เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 18-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาบางพื้นที่ ในตอนกลางวันมีแสงแดดจัด บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่บริเวณยอดดอย ในภาคเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย สำหรับภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น

ฝุ่นละออง ในระยะ 1-2 วันนี้ บริเวณภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลมที่พัดปกคลุมบริเวณดังกล่าวเป็นลมอ่อน และมีฝนเล็กน้อยทำให้ฝุ่นละอองยังคงสะสมได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 17 - 18 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 1-13 องศาเซลเซียส

ในช่วงวันที่ 19 - 21 ม.ค. 63 บริเวณภาคเหนือตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนเพิ่มมากขึ้น และ

ในช่วงวันที่ 22 - 23 ม.ค. 63 บริเวณภาคเหนือตอนบนอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส

สำหรับภาคใต้ ในช่วงวันที่ 19 - 22 ม.ค. 63 จะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 18 - 23 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนรักษาสุขภาพเนื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย และในการสัญจรผ่านบนิเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ในช่วงวันที่ 19 - 22 ม.ค. 63 ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ





__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 18-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ชาวประมงชลบุรีรวมตัวเตรียมพร้อมรับมือโครงการถมทะเลแหลมฉบังในพื้นที่ 3,000 ไร่



ศูนย์ข่าวศรีราชา - ชาวประมงชายฝั่งชลบุรี รวมตัวหารือเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ หลังภาครัฐสั่งให้มีการศึกษาความเป็นไปได้โครงการถมทะเลแหลมฉบังในพื้นที่ 3,000 ไร่

นายรังสรรค์ สมบูรณ์ ชาวประมงชายฝั่งชลบุรี เผยว่า ขณะนี้ตัวแทนชาวบ้าน และประมงพื้นบ้าน ประมงชายฝั่ง จ.ชลบุรี ได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการถมทะเล 3,000 ไร่ ตามที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ขออนุมัติให้การนิคมอุสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว เพื่อรองรับการลงทุนส่วนขยายโครงการปิโตรเคมีของกลุ่มเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น

"พวกเราเชื่อว่า ถ้ามีการถมทะเลก็เท่ากับหายนะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะจะสูญเสียทรัพยากรทางทะเลอย่างถาวร ตอนนี้ชายฝั่งทะเลที่นี่ไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว อ่าวบางละมุง แหลมฉบัง อ่าวอุดม ถือเป็นผืนน้ำแหล่งสุดท้ายของอาชีพพวกเรา ที่เราถอยไม่ได้อีกแล้ว ที่ผ่านมา ชุมชนและชาวบ้านรอบพื้นที่ที่มีการพัฒนาจากโครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด พวกเราต้องเผชิญต่อผลกระทบทั้งในด้านทรัพยากร สิ่งแวดล้อม มาเกือบ 30 ปีแล้ว โดยที่ภาครัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับมาตรการชดเชย เยียวยาที่ชัดเจน"

นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า โดยเฉพาะอาชีพการทำประมงพื้นบ้านที่หลายครอบครัวต้องสูญเสียไป เพราะในอดีตแนวเขตทะเลชายฝั่งอ่าวบางละมุง-อ่าวอุดม ถือว่าอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรสัตว์ทะเล และที่นี่ยังถือเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่ที่ขึ้นชื่อ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนเฉลี่ย 280 ล้านบาทต่อปี และหากรวมกับสัตว์ทะเลอื่นๆ ที่จับส่งขาย สามารถสร้างรายได้ให้ชาวประมงพื้นบ้านในชุมชนสูงถึงกว่า 400 ล้านบาทต่อปี ตลอดช่วงที่ถูกคุกคามจากอุตสาหกรรมอย่างหนัก พื้นที่หากินทางทะเลลดลง อีกทั้งสัตว์น้ำชายฝั่งหายไปจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นแทบไม่เคยได้รับการเหลียวแลและเยียวยาอย่างเหมาะสมจากภาครัฐ ดังนั้น หากมีโครงการถมทะเลเกิดขึ้นอีก ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่ชาวบ้านที่นี่แบกรับกันมาตลอด

ขอยืนยันอีกครั้งว่า ภาครัฐควรยุติแนวคิดที่จะสร้างปัญหาซ้ำเติมชาวบ้าน และสิ่งแวดล้อม หากภาครัฐยังไม่สนใจเสียงของชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ ที่ต้องสูญเสียอาชีพทำกิน พวกเราจะไม่ยอมอีกต่อไป จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดลงพื้นที่เพื่อสอบถามความคิดเห็นของชาวประมงเลย และเมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา พวกเราได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งถึงความเดือดร้อนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากโครงการดังกล่าวเกิดขึ้น

สำหรับพื้นที่ทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำลังศึกษาความเหมาะสม มีทั้งหมด 4 แห่ง คือ พื้นที่ที่ 1 เป็นพื้นที่บนบก เนื้อที่ประมาณ 1,200 ไร่ พื้นที่นี้มีผู้ถือกรรมสิทธิ์การเช่ารวม 7 ราย จำนวน 14 แปลง ปัจจุบันเป็นคลังสินค้า ลานจอดรถยนต์และรถบรรทุกเพื่อการส่งออกและอู่ต่อเรือ สิทธิการเช่าเหลือตั้งแต่ 1-15 ปี

พื้นที่ที่ 2 เป็นพื้นที่ชุมชนและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ประกอบไปด้วย โรงกลั่นน้ำมัน และชุมชนที่กระจายตัวและแทรกตัวอยู่ระหว่างโรงกลั่นน้ำมัน คลังน้ำมัน และคลังก๊าซ พื้นที่รวมประมาณ 5 พันไร่

พื้นที่ที่ 3 พื้นที่ถมทะเลในบริเวณเขาบ่อยาและเขาภูไบ ด้านทิศเหนือของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง หรือบริเวณอ่าวอุดม เบื้องต้น กำหนดพื้นที่เป้าหมายการถมทะเลประมาณ 2,500-3,000 ไร่

พื้นที่ที่ 4 เป็นพื้นที่การก่อสร้างแหล่งเก็บตะกอนในอนาคต ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการการก่อสร้างขยายท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังระยะที่ 3 เนื้อที่ประมาณ 1,875 ไร่ บริเวณนี้คือด้านหลังของเกาะสีชัง


https://mgronline.com/local/detail/9630000005343


*********************************************************************************************************************************************************


จีนเดินหน้าพัฒนาวิถีสู้นานามลพิษ หลังเห็นผลลัพธ์ดีในปี 2019


จีนได้กำหนดให้ปี 2020 เป็นปีที่ต้องบรรลุเป้าหมายของแผนปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับมลพิษทางอากาศระยะ 3 ปี (ภาพซินหวา สื่อทางการจีน)

สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการจีน รายงาน (15 ม.ค.) หน่วยงานสังเกตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมอันดับต้นๆ ของจีนได้ตอกย้ำปณิธานในการต่อสู้กับมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมปี 2020 หลังเห็นผลบวกจากความพยายามในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมา

"การลงมือปฏิบัติจริงในปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ทิศทางและเส้นทางการควบคุมมลพิษในปัจจุบันนั้นถูกต้อง และควรได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไปในระยะยาว" หลี่กั้นเจี๋ย รัฐมนตรีกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมกล่าวเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ในการประชุมประจำปีของกระทรวงที่จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน

หลี่กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ควรหลีกเลี่ยงการนำ "วิธีเดียวสำหรับทุกด้าน" (one-size-fits-all approach) มาใช้ในการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อม ทั้งยังควรส่งเสริมการนำวิธีการที่แม่นยำและเป็นวิทยาศาสตร์มาใช้ในการควบคุมมลพิษ

ด้านการควบคุมมลพิษทางอากาศ จีนได้กำหนดให้ปี 2020 เป็นปีที่ต้องบรรลุเป้าหมายของแผนปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับมลพิษทางอากาศระยะ 3 ปีที่เผยแพร่โดยคณะรัฐมนตรีในปี 2018

แผนดังกล่าวกำหนดเป้าหมายว่า การปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์โดยรวมจะลดลงมากกว่าร้อยละ 15 ภายในปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2015

ความหนาแน่นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่ส่งผลให้เกิดหมอกควัน ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานระดับแคว้นต่างๆ ของจีน จะลดลงมากกว่าร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปี 2015

อีกทั้งในระดับแคว้น อัตราส่วนของวันที่คุณภาพอากาศดีจะแตะที่ร้อยละ 80 และอัตราส่วนของวันที่มีมลพิษรุนแรงจะลดลงมากกว่าร้อยละ 25 ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2015

ด้านการควบคุมมลพิษทางน้ำ กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม (MEE) จะดำเนินการสอบสวนแหล่งบำบัดน้ำเสียต่างๆ ที่ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำเหลือง อีกทั้งจะดำเนินการเพื่อให้โรงบำบัดน้ำเสียที่อยู่ตามแนวแม่น้ำแยงซีและใกล้ทะเลโป๋ไห่สามารถตรวจสอบได้มากขึ้น

"ในปีนี้ จีนจะบรรลุเป้าหมายการนำเข้าขยะมูลฝอยเป็นศูนย์" หลี่กล่าวพร้อมเสริมว่าจีนจะเสริมสร้างการควบคุมและการแก้ไขปัญหามลพิษทางดินในพื้นที่ก่อสร้าง และจัดให้มีการตรวจสอบพิเศษและการบำบัดของเสียอันตราย

หลี่ชี้ว่า ในปี 2019 การต่อสู้กับมลภาวะของจีนคืบหน้าอย่างยิ่ง โดยมีสถิติการปล่อยมลพิษสำคัญๆ ที่ลดลง อีกทั้งความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในเมืองที่ไม่ได้มาตรฐานก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงฯ ระบุว่า เมืองส่วนใหญ่ในจีนรายงานผลการปรับปรุงคุณภาพอากาศเป็นบวก โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2019 ความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในแคว้น 337 แห่งหดตัวลงร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบปีต่อปี มาอยู่ที่ 34 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

การควบคุมมลพิษทางน้ำก็ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นของปีก่อน โดยหลี่ให้ข้อมูลว่า ในปี 2019 พบการฝ่าฝืนกฎระเบียบที่ได้รับการแก้ไขแล้ว 3,626 กรณีในมณฑล 899 แห่ง ซึ่งเป็นพื้นที่จัดสรรแหล่งน้ำดื่มของผู้คน อีกทั้งกระทรวงฯ ยังได้จัดการทำความสะอาดแหล่งน้ำที่สกปรกจนมีสีดำและกลิ่นเหม็น 2,513 แห่งในแคว้นต่างๆ

ด้านการต่อสู้กับมลพิษทางบกก็ก้าวหน้าอย่างมั่นคง โดยเมื่อปี 2019 จีนได้ดำเนินการสำรวจเกี่ยวกับมลพิษทางดินในพื้นที่เกษตรกรรมโดยละเอียดจนเสร็จสิ้น

หลี่กล่าวว่า การห้ามนำขยะต่างประเทศเข้ามาในจีนทำให้ปริมาณการนำเข้าขยะมูลฝอยจริงทั่วประเทศลดลงร้อยละ 40.4 เมื่อเทียบระหว่างปี 2019 กับ 2018

นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคม 2019 กระทรวงฯ ประกาศไว้ว่า จีนจะเปิดตัวกองทุนเพื่อการพัฒนาสีเขียวแห่งชาติอย่างเป็นทางการในปี 2020 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงระบบนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการปกป้องระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม

สวีปี้จิ่ว เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ระบุในการแถลงข่าวเกี่ยวกับกองทุนว่า นโยบายเศรษฐกิจด้านสิ่งแวดล้อมสามารถกระตุ้นพลังภายใน (endogenous power) บรรดาผู้ประกอบการสำหรับการควบคุมมลพิษ ทั้งยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย

หลี่ทิ้งท้ายว่า ปี 2020 เป็นปีเป้าหมายในการบรรลุการสร้างสังคมมั่งคั่งระดับปานกลางในทุกด้าน ปีสุดท้ายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 และปีชี้ขาดผลการต่อสู้กับมลพิษของจีนด้วย


https://mgronline.com/china/detail/9630000005123

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 18-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


พ่อเมืองพังงาชวนนักท่องเที่ยว ร่วมรับขวัญลูกเต่ามะเฟืองรังแรกของปี

จ.พังงา ผู้ว่าพังงาชวนร่วมรับขวัญลูกเต่ามะเฟืองรังแรกของปี 2563 ภายใน 2-3 วันนี้ ขณะที่นักท่องเที่ยวและประชาชนเดินทางมาดูไม่ขาดสาย



17 พฤศจิกายน 2563 ที่ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟือง หาดท้ายเหมือง จ.พังงา นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์พร้อมติดตาม ลูกเต่ามะเฟืองที่อยู่ในไข่จำนวน 85 ฟอง ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่จะออกจากไข่สู่โลกภายนอกทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมด้วยการ ปรับพื้นที่หาดทรายเปิดทางให้ลูกเต่ามะเฟืองคลานลงสู่ทะเลสำหรับไข่เต่ามะเฟืองรังแรกของฤดูกาลนี้ แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ที่หาดท้ายเหมือง บริเวณปากน้ำเก่า หมู่ที่ 9 ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา และทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการย้ายไข่เต่าไปทำการฟักที่จุดนี้ ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ ได้ชิญชวนชาวจังหวัดพังงา ร่วมกันลุ้นต้อนรับการกำเนิดของลูกเต่ามะเฟืองรังแรกของปี 2563 โดยตนเองจะเดินทางมาร่วมลุ้นที่ชายหาดด้วยอย่างแน่นอน



ขณะที่ประชาชนทราบข่าวว่า วันนี้รังไข่เต่ามะเฟืองจะฟักออกมาเป็นตัว ต่างทยอยมาดูรังไข่เต่าโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจเช็คอุณหภูมิภายในรังไข่เต่า พบว่า อุณหภูมิยังคงคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 30.33 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิภายนอกรังไข่อยู่ที่ 29.30 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าไข่เต่ามะเฟืองเริ่มมีการฟักตัวอุณหภูมิในรังไข่เต่าจะเริ่มลดลงจนเกือบเท่ากับอุณหภูมิภายนอกรังเจ้าหน้าที่จัดเวรยามเฝ้าดูรังไข่เต่ามะเฟืองตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถเข้ารับชมได้ที่เว็บไซต์ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง http://loveseaturtle.dmcr.go.th ซึ่งเป็นกล้อง CCTV ติดตั้งไว้รอบหลุมฟักไข่เต่า ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน


https://www.naewna.com/local/467002

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:41


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger