เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 15-08-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,228
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ ที่ 15 สิงหาคม 2565

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบนและประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 14 - 15 ส.ค. 65 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 16 ? 20 ส.ค. 65 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่าง มีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 16-20 ส.ค. 65 ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 15-08-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,228
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


เศร้า จนท.นอร์เวย์ทำการุณยฆาต วอลรัสขวัญใจมหาชน หวั่นเป็นภัยต่อมนุษย์



เจ้าหน้าที่นอร์เวย์ทำการุณยฆาต วอลรัส ซึ่งกลายเป็นขวัญใจมหาชนใน ออสโล ฟยอร์ดแล้ว เนื่องจากกังวลว่ามันจะทำร้ายคน หลังนักท่องเที่ยวไม่สนคำเตือนและพยายามเข้าใกล้มัน

สำนักข่าว บีบีซี รายงานในวันอาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 2565 ว่า เจ้าหน้าที่ของนอร์เวย์ ตัดสินใจทำการุณยฆาตจบชีวิตเจ้า ?เฟรยา? วอลรัสเพศเมียซึ่งกลายเป็นขวัญใจประชาชนบริเวณเวิ้ง ออสโล ฟยอร์ด (Oslo Fjord) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศแล้ว จากความกังวลว่ามันอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของมนุษย์

เฟรยา เริ่มมีชื่อเสียงและดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจากการที่มันชอบปีนป่ายขึ้นไปบนเรือ และบางครั้งก็ทำให้เรือจม จนเจ้าหน้าที่ต้องออกคำเตือน แต่คนจำนวนมากไม่ยอมฟังยังพยายามเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมน้ำหนักกว่า 600 กก.ตัวนี้ ทำให้ทั้งเฟรยาและนักท่องเที่ยวตกอยู่ในความเสี่ยง

ในเหตุการณ์หนึ่ง ตำรวจถึงขั้นต้องปิดพื้นที่อาบแดดบนชายหาด หลังเฟรยาคลานไล่ตามหญิงคนหนึ่งลงไปในน้ำ ขณะที่เมืองสัปดาห์ก่อน กระทรวงการประมงนอร์เวย์เผยแพร่ภาพแสดงให้เห็น กลุ่มคนจำนวนมากรวมถึงเด็กๆ ยืนอยู่ห่างจากวอลรัสตัวนี้ในระยะที่สามารถเอื้อมถึง โดยไม่หวั่นเกรงอันตราย

เมื่อวันอาทิตย์ (14 ส.ค.) นายฟรังก์ บัคเก-เยนเซน ผู้อำนวยการกรมประมง กล่าวว่า การตัดสินใจทำการุณยฆาตเฟรยา เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการประเมินความเสี่ยงโดยรวมต่อความปลอดภัยของมนุษย์ ?จากการสังเกตการณ์ในพื้นที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ชัดเจนว้า สังคมไม่สนใจต่อคำแนะนำล่าสุดที่ให้อยู่ห่างจากวอลรัสตัวนี้ ดังนั้น ทางกรมฯ จึงมีข้อสรุปว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการทำร้ายมนุษย์นั้น สูง และไม่มีการดูแลรักษาสวัสดิภาพสัตว์?

นายบัคเก-เยนเซน เสริมด้วยว่า พวกเขาได้พิจารณาทางเลือกอื่นๆ แล้ว รวมถึงการย้ายเฟรยาออกจากฟยอร์ด แต่พวกเขาตัดความคิดนั้นไปจากความกังวลเรื่องสวัสดิภาพของวอลรัสตัวนี้ เขาย้ำด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทำการการุณยฆาตด้วยวิธีการที่มีมนุษยธรรม และร่างของมันจะถูกนำไปชันสูตรเพิ่มเติมโดยสัตวแพทย์

ทั้งนี้ เฟรยาถูกพบเห็นครั้งแรกในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และได้รับการตั้งชื่อตามเทพีแห่งความงามและความรักในตำนานเทพปกรณัมของชาวนอร์ส สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวอย่างมาก เนื่องจากตามปกติแล้ว วอลรัสจะอาศัยอยู่ทางเหนือของมหาสมุทรอาร์กติกขึ้นไปอีก

ตามปกติแล้ววอลรัสจะไม่จู่โจมมนุษย์ แต่ก็เคยเกิดกรณีวอลรัสทำร้ายคนจนเสียชีวิตมาแล้ว เช่นที่เกิดกับนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่สวนสัตว์จีนในปี 2559 โดยนักท่องเที่ยวพยายามถ่ายรูปเซลฟี่แต่กลับถูกวอลรัสลากลงไปใต้น้ำ เจ้าหน้าที่พยายามช่วยสุดท้ายโดนลากลงไปด้วยและเสียชีวิตทั้งคู่


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2472831


******************************************************************************************************


ปริศนาปลาตายเกลื่อนแม่น้ำที่ไหลผ่านเยอรมนี-โปแลนด์

ปลาหลายพันตัวตายเกลื่อนแม่น้ำโอเดอร์ ที่ไหลผ่านเยอรมนีและโปแลนด์ ทำให้เกิดความวิตกว่าจะเกิดภัยพิบัติทางด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ทางการขอให้ประชาชนอย่าบริโภคปลาหรือใช้น้ำ



เจ้าหน้าที่ในโปแลนด์และเยอรมนีกำลังพยายามหาสาเหตุของการตายของปลาจำนวนมากในแม่น้ำโอเดอร์ ซึ่งไหลผ่านระหว่างสองประเทศ โดยพบปลาตายเกลื่อนแม่น้ำหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าลอยมาจากต้นน้ำที่ประเทศโปแลนด์ ซึ่งมีรายงานก่อนหน้านี้ว่าพบปลาตายเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่เยอรมนีกล่าวหาเจ้าหน้าที่โปแลนด์ว่าไม่แจ้งเตือนเกี่ยวกับปลาตาย ทำให้เกิดความตกใจที่เห็นปลาลอยตายเป็นจำนวนมากไหลตามแม่น้ำมา สำหรับที่โปแลนด์นั้น รัฐบาลถูกวิพากษ์ตำหนิอย่างหนักที่ไม่ดำเนินการใดๆ ในทันที หลังจากพบปลาตายที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในโปแลนด์ผ่านไปได้ 2 สัปดาห์

แอนนา มอสกวา รัฐมนตรีกระทรวงภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของโปแลนด์ กล่าวว่า ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำที่เก็บได้ในโปแลนด์และเยอรมนี พบว่ามีระดับเกลือสูงขึ้น ขณะที่ผลการศึกษาด้านพิษวิทยายังคงดำเนินต่อไป และกล่าวว่าหน่วยงานด้านสัตววิทยาของโปแลนด์ได้ทำการทดสอบปลาที่ตายแล้ว 7 สายพันธุ์ และชี้ว่าสารปรอทไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายของปลา แต่ยังคงรอผลการตรวจสอบสารอื่นๆ เธอกล่าวว่าผลการทดสอบจากเยอรมนีแสดงว่าไม่พบสารปรอทสูงเช่นกัน

นายกรัฐมนตรีมาแตอุช มอราวีแยตสกี ของโปแลนด์ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เดิมคิดว่าเป็นปัญหาในท้องถิ่น แต่เขายอมรับว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ใหญ่มาก จนถึงขั้นกล่าวได้ว่า จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าแม่น้ำโอเดอร์จะกลับมาอยู่ในสภาพอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม เขากล่าวด้วยว่า อาจจะมีการทิ้งของเสียที่เป็นสารเคมีลงในแม่น้ำ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความเสี่ยงและมีผลกระทบตามมา ทางด้าน สเตฟฟี เลมเก้ รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของเยอรมนี เรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้

นายมอราวีแยตสกี ยังประกาศที่จะทำทุกวิถีทางที่จะจำกัดความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม ด้านรัฐมนตรีมหาดไทยโปแลนด์ ประกาศจะมอบเงินรางวัล 1 ล้านซวอตี หรือราว 7.9 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สามารถแจ้งเบาะแสผู้ที่สร้างมลพิษให้แก่แม่น้ำ

เจ้าหน้าที่แคว้นเมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น ของเยอรมนี ยังเตือนไม่ให้ประชาชนจับปลา หรือใช้น้ำจากทะเลสาบ ในขณะที่น้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีได้ไหลมายังพื้นที่ปากแม่น้ำแล้วเมื่อวานนี้

ทั้งนี้ แม่น้ำโอเดอร์ไหลมาจากสาธารณรัฐเช็ก ก่อนที่จะไหลผ่านโปแลนด์ พรหมแดนระหว่างเยอรมนีและโปแลนด์ และไหลลงสู่ทะเลบอลติก.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2472257

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 15-08-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,228
Default




'เสียงรบกวนที่เกิดจากมนุษย์' มลพิษในชีวิตสัตว์ทะเลที่มักถูกมองข้าม

- มลพิษทางเสียงอาจเป็นสิ่งที่หลายคนนึกไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบกับสัตว์ทะเลหลายชนิด แต่การศึกษาในช่วงหลายปีของนักวิทยาศาสตร์พบว่าเสียงที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์ โดยเฉพาะเสียงที่เกิดจากเรือและการสัญจรทางน้ำ มีผลกระทบต่อสัตว์ทะเล เช่น วาฬ โลมา (สัตว์ที่ใช้คลื่นเสียงในการสื่อสารและดำรงชีวิต) และสัตว์ทะเลอื่นๆ

- หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลชัดเจนคือการลดความเร็วในการเดินเรือ หลีกเลี่ยงบริเวณที่สัตว์ทะเลซึ่งเปราะบางต่อมลพิษทางเสียงอาศัยอยู่ และในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ยังแนะนำการปรับเปลี่ยนรูปแบบและการต่อเรือให้คำนึงถึงการลดเสียงรบกวนมากขึ้น



ครั้งหนึ่งในปี 2544 หลังเกิดเหตุการณ์ '9/11' หรือเหตุโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ความเงียบก็แผ่ปกคลุมไปทั่วอเมริกาเหนือ ทั้งบนฟ้าและใต้น้ำ

เป็นที่ทราบกันดีว่าผลกระทบหนึ่งจากเหตุการณ์นี้คือมีผู้เดินทางโดยเครื่องบินน้อยลง แต่พร้อมกันนั้นการสัญจรทางเรือก็ลดลงและเป็นผลให้เสียงใต้น้ำลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นในอ่าวที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่โจมตีอย่างอ่าวฟันดี้ในแคนาดา เสียงใต้น้ำลดลงถึง 6 เดซิเบล โดยที่เสียงในระดับต่ำกว่า 150 เฮิรตซ์ก็ลดลงอย่างมาก

แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเสียงใต้น้ำลดลงคืออะไร

บริเวณอ่าวฟันดี้เป็นพื้นที่ที่วาฬไรต์แอตแลนติกมักว่ายน้ำแวะเวียนมา ในช่วงเวลาที่เสียงใต้น้ำลดลง นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยดุ๊กกลุ่มหนึ่งจึงตัดสินใจตรวจสอบดูว่าการที่ทะเลเงียบสงบกว่าปกติมีผลต่อเจ้าวาฬอย่างไร โดยนักวิทยาศาสตร์ทำการวิเคราะห์อุจจาระและดูฮอร์โมนความเครียดของมัน และพบว่าเมื่อเสียงที่เกิดจากมนุษย์เบาลงและส่งผลให้เสียงในมหาสมุทรเบาลงด้วยนั้น ระดับความเครียดของวาฬก็ลดลงเช่นกัน

ที่เสียงมีผลต่อวาฬอย่างมาก นั่นก็เพราะวาฬเป็นสัตว์ที่ใช้เสียงทำทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารและการเดินทางเพื่อหาอาหารหรือค้นหาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย นอกจากนี้นักนิเวศวิทยายังอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า เสียงจะสามารถเดินทางในน้ำได้เร็วและไกลกว่าในอากาศ ดังนั้นสัตว์ทะเลต่างๆ ก็ใช้ประโยชน์จากข้อนี้ด้วย

แต่ขณะเดียวกันในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาที่การขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้น ก็มีส่วนทำให้เสียงความถี่ต่ำปรากฏมากขึ้นกว่า 30 เท่าตามเส้นทางเดินเรือ และนั่นก็หมายความว่ามลพิษทางเสียงที่เกิดจากการขนส่งทางเรือนี้ก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของพวกสัตว์ทะเลด้วยเช่นกัน

นักนิเวศวิทยายังเปรียบเทียบไว้อย่างเห็นภาพ (หรือจะพูดให้ถูกคืออย่างได้ยินเสียง) ว่าให้ลองนึกภาพว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นบนในอพาร์ตเมนต์เดียวกันกับเรากำลังทำงานที่ส่งเสียงดังอยู่ ในขณะที่เราต้องประชุมออนไลน์และพรีเซนต์งานสำคัญ มันคงเป็นเรื่องยากมากทีเดียวที่จะทำงานและสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานอย่างราบรื่น และนี่ก็คือสิ่งที่สัตว์ทะเลที่อาศัยหรืออพยพมายังบริเวณที่ใกล้เสียงของมนุษย์ต้องเจออยู่ตลอดเวลา

จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ถือเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ศึกษาว่า เสียงสามารถส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลได้อย่างไรบ้าง และนักวิทยาศาสตร์หลายคนก็มีคำแนะนำที่จะช่วยให้สัตว์หลายชนิดรอดพ้นจากมลพิษทางเสียงที่มักถูกมองข้ามนี้ได้

เสียงในมหาสมุทรที่เกิดจากมนุษย์นั้นมีหลายอย่าง ตั้งแต่เสียงโซนาร์ทางการทหารและการลงจอดของเครื่องบิน ไปจนถึงการก่อสร้างฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง และการวัดคลื่นไหวสะเทือนเพื่อสำรวจหาน้ำมันและก๊าซ อย่างไรก็ตามแหล่งกำเนิดเสียงที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือเรือ และเสียงจากใบพัด

เมื่อใบพัดของเรือ (โดยเฉพาะใบพัดรุ่นเก่า) หมุนด้วยความเร็วสูง จะเกิดการสร้างแรงกดต่ำ ส่งผลให้เกิดฟองอากาศจำนวนมาก และเมื่อแตกตัวก็จะทำให้เกิดเสียงรบกวนความถี่ต่ำ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีชื่อเรียกว่าการเกิดคาวิเตชัน (Cavitation) โดยเสียงความถี่ต่ำที่ว่านี้เป็นเสียงช่วงยาว และสามารถรบกวนการสื่อสารของสัตว์ทะเลได้ในวงกว้าง เช่น โลมาปากขวดที่ใช้เสียงทุกประเภทในการสื่อสารกัน บางครั้งเสียงของพวกมันสื่อสารถึงโลมาที่อยู่ไกลถึง 20 กม.

เฮเลน เบลีย์ ศาสตราจารย์ด้านการวิจัยจากศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ อธิบายว่ามีการค้นพบว่า โลมาจะปรับเสียงของมันเวลามีเสียงดังในน้ำ เพื่อให้โลมาตัวอื่นได้ยินมันชัดเจนขึ้น การปรับตัวนี้ก็คล้ายเวลาที่เราต้องตะโกนเสียงดังเมื่ออยู่ในคลับเพื่อให้เพื่อนได้ยินสิ่งที่เราพูด

ในความหมายของโลมา คำว่า ?ปรับ? นั้นหมายถึงการลดความซับซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำกันเวลาต้องการถ่ายทอดข้อความในที่ที่มีเสียงรบกวนมาก ในการศึกษาปี 2018 ที่นำโดยเบลีย์นักวิจัยได้บันทึกเสียงใต้น้ำที่เกิดจากการจราจรทางเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ พบเสียงสูงสุดถึง 130 เดซิเบล ซึ่งเทียบเท่ากับทางหลวงที่พลุกพล่าน หากโลมาพยายามจะสื่อสารกันภายใต้เสียงรบกวนเช่นนี้เป็นประจำ อนุมานได้เลยว่าพวกมันอาจจะพลาดการสื่อสารระหว่างกันได้

นอกจากนี้ เสียงความถี่ต่ำที่ต่อเนื่องยังส่งผลต่อความสามารถของปลาตัวเล็กในการหาที่อยู่อาศัย โดยปลาตัวเล็กจะใช้เสียงเพื่อเสาะหาระบบนิเวศทางทะเลในอุดมคติ พวกมันจะเฝ้าฟังเสียงใต้น้ำที่หลากหลาย ซึ่งจะบ่งชี้ว่าบริเวณนั้นมีทรัพยากรมากมายและมีสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย แต่เมื่อเสียงจากมนุษย์มาปิดกั้นเสียงธรรมชาติเหล่านี้ พวกมันก็อาจลงเอยด้วยการอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

มลพิษทางเสียงถือเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวาฬที่ใช้เสียงสื่อสารกันเป็นประจำ จากการศึกษาวาฬสีน้ำเงินในปี 2555 พบว่าเสียงจากโซนาร์ทางการทหารจะซ้อนทับกับเสียงสื่อสารระหว่างวาฬด้วยกัน ทำให้พวกมันต้องพูดซ้ำๆ ราวกับว่ากำลังคุยโทรศัพท์ที่สัญญาณไม่ดี

ร็อบ วิลเลียมส์ นักชีววิทยาทางทะเลและผู้ก่อตั้ง 'Oceans Initiative' องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ทำงานเพื่อปกป้องชีวิตใต้ท้องทะเล เชื่อว่าเสียงในทะเลที่เกิดจากมนุษย์เป็นภัยคุกคามต่อวาฬพอๆ กับที่การตัดไม้ทำลายป่าเป็นภัยต่อหมีกริซลี่ เสียงเหล่านี้ส่งผลกระทบในทุกแง่มุมของวิถีชีวิตของพวกมัน "เสียงมีความสำคัญต่อวาฬพอๆ กับประสาทสัมผัสทั้งหมดของเรา พวกมันสามารถรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ทั่วทั้งร่างกาย" วิลเลียมส์กล่าว

วิลเลียมส์ได้ศึกษาวาฬเพชฌฆาตเป็นเวลาหลายสิบปี รวมถึงวาฬเพชฌฆาตที่อยู่ทางตอนใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นวาฬที่ใกล้สูญพันธุ์เต็มที เนื่องจากแหล่งอาหารลดน้อยลง และทะเลเต็มไปด้วยมลภาวะ รวมถึงเสียงในมหาสมุทร


https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/101947

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 15-08-2022
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,228
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ฮือฮา!พบซากเรือพิฆาตลำแรกของสหรัฐฯ ถูกเรือดำน้ำเยอรมนียิงจมในสงครามโลก



ทีมประดาน้ำนอกชายฝั่งอังกฤษ เชื่อว่าพวกเขาพบซากเรือพิฆาตลำหนึ่งของสหรัฐฯ ซึ่งถูกเรือดำน้ำเยอรมนียิงตอร์ปิโดใส่จนจมอยู่ก้นทะเล ระหว่างสถานการณ์ความเป็นปรปักษ์ขั้นสูงสุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

กองบัญชาการประวัติศาสตร์และมรดกแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯแถลงเมื่อวันศุกร์(12ส.ค.) ว่า ดาร์คสตาร์ กลุ่มนักประดาน้ำมืออาชีพจากสหราชอาณาจักร พบเศษซากที่เชื่อว่าเป็นของเรือยูเอสเอส จาค็อบ โจนส์ นอกชายฝั่งแหลมทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ

เรือลำดังกล่าวมีหน้าที่คอยลาดตระเวณและอารักขาขบวนเรือต่างๆรอบๆสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 1917 จนกระทั่งมันอัปปางลงในวันที่ 6 ธันวาคม

จากข้อมูลระบุว่าเรือพิฆาตลำนี้จมห่างจากชายฝั่งอังกฤษไปราวๆ 96 กิโลเมตร ใกล้ช่อบแคบอังกฤษ หลังจากถูกตอร์ปิโดโจมตี

บรรดานักประวัติศาสตร์ระบุว่าบรรดาลูกเรือมีเวลาแค่ราวๆ 8 นาทีก่อนเรืออัปปาง ทำให้มีลูกเรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่สามารถขึ้นแพยางฉุกเฉินอพยพหลบหนีได้ทัน โดยเชื่อว่ามีลูกเรือเพียง 46 คน จากทั้งหมด 110 คนที่รอดชีวิตจากการโจมตีดังกล่าว

กองบัญชาการประวัติศาสตร์และมรดกแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ บอกว่าหลังจากอัปปาง เรือดำน้ำของเยอรมนีได้พาตัว 2 เชลยศึกขึ้นจากกระแสน้ำอันหนาวเย็น และวิทยุไปยังฐานทัพอเมริกาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง แจ้งให้ส่งกองเรือกู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือลูกเรือของเรือพิฆาต

อย่างไรก็ตามสืบเนื่องจากเรือพิฆาตน้ำหนักกว่า 1,000 ตันลำนี้ จมสู่ก้นทะเลเร็วมาก ตำแหน่งสุดท้ายของมันจึงเป็นปริศนามานานกว่า 100 ปี

ทีมประดาน้ำสหราชอาณาจักรคาดหมายว่าเรือจมอยู่ที่ความลึกราวๆ 400 ฟุต และบอกว่าพวกเขายังไม่เคลื่อนย้ายวัตถุใดๆออกจากจุดที่พบซากเรือ ระหว่างการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้

เหล่านักประวัติศาสตร์มองเรือพิฆาตลำนี้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะม้าใช้ และมีหน้าที่รับผิดชอบคอยช่วยบรรดาลูกเรือหลายร้อยคนจากเรือต่างๆที่ถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโด ก่อนที่มันจะประสบชะตากรรมเดียวกัน

ในช่วงสุดสิ้นสงครามในเดือนพฤศจิกายน 1918 เชื่อว่าเยอรมนี ได้จมเรือพาณิชย์มากกว่า 5,000 ลำและเรือรบราวๆ 100 ลำ

อย่างไรก็ตามพวกนักประวัติศาสตร์บอกว่า แม้มีความพยายามดังกล่าว แต่กองกำลังเยอรมนีก็ไม่สามารถเอาชนะแสนยานุภาพทางทะเลของพันธมิตรได้

นิวยอร์กโพสต์รายงานว่าเหล่านักประดาน้ำมีความตั้งใจติดต่อและทำงานร่วมกับสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับเรือลำนี้

(ที่มา:นิวยอร์กโพสต์)


https://mgronline.com/around/detail/9650000077667


******************************************************************************************************


ธารน้ำแข็งอายุหลายร้อยปีบนสันเขาสวิตเซอร์แลนด์ กำลังละลายด้วยภาวะโลกร้อน


Photo Credit: www.glacier3000.ch

สกีรีสอร์ทชื่อดังแห่งสวิตเซอร์แลนด์ Glacier 3000 เปิดเผยว่า คลื่นความร้อนและฤดูหนาวที่แห้งแล้งได้ทำให้ชั้นน้ำแข็งหนาที่ปกคลุมภูเขามานานหลายศตวรรษเกือบละลายหมดภายในไม่กี่สัปดาห์

หลังจากฤดูหนาวที่แห้งแล้ง อุณหภูมิที่ร้อนจัดในฤดูร้อนที่กระทบไปทั่วยุโรป กลายเป็นหายนะสำหรับธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ ซึ่งกำลังละลายไปอย่างรวดเร็ว โดยเส้นทางระหว่างธารน้ำแข็ง Scex Rouge และ Tsanfleuron บริเวณสันเขาที่ปกคลุมมายาวนานตั้งแต่ยุคโรมัน กำลังละลายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เมื่อธารน้ำแข็งทั้งสองละลายไป หินเปลือยเปล่าของสันเขาทั้งสองก็เริ่มโผล่ออกมาโดยปราศจากน้ำแข็งอีกต่อไปก่อนฤดูร้อนจะสิ้นสุดลง

สกีรีสอร์ท Glacier 3000 ระบุว่าน้ำแข็งมีความหนาประมาณ 15 เมตร (50 ฟุต) ในปี 2012 จะละลายหายไปหมดไม่อีกไม่สัปดาห์นี้ และถือเป็นดินแดนที่มองไม่เห็นมานานแล้วหลายศตวรรษ

สันเขาอยู่ที่ระดับความสูง 2,800 เมตร นักเล่นสกีสามารถเดินข้ามยอดจากธารน้ำแข็งที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นมีแนวหินโผล่ออกมาเหลือเพียงน้ำแข็งก้อนสุดท้ายที่เหลืออยู่

Bernhard Tschannen ผู้บริหารระดับสูงของ Glacier 3000 กล่าวว่า "ไม่มีใครก้าวเข้ามาที่นี่มากว่า 2,000 ปีแล้ว? ธารน้ำแข็ง Scex Rouge มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นทะเลสาบภายใน 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า อาจมีความลึกประมาณ 10 เมตร มีปริมาตร 250,000 ลูกบาศก์เมตร

Glacier 3000 จึงกำลังหาวิธีปรับตัวหากผู้คนไม่สามารถเล่นสกีระหว่างธารน้ำแข็งทั้งสองได้ "เรากำลังวางแผนในพื้นที่นี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และแนวคิดหนึ่ง คือ การเปลี่ยนเส้นทางของกระเช้าลอยฟ้าในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงธารน้ำแข็ง Tsanfleuron ได้โดยตรงมากขึ้น" Tschanen กล่าว

ด้าน Mauro Fischer นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเบิร์นกล่าวว่า การสูญเสียความหนาของธารน้ำแข็งในภูมิภาคนี้จะสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 3 เท่าภายในปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงฤดูร้อนในทศวรรษที่ผ่านมา


https://mgronline.com/travel/detail/9650000077381

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:48


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger