เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-11-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีหมอกในตอนเช้า ในขณะที่ลมตะวันออกยังคงพัดปกคลุมประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 6 ? 7 พ.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะแรก หลังจากนั้นฝนจะลดลง

ส่วนในช่วงวันที่ 8 ? 10 พ.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า ในขณะที่มีลมฝ่ายตะวันออกพัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้ และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง

หลังจากนั้นในวันที่ 11 พ.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ และมีฝนตกหนักบางแห่ง

สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ตลอดช่วง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 8 ? 11 พ.ย. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 06-11-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ทะเลอุ่น! ปะการังฟอกขาว สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ สะเทือนเศรษฐกิจ



คุยเรื่อง โลกร้อน! ทำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น ปะการังฟอกขาว ปลาย้ายถิ่น เต่าทะเลเสี่ยงสูญพันธุ์ และเปิดอีกมุมมองกับ 'วัชรพงษ์ หงส์จำรัสศิลป์' นักชีววิทยา...

มหาสมุทรของโลก นอกจากจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ ยังมีบทบาทในการดูดซับพลังงานความร้อนที่โลกได้รับส่วนหนึ่งด้วย ดังนั้น เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทะเลหรือมหาสมุทรก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ข้อมูลสมัยใหม่จาก Copernicus Climate Change Service ของสหภาพยุโรป เป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลและเครื่องมือ ในการติดตามสภาพอากาศที่ล้ำสมัยเพื่อสนับสนุนการปรับลดและปรับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ

ระบุว่า สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรโดยเฉลี่ยทั่วโลกสูงถึง 20.96 องศาเซลเซียส (69.73 ฟาเรนไฮต์) ซึ่งสูงกว่าสถิติที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2559 ประมาณ 0.1-0.2 องศาเซลเซียส อาจดูเหมือนน้อย แต่มีมวลน้ำขนาดใหญ่อยู่ในมหาสมุทรทั่วโลก นี่จึงเป็น 'พลังงานจำนวนมหาศาล'

ด้าน NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) หน่วยงานด้านการพยากรณ์อากาศของสหรัฐฯ พบคลื่นความร้อนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในเดือนมิถุนายน 2566 ณ มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือนอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า "รุนแรงมาก" เพราะในภูมิภาคนี้ พื้นผิวน้ำทะเลมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยเข้าใกล้ 25 องศาเซลเซียส (77 ฟาเรนไฮต์)

ทำให้เขตที่ร้อนที่สุด เปลี่ยนจากบริเวณใกล้กับสหราชอาณาจักร เป็นน่านน้ำนอกชายฝั่งนิวฟันด์แลนด์ ซึ่งในเดือนนี้อุณหภูมิมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ 5 ถึง 10 องศาเซลเซียส ซึ่งน้ำร้อนจัดนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดพายุที่รุนแรงขึ้น ในช่วงปลายฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง และทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล

หากโลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ทางทะเลก็อาจจะไม่ส่อแววดีขึ้น แม้เหตุการณ์ตัวอย่างจะไม่ใช่ประเทศไทยโดยตรง แต่แน่นอนว่าพวกเราก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน นี่จึงถือเป็นอีกเรื่องสำคัญที่น่าติดตาม ว่าในอนาคตจะเกิดผลกระทบจากเรื่องนี้หรือไม่

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาผู้อ่านไปรู้จักเรื่องนี้ให้มากขึ้น พร้อมเปิดมุมมองใหม่ กับ 'ดร.วัชรพงษ์ หงส์จำรัสศิลป์' หรือ 'อาจารย์วิน' นักชีววิทยา และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สาเหตุ :

อาจารย์วิน ให้ข้อมูลว่า 'มหาสมุทรอุณหภูมิสูงขึ้น' หรือ 'ทะเลอุ่น' (บางคนอาจจะเรียกว่า 'ทะเลเดือด' แต่อาจารย์วิน กลับไม่รู้สึกเห็นด้วยสักเท่าไร เนื่องจากทะเลเดือด อาจจะเป็นคำที่ดูเกินจริงเกินไป) เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกมานานแล้ว มันร้อนขึ้นและเย็นตัวลงอยู่เช่นนี้ เป็นวัฏจักรของธรรมชาติ เพียงแต่ช่วงเวลาประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการใช้ทรัพยากรจำนวนมาก จนกระทั่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน หรือที่ปัจจุบันมีศัพท์ใหม่ว่า 'ภาวะโลกเดือด'

เมื่อเกิดภาวะโลกร้อน และอากาศที่ร้อนขึ้น ทำให้ทะเลเกิดการแบ่งชั้นชัดเจนมากขึ้น ปกติแล้วภายใต้ทะเลจะแบ่งออกเป็นหลายชั้น แต่ชั้นจะมีความหนาแน่นต่างกัน โดนชั้นล่างมีความหนาแน่นมากที่สุด ส่วนชั้นบนมีความหนาแน่นน้อยที่สุด

ชั้นบนอยู่ใกล้แสงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้ดูดซับแสงอาทิตย์ได้ดี จึงมีอุณหภูมิร้อนกว่าด้านล่าง นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติ คือ เมื่อทะเลดูดซับความร้อนมากขึ้น ทะเลชั้นบน และทะเลชั้นกลางเกิดความแตกต่างของอุณหภูมิมากขึ้น เช่น ปกติแล้วทะเลชั้นบนอาจจะ 25 องศาฯ และชั้นกลาง 23 องศาฯ กลายเป็นทะเลชั้นบน 30 องศาฯ ทะเลชั้นกลาง 23 องศาฯ

เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะทำให้ออกซิเจนละลายตัวลงในทะเลได้ยากขึ้น ดังนั้น ในบางบริเวณของโลก ที่เคยมีข่าวว่ามีสัตว์ทะเลขึ้นมาตาย โดยไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร แต่หลังจากนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษา พบว่า มันเกิดชั้นในทะเลขึ้น เรียกว่า Oxygen Minimum Zone (OMZ) หรือ โซนขั้นต่ำออกซิเจน เป็นโซนที่อิ่มตัวของออกซิเจน ในน้ำทะเลในมหาสมุทรที่ต่ำสุด เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ จะทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่บริเวณนั้นตาย และเกยตื้นขึ้นมาตามชายฝั่ง


ผลกระทบเมื่อทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น :

แน่นอนว่า 'อุณหภูมิของทะเลที่สูงขึ้น' ย่อมเกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล และอาจมีผลสืบเนื่องจนถึงมนุษย์

อาจารย์วิน ยกตัวอย่าง 'ประการัง' ซึ่งเป็นสิ่งที่ชัดและเห็นได้บ่อย จากผลกระทบที่อุณหภูมิของทะเลสูงขึ้น ก็คือ 'ประการังฟอกขาว' อุณหภูมิที่สูงขึ้น จะทำให้สาหร่ายที่อยู่ในตัวปะการังหนีออกมาข้างนอก ทำให้ประการังที่เคยมีสีสันกลายเป็นสีขาว ปกติสาหร่ายที่อยู่ในตัวปะการัง มีหน้าที่ผลิตกรดไขมัน ที่มีความจำเป็นต่อปะการัง พอสาหร่ายหลุดออกมา จึงทำให้ประการังมีอาหารไม่เพียงพอ และตายไปในที่สุด

นอกจากนั้น แนวปะการังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์จำนวนมาก และยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ด้วย จึงมีความกังวลว่า การเกิดประการังฟอกขาว จะส่งผลกระทบอื่นๆ ต่อระบบนิเวศ ซึ่งนี่ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ที่อยู่ในประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย อินโดนีเซีย หรือออสเตรเลีย เพราะประเทศเหล่านี้มักใช้ประโยชน์จากแนวปะการัง ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นเม็ดเงินมหาศาล จึงอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

สิ่งมีชีวิตในทะเลแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ เคลื่อนไหวได้ กับ เคลื่อนไหวไม่ได้ สิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้ เช่น ประการัง เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น พวกมันก็จะตายไป ตามที่อธิบายไปในข้างต้น แต่สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ เช่น ปลา เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น พวกมันก็จะเริ่มอพยพไปใกล้ขั้วโลกมากขึ้น เพราะอุณหภูมิบริเวณนั้นที่เคยเย็นก็จะอุ่นขึ้น ทำให้ 'ปลาบางชนิดที่เรากินอาจหายไป'

หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทย ก็จะส่งผลกระทบต่อการทำประมงแน่นอน จากที่เคยจับได้เยอะมาก ก็อาจจะจับได้ลดลง แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบางประเทศ เช่น เปรู

ซึ่งเปรูจะเกิดเป็นประจำทุกๆ ประมาณ 10 ปี อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากโลกร้อน ที่ไปเสริมให้เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา ทำให้น้ำทะเลอุ่นขึ้น จนเกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศทางทะเลของเปรู และเกี่ยวกับเรื่องอาหาร เพราะการที่อุณหภูมิของทะเลเปลี่ยนแปลง ทำให้การไหลของมวลน้ำในทะเลเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งการไหลนั้นเกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารในทะเล เช่น แพลงก์ตอนลดจำนวน จนปลาต้องไปหาอาหารที่อื่น

นอกจากหากบริเวณทะเลร้อนขึ้น อาจส่งผลให้ จำนวนประชากรของสัตว์บางชนิดลดลง เช่น 'เต่าทะเล' เพราะหากอุณหภูมิของหาดทรายต่ำกว่า 27.7 องศาเซลเซียส ลูกเต่าจะฟักออกมาเป็นตัวผู้ แต่หากอุณหภูมิสูงกว่า 31 องศาเซลเซียส ลูกเต่าที่ฟักออกมาจะเป็นตัวเมีย แต่ถ้าอุณหภูมิร้อนเกินไป อาจจะทำให้ลูกเต่าตัวเมียเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาขาดความสมดุลเพศของเต่าทะเล และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ในอนาคต


อีกมุมที่อยากให้มอง :

อาจารย์วิน บอกว่า เรื่องของน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น มีการถกเถียงกันในวงการวิทยาศาสตร์ ฝ่ายหนึ่งให้ความเห็นว่า ช่วงนี้อุณหภูมิของทะเลต้องสูงขึ้นเป็นปกติ เพราะเป็นวัฏจักรของโลก ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจและยอมรับ เพียงแต่มองว่า อุณหภูมิสูงขึ้นเร็วกว่าปกติ ตรงนี้จึงเป็นข้อโต้เถียง ที่จะเชื่อได้อย่างไรว่าทะเลร้อนขึ้นเพราะมนุษย์ 100%

"ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ทะเลร้อนขึ้นประมาณหลักหน่วย ไม่ได้ร้อนกระโดดเป็น 10 องศาฯ แต่ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น ตามแบบจำลองที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ คำถามต่อไปคือ แบบจำลองนั้นอาจจะไม่ได้ถูก 100% หรือเปล่า เพราะเป็นแบบจำลอง หมายความว่าข้อมูลที่มีอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้

ทำให้ที่จริงแล้ว เราไม่สามารถบอกอนาคตได้ เป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ทิศทางนั้นอุณหภูมิสูงขึ้นแน่นอน และ ณ วันนั้นที่มองกันไว้ อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้โลกเย็นขึ้นก็ได้ วิทยาศาสตร์จึงไม่แน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา"

อาจารย์เสริมต่อว่า ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อสัตว์และมนุษย์อย่างแน่นอน หากค้นหาในอินเทอร์เน็ต จะพบกับข้อมูลผลกระทบต่างๆ จำนวนมาก แต่อีกมุมมองที่เราอยากให้มอง คือ นี่เป็นเสมือนปรากฏการณ์หนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งรวมกับที่มนุษย์กระทำด้วย ในสิ่งมีชีวิตมีกลไกสำคัญของวิวัฒนาการ ที่เรียกกันว่า 'การคัดเลือกโดยธรรมชาติ' (Natural Selection) เป็นความสามารถในการเอาตัวรอด และสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต

"สิ่งมีชีวิตที่อยู่ไม่รอดก็ต้องตายไป แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดก็เกิดจากการปรับตัว สมมติในแนวปะการังหนึ่ง มีสัตว์อยู่ 100 ชนิด แต่เมื่ออุณหภูมิทะเลสูงขึ้น ทำให้สัตว์หายไป 50 ชนิด คนอาจจะมองว่าสูญเสียความหลากหลาย แต่มองในอีกมุมหนึ่ง คุณไม่มีวันรู้เลยว่า อาจมีสปีชีส์ใหม่ที่ทนความร้อนได้ดีกว่า เกิดขึ้นตรงนั้นก็ได้ อันนี้เป็นมุมมองที่คนอาจจะไม่ค่อยได้มองกันสักเท่าไร"

เขาเปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสีย ของวิวัฒนาการให้เราเห็น โดยการยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีต คือ ถ้าในอดีตไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ บรรพบุรุษของมนุษย์ที่เป็นสัตว์ ที่เคยอยู่ใต้ดิน อาจจะไม่ขึ้นมาอาศัยข้างบน และไม่ได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นมนุษย์

"เราอาจจะต้องมองเรื่องของการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะโลกร้อน หรือทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น ให้กว้างมากขึ้น นานาประเทศต่างมองว่า มันเป็นสิ่งไม่ดี ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะว่า มันไม่ดี

แค่พยายามอยากให้มองอีกมุมหนึ่งว่า กระบวนการทางธรรมชาตินั้นเป็นไปอย่างไร และเราจะใช้ประโยชน์อะไรจากตรงนั้น องค์กรใหญ่ๆ ในระดับโลก ที่พยายามพูดเรื่องประเด็นพวกนี้ขึ้นมา เขาอาจจะหวังดี หรืออาจจะมีประโยชน์ซ่อนอยู่"


https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2737607

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 06-11-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


พลิกความรู้เดิม! งานศึกษาใหม่ชี้ชัด ปลาดาว "มีแต่หัว ไม่มีตัว"

เป็นเวลานานแล้วที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถระบุตำแหน่งหัวของดาวทะเล หรือ "ปลาดาว" ทว่างานวิจัยชิ้นใหม่เปิดเผยความจริงอันน่าตกใจ เพราะในทางพันธุศาสตร์ ปลาดาวส่วนใหญ่คือ "หัวที่ไม่มีลำตัวหรือหาง" แต่พวกมันสูญเสียลักษณะเหล่านั้นไปเนื่องจากวิวัฒนาการ


เครดิตภาพ : AFP.

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ว่า นายลอว์เรนต์ ฟอร์เมอรี ผู้เขียนนำของงานศึกษา และนักวิชาการหลังปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า ดาวทะเลไม่มีลำตัว และคำอธิบายที่ดีที่สุดคือ มันเป็นหัวที่คลานไปตามพื้นทะเล ซึ่งไม่ตรงกับข้อสันนิษฐานใด ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์มีต่อสัตว์ชนิดนี้เลย

นักวิทยาศาสตร์หลายคนกล่าวว่า วิธีการจัดลำดับทางพันธุกรรมแบบใหม่ ทำให้เกิดการค้นพบครั้งนี้ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า มันจะช่วยตอบคำถามสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับสัตว์ในกลุ่ม ?เอไคโนเดิร์ม? เช่น ปลาดาว, เม่นทะเล, เหรียญทะเล และปลิงทะเล รวมถึงบรรพบุรุษร่วมกับมนุษย์ และสัตว์อื่น ๆ ที่ดูแตกต่างจากพวกมัน

"นี่คือความลึกลับทางสัตววิทยาที่มีมานานหลายศตวรรษ" นายคริสโตเฟอร์ โลวี ผู้เขียนร่วมอาวุโส และนักชีววิทยาทางทะเลและการพัฒนา จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวในแถลงการณ์

ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยสามารถระบุยีนที่ควบคุมการพัฒนา "เอ็กโทเดิร์ม" ของปลาดาว ซึ่งรวมถึงผิวหนังและระบบประสาทของมัน โดยพวกเขาตรวจพบลักษณะทางพันธุกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาส่วนหัว "อยู่ทั่วตัวปลาดาว" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนตรงกลาง และศูนย์กลางของรยางค์แต่ละข้าง

"แต่ยีนที่แสดงถึงการพัฒนาส่วนลำตัวและหาง กลับไม่มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ นั่นจึงแสดงให้เห็นว่า ดาวทะเลมีตัวอย่างที่น่าทึ่งที่สุด สำหรับการแยกส่วนหัวและลำตัว ตามที่เราทราบในปัจจุบัน" ฟอร์เมอรี กล่าวทิ้งท้าย.


https://www.dailynews.co.th/news/2870946/


******************************************************************************************************


สุดมหัศจรรย์! กรมอุทยานฯ ไขข้อสงสัยปม ?แสงเขียว? เหนือพะเนินทุ่ง แก่งกระจาน

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไขข้อสงสัย ปริศนาแสงเขียว พะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เพชรบุรี คาดเกิดจากการหักเหของแสงช่วงปลายฤดูฝน ต้นฤดูหนาว



กรณี เพจเฟซบุ๊ก เขาพะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้โพสต์ภาพที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นและฮือฮาในโซเชียลเป็นอย่างมาก โดยระบุ แสงเหนือ หรือ แสงสีเขียว แสงสีเขียวไม่รู้มาจากไหน แต่ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงเปิดท่องเที่ยวพะเนินทุ่งพอดีเลย ต่อมาเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ โพสต์ข้อความระบุว่า แสงสีเขียวที่เขาพะเนินทุ่ง ไม่ใช่แสงออโรรา ตามที่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายแสงประหลาดสีเขียวที่เขาพะเนินทุ่ง ต่อมา รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ออกมาระบุว่า ไม่ควรเรียกว่า "แสงเหนือ" ยันไม่มีทางเกิดขึ้นในประเทศไทยแน่ ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น


'อ.เจษฎ์' ชี้ปรากฏการณ์แสงสีเขียว บนเขาพะเนินทุ่ง ไม่ควรเรียกว่า 'แสงเหนือ'

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เพจเฟซบุ๊ก "กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช" ออกมาโพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า #ไขข้อสงสัย ปรากฏการณ์ "แสงเขียว" เหนือท้องฟ้า บนจุดชมวิวพะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

นายมงคล ไชยภักดี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน รายงานว่า ตามที่มีภาพข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ และได้รับความสนใจจากประชาชน ว่าเมื่อคืนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 เวลาประมาณ 19.00-21.00 น. นักท่องเที่ยวพบแนวลำแสงประหลาด ?แสงเขียว? ปรากฏบนท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ กจ.19 เขาพะเนินทุ่ง ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นั้น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ตนได้เดินทางไปตรวจสอบที่หน่วยฯ เขาพะเนินทุ่ง บริเวณที่พบปรากฏการณ์ ได้พบกับกลุ่มชมรมรักษ์เขาพะเนินทุ่ง และนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมากางเต็นท์พักแรมประมาณ 200 คน เวลาประมาณ 19.00 น. จะเริ่มปรากฏการณ์เป็นจุดแสง ทางทิศตะวันตกของเขาพะเนินทุ่ง มองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นจุดแสงสีขาว แต่เมื่อใช้กล้องถ่ายจะเห็นว่ามีแสงสีเขียวอยู่ตรงกลางกลุ่มแสง แนวลำแสงจะมองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ชัดที่สุดเวลา 21.00 น. มองเห็นเป็นแนวยาว ซึ่งสามารถมองเห็นเป็นแสงสีเขียวได้ด้วยตาเปล่า จนกระทั่งเวลา 22.00 น. พระจันทร์ขึ้นทำให้ท้องฟ้ามีแสงสว่างเพิ่มขึ้น ปรากฏการณ์แสงเขียวดังกล่าวจึงหายไป

กลุ่มอาจารย์ป๊อก น้าแวน คุณเปิ้ล และกลุ่มช่างภาพถ่ายภาพสัตว์ป่าและธรรมชาติ ซึ่งถ่ายภาพปรากฏการณ์แสงเขียวดังกล่าวได้ ให้ข้อมูลว่าเมื่อคืนวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์แสงเขียวเกิดขึ้นจริง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะในปีที่ผ่านมาเคยมีนักถ่ายภาพ ถ่ายปรากฏการณ์พิเศษนี้ได้มาแล้ว 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 กับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 พร้อมยินดีมอบภาพถ่ายปรากฏการณ์ดังกล่าวให้กับทางอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งในปีที่ผ่านมาจะพบเหตุการณ์นี้เพียงปีละ 1 วันเท่านั้น สำหรับในปีนี้สามารถพบเห็นได้เป็นวันที่ 2 และอาจพบเห็นได้ไปอีกหลายวัน แต่คาดการณ์ไม่ได้ว่าปรากฏการณ์แสงเขียวจะหายไปในวันไหน

สำหรับสาเหตุของปรากฏการณ์แสงเขียวพะเนินทุ่งดังกล่าว คาดว่าจะเกิดจากการหักเหของแสงช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว เกิดจากแหล่งกำเนิดแสงมากระทบกับแนวก้อนเมฆที่ลอยเหนือยอดเขาตะนาวศรีที่มียอดเขาสูงประมาณ 1,200 เมตร และอยู่ในระดับเดียวกันกับเขาพะเนินทุ่ง ขณะเกิดเหตุยอดเขาพะเนินทุ่ง มีอุณหภูมิอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส แต่ต้นกำเนิดของแสงจะมาจากแสงธรรมชาติ หรือแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น ขณะนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้


https://www.dailynews.co.th/news/2871321/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 06-11-2023 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:53


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger