เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 10-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ 10 ตุลาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมียังคงมีกำลังแรง ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือ ระยะ 1-2 วันนี้

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 10 ? 14 ต.ค. หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มที่จะทวีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนาม และเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย ประเทศจีนในระยะต่อไป


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆมาก กับมีฝน ร้อยละ 80 และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ตลอดช่วง ส่วนในช่วงวันที่ 9 ? 10 ต.ค. หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนบนจะเคลื่อนที่ลงสู่ทะเลอันดามันต่อไป ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-4 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร หลังจากนั้นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้คลื่นลมมีกำลังอ่อนลง

ส่วนในช่วงวันที่ 11 ? 15 ต.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมในระยะนี้

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 10 ? 14 ต.ค. หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มที่จะทวีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามสู่อ่าวตังเกี๋ย ประเทศจีนในระยะต่อไป


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 9 ? 10 ต.ค. 63









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 10-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


MOSE แบริเออร์ใต้น้ำ ช่วย 'เวนิส' แก้ปัญหาน้ำท่วมเรื้อรังได้จริงหรือ



- เวนิส เมืองซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศอิตาลี ต้องรับมือกับปัญหาน้ำท่วม เพราะระดับน้ำเพิ่มสูงมากนานหลายศตวรรษแล้ว

- รัฐบาลพยายามหาทางแก้ปัญหาน้ำท่วมให้หายขาด สุดท้ายจึงผุดโปรเจกต์ที่เรียกว่า MOSE สร้างแบริเออร์ขนาดใหญ่ไว้ใต้ทะเล และยกขึ้นมากันน้ำเวลาที่ระดับน้ำเพิ่มสูง

- MOSE เผชิญการทดสอบสำคัญครั้งแรกในวันที่ 3 ต.ค. ผลก็คือมันสามารถช่วยป้องกันน้ำท่วมได้จริง แต่ยังมีข้อครหามากมายเกี่ยวกับระบบ MOSE โดยเฉพาะในเรื่องผลกระทบต่อระบบนิเวศ

เวนิส เมืองอันงดงามและมีชื่อเสียงลำดับต้นๆ ของโลก ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทะเลเอเดรียติก มีสภาพเป็นเกาะเล็กๆ เชื่อมต่อกันด้วยสะพาน และแบ่งแยกด้วยคลองสายต่างๆ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากน้ำมาตั้งแต่อดีต เวนิสเป็นมหาอำนาจทางทะเลในเมดิเตอร์เรเนียนได้นานหลายศตวรรษ ด้วยเส้นทางน้ำซึ่งเป็นเหมือนปราการธรรมชาติ ในปัจจุบันคลองอันเป็นเอกลักษณ์ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 20 ล้านคนต่อปี

แต่น้ำก็เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาต้องรับมือเช่นกัน ชาวเมืองเวนิสใช้ชีวิตอยู่คู่กับน้ำท่วมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 และทุกปีพวกเขาต้องเผชิญปรากฏการณ์ 'อัควา อัลตา' (Acqua Alta) หรือการยกตัวของน้ำทะเล ซึ่งเกิดขึ้นช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม กับกระแสลมแรงจากพายุที่พัดพาน้ำจากทะเลเอเดรียติกเข้าสู่ 'เวเนเชียน ลากูน' อ่าวตื้นๆ ที่เมืองเวนิสตั้งอยู่ ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ต่ำของเมืองได้แล้ว

ชาวเมืองจึงปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับน้ำท่วมโดยเฉพาะ มีการเตรียมกล่องไม้สำหรับเป็นทางเดินในช่วงน้ำท่วม เรือกอนโดลาสามารถถอดหัวเรือออก เพื่อให้ลอดผ่านสะพานข้ามคลองเวลาที่ระดับน้ำเพิ่มสูงได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาน้ำท่วมเริ่มรุนแรงขึ้นด้วยอิทธิพลจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้เมืองอันงดงามแห่งนี้ตกอยู่ในความเสี่ยง และอาจไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในสิ้นศตวรรษนี้


สภาพอากาศเปลี่ยน ทำน้ำท่วมหนักขึ้น

ในปี 1872 เจ้าหน้าที่ของเวนิสเริ่มใช้ระบบวัดระดับน้ำทะเลเป็นครั้งแรก ซึ่งในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ระบุว่า เมืองจะเริ่มมีน้ำท่วมหากระดับน้ำแตะ 80 ซม. แต่ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นราว 30 ซม. แล้ว ทำให้เกิดน้ำท่วมได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก

สถิติมากมายชี้ว่า เวนิสกำลังเผชิญน้ำท่วมรุนแรงบ่อยขึ้น โดยในช่วง 5 ปี ระหว่าง ค.ศ.2014-2018 มี อัควา อัลตา แบบฉับพลัน 34 ครั้ง ที่ความสูงของระดับน้ำเกิน 110 ซม. ทั้งที่ช่วง 77 ปี ระหว่าง ค.ศ.1875-1951 เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เพียง 30 ครั้งเท่านั้น แต่สัญญาณอันตรายที่สุดเกิดขึ้นเมื่อ พ.ย. 2019 เมื่อ อัควา อัลตา ขนาดใหญ่มาเร็วถึงขนาดที่ชาวเมืองรับมือไม่ทัน ระดับน้ำพุ่งถึง 187 ซม. สร้างความเสียหายแก่สิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์, ร้านค้า, โรงแรม มูลค่ากว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีผู้เสียชีวิต 2 ศพ


เหตุน้ำท่วมเมื่อ 12 พ.ย. 2019 ทำให้เมืองเวนิสมีน้ำท่วมถึง 90% ของพื้นที่

ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่เวนิสเผชิญหายนะรุนแรงกว่าปี 2019 ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1966 เวนิสเผชิญ อัควา อัลตา สูงถึง 194 ซม. จนถูกเรียกว่า ?Acqua Granda? ทำให้ชาวเมืองหลายพันคนต้องอพยพ ร้านค้ากว่า 75% ในเมืองได้รับความเสียหาย ขณะที่ความเสียหายทางศิลปะมีมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่กิจกรรมของชาวเมืองก็ส่งผลให้ปัญหาน้ำท่วมของเวนิสเลวร้ายลงเช่นกัน การพัฒนาอุตสาหกรรมยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มีการขุดน้ำบาดาลใต้เมืองเวนิสมาใช้จำนวนมหาศาล ในช่วงทศวรรษที่ 50-70 ทำให้เมืองจมลงถึง 12 ซม. เพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมขึ้นอีก ไม่นับกิจกรรมการก่อสร้างต่างๆ ในเมืองที่ทำให้เวนิสค่อยๆ จมลงประมาณปีละ 2-3 มม.อยู่แล้ว


ช่องทางน้ำเข้า (inlets) ทั้ง 3 จุด เป็นที่ตั้งของ แบริเออร์ MOSE


ผุดโปรเจกต์ MOSE แหวกน้ำทะเล

ตลอดหลายปีหลังน้ำท่วมใหญ่ใน ค.ศ.1966 รัฐบาลเมืองเวนิสพยายามหาทางแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง มีทั้งการสูบน้ำจากคลองเพื่อเสริมโครงสร้าง, ฉีดคอนกรีตเหลวเพื่อยกเมืองให้สูงขึ้น หรือสร้างพรุน้ำเค็ม (salt marsh) กับหาดโคลน (mudflat) เอาไว้ใน เวเนเชียน ลากูน เพื่อป้องกันน้ำทะเลที่หนุนเข้ามา แต่ก็ได้ผลเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น

ในช่วงทศวรรษที่ 1980 รัฐบาลกลางของอิตาลีตัดสินใจจะจัดการปัญหาน้ำท่วมที่เวนิสอย่างเด็ดขาด และวางโครงการที่เรียกว่า ?MOSE? ซึ่งมาจากชื่อของ 'โมเสส' ผู้แหวกทะเลแดงช่วยชาวอิสราเอลหนีจากกองทัพอียิปต์ โดยจะสร้างแบริเออร์เปิด-ปิดได้จำนวน 78 บาน ไว้ใต้น้ำตามแนวช่องทางน้ำเข้า (inlets) ทั้ง 3 จุดที่เชื่อมต่อ เวเนเชียน ลากูน กับทะเลเอเดรียติก โดยจะใช้การควบคุมระยะไกลเพื่อยกแบริเออร์ขึ้นมาในตอนที่ระดับน้ำเพิ่มสูง กันไม่ให้น้ำเข้าสู่ลากูน ปกป้องเวนิสจากน้ำท่วม ก่อนจะลดแบริเออร์ลงเมื่อระดับน้ำต่ำลง

อย่างไรก็ตาม แผนการที่ฟังดูง่ายๆ นี้ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด แผนการได้รับการเสนอเข้าสู่สภาในปี 1971 และผ่านความเห็นชอบใน 2 ปีต่อมา แต่นักการเมืองกับวิศวกรถกเถียงกันเรื่องการออกแบบและแก้ไขโครงการหลายต่อหลายครั้งนานกว่า 30 ปี กระทั่งการก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี 2003 ซึ่งในตอนนั้นรัฐบาลคาดว่าจะใช้เวลาสร้างประมาณ 8 ปี และใช้งบประมาณราว 1.6 พันล้านยูโร

แต่สิ่งที่คาดการณ์ไว้กับความเป็นจริงต่างกันอย่างสิ้นเชิง การก่อสร้างล่าช้าออกไปจากหลายปัจจัย ทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการคอร์รัปชัน และการใช้งบเกินกว่าที่กำหนด โดยข้อมูลในปี 2014 พบว่า ค่าใช้จ่ายในการสร้าง MOSE พุ่งทะยานไปถึง 5.5 พันล้านยูโรแล้ว เพิ่มขึ้นจากตัวเลขดั้งเดิมกว่า 343% และจนถึงปัจจุบันนี้ประเมินกันว่าอิตาลีใช้เงินไปกับโปรเจกต์ MOSE แล้วกว่า 8 พันล้านยูโร ขณะที่คาดว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2021


รอด Acqua Alta ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 1,200 ปี

แต่ถึงแม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โปรเจกต์ MOSE ก็เข้าสู่กระบวนการทดสอบของจริงครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 3 ต.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันแรกของฤดู อัควา อัลตา ในปีนี้ โดยพยากรณ์อากาศคาดว่า ระดับน้ำจะสูงถึงระดับ 135 ซม. มากพอจะทำให้มีน้ำท่วมหลากหลายระดับ ในพื้นที่ 50% ของเมืองเวนิส

ในวันเสาร์ เสียงไซเรนเตือนภัยน้ำท่วมยังดังขึ้นตามปกติ แต่ที่ต่างออกไปคือ ในเวลา 12.05 น. จัตุรัสเซนต์ มาร์ก ซึ่งปกติแค่น้ำขึ้นเพียง 90 ซม. ก็มีน้ำท่วมถึงเข่าแล้ว ยังคงแห้งเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงน้ำผุดขึ้นมาจากท่อระบายน้ำเท่านั้น ขณะที่เขตทางเหนืออย่าง คันนาเรจิโอ ก็ยังคงแห้งสนิท โปรเจกต์ MOSE ช่วยให้เมืองเวนิสรอดจาก อัควา อัลตา ได้เป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 1,200 ปี

"นี่เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของเวนิส? นายลุยจิ บรุนยาโร นายกเทศมนตรีเมืองเวนิสกล่าว หลังเป็นสักขีพยานการยกแบริเออร์ MOSE ในวันเสาร์ ?นี่เป็นเรื่องน่าพอใจมาก หลังจากหลายทศวรรษที่ได้แต่ดูน้ำเข้าท่วมทุกที่ในเมือง สร้างความเสียหายมหาศาลโดยไม่อาจช่วยอะไรได้"


MOSE คือทางออกของเวนิสจริงหรือ?

โปรเจกต์ MOSE ซึ่งปัจจุบันบริหารจัดการโดยรัฐบาลกลางอิตาลี จะถูกส่งต่อให้เมืองเวนิสในเดือนธันวาคม 2021 หลังโครงการทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการยกพื้นในพื้นที่ต่ำสุดของเมืองให้สูง 110 ซม. จากระดับน้ำทะเล เสร็จสิ้น โดยจนกว่าจะถึงตอนนั้น แบริเออร์ MOSE จะถูกใช้เมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงกว่า 130 ซม.เท่านั้น น้ำท่วมรุนแรงอย่างในปี 2019 อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะแบริเออร์นี้ถูกออกแบบมาให้ป้องกันระดับน้ำสูงสุดถึง 3 ม.

และเมื่อทางการเมืองเวนิสรับช่วงต่อแล้ว MOSE จะถูกใช้เมื่อน้ำทะเลยกตัวสูง 110 ซม.ขึ้นไป แต่นั่นหมายความว่า จัตุรัสเซนต์ มาร์ก จะถูกน้ำท่วมต่อไป อย่างเช่นในวันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค. หรือเพียง 24 ชั่วโมงหลังจากวันแห่งประวัติศาสตร์ จัตุรัสอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสแห่งนี้ก็ถูกน้ำท่วมอีกครั้ง หลังระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 106 ซม.


แบริเออร์ MOSE ถูกเปิดใช้งาน


ข้อครหาและผลกระทบจาก MOSE

โปรเจกต์ MOSE เผชิญข้อครหามากมาย และการต่อต้านจากนักวิชาการหลายคนที่เตือนว่า โครงการน้ำจะทำลาย เวนิส มากกว่าช่วยเหลือ ดร.เจน ดา มอสโต นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรเอ็นจีโอ 'We Are Here Venice' ตั้งคำถามเกี่ยวกับอายุการใช้งานของ MOSE ซึ่งรัฐบาลระบุว่า สามารถใช้งานได้นานนับศตวรรษ แต่ความล่าช้าในการก่อสร้าง ทำให้ MOSE เสียอายุการใช้งานไปฟรีๆ ถึง 10 ปีแล้ว

ความทนทานไม่ใช่ปัญหาเดียว การยกแบริเออร์ขึ้นจะขวางทางเดินเรือไม่ให้เข้าหรือออกจากท่าเรือ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจของเวนิส แต่ที่สำคัญกว่านั้น MOSE อาจขวางการระบายน้ำเสียจากเมืองสู่ทะเลเอเดรียติก และกักให้น้ำเสียอยู่ภายใน เวเนเชียน ลากูน ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน สาหร่ายจะเจริญเติบโตภายในลากูน ทำให้น้ำขาดออกซิเจน และฆ่าสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นทั้งหมด กระทบต่อการทำประมง, อุตสาหกรรมเลี้ยงหอย และฟาร์มปลาอย่างหนัก

ใช่ว่าวิศวกรไม่ได้คิดถึงปัญหาเหล่านี้ พวกเขาตั้งใจจะใช้ MOSE ในกรณีที่ระดับน้ำทะเลสูงจริงๆ ซึ่งในแต่ละปีเกิดขึ้นไม่บ่อยจนทำให้ MOSE ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของลากูน

แต่การสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลจากภาวะโลกร้อนอาจเป็นสิ่งที่วิศวกรมองข้ามไป พวกเขาคาดว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นราว 20 ซม. ตลอดอายุการใช้งานของ MOSE ต่อรายงานเมื่อปี 2019 ของคณะกรรมการนานาชาติว่าด้วยปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงชี้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวมีโอกาสที่น้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 60 ซม. หมายความว่า MOSE จะถูกใช้งานบ่อยขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจจะหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อปี จนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในที่สุด

สรุปแล้ว MOSE ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำการป้องกันน้ำไม่ให้เข้าท่วมเมืองเวนิสเมื่อวันที่ 3 ต.ค. แต่โครงการนี้ยังต้องเผชิญการทดสอบอีกมากในอนาคต และตอนนี้แบริเออร์สีเหลืองทั้ง 78 บาน ต้องรับมือกับ อัควา อัลตา ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ซึ่งมีความรุนแรงและมาบ่อยครั้งที่สุดให้ได้เสียก่อน มิเช่นนั้น เรื่องอนาคตก็คงไม่ต้องพูดถึง.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1947761

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 10-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


นักวิจัยเผย ฉลามกว่า 5 แสนตัวจะถูกสังเวยทำวัคซีนต้านโควิด-19



เป็นเวลาเกือบปีแล้วที่ทั่วโลกต้องเผชิญปัญหาสถานการณ์โควิด - 19 และดูเหมือนว่าจำนวนผู้ติดเชื้อและรายชื่อผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความหวังของเราก็คือภาวนาให้มีการคิดค้นวัคซีนให้ได้ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด

น้ำมันตับฉลาม ถูกค้นพบโดยนักวิจัยว่าสามารถใช้เป็นวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ทว่าเราอาจต้องสังเวยฉลามกว่า 5 แสนตัวที่จะต้องมาตายเพื่อต่อชีวิตให้กับมนุษย์


ฉลามเกี่ยวข้องอย่างไรกับการทำวัคซีน ?

นักอนุรักษ์กังวลถึงผลกระทบของขั้นตอนการผลิตวัคซีนต้านเชื้อโควิด-19 เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อปริมาณฉลามทั่วโลกอย่างแน่นอน โดยวัคซีนต้านโควิด-19 นั้นจำเป็นต้องมีส่วนผสมของ สควอลีน โดยสารดังกล่าวนี้จะช่วยเข้าไปกระตุ้นระบบคุ้มกันของร่างกาย ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยทั่วไปแล้ว สควอลีน นั้นจะถูกใช้ในการทำเครื่องสำอางและครีมกันแดด อย่างไรก็น้ำมันตับฉลาม นั้นจะเป็นตัวช่วยให้วัคซีนแข็งแรงขึ้นมันอาจเป็นข่าวดีของเรา แต่ว่าอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับฉลามพวกนั้น เพราะทั่วโลกต่างแข่งขันกันเพื่อที่จะคิดค้นและผลิตวัคซีนต้านเชื้อโควิดให้ได้ และเราอาจต้องใช้ฉลามถึง 3 พันตัวต่อการผลิตสควอลีน 1 ตัน

กรมอนามัยโลกได้เปิดเผยว่า องค์กรที่พยายามจะผลิตวัคซีนอยู่ตอนนี้ มีจำนวนทั้งหมด 176 แห่ง และมีอย่างน้อย 5 บริษัทในตอนนี้ ที่ใช้น้ำมันตับฉลามเป็นส่วนผสมหลักของวัคซีน หนึ่งในนั้นก็คือ บริษัทเวชภัณฑ์ขนาดใหญ่ในอังกฤษ GlaxoSmithKine (GSK) ที่ได้ใช้น้ำมันตับฉลามเป็นตัวเพิ่มเพิ่มฤทธิ์วัคซีน โดยทางบริษัทได้ประกาศออกมาแล้วจะใช้สควอลีนจำนวน 1 พันล้านโดสเพื่อเป็นการรับรองการผลิต

มีการประเมินว่า ถ้าเรามอบวัคซีนให้กับคนทั่วโลกคนละ 1 โดส เราอาจต้องฆ่าฉลามถึง 249,351 ตัว แต่นักวิจัยเชื่อว่าถ้าหากเราต้องการที่จะสร้างภูมิคุ้มกัน เราอาจต้องใช้ถึง 2 โดสต่อคน เป็นเหตุให้อาจมีฉลามตายกว่า 5 แสนตัว


ความสำคัญของฉลามและระบบนิเวศ

ทางด้านองค์กรอนุรักษ์ได้กังวลถึงปัญหานี้ เพราะว่าฉลามมีความสำคัญกับระบบนิเวศอย่างยิ่ง ฉลามได้ขึ้นชื่อว่า ฉลามนั้นเป็นทั้งนักล่าและนักสร้ามสมดุลให้กับท้องทะเล โดยฉลามจะช่วยให้ทะเลไม่มีปลาชนิดใดชนิดหนึ่งมากจนเกินไปเพื่อเป็นการทำลายระบบนิเวศ รวมถึงฉลามยังทำหน้าที่ช่วยกำจัดซากสัตว์น้ำที่ตายแล้ว เพื่อป้องกันโรคระบาดในทะเลอีกด้วย

การผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 นั้นจะทำลายระบบนิเวศอยางมหาศาลอย่างแน่นอน เนื่องจากก่อนที่ไวรัสโควิด-19 จะแพร่ระบาดมนุษย์ได้ฆ่าฉลามในอุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอางอยู่แล้วปีละ 3 ล้านตัว

โดยทางกลุ่มอนุรักษ์ได้ทำการร้องเรียนให้บริษัทเวชภัณฑ์ต่างๆนั้นคิดค้นสารที่ทำมาจากธรรมชาติแทนที่จะใช้สารสควอลีนที่ทำมาจากสัตว์ เพื่อความยั่งยืนของการทดลองและขั้นตอนการผลิตในอนาคต โดยในปัจจุบันมีการทดลองหาสาร "สควอลีน" กับอ้อยหมักแล้ว

ขอขอบคุณที่มา euronews.com


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5082563

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 10-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'สิมิลัน' พร้อมรับนักท่องเที่ยว หลังปิดเกาะนาน 7 เดือน

สุดสวยงาม หมู่เกาะสิมิลัน พร้อมรับนักท่องเที่ยว หลังปิดเกาะนาน 7 เดือน ขณะที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวต่างพร้อมให้บริการทุกวัน



หลังจากที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติ ได้มีคำสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ประกอบกับการปิดเกาะช่วงหน้ามรสุม ในระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ของทุกปี ทำให้ปีนี้มีการปิดเกาะ นานถึง 7 เดือน

ล่าสุดทางอุทยานแห่งชาติ อุทยานหมู่เกาะสิมิลัน ร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว นำคณะสื่อมวลชนเดินทางชมความงดงาม ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ตั้งแต่เกาะ 8 หรือเกาะสิมิลัน ที่มีหินเรือใบ เป็นสัญลักษณ์แห่งสิมิลันอยู่บนยอดเขาแหลมหินบนอ่าวเกือก ชมความสวยงามของหาดเล็กที่เป็นที่ตั้งของศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลของกองทัพเรือ ชมจุดชมวิวลานข้าหลวงที่ตั้งอยู่ด้านหลังเกาะ 4 หรือเกาะเมียง ตามเส้นทางเดินจะมีต้นเฟิร์นข้าหลวงหลังลายขึ้นเป็นจำนวนมาก และอาจจะพบนกชาปีไหน ปูไก่ บนลานข้าหลวงเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเกาะต่างๆในหมู่เกาะสิมิลัน และอีกหนึ่งหาดที่สำคัญ คือ หาดเจ้าหญิง หรือหาดหน้า ที่มีหาดทรายขาวยาวที่สุด มีความใสของน้ำทะเลราวกับคริสตัล

สำหรับการเปิดเกาะในฤดูกาลท่องเที่ยวนี้ จะมีความพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจะโดนบังคับด้วยระยะห่าง จากการท่องเที่ยวแบบ New Normal ซึ่งในช่วงแรกจะไม่มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามา ทำให้ผู้ที่เดินทางมาสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติที่เพิ่งจะฟื้นฟูมาได้อย่างเต็มที่ โดยไร้ซึ่งความแออัดของผู้คน หมู่เกาะสิมิลันถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหมู่เกาะที่มีความสวยงาม มีความหลากหลายทางธรรมชาติเป็นลำดับต้นๆของโลก จึงเหมาะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยจะใช้โอกาสนี้เข้ามาเยี่ยมชมความสวยงาม

ขณะที่ผู้ประกอบการเลิฟอันดามันทัวร์ เปิดเผยว่า ในปีนี้เราจะเน้นในการให้ความรู้นักท่องเที่ยวในการรักและหวงแหน และดูแลธรรมชาติ ท้องทะเล และสัตว์ต่างๆในทะเลของบ้านเรา สำหรับความพร้อมรับนักท่องเที่ยวนั้น ทางบริษัทจะมีเรือนำเที่ยวออกให้บริการทุกวันตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม เป็นต้นไป เพราะมียอดการจองเข้ามาของนักท่องเที่ยวทุกวัน


https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/901864

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 10-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก GREENPEACE


อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ปะการังในไต้หวันกำลังฟอกขาว? .................... โดย Greenpeace East Asia

ที่ผ่านมาไต้หวันเป็นเสมือนบ้านที่สุขสบายให้กับปะการังมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งพบได้อย่างในที่อื่นๆ แต่ในปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศที่ร้อนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์กลับทำให้เหล่าปะการังต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ ?การฟอกขาว? ในระดับรุนแรง ถึงขึ้นที่ระบบสังเกตการณ์แนวปะการังประจำองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) ได้ยกระดับการเตือนภัยปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในเขตน่านน้ำทางตอนใต้ของไต้หวันขึ้นเป็นระดับที่สองเป็นที่เรียบร้อย หมายความว่าอัตราการตายของปะการังกำลังพุ่งสูงขึ้น และจะเริ่มส่งผลกระทบกับระบบนิเวศใต้ท้องทะเลในอีกไม่ช้า


หนึ่งในขั้นตอนการตรวจสอบการฟอกขาวของปะการังในไต้หวัน ? Yves Chiu / Greenpeace

แต่อะไรล่ะ คือต้นเหตุของปะการังฟอกขาวในไต้หวัน? ผลกระทบที่ตามมาจะมีอะไรบ้าง? ที่สำคัญคือ เราจะหยุดยั้งการฟอกขาวของปะการังได้อย่างไรบ้าง?


ปะการังคืออะไร?


หลายคนอาจคิดว่าปะการังเป็นเพียงแค่ "พืช" ทั่วๆ ไปชนิดหนึ่งที่เกิดและเติบโตใต้ท้องทะเล แต่ความจริงแล้วปะการัง นับเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน (Colony) ร่วมกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเรียกว่า "โพลิป" (Polyps) อีกหนึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับปะการังคือเรื่องสี เพราะที่จริงแล้วสีของปะการังเป็นสีใส แต่ที่เราเห็นสีสันฉูดฉาดหลากสีเกิดจาก สาหร่ายชนิดหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ?ซูแซนเทลลี? (Zooxanthellae) โดยซูแซนเทลลีจะช่วยผลิตอาหารจากการสังเคราะห์แสงให้กับปะการังและพึ่งพาอาศัยกัน

ทั้งนี้ ไต้หวันที่เป็นที่รู้จักกันในนาม "อาณาจักรแห่งปะการัง" ถึงแม้จะมีจำนวนปะการังตามเขตเขินติง เกาะกรีนไอแลนด์ และ เกาะออคิดรวมกันไม่มากนักเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ แต่ถ้าเทียบกันในเรื่องของความหลากหลายทางสายพันธุ์แล้ว ถือว่าทะเลไต้หวันมีความหลากหลายสูงมาก โดยหนึ่งในสามของปะการังในโลกที่มีถึงกว่า 700 ชนิดพันธุ์ มีจำนวน 250 สายพันธุ์ที่สามารถพบได้ที่ไต้หวัน


ปะการังสีแดงที่อยู่บนแนวปะการัง Wan Li Tong ? Paul Hilton / Greenpeace


ปะการังสำคัญอย่างไรกับท้องทะเล?

ปะการังเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทะเล เพราะปะการังเป็นที่พักพิงให้กับสัตว์ทะเลน้อยใหญ่มากมาย เป็นทั้งบ้าน พื้นที่ขยายพันธุ์ แหล่งหาอาหาร และพื้นที่สำหรับการหลบซ่อนผู้ล่า เกิดเป็นระบบนิเวศอันสมบูรณ์ไปโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นบ้านให้กับกว่า 1,500 สายพันธุ์ได้อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง และนี้คือสาเหตุว่าทำไมแนวปะการังถึงได้เป็นที่รู้จักกันในนาม "ป่าฝนในเขตร้อนแห่งท้องทะเล"


ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวคืออะไร?

ความจริงแล้วปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่อายุยืนยาวมากที่สุดชนิดหนึ่งเลยทีเดียว ขอเพียงแค่มีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ยาวนานกว่าร้อยปี หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นสภาพแวดล้อมจึงมีผลอย่างมากต่อการอยู่รอดของปะการัง หากสภาพแวดล้อมแย่ โอกาสรอดของปะการังก็น้อยตามไปด้วย

ปะการังมีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำ ค่าความด่าง และความขุ่นของน้ำ ล้วนแล้วแต่ส่งผลกับความสัมพันธ์ของปะการังและสาหร่ายซูแซนเทลลี เพราะถ้าหากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการอยู่อาศัย สาหร่ายซูแซนเทลลีก็จะย้ายออกไปหาบ้านใหม่ หรือถูกตัวปะการังเองขับไล่ให้ออกไป และเมื่อไม่มีสาหร่ายซูแซนเทลลี ปะการังจะไร้ซึ่งสีสันและฟอกขาวไปในที่สุด

เมื่อสาหร่ายที่อยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาย้ายออกไป ปะการังจะยังไม่ตายไปในทันที หากสภาพแวดล้อมดีขึ้น สาหร่ายซูแซนเทลลีก็จะค่อยๆ หวนคืนกลับมาและปะการังจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ เช่นกัน แต่ถ้าหากถูกปล่อยฟอกขาวนานจนสายเกินแก้ ปะการังจะค่อยๆ อ่อนแอลงและตายไปในที่สุด เพราะฉะนั้นการฟอกขาวเป็นเสมือนสัญญาณเตือนที่ชั้นเจนว่าระยะสุดท้ายของปะการังกำลังใกล้เข้ามา


ต้นเหตุของปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมลพิษจากมนุษย์

อุณหภูมิโลกเปลี่ยน ไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของแนวปะการัง


ความเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันของอากาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน รวมถึง "ปรากฏการณ์ทะเลเป็นกรดกรด" ก็ผลักให้ประสิทธิภาพของการดูดซึมแคลเซียมคาร์บอเนตของปะการังลดลง และทำให้ปะการังไม่แข็งแรงมากพอที่จะต้านการกัดกร่อนตามธรรมชาติของน้ำทะเลได้ สุดท้ายปะการังก็จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูจากการฟอกขาวนานขึ้น

ระบบเฝ้าสังเกตการณ์ประจำ NOAA ใช้ดาวเทียมในการเฝ้าตรวจจับอุณหภูมิของผิวน้ำทะเลและบันทึกบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงเพื่อส่งสัญญาณเตือนความเสี่ยงของปรากฏการณ์ปะการังฟอกสี และปีนี้ ไต้หวันเจอกับไต้ฝุ่นที่มาจากความกดอากาศสูงในมหาสมุทรแปซิฟิกจำนวนน้อยลง ซึ่งทำให้อุณหภูมิของทั้งบนดินและผืนน้ำสูงขึ้น โดยบริเวณผืนน้ำโดยรอบไต้หวันรวมทั้งหมู่เกาะปราตัสและเกาะไทปิงต้องเจอกับอุณหภูมิที่สูงถึง 30? องศาเซลเซียส

แต่ทว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของปะการังกลับอยู่ที่ 20-28? องศาเซลเซียสเพียงเท่านั้น หากอุณหภูมิต่ำกว่า 18? องศาเซลเซียสหรือสูงกว่า 30? องศาเซลเซียส ปะการังจะเริ่มขับไล่สาหร่ายที่อาศัยในเนื้อเยื่อปะการังออกไป ทำให้เกิดอาการฟอกขาวหรืออาจถึงขั้นตายเลยทีเดียว ถ้าหากจำนวนไต้ฝุ่นในไต้หวันยังคงมีจำนวนน้อยต่อไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ สถานการณ์ปะการังฟอกขาวจะเลวร้ายไปยิ่งกว่าที่เคยเป็นในขณะที่อุณหภูมิของทะเลก็จะยังคงสูงต่อไป และอย่าลืมว่าอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นในระยะสั้นๆ ไม่ได้ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว แต่การที่ปะการังจำนวนมากเริ่มฟอกขาวมาจากอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างผิดปกติอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา


บริเวณทางตอนใต้ของไต้หวัน อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ภาพนี้เป็นหนึ่งในปะการังที่ฟอกขาวบริเวณจุดดำน้ำสามแห่งใน Kenting ที่ถูกถ่ายไว้เมื่อเดือนสิงหาคม ? Yves Chiu / Greenpeace


"กิจกรรมของมนุษย์" ผู้ร้ายตัวฉกาจ

นอกจากนั้น กิจกรรมของมนุษย์ทั้งบนบกและทางน้ำล้วนเป็นภัยกับแนวปะการังทั้งสิ้น เช่นยาฆ่าแมลงจากอุตสาหกรรมการเกษตรที่ไหลลงสู่แม่น้ำ น้ำเสียจากทั้งโรงงานอุตสาหกรรมและบ้านเรือนที่ถูกปล่อยลงสู่ท้องทะเล หรือแม้กระทั่งครีมกันแดดที่มีสารเบนโซฟีนอล (Benzophenone) และสารอ็อกทิล เมท็อกซีซินนาเมท (Octyl methoxycinnamate) ที่ก่อกวนวงจรการขยายพันธุ์และการเจริญเติบโตของปะการัง


เมื่อระบบนิเวศทะเลคือเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

การถูกทำลายและการตายของแนวปะการังนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่า ซึ่งระบบนิเวศทะเลคือผู้เคราะห์ร้ายที่ได้รับผลกระทบนั้นไปเต็มเปา ความจริงแล้วปะการังไม่ได้เติบโตได้ไวอย่างที่หลายคนเข้าใจ พวกเขาเติบโตได้เพียงประมาณหนึ่งเซนติเมตรต่อปีเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นที่เราได้เห็นปะการังขนาดใหญ่สวยงามตามท้องทะเลคือผลลัพธ์ของการปล่อยให้ปะการังได้เจริญเติบโตมานานนับกว่าสิบๆ ปี หรือเป็นร้อยกว่าปีด้วยซ้ำไป และเมื่อถูกทำร้าย พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลาพอมากพอๆ กันในการกลับไปเจริญงอกงามเช่นเคย


ปะการังที่อุดมสมบูรณ์และมหาสมุทรที่มีสุขภาพดีเป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้และต่อตัวพวกเราเอง ? Paul Hilton / Greenpeace

นอกจากปะการังจะช่วยรักษาความหลากหลายของเหล่าสัตว์ทะเลใต้ผืนน้ำ ระบบนิเวศตามแนวปะการังที่สมบูรณ์ ยังเป็นประโยชน์กับทั้งระบบนิเวศทางทะเลและกับมนุษย์อย่างเราๆ เช่นกัน เพราะแนวปะการังไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งของทะเลเท่านั้น แต่มีค่าทางเศรษฐกิจสูงอีกด้วย เพราะนับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นดี และผลิตเม็ดเงินนับล้านจากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้น ความเสื่อมถอยของระบบนิเวศจากปะการังฟอกขาวจะต้องส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาแนวปะการังอย่างการท่องเที่ยวและการประมงอย่างแน่นอน

แล้วเราจะแก้ปัญหาปะการังฟอกขาวได้อย่างไรบ้าง?

รักษาพลังงานและลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อชะลอภาวะโลกร้อนลง


ในเมื่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติเกิดจากปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เราจำเป็นต้องจัดการปัญหาที่ต้นตออย่างการลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ถ่านหินลง และหันมาเลือกใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาด

ใคร ๆ ก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ปะการังได้

ปะการังที่ดูสวยงามเป็นอาหารตาชั้นดีของเราๆ และเป็นบ้านของสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด แต่ถึงอย่างนั้นกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์และการพัฒนาชายฝั่งทะเลจนมากเกินพอดี หรือแม้กระทั่งอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นต่างส่งผลกับเหล่าปะการัง และเมื่อมนุษย์เริ่มได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของแนวปะการังแล้ว พวกเราทุกคนควรช่วยกันร่วมกันอนุรักษ์ปะการังโดยการเริ่มต้นที่ตัวเราเอง


https://www.greenpeace.org/thailand/...ing-in-taiwan/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 10-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


ไข่เต่าปลอมไฮเทคติดจีพีเอส ช่วยนักอนุรักษ์จับขโมยได้คาหนังคาเขา


รูปลูกเต่าออกจากไข่ที่มาของภาพ,AFP / GETTY IMAGES

ประเทศคอสตาริกาในภูมิภาคอเมริกากลาง แก้ปัญหาการลักลอบค้าไข่เต่าทะเลซึ่งเป็นการทำลายระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้ไข่เต่าปลอมไฮเทคที่ผลิตด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ แถมสอดไส้อุปกรณ์ส่งสัญญาณจีพีเอสไว้ภายในด้วย

ไข่เต่าปลอมจะถูกนำไปวางผสมปนเปกับของจริงที่แม่เต่าไข่ทิ้งไว้ในหลุมตามชายหาด เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามหัวขโมยที่นำมันไปขายได้ถึงแหล่งส่งมอบสินค้า ซึ่งบางครั้งอยู่ไกลออกไปกว่าร้อยกิโลเมตร

ไข่เต่าปลอมไฮเทคถูกคิดค้นขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนโดย ดร. คิม วิลเลียมส์ - กีเยน นักวิทยาศาสตร์ประจำองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศนิการากัว เธอได้รับแรงบันดาลใจจากละครซีรีส์แนวสืบสวนสอบสวน ที่ตำรวจมักจะแอบติดตั้งอุปกรณ์จีพีเอสกับสิ่งของหรือสินค้าที่คนร้ายทำการเคลื่อนย้าย เพื่อให้ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของขบวนการนอกกฎหมายได้


ไข่เต่าปลอมไฮเทคที่จะนำไปปะปนกับไข่เต่าทะเลของจริงเพื่อจับขโมย ที่มาของภาพ,HELEN PHEASEY

ล่าสุดมีการวิจัยถึงประสิทธิผลของไข่เต่าปลอมนี้ โดยดร. เฮเลน ฟีซีย์ จากมหาวิทยาลัยเคนต์ของสหราชอาณาจักร ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาลงในวารสาร Current Biology ระบุว่าสิ่งประดิษฐ์นี้ช่วยลดปัญหาการลักลอบค้าไข่เต่าทะเลลงได้อย่างมาก ทั้งยังไม่เป็นอันตรายต่อไข่เต่าของจริงที่ยังไม่ได้ฟักเป็นตัวด้วย

ก่อนหน้านี้ไข่เต่าที่ชายหาดบางแห่งของคอสตาริกาถึง 90% ไม่มีโอกาสจะได้ฟักเป็นลูกเต่า เนื่องจากมีการลักลอบนำไปขายเป็นอาหารที่คนนิยมบริโภค แต่หลังจากนักอนุรักษ์ใช้ไข่เต่าปลอมซึ่งส่งสัญญาณบอกพิกัดตำแหน่งของมันชั่วโมงละครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถติดตามแกะรอยหัวขโมยไปจนถึงแหล่งรับซื้อได้


แม่เต่าวางไข่ ที่มาของภาพ,AFP / GETTY IMAGES

จากการทดลองใช้ไข่เต่าปลอมติดจีพีเอส 101 ใบ หลอกล่อคนร้ายที่ชายหาด 4 แห่ง พบว่าในจำนวนนี้ 25% ไม่ถูกนำออกไปจากหลุม หรือถูกคัดแยกทิ้งไปเสียก่อนที่ตำรวจจะติดตามไปถึงจุดหมายปลายทาง

แต่อย่างไรก็ตาม ไข่เต่าปลอมที่หัวขโมยนำติดตัวไป ทำให้มีการจับกุมผู้ลักลอบค้าทั้งขบวนการได้ถึง 5 ครั้ง โดยติดตามแกะรอยได้ไกลที่สุดถึง 137 กิโลเมตร

"ความผิดฐานลักลอบค้าสัตว์ป่าหรือของป่า มีโทษหนักกว่าการขุดเอาไข่เต่าในเขตหวงห้ามเพียงอย่างเดียว ซึ่งอุปกรณ์นี้ช่วยให้เราแกะรอยติดตามและทลายขบวนการค้าไข่เต่าได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" ดร. ฟีซีย์ กล่าว


https://www.bbc.com/thai/features-54452103

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:43


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger