เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 27-12-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า ส่วนภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากลมแรงและอากาศแห้งในระยะนี้

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังอ่อนลง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีการสะสมฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์น้อยถึงปานกลาง เนื่องจากมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมบริเวณดังกล่าว


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 27 ? 28 ธ.ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ยังคงปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า

ส่วนในช่วงวันที่ 29 ธ.ค. 65 ? 1 ม.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยอุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียส สำหรับในช่วงวันที่ 28 - 30 ธ.ค. ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ทำให้ภาคเหนือมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังปานกลาง ทำให้บริเวณอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

[ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น และระวังภัยที่เกิดจากลมแรงและอากาศแห้ง สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 27-12-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ดร.ธรณ์เผยข่าวดี! ทะเลมอบของขวัญให้คนไทย พบแม่เต่ามะเฟืองวางไข่คืนคริสต์มาสอีฟ

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเล เผยข่าวดีหลังพบแม่เต่ามะเฟืองวางไข่คืนคริสต์มาสอีฟที่หาดนาเกลือ พบไข่สดๆ ดีๆ 126 ฟอง และคาดลูกเต่าหลายร้อยตัวจะเดินลงน้ำหลังปีใหม่เป็นของขวัญจากทะเลที่น่าปลื้มปริ่มสำหรับคนรักทะเล



วันนี้ (26 ธ.ค.) เพจ "Thon Thamrongnawasawat" หรือ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข่าวดี เผยข้อความว่า

"ทะเลมอบของขวัญให้คนไทย แม่เต่ามะเฟืองวางไข่คืนคริสต์มาสอีฟ

แม่เต่าตัวนี้มีชื่อไม่เป็นทางการว่า วันเกิดธรณ์ เพราะเริ่มวางไข่ในวันเกิดผม จึงบริจาคเงินให้กองทุนเต่า แม่เต่าวันเกิดขึ้นมาวางไข่ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ตรงตามตำรา 10 วันเป๊ะ

เมื่อคืน ระหว่างรูดอฟล์กำลังวุ่นวายกับการลากเลื่อน แม่เต่าคลานขึ้นหาดนาเกลือ สถานที่เดิม พี่ๆ กรมทะเล/อุทยาน/อาสา ช่วยกันตรวจนับ พบไข่สดๆ ดีๆ 126 ฟอง เป็นของขวัญจากเธอถึงวันนี้ แม่เต่ามะเฟือง 2 ตัว วางไข่ไปแล้ว 5 รัง นับเป็นไข่ดีมากกว่า 600 ฟอง ฝันถึงลูกเต่าหายากหลายร้อยตัว เดินลงน้ำหลังปีใหม่เป็นของขวัญจากทะเลที่น่าปลื้มปริ่มสำหรับคนรักทะเลทุกท่าน

จึงรายงานเพื่อทราบและเพื่อรักทะเลมากขึ้นครับ"


https://mgronline.com/onlinesection/.../9650000122517


******************************************************************************************************


ฮือฮา! "หอยนางรม" ช่วยกรองน้ำทะเลที่มีมลพิษให้ใสได้

เพจดังแชร์ "หอยนางรม" ตัวช่วยกรองน้ำทะเลที่มีมลพิษให้ใสสะอาด และยังมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศท้องทะเล ในทางกลับกันเมื่อมันดูดสารพิษเข้าไปในตัวเองเยอะ เวลากินจึงควรปลุกสุกก่อนเพื่อความปลอดภัย



เพจเฟซบุ๊ก ?อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์? โพสต์เรื่องราวของการทดลองของ "หอยนางรม" ที่ช่วยกรองน้ำทะเลให้ใสได้ โดยได้ให้ข้อมูลว่า

เจอคำถามจากภาพข้างล่างนี้ ที่เพจ "สัตว์โลกอมตีน" เอามาโพสต์ถามว่า น้ำขุ่นๆ มันใสขึ้นเพราะตัวหอยนางรม หรือเปลือกหอย กันแน่? คำตอบคือ จากตัวหอยครับ เพราะสัตว์กลุ่มหอยนั้นมีลักษณะการกินอาหารโดยการดูดน้ำ และกรองอาหารจากน้ำ กันอยู่แล้ว ซึ่ง "หอยนางรม" เองก็กำลังเป็นที่สนใจของนักสิ่งแวดล้อม เพราะมันมีความสามารถในการกรองน้ำ ที่มีมลพิษจากสารอินทรีย์ ได้ดีครับ

ดังเช่นการทดลองในคลิปนี้ (https://www.youtube.com/watch?v=N39nPt7k3p0) ซึ่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง University of Hong Kong ได้สาธิตว่า หอยนางรมสามาารถทำให้น้ำทะเลที่มีมลพิษนั้นสะอาดขึ้นได้ โดยคลิปเร่งความเร็วแบบ time lapse นี้ แสดงให้เห็นว่า หอยนางรมของฮ่องกงสามารถกรองน้ำเสียที่มี "สาหร่ายพิษ ขนาดตาเปล่ามองไม่เห็น" ได้หมดภายในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ซึ่งสาหร่ายพิษดังกล่าวนี้ คือตัวการที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "ขี้ปลาวาฬ (red tide)" ที่มีสาหร่ายพิษขนาดจิ๋วนี้ในทะเลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จนทำให้ปลาและสัตว์ทะเลตายได้

จากความสามารถของพวกสัตว์กลุ่มหอย โดยเฉพาะพวกหอยสองฝา ที่ใช้ระบบเหงือกของมันกรองอาหารพวกแพลงก์ตอน (อย่างสาหร่ายเซลล์เดียว) กินจากน้ำได้ โดยพบว่า หอยนางรมหนึ่งตัวสามารถกรองน้ำได้ถึง 120-160 ลิตรต่อวัน กรองเอาสารที่ถ้ามากเกินไปจะกลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และคาร์บอนไดออกไซด์ จึงทำให้น้ำทะเลใสขึ้น ช่วยควบคุมระดับของสาหร่าย และดึงดูดให้สัตว์ทะเลอื่นๆ เข้ามามากขึ้น

ทางมหาวิทยาลัยฮ่องกง จึงได้ร่วมกับสมาคมนิเวศวิทยาทางทะเล เริ่มโครงการ "หอยนางรม กู้ทะเลของเรา" และพยายามจะนำหอยนางรมประมาณ 5-10 ล้านตัว มาปล่อยให้เติบโตที่ชายฝั่งของเกาะฮ่องกง ในช่วงเวลา 3 ปี ซึ่งคาดหวังกันว่าการเพาะเลี้ยงหอยนางรมแบบนี้ จะช่วยให้คุณภาพน้ำทะเลของฮ่องกงดีขึ้นอย่างมาก

หอยนางรมเป็นสัตว์ที่สำคัญมากต่อความหลากหลายทางชีวภาพของบริเวณปากแม่น้ำหรือชายฝั่ง พวกหอยสองฝาเหล่านี้ไม่ได้เพียงแค่ช่วยให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติสะอาดขึ้น แต่มันยังมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อระบบนิเวศทางทะเล ที่บรรดาปลาและสาหร่ายต้องพึงพาอาศัยพวกมัน

ส่วนเปลือกหอยนางรมนั้น มีความสำคัญทางอ้อมต่อการช่วยกรองน้ำในทะเลด้วย โดยที่เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการนำเอาเปลือกหอยนางรมจากร้านอาหาร มาช่วยให้เป็นเป็นบ้านสำหรับตัวอ่อนของหอย เพื่อฟื้นฟูและเพาะพันธุ์หอยนางรมให้กลับมาอาศัยอยู่ในบริเวณท่าเรือนิวยอร์กได้อีกครั้ง (หลังจากสูญหายไปเนื่องจากมลพิษจากอุตสาหกรรม) และนำไปสู่การฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำ ภายในปี ค.ศ. 2035

ปรกติแล้ว เวลาที่หอยนางรมผสมพันธุ์ โดยตัวผู้จะปล่อยสเปิร์มออกมาในน้ำ ผสมกับไข่ที่ปล่อยออกมาจากตัวเมีย กลายเป็นตัวอ่อนหอย (larvae) ที่จะหาพื้นที่ยึดเกาะ และเริ่มหาแคลเซียมไบคาร์บอเนตมาสร้างเปลือกของตัวเอง (ฟาร์มหอยนางรม มักจะใช้ตะแกรงหรือแท่งไม้ให้ตัวอ่อนหอยเกาะ และป่นเปลือกหอยเก่าโรยลงในน้ำ เพื่อเป็นแคลเซียมตั้งต้น ให้หอยสร้างเปลือกของตัวเอง)

ทางโครงการนี้ จึงรับบริจาคขยะเปลือกหอยจากร้านอาหารในเครือข่าย แล้วนำตัวอ่อนหอยมาเพาะต่อที่เปลือกหอย โดยเปลือกหอยนางรมเก่า 1 เปลือก สามารถเป็นบ้านให้หอยได้ถึง 20 ตัว เมื่อหอยโตเต็มที่ จึงนำใส่กล่องตะแกรง เพื่อสร้างเป็นแนวปะการังหอยนางรม ติดตั้งยังท่าเรือต่างๆ เพื่อฟื้นฟูคุณภาพของน้ำทะเลรอบเมืองนิวยอร์ก

ป.ล. สำหรับอันตรายจากการกินหอยนางรมที่อยู่ริมทะเล และดูดกรองเอาสารมลพิษเข้าไปนั้น ถ้าเป็นพื้นที่ชายทะเล ใกล้แหล่งอุตสาหกรรม หรือแหล่งทำเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีเยอะ ก็จะพบว่าหอยมีการสะสมสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (เช่น สารตกค้างกลุ่ม พีซีบี กลุ่มออกาโนฟอสเฟต โลหะหนัก ฯลฯ) ในระยะยาวได้

แต่ที่มีรายงานบ่อยครั้งกว่า คือ การพบสารชีวภาพที่เป็นพิษ (biotoxin) เช่น กรดโอคาดาอิก (okadaic acid) และ ไดโนไฟซิสทอกซิน (dinophysis toxin) ซึ่งสร้างจากสาหร่ายเซลล์เดียวไดโนแฟลเจลเลตชนิดมีพิษ ที่หอยกินเข้าไปและสะสมในตัวมัน ซึ่งสารพวกนี้มักไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน และส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อได้

รวมไปถึงการมีเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค เช่น เชื้อวิบริโอ (vibrio) ซาลโมเนลลา (Salmonella) แคมไพโลแบคเทอร์ (Campylobacter) ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ถ้านำมาบริโภคดิบๆ ครับ จึงควรกินอาหารทะเลที่ทำให้สุกก่อนเสมอ


https://mgronline.com/travel/detail/9650000122570


******************************************************************************************************


รู้หรือไม่! สายบุญอาจได้แต้มบาป "ปล่อยปลาดุก" พังระบบนิเวศ



ใกล้วันหยุดยาวรับเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ พออยู่พร้อมหน้า หลายครอบครัวพากันไปทำบุญ-ทำทาน และก็มักจะมีพ่อค้าแม่ค้าเชิญชวนให้ทำทาน "ปล่อยนก ปล่อยปลา" ตามความเชื่อ ได้บุญ สุขภาพดี แคล้วคลาดและอายุยืน เป็นต้น

ทว่าบรรดาสายบุญรู้มั้ยว่า การเสริมศิริมงคล "ปล่อยปลาดุก" ของท่านไปทำร้าย ทำลายระบบนิเวศของแหล่งน้ำ เปรียบดั่ง ?ปล่อยฝูงซอมบี้บุกหมู่บ้าน?

ความเชื่อในการปล่อยปลาดุกปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งจะแพ้พ่าย จะแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ยิ่งเป็นปลาดุกเผือก ก็จะหมายถึง เพิ่มสิริมงคลให้แก่ชีวิตอีกด้วย (อ่านความเชื่อ เสริมดวงด้วยการทำบุญปล่อยปลาและสัตว์น้ำตามวันเกิด https://www.innnews.co.th/horoscope/news_ )

นักวิชาการเตือนสายบุญ ถ้าเลือกได้ขอให้งดปล่อย "ปลาดุก" เพราะมันจะกระทบระบบนิเวศของแหล่งน้ำซึ่งเปรียบเหมือนว่า ?เราปล่อยฝูงซอมบี้บุกหมู่บ้าน?

ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศน้ำจืด เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Nonn Panitvong (เมื่อ 2 ปีมาแล้ว เข้าไปอ่านรายละเอียดได้) ถึงผลกระทบของ "ปลาดุก" ต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำ แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่ทราบ ใจความสำคัญ อาจารย์บอกว่า การปล่อยปลาดุก 1 ตัน เราจะสูญเสียสัตว์น้ำท้องถิ่นไปประมาณ 1.8 ล้านชีวิตต่อปี ในจำนวนนี้อาจจะเป็นลูกปลาเศรษฐกิจ ปลาหายาก หรือ ปลาท้องถิ่น

เปรียบเหมือนเอาเสือ เอาสิงโต มาปล่อยลงไปในหมู่บ้านคุณเพื่อทำบุญ โดยคุณไม่มีทางที่จะสู้ จนถึงวันนี้ก็ยังมีคนแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก (เข้าไปอ่านโพสท์เต็มได้ที่ >> https://cutt.ly/1dN2r8k


ด้าน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ก็เคยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

ปลาดุกที่นิยมปล่อยกันส่วนใหญ่เป็น "ปลาดุกบิ๊กอุย" ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง "ปลาดุกอุย" ของไทยกับ "ปลาดุกรัสเซีย" เพื่อให้ได้ปลาดุกที่ตัวใหญ่ มีการเลี้ยงกันมา 20 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันมีปลาดุกอื่นมาผสมอีก จนตอนนี้ปลาดุกพันธุ์ผสมอีกหลากหลาย

ประกอบกับปลาดุก เดิมทีเป็นปลาที่มีลักษณะกินไม่เลือกตั้งแต่เริ่ม เมื่อไปผสมพันธุ์ใหม่ จึงยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น กินจุขึ้น โตไว จึงนิยมเลี้ยงไว้เพื่อขาย และเมื่อมีคนนำปลาดุกเหล่านี้ ไปปล่อยลงในแม่น้ำ จึงทำให้เกิดปัญหาต่อระบบนิเวศ

ซึ่งระบบนิเวศตามธรรมชาตินั้น ปลาตัวใหญ่จะกิน ปลาตัวเล็ก เมื่อไม่มีปลาในแม่น้ำที่ตัวเล็กกว่าปลาดุกพันธุ์ผสมนี้ จึงทำให้ปลาดุกเป็นฝ่ายกินปลาท้องถิ่นต่าง ๆ แทนเพื่อความอยู่รอด

ยิ่งเวลาปล่อยปลาทำบุญกันครั้งละหลักพันตัว หมื่นตัว จึงเปรียบเหมือนคนเราอยู่ในหมู่บ้าน อยู่ดี ๆ ก็มีตัวประหลาด มีซอมบี้บุกเข้ามาเป็นพันตัว หมื่นตัว ซึ่งเราไม่สามารถสู้ได้เลย

พร้อมแนะนำสำหรับคนที่อยากทำบุญปล่อยสัตว์น้ำนั้น วิธีที่ดีที่สุด คือ ควรลดการทิ้งถุงพลาสติกลงในน้ำ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยสัตว์น้ำให้รอดตาย โดยไม่ต้องปล่อยสัตว์น้ำ แต่เลือกที่จะไม่ฆ่าเขาแทน

"หากต้องการปล่อยสัตว์น้ำจริง ๆ ตามความเชื่อของท่านก็ต้องคำถึง 4 ข้อ ได้แก่ 1. ปลาเล็ก 2. ปลากินพืช 3. ปล่อยครั้งละน้อย ๆ และ 4. เลือกปล่อยปลาท้องถิ่น หากทำได้ตามนี้ก็จะไม่มีปัญหาตามมาครับ"


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9650000121669

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 27-12-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


โลมาอิรวดีในกัมพูชาตายติดกัน 3 ตัว



พนมเปญ 26 ธ.ค.- กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในกัมพูชาแสดงความกังวล หลังจากโลมาอิรวดีหรือโลมาหัวบาตรที่เป็นสัตว์อยู่ในสถานะถูกคุกคาม ตายติดกัน 3 ตัว ในเวลาไม่ถึง 10 วัน

องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือดับเบิลยู ดับเบิลยูเอฟ (WWF) แถลงแจ้งข่าวในวันนี้ว่า การที่โลมาสุขภาพแข็งแรงตายลงเป็นตัวที่ 3 ในช่วงเวลาอันสั้นบ่งชี้ว่า สถานการณ์น่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องมีการบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดอย่างเร่งด่วนในถิ่นที่อยู่ของโลมา เพื่ออนุรักษ์โลมาสายพันธุ์นี้ที่รู้จักกันในชื่อโลมาแม่น้ำโขง โลมาตัวที่ตายล่าสุดเป็นโลมาเพศเมีย อายุราว 7-10 ปี ลำตัวยาว 196 เซนติเมตร หนัก 93 กิโลกรัม ซากลอยอยู่ในแม่น้ำโขงบริเวณจังหวัดกระแจะ ทางตะวันออกของกัมพูชา ผลการตรวจซากทำให้สันนิษฐานว่า โลมาตายเพราะเข้าไปติดอวนที่มีคนลอบวางอย่างผิดกฎหมาย ผู้อำนวยการดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟประจำกัมพูชาระบุว่า หากไม่เร่งดำเนินการโดยทันที การลอบทำประมงที่กำลังเพิ่มมากขึ้นในแหล่งอนุรักษ์โลมาจะทำลายประชากรโลมาแม่น้ำโขงในกัมพูชา พร้อมกับขอให้เพิ่มการลาดตระเวนทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อปกป้องโลมาที่เหลืออยู่ในพื้นที่อนุรักษ์

การจัดทำสำมะโนประชากรโลมาในกัมพูชาครั้งแรกเมื่อปี 2540 ประเมินจำนวนทั้งหมดไว้ที่ 200 ตัว ส่วนการจัดทำในปี 2563 ประเมินว่าเหลือเพียง 89 ตัว โลมาตัวที่ตายล่าสุดเป็นตัวที่ 11 ของปีนี้ และตัวที่ 29 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติหรือไอยูซีเอ็น (IUCN) จัดสถานะโลมาอิรวดีให้เป็นสัตว์ที่ถูกคุกคาม (endangered species) นอกจากกัมพูชาแล้ว ยังพบโลมาอิรวดีที่แม่น้ำอิรวดีในเมียนมาและแม่น้ำมหาคามในอินโดนีเซีย.


https://tna.mcot.net/world-1083166

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:34


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger