายธุรกิจอาหารแบบบุฟเฟต์ คือ มีอาหารหลายเมนู ซึ่งผู้ประกอบการต้องเตรียมอาหารเอาไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าในปริมาณที่มากจนเกินความต้องการ (Over Prepare) ขณะที่ผู้บริโภคเองก็รู้สึกว่าเมื่อรับประทานแบบบุฟเฟต์ ก็ต้องได้รับประทานให้เกิดความคุ้มค่า ดังนั้นเรื่องขยะอาหาร จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันทั้งระบบห่วงโซ่อาหาร ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ร่วมกัน

นอกจากนี้ การเข้าถึงโอกาสของ Future Trend ด้านอาหาร ก็กำลังเป็นแนวทางอาชีพที่กำลังเป็นเทรนด์ขาขึ้น ตอบโจทย์ยุคที่ประชากรโลกต้องการเข้าถึงความมั่นคงทางอาหาร และการจัดการของเหลือจากอาหารได้อย่างยั่งยืนด้วยเช่นกัน


4 แนวทางจัดการ "ขยะอาหาร"

- ลดความยาวของห่วงโซ่อาหารให้สั้นลง พร้อมตั้งกฎเหล็กของการซื้ออาหารปรุงสำเร็จและวัตถุดิบ เช่น อย่าซื้อตอนหิว ซื้อเฉพาะที่จำเป็น และไม่ตกเป็นทาสของการตลาด เพื่อสร้างวินัยในการซื้ออาหาร

- เพิ่มคุณประโยชน์ให้อาหารที่ใกล้เป็นของเสีย โดยการแปรรูปอาหารเพื่อยืดอายุ ซึ่งเรามีภูมิปัญญาในเรื่องเหล่านี้มานาน อาทิ การอบแห้ง การนำไปผ่านความร้อน-ความเย็น การหมักดอง เป็นต้น

- การนำขยะอาหารไปใช้ให้เกิดคุณค่าหรือมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น การทำก๊าซชีวภาพ เพื่อไม่เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อม

- กำจัดทิ้งอย่างถูกวิธี ซึ่งส่วนใหญ่อาหารเราจะใช้วิธีในการฝังกลบ แต่ก่อนที่จะมาถึงขั้นตอนการทิ้งขยะอาหารนั้น ควรจะต้องผ่านกระบวนการลดการเกิดขยะอาหารเหล่านี้ก่อน ซึ่งหากดำเนินการทั้งหมดนี้ก็จะสามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะอาหารได้


สุดท้ายนี้ วิธีการลดปริมาณขยะเศษอาหารได้ที่ดีที่สุด คือการบริโภคอาหารให้หมด โดยเริ่มตั้งแต่จานของเรา เพราะอาหารที่ถูกทานจนหมดในทุกมื้อ สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ลดการสะสมของเชื้อโรคตั้งแต่ถังขยะไปจนถึงบ่อพักขยะ ซึ่งถ้าทุกคนช่วยกัน เชื่อว่าทุกการเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยเปลี่ยนแปลงให้หลายอย่างดีขึ้นแน่นอน.


https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2712617


******************************************************************************************************


อิตาลีตะลึง พบซากเรือสินค้า โถโบราณยุคโรมัน จมก้นทะเลนานกว่า 2 พันปี

อิตาลี พบซากเรือสินค้าโบราณตั้งแต่ยุคโรมัน จมสงบนิ่งอยู่ก้นทะเลนอกชายฝั่งในอิตาลี มายาวนานตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน ภายในซากเรือโบราณยังพบโถยุคโรมันหลายร้อยใบด้วย



เมื่อ 29 ก.ค. 2566 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พบซากเรือสินค้าโบราณตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน จมอยู่ก้นทะเลมานานกว่า 2,000 ปี ที่บริเวณนอกชายฝั่งเมืองท่าชีวีตาเวกเกีย ประเทศอิตาลี และจุดที่พบอยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร โดยภายในซากเรือสินค้าโบราณลำนี้ ยังพบโถโบราณยุคโรมันจำนวนหลายร้อยใบด้วย

กองศิลปะของสารวัตรตำรวจอิตาลี ออกแถลงการณ์ว่า เรือสินค้าโบราณลำนี้ ซึ่งคาดว่ามีอายุตั้งแต่ประมาณ ศตวรรษที่ 1 หรือ 2 ก่อนคริสต์ศักราช มีความยาวกว่า 20 เมตร ถูกพบจมอยู่บนท้องทะเลที่เป็นทราย ในระดับความลึกจากผิวน้ำทะเล 160 เมตร

การพบซากเรือสินค้าโบราณอับปางเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการที่เรือสินค้าในยุคโบราณต้องเผชิญกับภยันตรายในท้องทะเล ขณะพยายามจะฝ่าคลื่นลมมายังเมืองท่าชายฝั่งของอิตาลี

ขณะที่ กองศิลปะของสำนักงานสารวัตรตำรวจอิตาลีซึ่งทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจประเมินค่าได้ของอิตาลี ระบุวัตถุโบราณเหล่านี้ถูกพบและบันทึกภาพจากการใช้หุ่นยนต์ที่ควบคุมจากระยะไกล ทว่ากองศิลปะฯ ไม่ได้แจ้งว่าจะมีการดำเนินการให้ทีมผู้เชี่ยวชาญพยายามกู้สินค้าโบราณล้ำค่าเหล่านี้ขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลหรือไม่


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2713302

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 30-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


จบยุค Global Warming เพราะ "ยุค Global Boiling" มาถึงแล้ว!! .......... โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์


กรกฎาคม 2023 ถูกกำหนดให้เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ - และน่าจะอยู่ในรอบ 120,000 ปี (ในภาพ) นักผจญเพลิงจัดการกับเปลวเพลิงในเมืองโรดส์ ชายคนหนึ่งแช่ตัวในน้ำในซาเกร็บ ประเทศโครเอเชีย ที่อุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส รถบัสถูกน้ำท่วมฉับพลันในโอซอง เกาหลีใต้ และกราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก (เครดิตภาพ : epa/เอพี)

เมื่อไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เลขาธิการสหประชาชาติ ออกแถลงประโยคที่น่าตกใจข้างต้นให้ชาวโลกรับรู้ผ่านคณะสื่อมวลชน หลังจากคณะนักวิทยาศาสตร์สากลจากทวีปต่างๆทั่วโลกยืนยันตรงกันแล้วว่า

เดือนกรกฎาคมของปี 2023 นี้ สถานีตรวจวัดอุณหภูมิในทุกทวีปราว 2 หมื่นสถานี และจากทุ่นตรวจวัดอุณหภูมิในมหาสมุทรต่างๆทั่วโลก ตลอดจนจากดาวเทียมตรวจอากาศที่บันทึกอุณหภูมิผิวโลกตามจุดต่างๆยืนยันว่า กรกฏาคมปีนี้ เป็นช่วงฤดูร้อนที่ "ร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ของมนุษยชาติ" แล้ว นับแต่มนุษย์เคยมีการบันทึกมา!

นายแอนโธนิโอ กุยเตอเรส เลขาธิการสหประชาชาติชี้ว่า ทั้งหมดนี้ เกิดจากการกระทำของมนุษย์ การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เรารอให้ใครอื่นทำการแก้ไขให้เราไม่ได้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่บรรดาผู้นำของภาคส่วนต่างๆที่เคยรับปากจะทำนั่นเปลี่ยนนี่ ก็ยังไปได้ไม่ไกลพอ และไม่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเพียงพอ ต่อสภาวะภูมิอากาศของโลก

นักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ในสาขาต่างๆได้ชี้ไปในทางเดียวกันว่า รังสีความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ถูกก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ปลดปล่อยออกมา ได้กักเอาความร้อนที่ควรสะท้อนกลับออกไปสู่อวกาศให้คงค้างไว้บนชั้นบรรยากาศโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จนสภาพภูมิอากาศของโลกปั่นป่วน (Climate Crisis)

ปีนี้มหาสมุทรใหญ่ของโลกได้เข้าสู่ช่วงเอลนินโญ่ และคลื่นความร้อนจัดก็ขยับขยายไปท่วมทับยุโรปและอเมริกาเหนือ จนไล่ดับไฟป่ากันไม่ทัน มีผู้คนที่เจ็บป่วยเพราะร่างกายระบายความร้อนไม่ทันจนถึงกับเสียชีวิตมากขึ้นอีกด้วย

จากยุคที่เรียกว่า "ภาวะโลกร้อน"(Global Warming)ที่มีกราฟแสดงการไต่ขึ้นมาเรื่อยๆของอุณหภูมิในพื้นที่ต่างๆ ทีละขีดซึ่งมนุษย์เคยแค่บ่นๆว่าหน้าร้อนปีนี้ ดูจะร้อนกว่าปีก่อนหน้า

แต่บัดนี้ เราได้เข้าถึงจุดที่จะได้เห็นความเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งในระบบนิเวศน์ในระดับที่ประวัติศาสตร์มนุษย์ยังไม่เคยประสบเจอ

เหมือนไม้กระดกได้กระดิกพลิกเปลี่ยนไปอีกข้างของน้ำหนักแล้วนั่นแหละ

มันคืออุณหภูมิของคลื่นความร้อนที่จะทำให้พืชบางระดับ บางสายพันธุ์หยุดเจริญเติบโต หยุดผลิดอกออกผล ซึ่งแปลว่าเข้าสู่ภาวะไม่สืบทอดสายพันธุ์ของตัวมันเอง แปลว่ามันจะแก่ตัวตายไปแบบไม่มีทายาท

มันคือรูปแบบภูมิอากาศที่จะผิดเพี้ยนไปจนกลายเป็นความปกติใหม่ ที่อาจจะมีวันร้ายมากกว่าวันอากาศดี มันคือการมาถึงของภัยธรรมชาติถี่ๆในสารพัดบริเวณ

มันคืออุณหภูมิที่จะทำให้แมลงหลายชนิด อพยพ หรือขยายเขตทำมาหากินรุกเข้าไปในดินแดนใหม่ๆที่เคยหนาวเย็นจนมันเคยทนไม่ได้ แปลว่าเชื้อจุลินทรีย์หลายอย่าง เชื้อโรคหลายชนิดจะเดินทางได้ไกลขึ้น โรคระบาดเขตร้อนจะลามเข้าไประบาดในเขตที่เคยหนาวเย็นได้ถนัดขึ้น

น้ำแข็งที่เคยคลุมพื้นดินบางเขตจะละลายจนเปิดออกปล่อยให้เชื้อราหรือเชื้อโรคแปลกๆที่เคยหายสาปสูญไปนับหมื่นนับแสนปีผุดขึ้นมาขยายพันธ์ได้ใหม่

สัตว์น้ำที่เคยหากินกันอยู่ที่ผิวน้ำในระดับตื้น จำต้องมุดลงน้ำลึกบ่อยขึ้น ทั้งที่จะมีสารอาหารให้มันเลือกกินได้น้อยลง เพราะอุณหภูมิที่ผิวน้ำ ร้อนเกินกว่าที่มันจะทนอยู่กันได้ หลายพันธุ์จะสาบสูญ

การประมงทั้งน้ำจืด และประมงทะเลทั่วโลกจะประสบปัญหาการหาสัตว์น้ำได้ยากยิ่งขึ้น

ในเมื่อโปรตีนแหล่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์อาศัยมาตลอดกว่าพันปีคือสัตว์น้ำ ผลของมันจึงนำไปสู่ภาวะการขาดสารโปรตีนต่อครอบครัวส่วนใหญ่บนโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปศุสัตว์จะเดือดร้อนเพราะฝนทิ้งช่วง วันฝนมาก็มามากจนท่วมท้นดินถล่ม วันที่ขาดฝนก็แล้งจนไม่มีน้ำมาทำการเกษตรที่เคยปลูกไว้เป็นอาหารปศุสัตว์

ในขณะที่ปศุสัตว์เองก็เป็นผู้ปล่อยก๊าซที่มีฤทธิ์ร้ายแรงต่อภาวะเรือนกระจกกว่า20เท่าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือก๊าซมีเทนจากสัตว์ ปศุสัตว์ที่ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งคือปัจจัยเร่งการปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว ที่ใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและฉีดพ่นสารเคมีป้องกันศัตรูพืชอย่างมากมาย ทำร้ายทั้งผึ้งและผีเสื้อที่มีหน้าที่ผสมเกสรดอกไม้ทั้งโลกให้ผลิดอกออกเป็นผล พืชไร่เลี้ยงสัตว์นี่เองที่เร่งการบุกรุกทำลายทั้งป่าธรรมชาติและแหล่งน้ำสะอาดตามที่ต่างๆในทุกทวีป

ภาคพลังงานฟอสซิล น้ำมัน ถ่านหิน และการขนส่งสารพัด กองขยะที่หมักหมมรอย่อยสลายมากมาย การผลิตสิ่งทอแบบ Fast Fashion ที่ทำให้สินค้าแฟชั่นตกเทรนต์ไวๆเพื่อให้ผู้คนกลัวเชย จึงหันมาซื้อของใหม่ใส่โดยไม่จำเป็นก็ล้วนมีส่วนเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกตัวสำคัญ

ภาวะโลกเดือด (Global Boiling)จะทำให้โรคระบาดสัตว์ยิ่งอาละวาดได้มากขึ้น ภูมิคุ้มกันทั้งในสัตว์และคนจะลดลงจากภาวะ ฮีทสโตรก หรือภัยจากคลื่นความร้อนที่มีความชื้นสูงจนเหงื่อไม่ระเหยได้มากขึ้น ร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะระบายความร้อนไม่ทัน ระบบร่างกายจะอ่อนเพลีย พักผ่อนนอนก็ไม่สนิท กินอาหารก็แทบไม่ลง อวัยวะต่างๆทำงานไม่ได้เหมือนภาวะปกติ

เพราะแม้แต่เวลากลางคืน อากาศในหลายภูมิภาคก็จะร้อนอ้าวจนเกินจะนอนได้

ในสหรัฐ ทำเนียบขาวออกประกาศมาตรการคุ้มครองแรงงานจากการต้องทนทำงานท่ามกลางคลื่นความร้อน

ความร้อนของมหาสมุทรจะทำให้เกิดการระเหยของน้ำเร็วขึ้น นำไปสู่ฝนพันปีตกในย่านที่มีทิศทางลมพาไปบ่อยขึ้น น้ำจึงท่วมท้นในบางจุด และในจุดที่ลมพัดความชื้นเข้าไปไม่ถึงก็จะแล้งอย่างหนักหน่วงและยาวนานขึ้น

ไฟในป่าของพื้นที่นั้นจะดับยาก และจุดติดง่ายยิ่งขึ้น เพราะอากาศแห้งจัด ภัยแล้งจะทำให้ชาวโลกเร่งกักสายน้ำสารพัดไว้จนน้ำไม่เคลื่อนที่อย่างเดิมๆ ความขัดแย้งแก่งแย่งน้ำดิบจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งของมนุษย์ ทั้งข้ามภูมิภาค และข้ามประเทศอย่างง่ายดาย

สงครามจึงปะทุขึ้นได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม

อุดมการณ์และรูปแบบการปกครองจะถูกใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีกันไปมาโดยไม่จำเป็นและแก้ไขอะไรไม่ได้


ทางออกที่แท้จริงของเราแต่ละคนคือ

1.การค้นหาความรอบรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง

2.การฝึกฝนทักษะในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองทั้งในการบริโภคและการใช้ชีวิต

3.การชักชวนให้ครอบครัวและชุมชนต่างๆร่วมเปลี่ยนแปลงในสเกลที่กว้างใหญ่ขึ้น สนใจดูแลกันและกันมากขึ้น

ถ้ามนุษย์ในสังคมมีความเข้าใจในระบบนิเวศน์ดีขึ้น ความเห็นต่างจะลดลง เพราะวิทยาศาสตร์จะพาให้เข้าหาความจริง ไม่ใช่ความเห็น

4. รัฐเองก็พึงขจัดการผูกขาดตัดตอน และขยับการเกษตรตลอดจนการอุตสาหกรรมที่ไม่ยั่งยืน ให้ก้าวไปสู่การจัดการที่ยั่งยืน และมีธรรมาภิบาลที่ดีทั้งในระบบรัฐ ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ธุรกิจและระบบคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

5. ประเทศผู้มีรายได้สูง ซึ่งมักมีประวัติในการฉกฉวยทรัพยากรธรรมชาติจากชาติที่อ่อนแอกว่ามาตลอดยุคอุตสาหกรรม คือใน200ปีที่ผ่านมา ต้องช่วยแบกรับค่าใช้จ่าย และถ่ายทอดพลังความเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ชาติที่เปราะบางทั้งหลายต่อภาวะโลกเดือดนี้โดยเร่งด่วน

ไม่ว่าจะเป็นรัฐหมู่เกาะเล็กๆ ที่กำลังจะถูกน้ำทะเลยกระดับเข้าท่วมมิด รัฐที่กำลังขาดแคลนพลังเศรษฐกิจในการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน หรืออย่างน้อยก็มีกองทุนช่วยการเตรียมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติให้ได้ประสิทธิภาพขึ้น ไม่ว่าจากน้ำทะเลท่วมเข้าแผ่นดิน น้ำจืดขาด อาหารแพง โรคใหม่ระบาด อากาศหายใจไม่สะดวก หรือภัยจากความร้อนตรงๆ

"ภาวะโลกเดือด" เริ่มขึ้นแล้ว

"น้ำแข็งละลายเริ่มกลายเป็นน้ำไหล สิ่งมีชีวิตหลายประเภทในช่วงก่อนยุคน้ำแข็งพวกนี้จะทยอยฟื้นและไหลตามชั้นน้ำที่ละลายออกมาอาละวาดต่อไปละครับ"

อยู่ที่ว่า เราทุกๆคนจะเริ่มจริงจังกับเรื่องนี้ ก่อนเจอวิบากกรรมครั้งใหญ่กันได้ทันหรือไม่ เท่านั้นเอง


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000068385


******************************************************************************************************


ฮือฮา! ปรากฏการณ์ขี้วาฬหาดตาแหวนเกาะล้าน เปลี่ยนสีน้ำทะเลกลายเป็นสีเขียว

โซเชียลฯ แห่แชร์ปรากฏการณ์ขี้วาฬ หรือแพลงก์ตอนบลูม เผยเกิดจากน้ำเสียจากชุมชนลงสู่ทะเลจนทำให้แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารและเกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้ไม่อันตรายสำหรับคน เพียง 4-7 วันก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ



วันนี้ (29 ก.ค.) เพจ "เรารักพัทยา" ได้มีการแชร์ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Sky Kuakun ซึ่งโพสต์ภาพน้ำทะเลเกาะล้านกลายเป็นสีเขียว พร้อมติดแฮชแท็ก #unseenkohlarn โดยระบุข้อความว่า ?แพลงก์ตอนบลูมหรือขี้วาฬ บุกทะเลเกาะล้าน กลายเป็นสีเขียวไปแล้ว พิกัดหาดตาแหวน

ทั้งนี้ ได้มีชาวเน็ตอีกรายให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "เกิดบ่อยช่วงหน้าฝน น้ำฝนน้ำท่อ ระบายลงทะเล แพลงก์ตอนสาหร่ายมันชอบ เหมือนให้อาหารมัน เลยโตไว ขยายพันธุ์เยอะเลยเป็นสีเขียว จะมีกลิ่นคาวสาหร่ายหน่อย มันแย่งออกซิเจนในน้ำ ทำให้ปลาที่เข้าไปแถวนั้นตาย แต่ไม่อันตรายต่อคน 3-4 วันก็หายปกติ คนพื้นที่ชอบเรียกขี้วาฬ"

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ขี้วาฬ หรือ แพลงก์ตอนบลูม เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปี โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการปล่อยน้ำเสียจากชุมชนลงสู่ทะเลจนทำให้แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารและเกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเมื่อออกซิเจนในน้ำทะเลหมดลง แพลงก์ตอนก็จะตายจนทำให้น้ำทะเลกลายเป็นสีเขียว หรืออาจเป็นช่วงที่เปลี่ยนฤดูจึงเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่าน้ำทะเลเปลี่ยนสีเขียวหรือแพลงก์ตอนบลูม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ลงเล่นน้ำทะเล เพียงแต่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าลงเล่นน้ำเนื่องจากบางจุดจะมีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง และทำให้หวั่นว่าจะเกิดผลกระทบต่อผิวหนัง หากบางคนผิวแพ้ง่ายก็อาจทำให้มีผื่นคันได้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวคาดว่าหากมีลมทะเลพัดแรงเพียง 4-7 วันก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ


https://mgronline.com/onlinesection/.../9660000068398

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 30-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


สื่อนอกเผย ?ฉลามติดโคเคน? เพราะมนุษย์ทิ้ง ?ยาเสพติด? ลงทะเล ?!

"ยาเสพติด" ไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์เท่านั้น เพราะจากงานวิจัยล่าสุดพบว่า ?ฉลาม? ก็ได้รับผลกระทบจนเกิดภาวะ "ติดยา" ไปด้วย หลังตรวจพบการทิ้งยาเสพติดลงในทะเล


Key Points:

- "โคเคน" เป็นสารเสพติดอันตราย ที่พบการแพร่ระบาดมายาวนาน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของหลายประเทศทั่วโลก แม้จะออกฤทธิ์สั้นแต่หากเสพในปริมาณมาก หรือเสพอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เสียชีวิตได้

- ทำลายชีวิตตัวเองไม่พอ มนุษย์ยังปล่อยให้สารเสพติดเหล่านั้นลงสู่ท้องทะเลจนเป็นอันตรายกับสัตว์ทะเลอีกด้วย ล่าสุดมีรายงานว่า พบการทิ้ง "โคเคน" ลงสู่ทะเลแถบฟลอริดา ในสหรัฐอเมริกา

- "ฉลาม" ที่บังเอิญโชคร้ายได้รับโคเคนเข้าสู่ร่างกาย นักวิจัยพบว่าพวกมันมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ท่าทางการว่ายน้ำที่แปลกประหลาด และพุ่งเข้าหามนุษย์บ่อยขึ้น




ขึ้นชื่อว่าเป็น "ยาเสพติด" แน่นอนว่าต้องส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้เสพ แต่ปัจจุบันนอกจากมนุษย์จะได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติดแล้ว "ฉลาม" บริเวณชายฝั่งรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย หลังพวกมันกินสารเสพติดจำพวก "โคเคน" เข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เหมือนสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆ พวกมันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรคืออาหารที่กินได้ อะไรคือสารอันตราย (เรามักเห็นรายงานข่าวเกี่ยวกับสัตว์ทะเลตายจากการกินขยะพลาสติกอยู่บ่อยๆ)

เมื่อฉลามกินโคเคนเข้าไปทำให้พวกมันมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ท่าทางการว่ายน้ำที่แปลกประหลาด และฉลามบางสายพันธุ์จากเดิมที่พวกมันจะไม่สุงสิงกับมนุษย์ แต่กลับว่ายน้ำเข้าหามนุษย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยฉลามเหล่านี้ถูกเรียกว่า "Cocaine Sharks" นี่เป็นคำอธิบายจากนักวิจัยจากงาน Shark Week ของช่อง Discovery

สำหรับปัญหาที่ทำให้มีการลักลอบทิ้ง "ยาเสพติด" ลงทะเลบริเวณอ่าวฟลอริดาเป็นจำนวนมาก ก็เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากอเมริกาใต้เข้ามายังสหรัฐ โดยทางการตรวจสอบพบว่าผู้กระทำความผิดมักโยนห่อ "โคเคน" ลงทะเลแถบนี้บ่อยๆ เพื่ออำพรางความผิด

หากพูดถึงหนึ่งในสารเสพติดที่สร้างปัญหาให้กับสังคมโลกมาเป็นเวลานาน ชื่อของ "โคเคน" น่าจะอยู่ในอันดับต้นๆ เนื่องจากมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และแพร่ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก


โคเคน (Cocaine) คือ สารสกัดที่ได้มาจากใบของต้นโคคา เป็นต้นไม้ที่มีอยู่มากในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ชาวพื้นเมืองในประเทศเปรูก็มีวัฒนธรรมเคี้ยวใบโคคามานานกว่า 1,000 ปี ก่อนที่ใบโคคาจะเริ่มเข้าสู่ยุโรปและอเมริกาช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยมีจุดประสงค์เริ่มแรกเพื่อการรักษาโรคทางจิตเวชและภาวะติดยาเสพติดอื่นๆ

หลังจากนั้นโคเคนเริ่มถูกนำมาใช้เป็นสารเสพติดชนิดกระตุ้นประสาทในช่วงปี 1920 และเริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 1970 เพราะมีราคาถูก ใช้ง่าย ออกฤทธิ์เร็ว มีลักษณะเป็นผงหรือเกล็ดสีขาว เมื่อเสพเข้าไปจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม อารมณ์ดี ลดอาการประหม่า และกระตุ้นความต้องการทางเพศได้มากกว่าปกติ

ผลร้ายที่ตามมาของการเสพโคเคนก็คือ เห็นภาพหลอน อาเจียน ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ ไปจนถึงเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงระบบประสาท แม้ว่าจะเป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์สั้น แต่หากใช้เป็นประจำก็อาจอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการบำบัดรักษา

ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากสารเสพติดอย่าง "โคเคน" แต่เมื่อสารเหล่านี้ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติก็ส่งผลเสียต่อสัตว์น้ำเช่นกัน โดยเฉพาะ "ฉลาม" นักล่าแห่งท้องทะเลก็ตกเป็นเหยื่อจากยาเสพติดที่เกิดจากความมักง่ายของมนุษย์


เมื่อฉลามประสบปัญหาติดยาเสพติด?

ข้อมูลจาก The Guardian เมื่อเดือน มิ.ย. 2023 ที่ผ่านมา ระบุว่า หน่วยยามฝั่งสหรัฐตรวจยึดสารเสพติดผิดกฎหมายล็อตใหญ่ได้จากน่านน้ำในทะเลแคริบเบียนและทางตอนใต้ของฟลอริดา โดยมีมูลค่ามากกว่า 186 ล้านดอลลาร์ และมีบางส่วนถูกทิ้งลงทะเลไปแล้วด้วย

เมื่อโคเคน สารเสพติด และสารเคมีต่างๆ ถูกทิ้งลงสู่ทะเล สารเหล่านั้นจะละลายไปกับน้ำและแพร่กระจายออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด "เทรซี ฟานารา" วิศวกรสิ่งแวดล้อม ผู้เป็นหนึ่งในทีมวิจัยที่ศึกษาเรื่อง Cocaine Sharks ระบุว่า เมื่อโคเคนละลายจะทำให้เกิดมลพิษตกค้างในแหล่งน้ำ แม้ว่าสัตว์น้ำจะไม่ได้กินเข้าไปโดยตรง ก็ต้องสัมผัสโดนสารอันตรายเหล่านั้นอยู่ดี

หนึ่งในบริเวณที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์ทางตอนใต้อย่าง Florida Keys (ฟลอริดาคีย์) เป็นสถานที่ที่สามารถพบเห็นฉลามได้ง่าย เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ แต่ในช่วงหลังมานี้เริ่มมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าฉลามมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป

ทอม เฮิร์ด นักชีววิทยาทางทะเลชาวอังกฤษระบุว่า จากการสังเกตการณ์พฤติกรรมของฉลามพบว่า "ฉลามหัวค้อน" ที่ปกติจะไม่ค่อยเข้าใกล้มนุษย์และว่ายน้ำหนีมนุษย์บ่อยครั้ง แต่ในระยะหลังกลับพบว่าพวกมันพุ่งตรงเข้ามาหานักดำน้ำด้วยการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาด ต่างไปจากฉลามหัวค้อนทั่วไปที่เคยพบเห็น เพราะลำตัวของมันเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้มันต้องว่ายน้ำแบบโคลงเคลงไปมา นอกจากนี้ยังพบ "ฉลามสันทราย" ว่ายวนเป็นวงกลม และจ้องมองไปยังบริเวณที่ว่างเปล่าคล้ายกับว่าพวกมันมองเห็นภาพหลอน

ผลวิจัยยืนยัน "สารเสพติด" ส่งผลต่อพฤติกรรมของสัตว์น้ำได้จริง!
หลังจากสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของฉลาม ทีมวิจัยจึงได้ทำการทดลองโดยการหย่อนเหยื่อที่ทำจากผงชนิดหนึ่งที่สามารถกระตุ้นระบบสมองของฉลามได้ และผลที่ได้ก็คือฉลามที่เข้าใกล้เหยื่อมีพฤติกรรมว่ายน้ำแปลกๆ ทำให้เชื่อได้ว่าลักษณะของฉลามที่แปลกไปนั้น คล้ายการถูกกระตุ้นด้วยการใช้โคเคน หลังจากนั้นทีมวิจัยได้ทดลองนำเหยื่อลงน้ำอีกครั้ง แต่ใช้วิธีโยนลงมาแทนเพื่อจำลองสถานการณ์การทิ้งยาของขบวนการค้ายาเสพติด พบว่าฉลามหลายตัวว่ายน้ำเข้ามารุมเหยื่อทันที คล้ายกับเป็นพฤติกรรมที่พวกมันทำเป็นประจำ

นอกจากการกินโคเคนแล้ว ข้อมูลจาก Scientific American อธิบายว่า ยังมีความเป็นไปได้ว่าฉลามอาจว่ายน้ำชนห่อสารเสพติดต่างๆ เพราะคิดว่าเป็นเพียงเศษไม้ธรรมดา พวกมันจึงไม่ได้ว่ายหลบหนีสารเหล่านั้น เพราะคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตราย

ปัญหาสำคัญก็คือ ไม่ว่า "โคเคน" จะส่งผลต่อฉลามด้วยวิธีใดก็ตาม แต่งานวิจัยก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสัตว์น้ำต้องอยู่ภายใต้ผลกระทบของยาเสพติด นอกจากนี้เมื่อปี 2021 เคยมีการวิจัยและทดลองเกี่ยวกับผลกระทบจากยาบ้า (Metamphetamine) ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ และผลการวิจัยพบว่าแม้จะมีสารดังกล่าวผสมอยู่ในน้ำเพียงเล็กน้อย แต่ปลาที่อยู่ระหว่างทดลองก็มีการว่ายน้ำที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม

ท้ายที่สุดแล้วอาจสรุปได้ว่า "ฉลาม" ผู้โชคร้ายเหล่านั้น ต้องตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดทั้งที่พวกมันไม่ได้ตัดสินใจเสพเองด้วยซ้ำ และนี่เป็นเพียงแค่งานวิจัยที่ศึกษาเฉพาะผลกระทบจาก "โคเคน" เพียงอย่างเดียว ในบริเวณที่จำกัดเท่านั้น แต่เมื่อมองในภาพใหญ่ขึ้น มนุษย์เราไม่มีทางรู้เลยว่า จะมีสัตว์น้ำที่ไหนได้รับผลเสียจากยาเสพติดที่มาจากฝีมือมนุษย์ในลักษณะนี้อีกหรือไม่


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1080822

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:13


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger