เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยตอนบนมีหมอกบางในตอนเช้า ส่วนบริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 7-15 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย

สำหรับอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 6 ? 11 ม.ค. 63 ประเทศไทยตอนบนอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียสกับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 6 ? 11 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย





__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 07-01-2020 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


"ดร.ธรณ์" โพสต์สรุปความเสียหายท้องทะเลไทยพบส่วนใหญเป็นฝีมือมนุษย์ วอนคนรักทะเลช่วยดูแล

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ โพสต์ข้อความสรุปความเสียหายท้องทะเลไทยในช่วงที่ผ่านมาหลังเสียสัตว์สงวนเป็นจำนวนมาก พบเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ วอนคนรักทะเลช่วยกันดูแล ย้ำยังต้องเหนื่อยกันอีกมาก



วันนี้ (5 ม.ค.) ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศน์ทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Thon Thamrongnawasawat" ถึงปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับท้องทะเลในช่าง 3 - 4 วันที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ ที่ 3 ม.ค. มีคลิปวิดีโอ พบฉลามวาฬ ตายนอกเกาะภูเก็ต ซึ่งคาดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ ต่อมา เช้าวันเสาร์ ที่ 4 ม.ค. บริเวณชายหาด จังหวัดพังงา เจ้าหน้าที่ อช. เขาลำปี -หาดท้ายเหมือง จังหวัดพีงงา ร่วมกับ จนท ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัด ภูเก็ต ตรวจพบว่ามีการขโมยไข่ของเต่ามะเฟืองที่เพิ่งขึ้นมาวางไข่ นอกจากนี้ เมื่อช่วงกลางปี 2562 พบเต่ามะเฟืองตายเพราะกินขยะทะเล

โดย "ดร.ธรณ์" ได้ระบุข้อความถึงความเสียหายในช่วงที่ผ่านมาว่า "โดยสรุป ใน 2 วัน เราเสียสัตว์สงวน ได้แก่ ฉลามวาฬ 1 ตัว เต่ามะเฟือง 1 ตัว ไข่เต่า 50+ ฟอง ทั้งหมดเป็นผลจากมนุษย์ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความสูญเสียทั้งหมด เหมือนบอกว่า เรายังต้องทำกันอีกมาก แม้เต่ามะเฟืองและฉลามวาฬกลายเป็นสัตว์สงวนแล้ว พวกเธอก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะทะเลไทยมีการใช้ประโยชน์มากมาย มีขยะมากมาย และมีคนโลภแอบแฝงอยู่ แต่อย่างน้อยสุด เรายังคงมีความหวังคนไทยยังรักทะเล กระแสสังคมที่ตอบรับอย่างมาก ทำให้เกิดแรงผลักดันที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการดูแลสรรพสัตว์หายากเหล่านั้น

ผมบอกเพื่อนธรณ์ตั้งแต่ช่วยกันผลักดันเรื่องสัตว์สงวน ทุกอย่างไม่สำเร็จในพริบตา โลกเราไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแต่เราต้องก้าว เป็นสัตว์สงวนเพื่อยกระดับความสำคัญ เพิ่มโทษทางกฎหมาย เพิ่มพลังในการสร้างกระแสอนุรักษ์เราขึ้นบันไดมา 2-3 ขั้นแล้ว ยังมีอีกหลายขั้นให้ก้าวเดิน หลายขั้นจนผมเชื่อว่า ทั้งชีวิตการทำงานที่เหลือของผม/คนรุ่นผมทุกท่านที่ช่วยกันมา เราอาจไปไม่ถึงบันไดขั้นสุดท้าย แต่การอนุรักษ์...ก็เหมือนกิจการอื่นใดในโลกหล้าคนรุ่นหนึ่งสร้างฐาน คนรุ่นสองขึ้นบันได คนรุ่นสามสี่ต่อยอดไปจนถึงจุดหมาย ความสำเร็จของคนรุ่นเราคือการฝ่าอุปสรรค ก้าวขึ้นบันได ไม่ใช่เป็นการร้องเย้เมื่อถึงจุดหมาย ร้องเย้คือคนรุ่นหลัง น้องๆ อีกมากมาย ที่หลงรักทะเลและพร้อมจะมาเดินต่อไป คนรุ่นเราจึงท้อไม่ได้...เพื่อพวกเธอพวกเขา คนรุ่นที่จะร้องเย้เมื่อถึงจุดหมายที่แท้จริงครับ"


https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000001075


*********************************************************************************************************************************************************


รองผู้ว่าฯ ลงติดตามความคืบหน้าคดีคนร้ายขโมยไข่เต่าเชื่อทำตามใบสั่ง มั่นใจจับได้

พังงา - รองผู้ว่าฯ พังงาลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าคนขโมยไข่เต่ามะเฟืองที่หาดท้ายเหมือง คาดคนก่อเหตุมีความชำนาญ ทำตามใบสั่ง ราคาแพง มั่นใจจับคนร้ายได้แน่ ขณะตำรวจแยกกลุ่มคนเข้าออกพื้นที่เป็น 2 กลุ่ม ลงพื้นที่ติดตามกระชั้นชิด



วันนี้ (5 ม.ค.) นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีคนร้ายขโมยไข่เต่ามะเฟือง ที่ขึ้นมาวางไข่ชายหาดท้ายเหมือง บริเวณเขาหน้ายักษ์ หมู่ที่ 4 ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เมื่อคืนวันที่ 3 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา

โดยมี นายประภาส ขุนพิทักษ์ นายอำเภอท้ายเหมือง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 และผู้นำท้องที่นำตรวจสถานที่เกิดเหตุ พร้อมสรุปความคืบหน้าของการติดตามคนร้ายรายนี้

รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า หลังจากผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาได้สั่งการให้นายอำเภอท้ายเหมือง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสืบหาผู้ที่ลักลอบขโมยไข่เต่ามะเฟืองให้ได้โดยเร็ว เพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมประกาศเพิ่มเงินรางวัลแก่ผู้นำจับหรือแจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้อีก 50,000 บาท รวมกับของเดิมที่กองทุนอนุรักษ์เต่าทะเล ร่วมกับกรมอุทยานฯ และผู้นำท้องที่ตั้งรางวัลไว้ 50,000 บาท รวมทั้งหมดเป็น 100,000 บาท

ขณะนี้ทราบว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกสืบสวนและตรวจค้นจุดต้องสงสัยต่างๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว แต่ยังไม่พบร่องรอย ซึ่งเป็นที่สงสัยของทุกฝ่ายถึงการกระทำดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะปกติคนที่พบร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล ก็จะรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อจะรับเงินรางวัลถึง 20,000 บาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าคนร้ายรายนี้น่าจะมีใบสั่งจากตลาดมืดที่ให้ราคาสูงมากอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันไข่เต่ายังเป็นที่ต้องการของคนบางกลุ่ม ส่วนคนที่ก่อเหตุจะต้องเป็นคนที่มีความชำนาญเส้นทาง และมีความรู้และประสบการณ์ในการเก็บไข่เต่าเป็นอย่างดี ซึ่งล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ คาดว่าน่าจับตัวคนก่อเหตุได้อย่างแน่นอน

ขณะที่สถานีตำรวจ สภ.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พ.ต.อ.วีรยุทธ สิทธิรัตนกุล ผกก.สภ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พร้อมด้วย พ.ต.ท.ธวัช ตันสกุล รอง ผกก.ปป.สภ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ได้ประชุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสอบสวนและร้อยเวร ความคืบหน้าในการติดตามคนร้ายคดีขโมยไข่เต่ามะเฟือง บริเวณเขาหน้ายักษ์ อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบพูดคุยกับกลุ่มชาวบ้าน ชาวประมงในพื้นที่ริมชายหาดท้ายเหมือง เพื่อหาเบาะแสคนร้ายซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่ชำนาญพื้นที่เป็นอย่างดี

โดยหลังจากเกิดเหตุได้เรียกชุดสืบสวน และชุดป้องกันปราบปราม มานั่งพูดคุย รวบรวมประเด็น พบจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่เปลี่ยว ห่างไกลชุมชนกว่า 10 กิโลเมตร ประกอบกับเป็นจุดเข้มงวดในการเข้าออก จึงทำให้สามารถแยกผู้ที่เข้าไปได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าออกเป็นประจำ มีความเชี่ยวชาญเรื่องเส้นทาง และกลุ่มชาวประมงและตกปลา ที่เข้าออกทางชายฝั่ง ซึ่งมาจากหลายพื้นที่ตามรอยต่อต่างๆ

ซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่หาข่าวจากกลุ่มเป้าหมายและแหล่งข่าว พร้อมให้ชุดปราบปรามลงพื้นที่ร่วมกับผู้นำท้องถิ่นออกหาข่าวตามพื้นที่รอยต่อ แต่หากประชาชนที่ทราบเบาะแสสามารถแจ้งมาได้ที่ 0-7657-1799 ของสถานีตำรวจภูธรท้ายเหมือง หรือ 08-8565-4451 ผกก.สภ.ท้ายเหมือง


https://mgronline.com/south/detail/9630000001092
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง (An Inconvenient Truth) เกี่ยวกับการนำเข้าเศษขยะพลาสติกจากต่างประเทศมากำจัดในประเทศไทย .............. โดย ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์


ภาพจาก pixabay.com

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมาปริมาณการส่งออกขยะพลาสติกจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อไปกำจัดที่ประเทศจีน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในแต่ละปี ญี่ปุ่น ผลิตขยะพลาสติกจำนวนมากถึง 9 ล้านตันโดย 1.5 ล้านตันได้ถูกส่งไปกำจัดที่ประเทศจีนประมาณ 60-70% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีน ได้นำเข้าขยะพลาสติกจำนวนมากเพื่อนำมา รีไซเคิล บางส่วนก็นำมากำจัดโดยการเผาซึ่งกระบวนการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) สารประกอบไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าก๊าซเหล่านี้เป็นพิษ หลายตัวเป็นก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบางตัวก็มีกลิ่นแรงสร้างความรำคาญให้กับชุมชนที่อยู่รอบข้าง ด้วยเหตุที่ว่าการกำจัดขยะพลาสติกเหล่านี้ก่อให้เกิดผลค้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพตามมา จึงมีความพยายามนำขยะพลาสติกบางส่วนมา ผลิตน้ำมันผ่านกระบวนการ ไพโรไลซิส (Pyrolysis) หรือการย่อยสลายเศษพลาสติกด้วยความร้อนที่ปราศจากออกซิเจน เมื่อไร้ซึ่งออกซิเจนก็ไร้ซึ่งก๊าซพิษต่างๆที่ได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น น้ำมันจากกระบวนการไพโรไลซิส เช่นการนำเศษยางรถยนต์มาใช้เป็นวัตถุดิบ ได้ตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานได้ดีโดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงกว่าปกติ แต่แล้วอยู่ดีๆจีนก็ประกาศการหยุดนำเข้าขยะพลาสติกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร้อนถึงประเทศที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ในการส่งออกขยะพลาสติกมากำจัดอย่างญี่ปุ่น ที่ต้องเร่งหาประเทศใหม่ที่จะรับกำจัดขยะพลาสติกให้แทนซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่แถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ ที่อาสามารับทำหน้าที่แทน จีน และตามที่ทราบกันดีจากรายงานของสื่อมวลชนในประเทศ ไทยกลายเป็นประเทศที่นำเข้าขยะพลาสติกมากำจัดแทนจีนด้วยเช่นเดียวกัน โดยรายงานล่าสุดพบว่า ไทยนำเข้าขยะพลาสติก พุ่งสูงถึง 7,000% โดยมีสาเหตุหลักคือจีนแบนการนำเข้าขยะพลาสติกจากญี่ปุ่นมากที่สุด

คำถามคือทำไมอยู่ดี ๆ จีน ถึงประกาศการหยุดนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ?

เพื่อค้นหาคำตอบ ต้องลองย้อนไปดูท่าทีอันขึงขังของผู้นำสูงสุดของ จีน อย่างท่าน สี จิ้นผิง ที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการกล่าวสุนทรพจน์ต้อนรับปีใหม่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งที่ระบุอย่างแน่วแน่เรื่องการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะมลพิษที่ตกค้างอยู่ในดิน น้ำ และ อากาศ เมื่อลองได้อ่านคำกล่าวสุนทรพจน์ของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปสักพักก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาในความโชคดีของชาวจีน ที่มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมองเห็นถึงภัยร้ายของปัญหาสิ่งแวดล้อมและมีความจริงจังและจริงใจในการคิดแก้ไขปัญหามลพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นนักวิชาการหรือได้จับงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและติดตามผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติอย่างใกล้ชิด คงทราบดีว่าสัดส่วนของผลงานตีพิมพ์จากนักวิชาการจีนเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เมื่อเทียบกับตอนที่ผมไปเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดของวงการวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจีนก็ว่าได้ แน่นอนที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลจีนคงเล็งเห็นถึงภัยร้ายอะไรบางอย่างจากกระบวนการกำจัดขยะพลาสติก เมื่อบวกลบคูณหาร แล้วจึงได้ข้อสรุปออกมาว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" กับการนำเข้าขยะพลาสติกมากำจัดในประเทศ เหตุผลหลักก็เพราะ

1.กระบวนการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ของขยะพลาสติก ก่อให้เกิดสารพิษที่เรียกว่าสารอินทรีย์ย่อยสลายยาก (Persistent Organic Pollutants) หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นักวิชาการสิ่งแวดล้อมว่าสาร POPs ซึ่งกลุ่มสารพิษเหล่านี้ทางอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ได้กำหนดสาร POPs เบื้องต้น จำนวน 12 ชนิดคือ aldrin, chlordane, DDT, dieldrin, endrin, heptachlor, hexachlorobenzene, mirex, toxaphene, PCBs, dioxins และ furans โดยประเทศไทยได้ร่วมลงนามในอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2545 และได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2548

2.สาร POPs เหล่านี้มีฤทธิ์ในการก่อให้เกิดโรคมะเร็งและหลายตัวเป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสารไดออกซินซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายเวลามีการเผาเศษพลาสติก จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าไดออกซินส่งผลต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง เกิดอาการอาเจียน เป็นพิษต่อตับ น้ำหนักตัวลด ภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งความผิดปกติของร่างกาย ไดออกซิน สามารถปนเปื้อนอยู่ในฝุ่นละอองขนาดต่างๆไม่ว่าจะเป็น PM10 (ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน) PM2.5 (ฝุนละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน) หรือฝุ่นที่มีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร นอกจากนี้ ไดออกซิน สามารถกระจายตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศในสภาพก๊าซได้อีกด้วย

3.แล้วสาร POPs เช่น ไดออกซิน ซึ่งมีพิษร้ายแรงสูงเหล่านี้ ไม่สามารถกำจัดได้เหรอ? คำตอบคือในเชิงวิชาการตอนนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถจัดการได้แล้วครับ แต่ต้นทุนในการจัดการค่อนข้างสูง คำถามคือมันมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในการลงทุนหรือไม่หากต้องจ่ายเงินแพงขึ้นเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสุขภาพของประชาชนภายในประเทศ?

ประเทศใดที่มีต้นทุนชีวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมสูง รัฐบาลของประเทศนั้นคงเลือกที่จะออกกฎบังคับให้เอกชนต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการไม่ให้สารพิษเหล่านี้ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมโดยเด็ดขาด ซึ่งการออกกฎข้อบังคับทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดรวมทั้งบทลงโทษที่รุนแรงย่อมไม่ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนภายในประเทศแน่นอน ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือส่งต่อ "เผือกร้อน" เหล่านี้ไปยังประเทศที่ด้อยพัฒนาซึ่งกฎหมายสิ่งแวดล้อมยังไม่เข้มข้นเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่สำคัญภาคประชาสังคมยังไม่ตื่นรู้ถึงภัยร้ายที่บั่นทอนสุขภาพของตนเองลงไปทุกวันอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว ปรากฏการณ์นี้คล้ายคลึงกับการที่ประเทศที่พัฒนาแล้วส่งออกรถยนต์มือสองซึ่งมีประสิทธิภาพในการสันดาปเชื้อเพลิงต่ำและมีอัตราการปล่อยมลพิษสูง พูดง่ายๆคือส่งออกรถยนต์สภาพแย่ปล่อยควันดำราคาถูกไปยังประเทศด้อยพัฒนาที่ไร้กฎหมายอากาศสะอาดมาควบคุมมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เท่ากับว่าเป็นการยิงนกทีเดียวได้สองตัวคือ 1. ขายของได้เงินมาและ 2. กำจัดตัวการปล่อยมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อมออกไปจากประเทศตัวเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประเทศที่พัฒนาแล้วจะเก็บเอาส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การวิจัยและพัฒนาหรือ R&D ซึ่งแทบไม่ปล่อยมลพิษไว้ในประเทศตัวเอง แล้วผลักเอาพวกอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ปล่อยมลพิษเยอะไปยังประเทศที่มีกฎข้อบังคับหรือมาตรฐานทางด้านสิ่งแวดล้อมที่หย่อนยาน

ผมคิดว่าได้เวลาที่ภาคประชาสังคมควรตื่นรู้ถึง "ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง" เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ไทยกลายเป็นสถานีปลายทางในการรับเอาขยะพลาสติกจากนานาอารยะประเทศมากำจัด แล้วร่วมกันออกแบบภาพอนาคตว่าอยากให้ไทยเป็นแค่ประเทศที่มุ่งเน้นแต่การกระตุ้นตัวเลข ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพียงอย่างเดียว หรือสามารถรักษาสมดุลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คู่ขนานไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมกัน? ลองถามใจตัวท่านเองดูครับ


https://mgronline.com/daily/detail/9630000000938

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


กาลาปากอสแห่งออสเตรเลีย ผจญไฟป่า สัตว์พันธุ์พิเศษตายเกลื่อน



กาลาปากอสแห่งออสเตรเลีย ? วันที่ 5 ม.ค. เอพี รายงานสถานการณ์ไฟป่าที่ออสเตรเลีย ว่า เกาะแคงการู ที่ได้ชื่อว่าเป็นหมู่เกาะกาลาปากอสแห่งออสเตรเลีย ในฐานะแหล่งพักพิงของสัตว์ป่าและพืชหายากหลากหลายชนิด ถูกไฟป่าเผาทำลายจนน่าวิตกว่าสัตว์ประจำถิ่นบางชนิดจะหายไปจากเกาะ รวมถึงโคอาลาที่ตายไปแล้วหลายพันตัว

แซม มิตเชลล์ เจ้าหน้าที่อุทยานสัตว์ป่าแห่งเกาะแคงการูให้สัมภาษณ์ ว่าวิกฤตไฟป่าที่ลุกลามพื้นที่อนุรักษ์ในอุทยานนอกชายฝั่งของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของพื้นที่เกาะ กระทบต่อชีวิตโคอาลาอยู่ราว 50,000 ตัว

สายพันธุ์โคอาลาบนเกาะแคงการูนั้นสำคัญเป็นพิเศษต่อการอยู่รอดของประชากรโคอาลาในที่อื่นๆ เพราะเป็นโคอาลากลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวที่ปลอดจากเชื้อหนองในเทียม ซึ่งเป็นสาเหตุให้โคอาลาหลายชนิดตาบอด เป็นหมันและตาย

เชื้อดังกล่าวระบาดในโคอาลาในรัฐอื่นๆ อาทิ ควีนสแลนด์ นิวเซาท์เวลส์ และวิกตอเรีย ส่งผลให้เคลื่อนย้ายโคอาลาบนเกาะแคงการูไปที่อื่นไม่ได้ เพราะเกรงติดเชื้อ

ส่วนสัตว์อื่นที่น่าวิตก มีทั้งตัวมาร์ซูเพียล สัตว์มีกระเป๋าหน้าคล้ายหนู ที่ไม่รู้ว่าเหลือรอดกี่ตัว หรือ นกกระตั้วดำเลื่อมจะยังรอดอยู่บ้างหรือไม่

"ความห่วงใยของผู้คนต่อสัตว์พวกนี้น่าปลื้มใจจริงๆ แต่เราเห็นอยู่ว่าสถานการณ์มันไปไกลเกินแล้ว เราเห็นโคอาลาและจิงโจ้ที่ขาหน้าของมันถูกไฟคลอก มันไม่มีโอกาสรอด น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง" มิตเชลล์กล่าว



น.ส.เจสซิกา แฟบิจัน นักวิชาการ มหาวิทยาลัยแอดิเลดของออสเตรเลีย ระบุว่า เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับประชากรโคอาลานับตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1800 สมัยที่โคอาลาถูกล่าเอาขน

สำหรับสถานการณ์ไฟป่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงประสบความยากลำบากยิ่งขึ้นในการควบคุมไฟ เมื่อเกิดลมแรงเปลี่ยนทิศความเร็วสูงสุด 128 ก.ม.ต่อชั่วโมง ที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ คืนวันที่ 4 ม.ค. บ้านเรือนถูกเพลิงไหม้หลายร้อยหลัง ยอดผู้เสียชีวิตรวมเพิ่มอย่างน้อย 24 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนบนเกาะแคงการู 2 ราย ส่วนยอดระดมทุนให้หน่วยดับเพลิงในรัฐนิวเซาท์เวลส์ได้แล้ว 392 ล้านบาท ภายใน 48 ชั่วโมง


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_3328551

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


นักธุรกิจญี่ปุ่นทุ่ม 54 ล้านประมูลทูน่ายักษ์ต้อนรับปี 63

เจ้าของธุรกิจร้านซูชิชื่อดังของญี่ปุ่น ฉายา "ราชาทูน่า" ชนะการประมูลปลาทูน่ายักษ์ครีบสีน้ำเงินต้อนรับปีใหม่ 2563 ด้วยราคาเกือบ 54 ล้านบาท



ตลาดปลาโทโยสุในกรุงโตเกียว จัดการประมูลปลาทูน่าหลากหลายขนาดและสายพันธุ์ต้อนรับปีใหม่ เมื่อช่วงรุ่งสางวันนี้ (5 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยการประมูลที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุดคือ การประมูลปลาทูน่าขนาดยักษ์ ซึ่งในปีนี้ยังคงเป็นปลาทูน่าครีบสีน้ำเงิน และมีน้ำหนักมากถึง 276 กิโลกรัม

ผู้ชนะการประมูลปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินตัวนี้ ยังคงเป็นนายคิโยชิ คิมูระ ประธานเครือร้านซูชิซันไม เจ้าของสมญานาม "ราชาทูน่าแห่งญี่ปุ่น" โดยเสนอราคา 193.2 ล้านเยน หรือราว 53.94 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวห่างพอสมควรจากสถิติเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนายคิมูระประมูลปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินน้ำหนักมากถึง 278 กิโลกรัม ไปด้วยราคา 333.6 ล้านเยน หรือราว 93.13 ล้านบาท



ทั้งนี้ ตลาดโทโยสุเป็นตลาดขายปลาและของสดแห่งใหม่ของกรุงโตเกียวแทนตลาดปลาซึกิจิโดยเปิดให้บริการเมื่อเดือน ต.ค. 2561

ปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นถือเป็นผู้บริโภคปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินกลุ่มใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของจำนวนปลาชนิดดังกล่าวที่จับได้ทั่วโลกต่อปี


https://www.bangkokbiznews.com/news/...ernal_referral

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์


ทัพเรือภาคที่ 2 จัดโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา



วันนี้ (5 ม.ค. 63) ที่ชายหาดบ่ออิฐ ตำบลเกาะแต้ว อำเภอเมืองสงขลา พลเรือตรี นพรัตน์ เลิศล้ำ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ประธานเปิดโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยมีนายสมหวัง เรืองเพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พล.ร.ต.กฤษฎา รัตนสุภา ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสงขลา นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม กว่า 700 คน

กองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 2 จัดกิจกรรมตามโครงการอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เพื่อสนองพระดำริในการสร้างความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ให้ร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเล ให้มีความสมบูรณ์ และส่งเสริมการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนได้เห็นคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล ตลอดจนเป็นการสร้างจิตสำนึก ให้ประชาชนได้เห็นคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล อันนำไปสู่ความสมดุลทางธรรมชาติ และการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระดำริที่จะอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย โดยทรงห่วงใยปัญหาเรื่องความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเล การทำร้ายสัตว์ทะเล ด้วยน้ำมือของมนุษย์โดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นการอนุรักษ์และการสร้างจิตสำนึก ในการหวงแหนและรักษาสิ่งแวดล้อมตลอดจนระบบนิเวศ จึงมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ ของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลไทย

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีการปล่อยเต่าทะเล จำนวน 200 ตัว และการทำความสะอาดชายหาดบ่ออิฐ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกให้กับประชาชน และเยาวชนในพื้นที่ ได้ร่วมกันรักษาทรัพยากร ทั้งบริเวณชายฝั่งและในทะเล ให้เกิดความสะอาด ปราศจากขยะถุงพลาสติก ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเล ลดการสูญเสียของสัตว์ทะเลหายาก และยังเป็นการเพิ่มแหล่งอาหาร ของสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ และช่วยให้ระบบนิเวศ ในพื้นที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น


http://thainews.prd.go.th/th/news/de...00105143854103
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ตั้งค่าหัว 100,000 บาท เร่งค้นหาขโมยฉก "ไข่เต่ามะเฟือง"



กรมอุทยานฯ ร่วมกับกองทุนอนุรักษ์เต่าทะเลและถิ่นอาศัย พังงา-ภูเก็ต ผู้ใหญ่บ้านท่าซอ และผู้ว่าฯ พังงา ร่วมลงขันตั้งรางวัลนำจับ 100,000 บาท เร่งหามือขโมยไข่เต่ามะเฟืองจากหลุมในอุทยานแห่งชาติเขาลำปี -หาดท้ายเหมือง

จากกรณีโพสต์ตามหาผู้กระทำความผิด ขโมยไข่เต่ามะเฟืองไปจากหลุมในอุทยานแห่งชาติเขาลำปี -หาดท้ายเหมือง จ.พังงา วานนี้

วันนี้ (5 ม.ค.2563) นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานด้านการจัดการสัตว์ทะเลหายาก และใกล้สูญพันธุ์ โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่กำลังพยายามติดตามผู้กระทำผิดขโมยไข่เต่ามะเฟือง โดยตั้งรางวัลนำจับ 100,000 บาท โดยกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกับกองทุนอนุรักษ์เต่าทะเลและถิ่นอาศัย พังงา-ภูเก็ต จะมอบเงินรางวัลนำจับให้แก่ผู้แจ้งเบาะแส เพื่อจับกุมผู้ลักลอบขโมยไข่เต่ามะเฟือง เป็นเงิน 30,000 บาท


ภาพ : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ขณะที่นายสุชาติ เอี๋ยวสกุล ผู้ใหญ่บ้าน ม.5 บ้านท่าซอ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา จะมอบเงิน 20,000 บาท ให้ผู้แจ้งเบาะแสคนขโมยไข่เต่ามะเฟือง นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงายังได้จัดประชุมปฏิบัติการพิเศษเพื่อตามหาผู้กระทำผิด พร้อมมอบรางวัลนำจับให้อีก 50,000 บาท รวมรางวัลนำจับทั้งหมด 100,000 บาท

ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่พบเห็นผู้กระทำผิดสามารถโทรแจ้งสายด่วนกรมอุทยานฯ 1362 หรือ 081 797 0316 (หัวหน้าปรารพ)


https://news.thaipbs.or.th/content/287641

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


ทส.เตือนพวกขโมยไข่เต่า

"ปลัดจตุพร ทส."เตือนพวกขโมยไข่เต่า พบแม้แต่ซากก็ไม่เว้น ด้าน ธรณ์ เดือดหากอยากได้เงินขอให้บอก อย่าขโมย หากพบและแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าจัดการ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สั่งสืบหาผู้กระทำความผิดและจะจัดการขั้นเด็ดขาด



จากกรณีพบร่องรอยเต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่บริเวณหาดเขาหน้ายักษ์ หมู่ที่ 4 ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา แต่พบเพียงไข่ลม 2 ฟอง คาดว่าไข่ที่เหลือน่าจะถูกขโมย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฝากเตือนพวกขโมยไข่เต่า จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจัง แม้พบเพียงซากก็ไม่เว้น ด้านนายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ วอนหากอยากได้เงิน กองทุนอนุรักษ์ไข่เต่าพร้อมจ่าย 20,000 บาท หากพบและแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าจัดการ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สั่งสืบหาผู้กระทำความผิดและจะจัดการขั้นเด็ดขาด นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า

วันนี้ (4 มกราคม 2563) เวลาประมาณ 04.00 น. ตนได้รับรายงานด่วนจากสำนักงานทรัพยากรทางทะเลที่ 6 โดยส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10, 14 อุทยานแห่งชาติเขาลำปี - หาดท้ายเหมือง ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่เวรศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟืองหาดท้ายเหมือง พบร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่ามะเฟือง บริเวณหาดเขาหน้ายักษ์ หมู่ที่ 4 ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ห่างจากศูนย์ฯ หาดท้ายเหมือง ไปทางทิศเหนือประมาณ 11 กิโลเมตร ขนาดความกว้างของพายจากซ้ายไปขวา 155 ซม. ขนาดอก 50 ซม. จึงทำการขุดหาเพื่อตรวจนับจำนวนไข่เต่า ปรากฎว่าขุดพบแต่ไข่ลม จำนวน 2 ฟอง ไม่พบมีไข่สมบูรณ์หลงเหลือแต่อย่างใด สรุปได้ว่าน่าจะถูกขโมยขณะเต่าวางไข่

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการกลบหลุมดังกล่าวไว้ก่อน ตนจึงได้สั่งการให้อุทยานแห่งชาติเขาลำปี - หาดท้ายเหมือง และนายสุริยะ สอนเสริม ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 ร่วมกันรวบรวมเรื่องราวหลักฐานพยานแวดล้อมแจ้งความกล่าวโทษต่อ สภ.ท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เพื่อสืบหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีทันที ทั้งนี้ ตนได้รายงานให้นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว. ทส.) และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท. ทส.) ทราบในเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้ รมว. ทส. ได้กำชับให้ตนและปลัดกระทรวง ติดตามและดำเนินการอย่างใกล้ชิด และให้กำกับ เร่งรัดให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นโดยเร็ว โดย ปกท. ทส. มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้กระทำความผิด แม้จะพบครอบครองเพียงซาก ก็ให้ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ จากการสืบสวนพอจะทราบแล้วว่าบุคคลกลุ่มไหนมาลักลอบขโมยไป



จึงขอให้รีบนำมาส่งคืนโดยเร็วเพราะขณะนี้ ยังอยู่ในช่วงเวลาที่สามารถจะดูแลอนุบาลเพาะฟักได้ตามหลักวิชาการ ตนอยากวอนขอผู้พบเห็นการวางไข่ของเต่ามะเฟือง ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที เพื่อจะได้ดำเนินการจัดการและคุ้มครองไข่เต่าให้สามารถฟักและปล่อยออกสู่ธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย อีกทั้ง สำหรับผู้ที่สนใจอยากศึกษาและติดตามการฟักไข่ของเต่ามะเฟือง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะรายงานและเปิดช่องทางสื่อโซเซียลให้ประชาชนและผู้สนใจได้ศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว "การขโมยไข่เต่า หรือแม้แต่การครอบครองซากของเต่ามะเฟือง มีความผิดทางกฎหมายมีโทษทั้งจำคุก 3 -5 ปี หรือปรับ 3 แสน - 1.5 ล้านบาท เต่ามะเฟืองเป็นสัตว์ที่หาพบได้ยากในธรรมชาติ การสูญเสียไข่เต่ามะเฟืองไป นั่นหมายถึงเราสูญเสียพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เต่ามะเฟืองที่จะผลิตลูกต่อไปในอนาคต การอนุรักษ์ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่พบเห็นการวางไข่ของเต่ามะเฟือง ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที การดูแลเป็นหน้าที่ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทางเรามีทีมสัตวแพทย์และกำลังเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง ยังได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ

เพื่อเฝ้าระวังและดูแลอย่างปลอดภัยและถูกหลักวิชาการ" ด้าน ผศ. ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ตนรู้สึกโกรธพวกที่ขโมยไข่เต่ามาก เนื่องจาก เต่ามะเฟืองคือหนึ่งในสัตว์หายากสุดในทะเลไทย 5 - 6 ปีที่ผ่านมา เราไม่เจอเต่าเลย เจอแต่ศพกินขยะทะเล ปีที่แล้ว ช่วยกันทั้งประเทศ ได้ลูกเต่ามากกว่า 130 ตัว ปีนี้ วางไข่สองรัง คาดว่าน่าจะได้สักร้อยตัว พอมาวางรังที่สาม ถูกขโมย ไข่เต่ารังหนึ่งน่าจะฟักได้ประมาณ 50 ตัว พวกที่ขโมย หากอยากได้เงินมากนัก มีกองทุนอนุรักษ์ไข่เต่าที่ช่วยกันทำโดยมีภาคเอกชนสนับสนุน ใครแจ้งได้ 20,000 บาททันที ที่ผ่านมาก็มีคนแจ้งและได้เงินรวดเร็วทุกราย หากคิดจะขโมยเต่ามะเฟืองซึ่งเป็นสัตว์สงวน การขโมย/จำหน่าย/ครอบครองไข่เต่า มีโทษรุนแรงมากตาม พรบ. สงวนคุ้มครอง พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้วมีโทษจำคุก 3 - 15 ปี ปรับ 3 แสน - 1.5 ล้าน ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพวกที่ขโมง ซึ่งในเบื้องต้น ตนได้ทราบว่าได้มีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว อย่างไรก็ตาม อยากวิงวอนไปยังท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้


https://www.nationtv.tv/main/content/378756789/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


เร่งล้อมคอกกันขโมยไข่เต่ามะเฟือง หลังพบไข่เต่ากว่าร้อยฟองถูกขโมยที่พังงา

รังเต่ามะเฟืองรังที่สามของฤดูกาลไม่รอดมือขโมย หลังเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี -หาดท้ายเหมือง จ.พังงา พบร่องรอยเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่บนหาดท้ายเหมือง แต่โชคร้ายถูกมือดีพบรังก่อน และลอบขโมยไข่เต่ามะเฟืองเกือบยกรัง ทิ้งไข่ลมไว้ให้ดูต่างหน้าเพียง 2 ฟอง ด้านเจ้าหน้าที่ระบุ เตรียมประสานกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ? หน่วยงานท้องถิ่น ประกาศพื้นที่เป็นเขตควบคุม ห้ามคนผ่านเข้าออก กันก่อเหตุขโมยไข่เต่าซ้ำ

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา หฤษฎ์ชัย ฤทธิช่วย เปิดเผยว่า เมื่อเวลาเช้ามืดของวันที่ 4 มกราคม ชุดเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติร่วมกับเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จ.ภูเก็ต ออกลาดตระเวนพบร่องรอยเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่บนหาดท้ายเหมือง คาดว่าแม่เต่าขึ้นมาวางไข่ประมาณเที่ยงคืน ตรวจวัดขนาดของรอย ความกว้างของพายซ้ายถึงพายขวา 155 ซม อก 50 ซม. ไม่พบแม่เต่า



สภาพรังเต่ามะเฟืองรังที่ 3 ของฤดูกาล หลังจากถูกมือดีลอบขุดขโมยไข่ไป เหลือทิ้งไว้เพียงไข่ลม 2 ฟอง //ขอบคุณภาพจาก: Thon Thamrongnawasawat
อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าหน้าที่ขุดหาไข่ กลับพบเพียงไข่ลมถูกทิ้งไว้เพียง 2 ฟอง คาดว่าไข่เต่าส่วนใหญ่ถูกขโมยไปแล้ว จึงรวบรวมข้อมูลหลักฐานแวดล้อมเพื่อแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนต่อไป

ปรารพ แปลงงาน หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเล ที่ 2 จ.ภูเก็ต กล่าวว่า จากการตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุ พบร่องรอยล้อรถมอเตอร์ไซค์ขี่เข้าออกพื้นที่โดยไม่ผ่านด่านตรวจของอุทยานแห่งชาติ สอดคล้องกับหลักฐานกล้องวงจรปิด คาดว่าน่าจะเป็นผู้ที่ผ่านเข้าออกมาตกปลาในพื้นที่เป็นผู้ค้นพบรังเต่ามะเฟืองก่อนเจ้าหน้าที่ และขโมยไข่เต่าไป

"เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สอบปากคำชาวบ้านในพื้นที่แล้ว แต่จากการตรวจสอบไม่พบหลักฐานของกลาง และสิ่งชี้พิรุธ อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งต่อให้กับพนักงานสืบสวนต่อไป" ปรารพ กล่าว

เขากล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนหลักของภารกิจคุ้มครองรังเต่ามะเฟืองของเจ้าหน้าที่ นั่นก็คือการควบคุมการผ่านเข้าออกที่พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เพราะว่าเขตอุทยานประกาศเฉพาะพื้นที่ชายหาด และป่าชายหาดบนฝั่งเท่านั้น แต่ไม่ได้ควบรวมพื้นที่ในทะเลด้วย ดังนั้นบุคคลทั่วไปจึงสามารถผ่านเข้าออกพื้นที่ทางเรือได้ และสามารถนำรถมอเตอร์ไซค์มาวิ่งได้ตลอดแนวชายฝั่งโดยไม่ต้องผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่อุทยาน



เต่ามะเฟือง เต่ายักษ์ใหญ่แห่งทะเลอันดามัน จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน มีลำตัวยาวได้ถึง 2.5 เมตร น้ำหนักสูงสุดประมาณ 1 ตัน กระดองเป็นหนังหุ้ม ไม่แข็งเหมือนเต่าชนิดอื่น วางไข่บนหาดทรายครั้งละประมาณ 100 ฟองต่อรัง ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 60 วัน //ขอบคุณข้อมูลจาก: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังมีรอบเวลาในการออกลาดตระเวนที่ชัดเจน 2 ช่วง คือช่วงหัวค่ำ และช่วงเช้ามืด เปิดช่องให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีออกปฏิบัติการได้ในช่วงกลางดึก ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า ภายหลังจากนี้ อุทยานแห่งชาติฯจะขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายปกครองในท้องที่มาช่วยลาดตระเวนพื้นที่ ตลอดจนออกประกาศพื้นที่หาดท้ายเหมืองในเป็นพื้นที่ควบคุม เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกผ่านเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาต ตลอดช่วงฤดูวางไข่ของเต่ามะเฟืองจนถึงเดือนกุมภาพันธ์นี้

"แม้ว่าเราจะมีการแจกรางวัลให้กับผู้พบเห็นรังเต่ามะเฟืองแล้วมาแจ้งเจ้าหน้าที่ถึงรางวัลละ 20,000 บาท แต่จากเหตุการณ์นี้กลับพบว่ามีการให้ราคาไข่เต่ามะเฟืองในตลาดมืดในราคาที่สูงกว่ามาก จนสร้างแรงจูงใจให้มีผู้ลักลอบขโมยไข่เต่ามะเฟืองไปขายในตลาดมืด เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่ยังมีความเชื่ออย่างผิดๆว่าการกินไข่มะเฟืองจะช่วยบำรุงสุขภาพทางเพศ" ปรารพ กล่าว

"เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่แทนที่ฤดูกาลนี้เราจะมีเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ถึง 3 รัง จากเดิมที่ไม่เคยมีเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ในไทยมานานหลายปี แต่จากความเชื่อผิดๆดังกล่าวทำให้ลูกเต่ามะเฟืองที่กำลังใกล้สูญพันธุ์กว่า 100 ตัว ไม่มีโอกาสเกิดมาดูโลก"

เขาเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทางเจ้าหน้าที่พร้อมให้รางวัลทันที 30,000 บาท หากผู้ใดมีเบาะแสที่สามารถชี้ตัวไปถึงผู้บงการ และสามารถยึดคืนไข่เต่าของกลางได้


ซากแม่เต่ามะเฟืองที่เกาะพระทอง จ.พังงา //ขอบคุณภาพจาก: Kongkiat Kittiwatanawong

ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ให้ข้อมูลว่า ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่พบแม่เต่ามะเฟืองเสียชีวิตที่เกาะพระทอง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จากการชันสูตรเบื้องต้นพบเป็นเต่าเพศเมีย ตายมามากกว่า 5 วัน ไม่พบไข่ภายในช่องท้อง อวัยวะภายในย่อยสลายจนไม่สามารถเห็นรอยโรค ภายนอกลำตัวมีเชือกลอบขนาดเล็กเกี่ยวพันรอบตัวซึ่งคาดว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิต

"การสูญเสียแม่เต่ามะเฟืองแต่ละตัว ทำให้เราสูญเสียโอกาสการมีลูกเต่ามะเฟืองกำเนิดใหม่ กว่า 15,000 ตัว" ก้องเกียรติ กล่าว

อนึ่ง เต่ามะเฟืองได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วให้เป็นสัตว์สงวนของไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2562 ดังนั้นการขโมย จำหน่าย หรือครอบครองไข่เต่า ถือว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า โดยมีโทษสูงถึงติดคุก 3 -15 ปี หรือปรับ 300,000 ? 1.5 ล้านบาท


https://greennews.agency/?p=19969
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 06-01-2020 เมื่อ 05:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #10  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


10 ประเด็นเด่นสิ่งแวดล้อมไทยในรอบปี 2562 (ตอนที่ 1: น้ำโขงวิกฤต) ................... โดย ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ


ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ กำลังเดินสำรวจป่าไคร้ที่แห้งตายเพราะความผันผวนรุนแรงของระดับน้ำในแม่น้ำโขง //ขอบคุณภาพจาก: Chainarong Setthachua

กลางเดือนกรกฎาคม แม้จะเข้าสู่กลางฤดูฝน แต่ภาพของแม่น้ำโขงที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อแขนงต่างๆ รวมทั้งโซเชียลมีเดียได้สร้างความตกตะลึงให้กับสังคม เพราะน้ำโขงแห้งราวกับเดือนเมษายน ปลาและสัตว์น้ำต่างๆ ตายเป็นจำนวนมาก ชุมชนเมืองหลายแห่งต้องขาดน้ำดิบสำหรับทำน้ำประปา วิกฤตครั้งนี้ภาพและเรื่องราวแม่น้ำโขงวิกฤตยังถูกนำเสนอโดยสื่อต่างประเทศทั่วโลก ขณะที่เขื่อนไซยะบุรี เขื่อนไทยสัญชาติลาวประกาศกักเก็บน้ำและทดลองเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า

กลางเดือนตุลาคม ภาพแม่น้ำโขงวิบัติรอบที่สองถูกเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อีกครั้ง คราวนี้นอกจากเห็นน้ำโขงแห้ง สัตว์น้ำตายเกลื่อนแล้ว ยังเห็นภาพต้นไคร้ที่ถือว่าเป็นแมวเก้าชีวิตยืนต้นแห้งตาย ทั้งที่ปกติแล้วช่วงนี้น้ำโขงจะท่วมต้นไคร้และเต็มฝั่งโขง

น้ำโขงที่แห้งขอดทำให้ชาวบ้านสองฝั่งโขงบางหมู่บ้านไม่สามารถซ้อมเรือยาวเพื่อร่วมงานบุญส่วงเฮือได้ ขณะที่น้ำในแม่น้ำโขงเริ่มใสราวกระจกและสะท้อนท้องฟ้าเป็นสีคราม

ตลอดเวลาในช่วงนี้ มีรายงานจากหลายพื้นที่ทั้งจากกัมพูชา ลาวใต้ มาจนถึงชายแดนไทย-ลาว ว่าปลาหลายชนิดอพยพผิดฤดูกาล ขณะที่นักวิชาการประมงเตือนว่าปลาถูกกระตุ้นให้อพยพผิดฤดูกาลจากการกระตุ้นของมนุษย์ (การสร้างเขื่อน) เพื่ออพยพขึ้นไปวางไข่ในแม่น้ำโขงตอนบนทั้งที่ไข่ในท้องของปลายังไม่พร้อมผสมพันธุ์ และปรากฏการณ์นี้จะทำให้ปลาหลายชนิดในแม่น้ำโขงสูญพันธุ์ในที่สุด

นอกจากนั้น ยังเกิดปรากฎการณ์น้ำสาขาไหลลงแม่น้ำโขงอย่างรวดเร็ว ชุมชนหลายแห่งที่ตั้งริมน้ำสาขาของแม่น้ำโขงในลาวขาดแคลนน้ำสำหรับทำประปา ขณะที่แถบจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องนำรถไปขุดบ่อกลางแม่น้ำโขง

29 ตุลาคม เขื่อนไซยะบุรีเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งระบบและส่งไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขณะที่ชุมชนสองฝั่งโขงในไทยได้รวมตัวกันเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์เขื่อนอย่างรุนแรง

ท่ามกลางวิกฤตแม่น้ำโขง ช.การช่างเจ้าของหุ้นใหญ่เขื่อนไซยะบุรีลงทุนซื้อโฆษณาสื่อใหญ่ในประเทศเพื่อบอกว่าเขื่อนไซยะบุรีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการเชิญสื่อมวลชนไปชมเขื่อนไซยะบุรี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาของไทยได้ไปเยือนเขื่อนไซยะบุรีเป็นการส่วนตัว

กลางเดือนพฤศจิกายน ภาพวิกฤติแม่น้ำโขงถูกนำเสนอผ่านสื่ออีกรอบ คราวนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับแม่น้ำโขงเปลี่ยนสีเป็นสีครามเข้ม นักท่องเที่ยวจำนวนมากตื่นตาตื่นใจอยากชมแม่น้ำโขงเปลี่ยนสี ขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านระบุว่า การที่น้ำโขงใสทำให้จับปลาไม่ได้เลย

การที่แม่น้ำโขงเปลี่ยนสี ต่อมาก็ได้รับการอธิบายว่าแท้จริงแล้วน้ำโขงใสแจ๋วราวกระจก และสะท้อนสีของท้องฟ้าที่เข้มเป็นสีคราม ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า "ภาวะไร้ตะกอน" หรือ "hungry water" และจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศน์แม่น้ำโขง รวมถึงการสร้างปัญหาตลิ่งพังทลาย

นักวิชาการได้เตือนว่าวิกฤตแม่น้ำโขงวิกฤตรอบนี้คือภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และกระทบต่อผู้คนกว่า 70 ล้านคนในอนุภูมิภาคนี้

แม้น้ำโขงวิกฤตหนักจากเขื่อนไซยะบุรี แต่นักสร้างเขื่อนที่เป็นนักลงทุนไทยและเวียดนามก็ร่วมมือกันผลักดันโครงการเขื่อนหลวงพระบางที่จะสร้างเหนือเขื่อนไซยะบุรีขึ้นไป

ขณะที่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงหรือ MRC กลับอธิบายว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่เป็นปรากฏการณ์เอลนินโญ

ในประเทศไทย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติกล่าวถึงแต่เขื่อนจีน แต่ไม่เคยกล่าวถึงผลกระทบจากเขื่อนไซยะบุรี ไม่มีการแจ้งระดับน้ำรายวันและคาดการณ์ล่วงหน้าเหมือนในกัมพูชา ที่สำคัญกลับผลักดันโครงการผันน้ำโขง-เลย-ชี-มูล ขณะที่บรรดานักการเมืองของไทยก็ผลักดันการผันน้ำโขงทั้งผันลงอีสานและเขื่อนป่าสัก

วิกฤตแม่น้ำโขงจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และจะเป็นสนามรบด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในปี 2563 นี้ด้วย


https://greennews.agency/?p=19975

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:49


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger