เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 23-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

หย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 24-26 ก.พ. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และมีการระบายอากาศที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 22 - 23 ก.พ. 67 หย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหล้วในตอนกลางวัน และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 24 ? 28 ก.พ. 67 หย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับในช่วงวันที่ 24 ? 26 ก.พ. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ในช่วงวันที่ 23 - 25 ก.พ. 67 ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 26 ? 28 ก.พ. 67 ลมตะวันออกกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้อ่าวไทยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดช่วง

โดยในช่วงวันที่ 24 - 26 ก.พ. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ในระยะแรก โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 23-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


น้ำใสคาดกู้ ร.ล.สุโขทัยราบรื่น พบยังเอียงเท่าเดิม เตรียมหาผู้สูญหาย



สัญญาณดี กู้เรือหลวงสุโขทัยแบบจำกัดวันแรก ใต้ทะเลน้ำใส ทัศนวิสัยชัดเจน มองเห็นตัวเรือตะแคงในท่าเดิม เอียง 7 องศา ผบ.ทร.ย้ำ อย่างแรกที่ต้องนำขึ้นมาคือป้ายชื่อ "สุโขทัย" เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ จากนั้นถ่ายรูปเรือ ค้นหาผู้เสียชีวิต ทำลายอาวุธที่เป็นอันตราย ใช้งบของ ทร. 110 ล้านบาท คืนให้รัฐ ไป 90 ล้าน

เวลา 08.30 น. วันที่ 22 ก.พ. 2567 กองทัพเรือและทัพเรือสหรัฐฯ ได้เริ่มปฏิบัติการ กู้เรือหลวงสุโขทัย (แบบจำกัด) โดยพล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือไปยัง เรือหลวงอ่างทอง ซึ่งจอดประจำการอยู่ในบริเวณพื้นที่ในการปฏิบัติภารกิจกู้เรือหลวงสุโขทัย (แบบจำกัด) อยู่ห่างจากชายฝั่ง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 20 ไมล์ทะเล โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย กองสะอาด ผบ.กองเรือยุทธการ และนาวาเอก Hugh winkel ผู้ช่วยทูตทหารเรือสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยให้การต้อนรับ จากนั้นคณะของ ผบ.ทร. ได้ขึ้นเรือ ต.998 ไปยังเรือ Ocean Valor ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่จอดปฏิบัติงานห่างออกไปประมาณ 3 ไมล์ทะเล เพื่อเข้าตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจในการร่วมปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่จากสหรัฐอเมริกา ที่ได้ส่งเรือ Ocean Valor พร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยประดาน้ำ และกู้ซ่อมเคลื่อนที่ (Mobile Dive and Salvage Unit) มาร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย

เบื้องต้นมีการส่งนักประดาน้ำจากไทยและสหรัฐฯ ดำลงไปโดยใช้กระเช้าส่งลงไปใต้ทะเล เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจซากเรือ ค้นหา ตรวจสอบบริเวณตัวเรือและบริเวณโดยรอบ ตามภารกิจ โดยในวันนี้มีเรือหลวงอ่างทองเป็นฐานบัญชาการ และเรือหลวงบางระจันลอยลำคอยสนับสนุนภารกิจ ก่อนที่คณะของ ผบ.ทร. จะเดินทางด้วยเรือ ต.998 กลับมายังเรือหลวงอ่างทอง และให้สัมภาษณ์กับทางสื่อมวลชน

พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. เปิดเผยว่า กองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ร่วมกันปฏิบัติภารกิจที่ถือว่าจะเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ ขอขอบคุณกองทัพเรือสหรัฐฯ นักดำน้ำสหรัฐฯ กำลังพล Ocean Valor เมื่อได้ขึ้นไปดูบนเรือแล้วได้เข้าใจถึงความยากลำบากเนื่องจากเรือ Ocean Valor เป็นเรือเปล่า อุปกรณ์ทั้งหมดถูกลำเลียงมาทางเครื่องบินจากฮาวายเพื่อถ่ายลงเรือที่สิงคโปร์ และเรือ Ocean Valor จึงแล่นต่อจากสิงคโปร์มาร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ ซึ่งทางกองทัพเรือซาบซึ้ง ภารกิจแรกในวันนี้ช่วงเช้านักดำน้ำคนแรกจากสหรัฐอเมริกาและนักดำน้ำคนที่สองจากไทยและนักดำน้ำสำรองจากสหรัฐฯ ได้ดำลงไปปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสิ่งเเรกที่เราจะนำขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ คือ ป้ายชื่อเรือหลวง "สุโขทัย" นำขึ้นมา และจากนี้ภายในอีก 5 วัน เราจะถ่ายรูปเรือทั้งลำและค้นหาผู้เสียชีวิต จากนั้นวันที่ 6 ถึงวันที่ 19 ของภารกิจจะเป็นการทำลายอาวุธที่เป็นอันตรายและนำทุกอย่างที่สามารถนำขึ้นมาได้ขึ้นมา สิ่งของต่างๆ ที่มีคุณค่าทางจิตใจเราจะนำสิ่งต่างๆ ไปทำอนุสรณ์สถานให้เรือหลวงสุโขทัยและจะจบภารกิจภายใน 19 วัน

ในส่วนการสอบสวนหาสาเหตุที่เรือจมเพราะอะไร สิ่งต่างๆ จะต้องชัดเจน คนไทยฟังแล้วจะต้องเข้าใจว่าเรือจมเพราะอะไร คำถามทั้งหมดจะต้องคลี่คลาย "ใจผมอยากเอาเรือขึ้นมาทั้งลำเพื่อให้เห็นกับตา แต่มาร์กวันนั้นว่าตอนตี 3 น้ำเริ่มเข้าตรงไหน ตอนตีสี่อะไรเกิดขึ้นมีหมด เราต้องการเอามาเทียบระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับคำให้การจากการสอบสวน ซึ่งจากภาพถ่ายใต้น้ำที่ได้สอดคล้องกัน จุดที่พบความเสียหายคือบริเวณหัวเรือ ซึ่งหลังจากจบภารกิจจะรีบแถลงข่าวให้ทุกท่านทราบเร็วที่สุด"

สำหรับการดำน้ำจะมีการสลับสับเปลี่ยนกันโดยในไดฟ์แรกวันนี้นักดำน้ำสหรัฐฯ จะเป็นหลัก นักดำน้ำ ทร.เป็นนักดำน้ำรอง และนักดำน้ำสหรัฐฯ เป็นนักดำสแตนด์บายกรณีฉุกเฉิน ไดฟ์ที่สองนักดำน้ำ ทร.จะเป็นนักดำน้ำหลัก นักดำน้ำสหรัฐฯ จะเป็นนักดำน้ำรอง และนักดำน้ำทร.จะเป็นนักดำน้ำสแตนด์บาย สลับสับเปลี่ยนกันไป โดยในแต่ละชุดจะมีนักดำน้ำ 2 คนอยู่ใต้น้ำและอีก 1 คน อยู่บนเรือสแตนด์บายเผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยนักดำน้ำในภารกิจครั้งนี้เป็นของ ทร.35 คน และของสหรัฐฯ 14 คน ในแต่ละไดฟ์จะใช้เวลาลงสู่ใต้ท้องทะเลโดยกระเช้า ใช้เวลาลงไปประมาณ 10 นาที จากนั้นปฏิบัติภารกิจใต้ท้องทะเล 40-45 นาที และขึ้นกระเช้าดึงกลับขึ้นบนเรืออีก 10 นาที เมื่อขึ้นมาแล้วเข้าไปอยู่ในแชมเบอร์ 1 ชั่วโมง

"การปฏิบัติการครั้งนี้ใต้น้ำมีทัศนวิสัยที่ดีมาก หลังจากที่ทาง ทร. ได้มีการไปบนขอเสด็จเตี่ยที่ชุมพรน้ำข้างล่างใสมาก เห็นภาพชัดเจน ไม่มีคลื่นลมหรืออันตรายที่เป็นอุปสรรค ก็ภาวนาว่าขอให้ตลอดภารกิจนี้คลื่นลม และให้อากาศเป็นเช่นนี้ ซึ่งภาพที่ได้เห็นเรือหลวงสุโขทัยยังคงตั้งอยู่ใต้ก้นทะเลสภาพเหมือนเดิม คือเอียง 7 องศา แต่ตัวเรือจะมีเพรียงมาจับอยู่เหมือนเช่นที่เห็นในสารคดี กลายเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์ใต้น้ำ"

ส่วนภาพป้ายเรือ "สุโขทัย" ที่จะตัดออกจากตัวเรือจะนำขึ้นมาได้ภายในวันนี้ ส่วนความกังวลเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังมีอยู่ในตัวเรือซึ่งจากการที่ได้รับรายงานเหลือไม่เยอะเเล้ว เนื่องจากเรือไปปฏิบัติราชการมาแล้วแต่ยังไงหลังจากจบภารกิจนี้แล้วทางกองทัพเรือจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร และหากพบชิ้นส่วนมนุษย์ก็จะนำขึ้นมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินขั้นตอนตามกฎหมาย และจะดำเนินการส่งพิสูจน์ DNA เพื่อเทียบกับญาติของผู้สูญหายทั้ง 5 ราย ที่ได้มีการเก็บตัวอย่างไว้แล้ว ซึ่งจะใช้เวลาในการตรวจพิสูจน์ประมาณ 14 วัน หลังจากนั้นทางกองทัพเรือจะเป็นเจ้าภาพจัดพิธีให้สมเกียรติเช่นที่ผ่านมา

ในเรื่องของงบประมาณที่ใช้ในครั้งนี้ เดิมกองทัพเรือได้มีการประมาณการงบประมาณอยู่ที่ 200 ล้านบาท โดยเป็นในส่วนงบของกองทัพเรือเอง 110 ล้านบาทและของรัฐบาลสนับสนุนอีก 90 ล้านบาท แต่ในส่วนของรัฐบาลที่สนับสนุนมา 90 ล้านบาทนั้นทางกองทัพเรือจะส่งคืนเพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น และทางกองทัพเรือจะมาบริหารจัดการในส่วน 110 ล้านบาทนี้ซึ่งเริ่มมีค่าใช้จ่ายแล้ว และจะสรุปตัวเลขอีกครั้งหลังจบภารกิจ พล.ร.อ.อะดุง กล่าว


https://www.thairath.co.th/news/local/central/2765360

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 23-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ปีนี้อากาศร้อนสุดขั้ว เกี่ยวข้องกับการระเบิดบนดวงอาทิตย์หรือไม่?



หลายพื้นที่อากาศร้อนมาก ก่อนจะมีประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาว่า ประเทศไทยได้สิ้นสุดฤดูหนาวและเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ในวันที่ 21 ก.พ. 2567 ทำให้ตอนกลางวันมีอากาศร้อนเกือบทั่วไปต่อเนื่อง อุณหภูมิสูงสุดมากกว่า 35 องศาเซลเซียส เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากรังสีดวงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น และลมฝ่ายใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ซึ่งเป็นรูปแบบลักษณะอากาศของฤดูร้อน แต่ภาคเหนือและภาคอีสานจะยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า จนถึงประมาณกลางเดือน มี.ค. และคาดว่าฤดูร้อนจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือน พ.ค.

มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย บริเวณประเทศไทยตอนบนจะอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส สูงกว่าค่าปกติ 1-1.5 องศาเซลเซียส จาก 35.4 องศาเซลเซียส และจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา จากอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 35.8 องศาเซลเซียส ส่วนกรุงเทพฯ อุณหภูมิสูงสุด 40-41 องศาเซลเซียส โดยอากาศจะร้อนอบอ้าว และร้อนจัดในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น แม่ฮ่องสอน, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ตาก, สกลนคร และอุดรธานี อุณหภูมิสูงสุด 42-44 องศาเซลเซียส ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. ไปจนถึงต้นเดือน พ.ค.


ปีนี้ร้อนของจริง แบบที่ไม่เคยเจอ ช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.

เป็นสัญญาณเตือนปีนี้จะร้อนแบบสุดๆ "รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า ปัจจุบันโลกร้อนที่สุด อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.52 องศาเซลเซียส จากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม และเพียงแค่เดือน ก.พ. อากาศร้อนมาก จะเจอร้อนของจริง ร้อนสุดขั้ว ร้อนแบบที่ไม่เคยเจอในช่วงเดือน มี.ค. ถึง เม.ย.นี้ จาก 3 ปัจจัยหลัก
1. โลกร้อน
2. ปรากฏการณ์เอลนีโญ และ
3. การครบรอบจุดระเบิดบนดวงอาทิตย์

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะเห็นชัด ทั้งความร้อน ความแห้งแล้ง ไฟป่า และฝุ่นพิษ รวมถึงปริมาณน้ำต้นทุนลดน้อยลง ในขณะพืชบางชนิด เช่น ข้าวมีราคาสูง เป็นแรงจูงใจให้มีการปลูกเกินแผนของรัฐบาล ประมาณ 180% แต่น้ำมีจำกัด คาดการณ์ว่าผลผลิตจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะทุเรียน น่าจะลดลงประมาณ 30%

การจัดการน้ำต้องเผชิญความเสี่ยง และความท้าทายสูง จากนี้ต่อไปทางเลือกมีไม่มาก จะอยู่กับปัจจุบัน หรือจะอยู่กับอนาคตที่มีความไม่แน่นอน และช่วงครึ่งปีหลัง ปรากฏการณ์เอลนีโญ จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ลานีญา แบบอ่อนถึงปานกลาง และในปีหน้าอาจจะกลับมาเป็นเอลนีโญ ทำให้ฝนอาจจะมาปกติ ยกเว้นภาคเหนือ และภาคอีสานตอนบน จะต้องออกแบบฉากทัศน์ให้เดินไปอย่างระมัดระวัง ถ้าผิดพลาดความเสียหายจะตามมาอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้


ดวงอาทิตย์ระเบิดรุนแรง ไม่ทำให้โลกร้อนขึ้น แต่เกิดพายุสุริยะ

แล้วจุดระเบิดบนดวงอาทิตย์ มีส่วนทำให้อากาศร้อนมากขึ้นจริงหรือ? "ดร.มติพล ตั้งมติธรรม" ผู้เชี่ยวชาญดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) อธิบายว่า จุดบนดวงอาทิตย์เป็นจุดดับ เป็นสนามแม่เหล็กที่มีมากมีน้อย เรียกว่าวัฏจักรดวงอาทิตย์ มักมีอนุภาคและมีพายุสุริยะ ทุกๆ 11 ปี ไม่เกี่ยวข้องทำให้โลกร้อนขึ้น หรืออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ในการปล่อยพลังงานออกมา และปีนี้ไปถึงปีหน้า เป็นช่วงที่จุดบนดวงอาทิตย์มีจำนวนมากที่สุด หรือโซลาร์แม็กซิมัม ดวงอาทิตย์จะสว่างไสว ไม่ได้ทำให้โลกร้อน และเมื่ออยู่แถบขั้วโลก จะเห็นออร่ามากขึ้น ส่วนดวงอาทิตย์ ก็จะมีจุดในช่วงใกล้จะตกดิน

"ฤดูร้อนเป็นเรื่องของลมน้ำอากาศเป็นส่วนใหญ่ ไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ไม่เกี่ยวกับอัตราการระเบิดของดวงอาทิตย์ ไม่ค่อยมีผลในการปล่อยพลังงาน แต่การระเบิดรุนแรงจากดวงอาทิตย์จะส่งผลให้เกิดพายุสุริยะ รบกวนระบบการสื่อสารทำให้การสื่อสารระยะไกลเป็นอัมพาต ไม่เคยได้ยินว่าจุดระเบิดบนดวงอาทิตย์ ทำให้โลกร้อน"


https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2765350

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 23-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'ชิคาโก' เสี่ยงเมืองทรุด! จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใต้พิภพ
................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล

KEY POINTS

-นักวิจัยพบว่า อุณหภูมิใต้ดินในแหล่งชุมชนที่มนุษย์ทำกิจกรรมปล่อยความร้อนลงสู่พื้นดิน ไม่ว่าจะเป็น อู่ซ่อมรถ ห้องใต้ดิน อุโมงค์ และระบบขนส่งใต้ดิน ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 27 องศาฟาเรนไฮต์ตั้งแต่ปี 1951

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใต้พิภพอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการทรุดตัว การเอียง สร้างรอยแตกร้าวในอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน

- ในช่วง 100 ปีที่ผ่าน ชิคาโกจมลงอย่างน้อย 4 นิ้ว จากการละลายของธารน้ำแข็ง และมีแนวโน้มจะทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง



"ชิคาโก" ยังคงเสี่ยงกับปัญหา "น้ำท่วม" และ "เมืองทรุดตัว" เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เวนิส จาการ์ตา นิวยอร์ก เนื่องจาก "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใต้พิภพ" ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยความร้อนลงสู่พื้นดิน เช่น การใช้รถไฟใต้ดิน อุโมงค์ ห้องใต้ดิน ส่งผลให้พื้นดินจม และทำให้ฐานรากของอาคารตึงเครียด


"ความร้อนใต้พิภพ" ทำให้ "ชิคาโก" ทรุดตัว

จากการศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น พบว่ามี "ภัยเงียบ" แฝงตัวอยู่ใต้พื้นถนนทั่วเมืองชิคาโก นั่นก็คือ "ความร้อนใต้พิภพ" ที่ทำให้พื้นดินผิดรูปได้ อเลสซานโดร รอตตา ลอเรีย นักวิจัยเจ้าของการศึกษา พบว่า นี่เป็นการศึกษาครั้งแรกในการวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก ?การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใต้พิภพ? ต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมือง ซึ่งกำลังคุกคามเมืองต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะเมืองริมน้ำ

พื้นที่ส่วนใหญ่ของชิคาโกถูกสร้างขึ้นบนพื้นทะเลสาบน้ำแข็ง มีดินเหนียวเป็นฐาน ซึ่งดินประเภทนี้รวมทั้งดินเนื้อละเอียดอื่นๆ จะพองตัวเมื่อได้รับความร้อน ส่งผลให้อาคารต่างๆ ทรุดตัวเร็วกว่าปกติ ขณะที่ดินเหนียวแข็งมาก และดินทรายจะหดตัวเมื่อถูกความร้อน ยิ่งทำให้อาคารไม่มั่นคงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ รอตตา ลอเรีย กล่าวว่า เกาะความร้อนใต้พิภพอาจไม่ทำให้อาคารพัง หรือทำร้ายมนุษย์ได้โดยตรง แต่ในระยะยาวแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใต้ดินอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการทรุดตัว การเอียง สร้างรอยแตกร้าวในอาคาร และโครงสร้างพื้นฐาน และทำให้ต้นทุนการซ่อมแซม และบำรุงรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เพื่อแยกแยะว่าใต้ดินในชิคาโกร้อนขึ้นจริงหรือไม่ ทีมวิจัยรวบรวมข้อมูลอุณหภูมิสามปีจากเซ็นเซอร์ใต้ดิน 150 ตัว ไว้ทั่วเมือง ทั้งบริเวณชานชาลารถไฟใต้ดิน ทางเข้าตึกสูง ถนนต่างระดับ อุโมงค์ย่านดาวน์ทาวน์ และสถานที่สำคัญต่างๆ

หลังจากรวบรวมข้อมูลมาตลอด 3 ปี ทีมวิจัยได้รวมข้อมูลเข้ากับแบบจำลองของชั้นใต้ดิน และอุโมงค์ของเมือง เพื่อแยกแยะว่าอุณหภูมิใต้ดินเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ข้อมูลแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 1951 ซึ่งเป็นปีที่ชิคาโกสร้างอุโมงค์รถไฟใต้ดินเสร็จ จนถึงปี 2051 พบว่าอุณหภูมิใต้ดินใกล้กับแหล่งความร้อนสูงขึ้นประมาณ 27 องศาฟาเรนไฮต์ตั้งแต่ปี 1951

นอกจากนี้ใต้อาคารบางหลังในเขตชิคาโกลูป ย่านศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ อาจร้อนกว่าแกรนท์ปาร์ค สวนสาธารณะใกล้ทะเลสาบ ถึง 18 องศาฟาเรนไฮต์

อุณหภูมิใต้พิภพของที่แตกต่างกันระหว่างพื้นที่ในเมืองกับพื้นที่สีเขียว เกิดขึ้นมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยความร้อนลงสู่พื้นดิน ไม่ว่าจะเป็น อู่ซ่อมรถ ห้องใต้ดิน อุโมงค์ และระบบขนส่งใต้ดิน โดยเฉพาะในย่านชิคาโกลูป ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะทำให้เกิดการขยายตัวหรือหดตัวของเกาะความร้อนใต้พิภพ

การศึกษายังพบว่าพื้นดินอาจขยายตัวได้ประมาณ 12 มิลลิเมตร ในขณะที่โครงสร้างอาจทรุดลงประมาณ 8 มิลลิเมตร แม้ว่ามนุษย์จะไม่สังเกตเห็น เพราะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แต่ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับอาคารที่ไม่มีออกแบบมาเพื่อรองรับการทรุดตัวของอาคารได้


"น้ำแข็งละลาย" อีกปัจจัยที่ทำให้ "ชิคาโก" จมน้ำ

อุณหภูมิใต้ดินที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เป็นเพียงอันตรายเท่านั้น ชิคาโกยังต้องเจอกับ "น้ำแข็งละลาย" ที่จะทำให้เมืองจมลงอีกด้วย จากข้อมูลของสำนักงานสมุทรศาสตร์ และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ หรือ NOAA พบว่า ในช่วง 100 ปีที่ผ่าน ชิคาโกจมลงอย่างน้อย 4 นิ้ว เนื่องจากการละลายของธารน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นที่เมื่อหลายพันปีก่อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงทำให้น้ำแข็งละลายอย่างต่อเนื่อง

เจคอบ เฮ็ก ที่ปรึกษาด้านภูมิศาสตร์ระดับภูมิภาค ของ NOAA กล่าวว่า ที่พื้นดินบริเวณเกรตเลกส์ ซึ่งเป็นกลุ่มของทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีการเอียงมากขึ้นหรือยุบลงราว 2 ฟุต ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เฮ็ก กล่าวว่า อาคารในสหรัฐค่อนข้างใหม่ เมื่อเทียบกับโครงสร้างแบบยุโรปที่มีอายุหลายศตวรรษ ดังนั้นจึงสามารถจัดการกับความเครียดภายในได้มากกว่าตอนนี้โครงสร้างอาคารในชิคาโกจึงยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับในเวนิส

ขณะที่ เซธ สไตน์ ศาสตราจารย์กิตติคุณในภาควิชาวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ และโลกจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น กล่าวว่า เขากังวลเกี่ยวกับความผันผวนของของระดับน้ำในทะเลสาบมิชิแกน

"ความอยู่รอดของชิคาโกขึ้นอยู่กับระดับน้ำในทะเลสาบมิชิแกน เมื่อ 4 ปีที่แล้วระดับน้ำในทะเลสาบสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จนท่วมชายหาดมิด แต่ปีนี้ปริมาณน้ำในทะเลสาบกลับลดลงอย่างมาก จนเห็นมีชายหาดเกิดใหม่หลายแห่ง" สไตน์กล่าวกับ Financial Times

สไตน์ชี้ให้เห็นว่าตึกระฟ้าในชิคาโกส่วนใหญ่มีทะเลสาบมิชิแกนเป็น "เขตกันชน" ทำให้ไม่ได้รับลมหนาว หรือพายุ แต่ในอนาคตต้องรับมือกับผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศขนานใหญ่ในอนาคต เพราะโครงสร้างและสถาปัตยกรรมหลายๆ อย่าง ไม่ได้รองรับมาสำหรับปัญหานั้นๆ ซึ่งหลายปัญหา เรายังไม่ได้คิดหาทางแก้ไขเลยด้วยซ้ำ

ในศตวรรษที่ 19 นักผังเมืองยกเมืองชิคาโกสูงขึ้น 14 ฟุต เพื่อที่พวกเขาจะได้ติดตั้งท่อระบายน้ำใต้ดิน อีกทั้งพยายามปรับทิศทางการไหลของแม่น้ำชิคาโก เพื่อไม่ให้มีทิ้งขยะหลุดรอดลงไปในทะเลสาบมิชิแกนอีกต่อไป

ที่ผ่านมาชิคาโกเอาชนะธรรมชาติได้เสมอ คราวนี้เป็นอีกหนึ่งครั้งที่มนุษย์จะต้องท้าทายขีดจำกัด หาทางรับมือกับภัยพิบัติที่อาจทำให้ชิคาโกหายไปจากแผนที่โลก

ที่มา: Financial Times, Popular Mechanics, The New York Times


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1114479

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 23-02-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


สุโก้ยคาวาอี้! ญี่ปุ่นค้นพบ "เพรียงทะเล" ชนิดใหม่ของโลก



นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นอวดโฉมสัตว์สายพันธุ์ใหม่ตระกูล "เพรียงหัวหอมทะเล" ที่มีหน้าตาคล้ายกับ "แพนด้า" ผสมผสานความน่ารักและน่าพิศวงในตัวเดียว พร้อมตั้งชื่อให้ว่า "gaikotsupandahoya" แปลว่า "เพรียงโครงกระดูกแพนด้าทะเล"

เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักวิทยาศาตร์ชาวญี่ปุ่นได้ตีพิมพ์วารสารวิชาการฉบับใหม่ของวันที่ 1 ก.พ.2567 ประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้ค้นพบสัตว์ใต้ทะเลสายพันธุ์ใหม่และตั้งชื่อว่า Clavelina ossipandae (คลาเวลินา ออสสิแพนเด) หรือชื่อเรียกทั่วไป ????????? (ไกคตสึพันดะโฮยะ) Skeleton Panda Sea Squirt หรือแปลว่า โครงกระดูกที่คล้ายแพนด้า


คาวาอี้ที่สุดที่เคยเจอมา

"เพรียงโครงกระดูกแพนด้าทะเล" นักวิจัยทางทะเลของญี่ปุ่นระบุว่า สัตว์ทะเลชนิดใหม่ของโลกตัวนี้คาดว่าน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดเท่าที่เคยมีมา พบได้บริเวณน้ำนิ่งรอบเกาะคุเมะจิมะ แถบโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น ลักษณะทางกายภาพ ลำตัวมีลักษณะเหมือนท่อกลวงไม่มีสี ยาว 2 เซนติเมตร ด้านในลำตัวพบอวัยวะเรียงตัวกันคล้ายโครงกระดูก ที่น่าตื่นตาตื่นใจคือมีหน้าตาคล้ายหมีแพนด้า เพราะมีจุดแต้มสีขาวสลับดำ

เจ้าสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลตัวนี้ถูกพบครั้งแรกโดยนักดำน้ำ จากนั้น นาโอฮิโระ ฮาเซกาวะ นักวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านเพรียงหัวหอมทะเล จากมหาวิทยาลัยฮอกไกโด กล่าวว่า เขาพบภาพของสัตว์ชนิดนี้ครั้งแรกในสื่อสังคมออนไลน์ X เมื่อปี 2561 และอธิบายว่า

"ส่วนสีขาวที่ดูเหมือนกระดูก คือ เส้นเลือด ส่วนจุดดำบนหัวที่ดูเหมือนตาและจมูกแพนด้านั้นเป็นแค่ลวดลาย แต่ยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น"

เพรียงหัวหอมทะเลเป็นสัตว์ทะเลที่มีรูปร่างคล้ายมันฝรั่ง สามารถพบได้ในทุกทะเลและมหาสมุทรบนโลก บางชนิดก็อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำตื้น บางชนิดอาศัยอยู่ในน้ำลึก ส่วนใหญ่จะยึดติดกับพื้นผิวต่างๆ ใต้ทะเล เช่น หิน ซากเรือ เปลือกหอยขนาดใหญ่ หรือแม้กระทั่งหลังปู

หมายเหตุ : แม้จะค้นพบเมื่อปี 2561 แต่ต้องใช้ระยะเวลาการศึกษา เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นสัตว์ชนิดใหม่ของโลกอย่างแท้จริง แล้วจึงประกาศอย่างเป็นทางการได้

ที่มา : CNN, Trending American, God's world news, Fractal Multiverse, Saltcorner


https://www.thaipbs.or.th/news/content/337320

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:18


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger