เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 15-11-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2565

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและหัวเกาะสุมาตรา ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ในระดับบนพัดนำความชื้นจากทะเลเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนในบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย
ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยและกรุงเทพมหานครมีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันน้อยถึงปานกลาง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังปานกลาง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 15 ? 18 พ.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ในระดับบนพัดความชื้นจากทะเลเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 19 ? 20 พ.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนลดลง โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลงในระยะถัดไป

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ประกอบกับร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นมาพาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนล่าง และหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณช่องแคบมะละกา ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง ตลอดช่วง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในช่วงวันที่ 14 ? 15 พ.ย. 65


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนเกษตรกรควรระมัดระวังและป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย สำหรับประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ตลอดช่วงไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 15-11-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


นาซาพบซากชาเลนเจอร์ กระสวยมรณะก้นทะเล



องค์การนาซาเผยเมื่อ 11 พ.ย.ว่า นักประดาน้ำจากทีมสารคดีของช่องเดอะฮิสทรีแชนเนลพบชิ้นส่วนของกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ขนาด 6 เมตร ที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก นอกชายฝั่งรัฐฟลอริดา ของสหรัฐฯ ขณะสำรวจหาซากเครื่องบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พีบีเอ็ม มาร์ติน มาริเนอร์ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อ 5 ธ.ค.2488 ในระหว่างค้นหาเครื่องบินทิ้งระเบิดตอร์ปิโดของกองทัพเรือสหรัฐฯที่หายไปในวันนั้น 5 ลำ เพื่อใช้ในการผลิตสารคดีเกี่ยวกับการหายไปของเครื่องบินและเรืออย่างลึกลับเหนือธรรมชาติบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นับเป็นการค้นพบเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ชาเลนเจอร์ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อ 28 ม.ค.2529 หลังถูกปล่อยจากศูนย์อวกาศเคนเนดีเพียง 73 วินาที ทำให้ลูกเรือทั้ง 7 คนเสียชีวิต เป็นหนึ่งในภัยพิบัติครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของโครงการอวกาศสหรัฐฯ ที่ต่อมาพบว่าเกิดจากแหวนยางบริเวณเชื่อมต่อของจรวดเสริมกำลังเสื่อมประสิทธิภาพในสภาพเย็นจัด.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2551075


*********************************************************************************************************************************************************


แคดเมียมในหมึกแห้ง



หมึกแห้ง หนึ่งในอาหารทะเลยอดนิยมของคนเอเชีย ซื้อหาง่ายตามซุปเปอร์มาร์เกตไปจนถึงร้านรวงในตลาด หมึกแห้งจัดเป็นการถนอมอาหารด้วยการตากแห้ง ก่อนจะนำไปประกอบอาหาร

ทว่า อาหารทะเล โดยเฉพาะหอยและหมึกมักพบโลหะหนักที่เป็นอันตราย เช่น แคดเมียมปนเปื้อน เมื่อเราทานอาหารที่มีแคดเมียมปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย แคดเมียมจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร แล้วลําเลียงไปตามกระแสเลือด สะสมตามอวัยวะต่างๆ รวมถึงตับและไต หากได้รับในปริมาณมากๆจะทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน มีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง ถ่ายเหลว และอาจมีภาวะเลือดปนออกมา เนื่องจากเกิดการระคายเคืองและอักเสบของอวัยวะภายในระบบทางเดินอาหาร หากมีอาการรุนแรงอาจช็อก เนื่องจากขาดน้ำและไตวายเฉียบพลันได้ แต่หากร่างกายได้รับแคดเมียมปริมาณน้อยๆ เป็นระยะเวลานานจะเกิดการสะสมในกระดูก อาจเป็นโรคอิไตอิไตทำให้กระดูกเปราะ หักง่ายได้

สถาบันอาหารสุ่มตัวอย่างหมึกแห้งจำนวน 5 ตัวอย่าง ที่วางจำหน่ายตามร้านค้าและตลาดในเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์ปริมาณแคดเมียมปนเปื้อน ผลปรากฏว่าพบแคดเมียมปนเปื้อนทั้ง 5 ตัวอย่าง และมีอยู่ 1 ตัวอย่าง พบปริมาณแคดเมียมเกินมาตรฐาน ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 414 พ.ศ.2563 เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน กำหนดให้อาหารจำพวกหมึกพบแคดเมียมปนเปื้อนได้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เห็นอย่างนี้แล้วขอแนะว่า ท่านที่ชื่นชอบหมึกแห้งยังทานกันได้ แต่ไม่ควรทานในปริมาณมากๆ ควรทานอาหารให้หลากหลาย เพื่อความปลอดภัยของร่างกายในระยะยาว.


https://www.thairath.co.th/lifestyle/food/2549905
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 15-11-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ผ่าพิสูจน์ซากพะยูนตายทะเล จ.กระบี่ พบติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ป่วยตาย



กระบี่ - เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง ผ่าพิสูจน์ซากพะยูนตายกลางทะเลกระบี่ พบติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ป่วยตาย

จากกรณีที่ นายมู่หาด เหล่ชาย อายุ 59 ปี ชาวประมงพื้นบ้าน ม.3 เขาคราม อ.เมือง จ.กระบี่ ได้ออกทำการประมงวางอวนปลา บริเวณเกาะสิเหร่ หน้าเขาทอง อ.เมือง จ.กระบี่ ได้พบซากพะยูนลอยตายอยู่กลางทะเล แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและช่วยขนย้ายซากพะยูนมายังท่าเรือบ้านไหนหนัง ม.3 ต.เขาคราม อ.เมือง จ.กระบี่ เบื้องต้นพบว่าเป็นพะยูนเพศผู้ มีบาดแผลถลอกตามลำตัว เล็กน้อย เจ้าหน้าที่ได้ทำการขนย้ายซากไปยังศูนย์วิจัยฯ เพื่อทำการชันสูตร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา

คืบหน้าล่าสุด วันนี้ (14 พ.ย.) นายเจริญไชย ศรีสุวรรณ์ ประมงจังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากนายสันติ นิลวัตน์ ผอ.ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง (ศวอล.) จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นซากพะยูน ความยาว 177 ซม. เพศผู้ วัยเด็ก สภาพซากเริ่มเน่า ลักษณะภายนอกมีรอยแผลจากพฤติกรรมฝูงบริเวณหลัง ผิวหนังมีรอยด่างและลอกหลุดเล็กน้อย

เมื่อเปิดดูอวัยวะภายในพบว่า หัวใจไม่มีเลือดคั่ง มีน้ำในถุงหุ้มหัวใจ เนื้อเยื่อปอดเริ่มเน่า ภายในหลอดลมพบเศษดินอยู่ภายใน คาดว่าเกิดการจมน้ำและสำลักเศษดินเข้าไปในทางเดินหายใจ ส่วนของตับพบจุดเลือดออกกระจายเป็นหย่อมๆ สีของของตับไม่สม่ำเสมอ ส่วนของทางเดินอาหารพบอาหารอัดแน่นเต็มกระเพาะและลำไส้ ผนังลำไส้เล็กพบก้อนลักษณะคล้ายหนองอัดแน่นกระจายเป็นหย่อมๆ และมีจุดเลือดออก พบต่อมน้ำเหลืองขยายขนาดใหญ่ บ่งบอกถึงภาวะการติดเชื้อภายในร่างกาย ไม่พบสิ่งแปลกปลอมภายในทางเดินอาหาร

สรุปสาเหตุการตายคาดว่า ป่วยตามธรรมชาติ เนื่องจากมีการอักเสบของหัวใจ ตับ และพบการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ป่วย อ่อนแอ และจมน้ำตายในที่สุด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ ศวอล.ได้ทำการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อเพื่อตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการต่อไป


https://mgronline.com/south/detail/9650000108697


*********************************************************************************************************************************************************


ชายหาดแหลมสมิหลาเละ คลื่นลมมรสุมซัดขยะจากทะเลขึ้นมากองเรียงราย

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ชายหาดแหลมสมิหลาแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของ จ.สงขลาเละเทะ คลื่นซัดขยะจากทะเลขึ้นมากองตลอดแนวชายหาดเป็นจำนวนมาก ทำลายทัศนียภาพที่สวยงามหายไปในพริบตา นับเป็นปัญหาในช่วงฤดูมรสุมของทุกปี



วันนี้ (14 พ.ย.) ที่ จ.สงขลา จากสภาพคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยที่มีกำลังแรงในช่วงนี้ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุม ได้ส่งผลกระทบต่อทัศนียภาพของชายหาดแหลมสมิหลา ทั้งหาดชลาทัศน์และหาดสมิหลา โดยคลื่นได้ซัดขยะขึ้นมาจากทะเลเป็นจำนวนมากและกองเรียงรายตลอดแนวชายหาด ทั้งขวดแก้วขวดพลาสติก ท่อนไม้ โฟม หรือแม้แต่ถังพลาสติก บางจุดมีท่อนไม้ไผ่มากองรวมกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ชายหาดอยู่ในสภาพที่เละเทะเต็มไปด้วยขยะทะเล ทำลายทัศนียภาพที่สวยงามของชายหาดไปในพริบตา แต่ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวมาเลเซียและคนไทยมาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

ด้านเทศบาลนครสงขลาได้เข้ามาแก้ปัญหาโดยการใช้ทั้งเครื่องจักรและแรงงานคนปูพรมลงพื้นที่เก็บขยะจากทะเลเป็นระยะ จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงฤดูมรสุมของภาคใต้ โดยในช่วงฤดูมรสุมของทุกปีตลอดชายหาดแหลมสมิหลาต้องเผชิญกับคลื่นแรงและปัญหาขยะทะเลที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมา


https://mgronline.com/south/detail/9650000108664

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 15-11-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศไทยควรมีค่ามาตรฐานควบคุมสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ? ................ โดย ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์



อาจกล่าวได้ว่าทุกวันนี้คำว่า PM2.5 กลายเป็นวลีเด็ดติดหูคนไทยนับตั้งแต่เกิดปัญหาวิกฤตคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานครช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ทั้งที่ปัญหาคุณภาพอากาศนั้นเรื้อรังมานานนับสิบปีในหลายพื้นที่ของประเทศเช่นภาคเหนือตอนบนในช่วงฤดูหนาว ภาคอีสานในช่วงฤดูแห่งการเผาเศษชีวมวลทางการเกษตร ไม่รวมถึงมลพิษข้ามพรมแดนซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงปีที่ปรากฏการณ์ เอลนีโญ (El Ni?o) รุนแรงสอดคล้องกับสภาพปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำและภัยแล้งซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดปัญหาหมอกควันมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ปรากฏการณ์ PM2.5 ได้สร้างกระแสความตื่นตัวในการทวงคืนสิทธิในการหายใจอากาศบริสุทธิ์จากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม แวดวงวิชาการ แม้กระทั้งภาคธุรกิจการเกษตร ธุรกิจการขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมก็ไม่พลาดที่จะร่วมทัวร์ไปกับขบวนรถไฟ PM2.5 ท่ามกลางกระแสการตื่นรู้ถึงภัยจากมัจจุราชเงียบที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดซึ่งเราต้องจำทนสัมผัสอยู่กับมันในทุกลมหายใจ หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบด้านงานวิจัยต่างทุ่มงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 เสมือนหนึ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้ขบวนหัวรถจักร PM2.5 ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วรุนแรง อย่างไรก็ตามคำถามที่อยู่ในใจนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมหลายคนรวมทั้งตัวผมเองคือ "ชานชาลาสุดท้ายของขบวนรถไฟนี้อยู่ที่ไหน?" หากเป้าหมายสุดท้ายคือการที่คนไทยทุกคนได้มีอากาศบริสุทธิ์หายใจ ตราบใดที่เรายังไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาคือการควบคุมแหล่งกำเนิด เราจะไปถึงเป้าหมายสุดท้ายนี้ได้อย่างไร?

เพราะ ? ต่อให้คนไทย 60 กว่าล้านคนมีเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศติดตัวตลอดเวลา 24 ชั่วโมง อากาศก็ยังสกปรกเหมือนเดิม หากการควบคุมแหล่งกำเนิดไร้ซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ต่อให้เรารู้ว่าแต่ละแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM2.5 มีสัดส่วนเท่าไหร่ แต่ถ้ากฎระเบียบของแต่ละกระทรวงยังมีความขัดและย้อนแย้งกันเอง ปัญหาฝุ่นจะได้รับการแก้ไขได้อย่างไร?

และที่สำคัญ ต่อให้เรามีค่ามาตรฐานในการควบคุมฝุ่น PM2.5 ที่อยู่ในเกณฑ์เดียวกันกับนานาอารยะประเทศ แต่หากยังไร้ซึ่งค่ามาตรฐานในการควบคุมสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ แล้วประชาชนจะทราบได้อย่างไรว่า พื้นที่อยู่อาศัยของตนเองนั้นมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากน้อยเพียงใด?

ย้อนกลับไปเกือบ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยผมไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ด้านองค์ประกอบของสารก่อมะเร็ง โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) หรือที่เรียกกันย่อๆว่าสาร พีเอเอช (PAHs) ในฝุ่น PM10 ของชั้นบรรยากาศของเมืองเบอร์มิงแฮมประเทศอังกฤษ ทางรัฐบาลอังกฤษได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานของสารก่อมะเร็ง พีเอเอช กันไว้ก่อนหน้าหลายปีแล้ว โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิด้านคุณภาพอากาศแห่งสหราชอาณาจักร (The UK Expert Panel on Air Quality Standards: EPAQS) ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานในชั้นบรรยากาศของสาร เบนโซเอไพรีน (Benzo[a]pyrene) ซึ่งจัดเป็นสาร พีเอเอช ที่มีความเป็นพิษในการก่อให้เกิดมะเร็งสูงสุด ไว้ไม่ให้เกิน 0.25 นาโนกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายปีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (US-EPA) กำหนดไว้ที่ 1.0 นาโนกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ไว้เกือบสี่เท่า

นอกจากสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และ องค์การอนามัยโลกแล้วยังมีอีกหลายประเทศที่ได้กำหนดเกณฑ์ค่ามาตรฐานของสารก่อมะเร็ง พีเอเอช ไว้อย่างชัดเจนเช่น เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ กำหนดค่าเบนโซเอไพรีนในชั้นบรรยากาศไม่ให้เกิน 0.5 นาโนกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ โครเอเชีย ฝรั่งเศส และ เยอรมนี กำหนดไว้ที่ 0.1 0.7 และ 1.3 นาโนกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ แม้แต่ อินเดีย ประเทศที่มีภาพลักษณ์เชิงลบด้านมลพิษทางอากาศและมักจะเป็นข่าวของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพอากาศแย่ติดอันดับต้นของโลก ก็ยังมีค่ามาตรฐานสารก่อมะเร็ง โดยกำหนดให้ค่าเบนโซเอไพรีนในชั้นบรรยากาศไม่เกิน 5 นาโนกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ข่าวดีคือทางกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้ประกาศปรับค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ของประเทศใหม่ ลงมาอยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากเดิมกำหนดไว้ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เพื่อยกระดับคุณภาพอากาศเทียบเท่ายุโรปและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่จะดีกว่าด้วยหรือไม่ หากทาง คพ. จะมีการพิจารณากำหนดค่ามาตรฐานของสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ เพื่อเป็นหลักประกันด้านสุขภาพให้กับชาวไทยและลูกหลานของพวกเราทุกคนที่ต้องสูดอากาศหายใจบนผืนแผ่นดินแห่งนี้?


https://mgronline.com/daily/detail/9650000108457


*********************************************************************************************************************************************************


กางไทม์ไลน์ 'แลนด์บริดจ์' ชง ครม.ธ.ค.นี้ เร่งร่าง พ.ร.บ. SEC ดันเปิดประมูล ปี 68 เปิดเฟสแรกรับ 20 ล้านทีอียูปี 73



สนข.กางไทม์ไลน์ "แลนด์บริดจ์" ชง ครม.เคาะหลักการ ธ.ค.นี้ เดินหน้าโรดโชว์นักลงทุนต่างชาติไตรมาส 1/66 พร้อมเร่งร่าง พ.ร.บ. SEC คาด มิ.ย. 66 ชง ครม.และสภาฯ เห็นชอบ ดันเปิดประมูลปี 68 ก่อสร้าง 5 ปี เปิดเฟสแรกในปี 73 รับ 20 ล้านทีอียู

นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยกับอันดามัน (Landbridge) นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 (Focus Group ครั้งที่ 1) ในพื้นที่จังหวัดระนองและจังหวัดชุมพร เพื่อนำเสนอข้อมูลความก้าวหน้าของการศึกษาและสาระสำคัญของโครงการ เช่น พื้นที่ตั้งของท่าเรือ แนวเส้นทางและทางเข้าท่าเรือ ตลอดจนแนวเส้นทางของโครงการ และเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับนำมาพิจารณาประกอบการศึกษาของโครงการ

ทั้งนี้ ไทม์ไลน์โครงการคาดว่าจะสามารถนำเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอความเห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการได้ในปี 2566 หลังจาก ครม.เห็นชอบ คาดว่าในไตรมาสที่ 1/2566 จะเสนอโครงการต่อนักลงทุนในต่างประเทศ (RoadShow) เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะของผู้ที่สนใจ ซึ่งที่ผ่านมามีสายเดินเรือขนาดใหญ่ระดับท็อป 5 ของโลกให้ความสนใจหลายราย

ไตรมาส 2/2566 สนข.จะนำประเด็นและข้อเสนอแนะจากผู้สนใจลงทุนมาดำเนินการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ และปรับรูปแบบการวิเคราะห์โครงการฯ และจะนำเสนอข้อมูลโครงการ รูปแบบการดำเนินโครงการ เงื่อนไข สิทธิประโยชน์ที่ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมต่อ ครม.เพื่อขออนุมัติโครงการได้ในเดือนมิถุนายน 2566


@เร่งร่าง พ.ร.บ. SECอและ RFP คาดเปิดประมูลต้นปี 68

นายปัญญากล่าวว่า ปัจจุบัน สนข.ยังดำเนินการศึกษาเพื่อจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ. SEC) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ โดยจะมีการจัดตั้งสำนักงานกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ในลักษณะเดียวกับพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ร.บ.อีอีซี) ที่ใช้ขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ด้วย โดยจะเสนอร่าง พ.ร.บ.SEC พร้อมเงื่อนไข สิทธิประโยชน์เพื่อให้ครม.เห็นชอบภายในเดือนมิถุนายน 2566 พร้อมกับการเสนอขออนุมัติโครงการฯ

ระหว่างดำเนินการจัดตั้งสำนักงานกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) และจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ. SEC) เพื่อเป็นหน่วยงานในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ในลักษณะเดียวกับพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ร.บ.อีอีซี) ที่ใช้ขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) คาดว่าจะเสนอ ครม.เห็นชอบในหลักการภายในปี 2565 และเสนออนุมัติ พ.ร.บ.ดังกล่าวภายใน มิ.ย. 2566 ซึ่งดำเนินการควบคู่กับการเสนอขออนุมัติโครงการฯ

และหลังจาก ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.SEC จะเป็นขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งคาดว่าจะอยู่ภายในไตรมาส 4 ของปี 2567 ซึ่งในระหว่างนี้จะมีการจัดทำ RFP เพื่อคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โดยจะเปิดประมูลภายในไตรมาส 1 ปี 2568 และคาดว่าจะลงนามสัญญาผู้ร่วมลงทุนฯ ได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2568 และเริ่มการก่อสร้างภายในปี 2568 ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปี คาดว่าจะเปิดให้บริการในระยะแรกในปี 2573


@เทียบลงทุนใกล้เคียงท่าเรือ ทูอัส ของสิงคโปร์เฟสแรก รับ 20 ล้านทีอียู

สำหรับการศึกษาโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (แลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง) มีวงเงิน 67 ล้านบาท ระยะเวลาศึกษา 30 เดือน (2 มีนาคม 2564-1 กันยายน 2566) โดยจะมีการศีกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ, การเงิน วิศวกรรม สังคม, ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้น และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม, จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562, วิเคราะห์จัดทำรูปแบบการพัฒนาและการลงทุน ((Business Development Model)

โดยการศึกษาจะมีพัฒนาท่าเรือสองฝั่งทะเลอันดามัน และระนอง โดยมีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างกัน เป็นระบบราง (รถไฟทางคู่) และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) MR8 ระยะทางรวม 89.35 กม. ตามแนวเส้นทางจะมีอุโมงค์จำนวน 3 แห่ง (ระยะทางอุโมงค์รวม 21 กม.)

การพัฒนาท่าเรือ 2 แห่ง พบว่าจุดที่เหมาะสม ฝั่งอันดามันอยู่ที่แหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง ส่วนฝั่งอ่าวไทย อยู่ที่แหลมริ่ว จังหวัดชุมพร โดยแต่ละท่าเรือจะพัฒนาเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 มีขีดความสามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าจำนวน 20 ล้านทีอียู และระยะที่ 2 สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าจำนวน 20 ล้านทีอียู รวมรองรับปริมาณตู้สินค้าฝั่งละจำนวน 40 ล้านทีอียู

โดยเป็นท่าเรือที่ควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ ขนส่งตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และสร้างความร่วมมือสร้างเศรษฐกิจกับชุมชนรอบท่าเรือ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับท่าเรือ TUAS ประเทศสิงคโปร์ ที่มีการพัฒนาในระยะที่ 1 รองรับปริมาณตู้สินค้าได้ถึง 20 ล้านทีอียูเช่นกัน

สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง มีระยะทางรวม 109 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งมีรูปแบบการก่อสร้างในลักษณะอุโมงค์ ระยะทาง 21 กม. โดยมีจุดเริ่มต้นที่ท่าเรือแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ฝั่งอ่าวไทย ผ่านแนวเส้นทาง MR8 ชุมพร-ระนอง ระยะทาง 89.35 กม. และมีจุดสิ้นสุดที่ท่าเรืออ่าวอ่าง จังหวัดระนอง ฝั่งอันดามัน


https://mgronline.com/business/detail/9650000108318
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 15-11-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


พบ "ปลาโรนันจุดขาว" สัตว์หายากใกล้สูญพันธุ์ เกยตื้นหาดประจวบฯ

กรมทะเลและชายฝั่ง พบ "ปลาโรนันจุดขาว" สัตว์ทะเลหายากใกล้สูญพันธุ์ เกยตื้นที่หาดแหลมกุ่ม จ.ประจวบคีรีขันธ์



วันนี้ (9 พ.ย.2565) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก (ศวบต.) ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่หาดแหลมกุ่ม จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่าพบสัตว์ทะเลเกยตื้น บริเวณหาดแหลมกุ่ม ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์

เจ้าหน้าที่ ศวบต. ได้ประสานเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 3 (สทช.3) เจ้าหน้าที่กรมประมง และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล (อสทล.) เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าเป็นปลาโรนันจุดขาว (White Spotted wedgefish ; Rhynchobatus australiae) จำแนกชนิด

โดยนายทัศพล กระจ่างดารา ผู้เชี่ยวชาญด้านปลากระดูกอ่อน กรมประมง กล่าวว่า ปลาโรนันจุดขาว ที่พบเป็นเพศเมีย โตเต็มวัย ความยาว 1.5 เมตร น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่ สทช.3 เจ้าหน้าที่กรมประมง และเครือข่าย อสทล. จึงร่วมกันให้ความช่วยเหลือปลาโรนันจุดขาวตัวดังกล่าว จากการประเมินเบื้องต้น ปลาโรนันจุดขาวมีสภาพร่างกายแข็งแรงดี จึงรีบปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติโดยเร็ว

นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ปลาโรนันจุดขาว ถือเป็นสัตว์หายากชนิดหนึ่งที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ สำหรับในด้านกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 สามารถจำหน่ายได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ด้านของระบบนิเวศปลาโรนันจุดขาวถือเป็นปลาที่หายากแล้ว

พร้อมทั้งยังเคยผลักดันปลาชนิดนี้เข้าสู่ พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ป่า แต่ยังไม่สำเร็จ มีเพียงแต่ปลาโรนินที่มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งถูกจัดอยู่ใน พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ป่าแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปลาโรนันจุดขาวจะไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง แต่ก็หายากพอกับปลาโรนิน และฉลามวาฬ ปลาโรนันจุดขาว จึงเป็นปลาดึกดำบรรพ์กึ่งฉลามกึ่งกระเบน พบเห็นค่อนข้างน้อยในน่านน้ำไทย

โดยมีลักษณะเด่น คือ ส่วนหัวขนาดใหญ่ รูปทรงแบนกลมและโค้งมน ปากกลม ครีบอกแผ่กว้าง ครีบหลังตั้งสูง เป็น 2 ตอน บริเวณเหนือตามีสันเป็นหนามตรงกลางหลังด้านหน้าของครีบหลังมีหนามเรียงตัวกันเป็นแถวชัดเจน ซึ่งหนามบนตัวปลานี้คนทางภาคใต้ของไทยนิยมนำมาทำเครื่องประดับ ทำหัวแหวน กำไร โดยเชื่อว่าเป็นของขลังสามารถป้องกันคุณไสย ป้องกันอันตรายจากภูติพรายที่อาศัยอยู่ในน้ำและอันตรายจากสัตว์น้ำได้

โดยทั่วไปพื้นผิวลำตัวของปลาโรนันจุดขาว ด้านบนมีสีเทาอมน้ำตาล มีแต้มเป็นจุดสีขาวจางๆ กระจายอยู่ทั่วตัว ด้านท้องมีสีขาว โดยเฉพาะปลาวัยอ่อนจะมีลวดลายที่มากกว่าปลาขนาดใหญ่ อีกทั้งออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 7-19 ตัว ชอบกินปลาหน้าดินขนาดเล็ก หอย กุ้งและปูเป็นอาหาร ชอบอาศัยอยู่ตามบริเวณพื้นทะเลที่เป็นโคลนหรือทรายตามชายฝั่งและแนวปะการัง จนถึงระดับความลึก 60 เมตร พบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

นอกจากนี้ ปลาโรนันจุดขาวเป็นปลากระดูกอ่อนที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดชนิดหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงถือเป็นภัยคุกคามที่มีอย่างต่อเนื่อง จากการรายงานเบื้องต้นพบว่า บริเวณอ่าวไทย อาจเป็นแหล่งรวมตัวเพื่อผสมพันธุ์ หรือเป็นพื้นที่เลี้ยงดูตัวอ่อนของปลาโรนันจุดขาวอีกด้วย

ทั้งนี้ ตนขอเน้นย้ำไปยังกลุ่มนายทุนหรือบุคคลที่มีความเชื่อผิดๆ หากยังมีการล่าปลาโรนันจุดขาวเพื่อการค้าขายหรือนำอวัยวะมาทำเป็นเครื่องประดับ เครื่องลางของขลัง ในอนาคตเราอาจจะไม่พบเจอปลาชนิดนี้ในน่านน้ำทะเลไทย และอาจจะสูญพันธุ์ไปจากระบบนิเวศทางทะเล

ฉะนั้น จึงวิงวอนขอให้พี่น้องเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ผู้ประกอบการเดินเรือ และชาวประมงในพื้นที่ ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลและเฝ้าระวังการเกยตื้นซ้ำ หรือการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อปลาชนิดนี้ รวมไปถึงสัตว์ทะเลหายากทุกชนิด หากพบเจอสถานการณ์แบบนี้ให้แจ้งเบาะแสมาได้ที่ สายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร. 1362 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่จะประสานไปยังหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อเข้าตรวจสอบและดำเนินการได้ทันท่วงทีต่อไป "นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้าย"


https://www.thaipbs.or.th/news/content/321314

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:58


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger