|
#1
|
||||
|
||||
รวมเรื่อง .... ภัยพิบัติของโลก (3)
ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ภัยรุมกระหน่ำเอเชีย มหันตภัยจากธรรมชาติซัดเอเชีย "เป็นชุด" ตลอดสัปดาห์นี้ ทำให้ประชาคมโลกรับ มือไม่ทัน พายุกิสนา ถล่มฟิลิปปินส์จมบาดาลในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงกรุงมะนิลา ตั้งแต่ 26 ก.ย. ก่อน กระหน่ำต่อในเวียดนาม กัมพูชา ลาว และไทย แผ่นดินไหวระดับ 8.0 ริกเตอร์ก่อคลื่นยักษ์ สึนามิ กวาดสิ่งปลูกสร้างริมหาดเกาะซามัวพังราบ ในวันที่ 30 ก.ย. ช่วงเช้ามืด ตกเย็น วันเดียวกัน แผ่นดินไหวขนาด 7.6 ริกเตอร์ พังถล่มเมืองปาดัง ในสุมาตราตะวันตก ยอดผู้เสียชีวิตทุกเหตุการณ์นี้รวมกันเกิน 1,500 ชีวิต แต่ภัยพิบัติยังไม่หมด พายุลูกใหม่ "ป้าหม่า" ที่ทวีกำลังความแรงเป็น "โคตรไต้ฝุ่น" ความเร็ว 230 กิโลเมตร จ่อเข้าซ้ำเติมฟิลิปปินส์อีก ส่วนศพใต้ซากอาคารที่เกลื่อนเมืองปาดังของอินโดนีเซีย เริ่มเน่าเปื่อยและส่งกลิ่นออกมามากขึ้น รัฐบาลอินโดนีเซีย เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ ในการกู้ภัยช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงกู้ศพที่อยู่ใต้ซากอาคาร หลังเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ แจ้งตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ที่ 1,100 ราย แรง สั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวทำให้เมืองปาดังกลายเป็นเขตหายนะ ไม่มีไฟฟ้า ประปา ซากอาคารถล่มทับขวางถนน ล้วนขัดขวางปฏิบัติการกู้ภัยที่ต้องเร่งแข่งกับเวลา ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐ ซึ่งเคยมาใช้ชีวิตในอินโดนีเซีย กล่าวแสดงความเสีย ใจด้วยอย่างสุดซึ้ง พร้อมประกาศมอบเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 3 แสนดอลลาร์ และตั้งงบช่วยเหลือเหยื่อประสบภัยอีก 3 ล้านดอลลาร์ ส่วนไทยส่งยาและทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลือ พร้อมกับอีกหลายๆ ชาติ เหตุการณ์ แผ่นดินไหวที่เมืองปาดัง ไม่ได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวแปลกใจ เนื่อง จากเมืองตั้งอยู่บนแนว "วงแหวนไฟ" หรือรอยเลื่อนของเปลือกโลก ตรงจุดที่เรียกว่า ร่องซุนดา แผ่นเปลือกโลกตรงผืนดินหลักในสุมาตราเคลื่อนไปทางตะวันออก ขณะที่ร่องซุนดาใต้มหาสมุทรเคลื่อนไปทางตะวันตก นัก วิทยาศาสตร์อธิบายว่า แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง มักเกิดจากแผ่นเปลือกโลกอินโดฯ -ออสเตรเลีย ปะทะกับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียนที่เคลื่อนทางสวนกัน เมื่อปลายปี 2547 ที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 8.2 ริกเตอร์ที่เกาะสุมาตรา ใกล้จังหวัดอาเจะห์ ก่อคลื่นยักษ์สึนามิ เข้าซัดแผ่นดินรอบมหาสมุทรอินเดีย มีผู้เสียชีวิตกว่า 220,000 รายนั้น ผู้เชี่ยวชาญคำนวณแล้วว่า จะเกิดแผ่นดินไหวที่เขย่าเมืองปาดัง ซึ่งมีประชากร 9 แสนคนในอนาคต เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รัฐบาลลงทุนสร้างอาคารที่ทนแรงแผ่นดินไหวและขยายถนนเพื่อลดความเสียหายเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งธรณีพิโรธในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ช่วง เวลาของเหตุแผ่นดินไหวที่เมืองปาดัง ของอินโดนีเซีย เกิดหลังจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกาะซามัว และอเมริกัน ซามัว ในทะเลแปซิฟิกใต้ ไม่ทันข้ามวัน ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ในเบื้องต้น ว่า สองเหตุการณ์นี้ไม่น่าเชื่อมโยงกัน เพราะอยู่ไกลกันถึง 10,000 กิโลเมตร สิ่ง ที่เหมือนกันคือความรุนแรงของแผ่นดินไหว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญห่วงว่า กรณีของอินโดนีเซียน่าห่วงกว่า ตรงที่เกาะสุมาตราเป็นที่ตั้งของ "ภูเขาไฟ" ลูกใหญ่ 3 ลูก แรงสั่นสะเทือนของดินอาจเขย่าให้ภูเขาไฟระเบิดได้ ส่วน กรณีเกาะซามัวและอเมริกัน ซามัว ระดับความรุนแรงสูงถึง 8.0 ริกเตอร์ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 90 ปี คลื่นสึนามิซัดอาคารบ้านเรือน รวมถึงรีสอร์ตที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ พังราบไปทั้งหาด มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 155 ราย รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หน่วยกู้ภัยสลดใจที่พบศพเด็กอย่างน้อย 5 รายในหมู่บ้าน โดยศพหนึ่งห้อยอยู่กับต้นไม้ หลังถูกคลื่นยักษ์ซัดกระเด็นขึ้นไป ด้าน ฟิลิปปินส์ ประชาชนหลายล้านคนที่รอดตายจากพายุกิสนา ต้องหวาดผวากับการเคลื่อนตัวเข้ามาของไต้ฝุ่นนาม "ป้าหม่า" ซึ่งเป็นชื่ออาหารของมาเก๊า ที่ก่อตัวด้วยกระแสลมแรง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย ประกาศภาวะภัยพิบัติทั่วประเทศ เพื่อให้พร้อมสำหรับการรับมือพายุ ไม่ว่า เบิกจ่ายงบช่วยเหลือฉุกเฉิน ควบคุมราคาสินค้า และอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากเมืองในเส้นทางพายุ โดยเฉพาะจังหวัดออ โรร่า ที่มีคำเตือนว่า พายุอาจถล่มบ้านเรือนพังราบ ส่วนกรุงมะนิลา อาจเกิดฝนกระหน่ำอย่างหนักอีก ทั้งที่ไม่ฟื้นจากฤทธิ์พายุกิสนา ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 293 ราย ผู้ประสบภัยอีกราว 400,000 คนยังคงพักอยู่ตามที่หลบภัย ไม่ว่า โรงเรียน โรงยิม และที่พักพิงชั่วคราวของรัฐบาล ทุก ปี ฟิลิปปินส์เผชิญพายุไต้ฝุ่นราว 20 ลูก แต่การรับมือเริ่มปรับเปลี่ยนไปในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากพายุก่อความเสียหายร้ายแรงยิ่งขึ้น และไม่มีใครรู้ว่า ความแรงจากภัยธรรมชาติจะลดลงเมื่อใด จาก : ข่าวสด วันที่ 4 ตุลาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
วิกฤตโลก? วันที่ขั้วโลกเหนือ..ไม่เหลือน้ำแข็ง อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ถนนโยธี บรรดาผู้สนใจเรื่องของ "วิกฤตโลก" ไปรวมตัวกันอย่างคับคั่ง เพราะเป็นงานเสวนาเรื่อง "วิกฤตโลก เมื่อขั้วโลกเหนือไม่เหลือน้ำแข็ง" โดยมี ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นวิทยากร พิธีกรในการเสวนาเริ่มต้นบรรยากาศด้วยเหตุการณ์ข่าว "ทากทะเล" ที่ขึ้นมาตายจำนวนมาก ที่จังหวัดชุมพร และสันนิษฐานว่าเป็นเพราะการเปลี่ยน แปลงกระแสน้ำวนของน้ำทะเล จากนั้นโยนคำถามให้อาจารย์อานนท์ ร่ายยาว ปัจจุบัน ดร.อานนท์เป็นผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านภัยพิบัติและการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวอธิบาย ว่าเคยไปเห็นหนอนทะเลที่หาดบางแสน เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่ง ซึ่งมันอยู่ดีๆ ก็มาก็เกิดขึ้น แล้วมีคนพูดเกี่ยวกับกระแสน้ำ หรือสัตว์พวกนี้ว่าเป็นสัตว์หน้าดิน เดินได้เอง ไม่ต้องให้กระแสน้ำพามา เพราะไม่ใช่เป็นแพลงตอน ฉะนั้น การที่มันมารวมกันที่ใดที่หนึ่ง ความคิดเห็นส่วนตัวแล้วน่าจะเป็นอยู่ในส่วนของการสืบพันธุ์ "เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เพราะผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ความรู้ทางด้านชีววิทยาก็มีไม่ค่อยมาก" เสียงอาจารย์ออกตัวก่อนบรรยายต่อ ว่ามีสัตว์ทะเลหลายชนิดเวลาสืบพันธุ์จะต้องมาอยู่ด้วยกัน เราอาจจะไม่ได้สังเกตว่าสัตว์ขึ้นมาสืบพันธุ์เสร็จ มันก็จะตาย พอตายมันเดินไม่ได้ถูกคลื่นซัดขึ้นมา เป็นเรื่องปกติ โดยปกติสัตว์ทะเลจะสืบพันธุ์ตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวง " ผมเคยเห็นพวกปลาหมึกหรือหนอนทะเลหลายชนิด มีวงรอบการสืบพันธุ์ของมันตรงกับภาพของพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึงไม่น่าใช่เรื่องกระแสน้ำที่ปกติในช่วงเวลาวันใดวันหนึ่ง" อาจารย์อานนท์กล่าว เมื่อถามถึงเรื่องของ "วิกฤตโลก ในวันที่ขั้วโลกเหนือไม่เหลือน้ำแข็ง" ดร. อานนท์กล่าวว่า ประเด็นนี้มีที่มาที่ไป โดย มีองค์กรเอกชนทางด้านวิชาการ ได้แถลงเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่าได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ ได้ข้อมูลนี้มา อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจาก "กองทุนสัตว์ป่าโลก" ด้วย (ขวาบน) "ทากทะเล" " ที่จริงแล้วเขาบอกว่าอีก 20 ปีถึงจะไม่มีน้ำแข็ง และฤดูร้อนก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ผมว่าจะเริ่มเห็น ได้เป็นบางปี ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีข้างหน้า แต่พอข่าวส่งบอกกันปากต่อปากมาเรื่อยๆ 10 ปี จะไม่มีน้ำแข็งแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันเป็นข้อมูลทางวิชาการ เป็นเรื่องที่ว่ากันแล้วมีการติดตามมาเป็นระยะยาว หลายประเทศค่อนข้างเป็นห่วง" จากนั้น ดร.อานนท์ให้ดูภาพของน้ำแข็ง เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 เป็นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต มองจากขั้วโลกเหนือลงมาเป็นจุดอยู่ตรงกลางเล็กๆ ขั้วโลกเหนือไม่มีแผ่นดิน อยู่กลางมหาสมุทรอาร์กติกถูกล้อมรอบด้วยแผ่นดิน พร้อมอธิบายว่า จะเห็นว่าตอนนี้น้ำแข็งโตขึ้นมาเต็มเหลือส่วนอีกเล็กน้อยที่ยังไม่เต็ม ในขณะที่น้อยที่สุดในปีนี้อยู่ที่วันที่ 16 กันยายน 2552 จะเห็นว่ามีน้ำแข็งอยู่เฉพาะส่วนเหนือของเกาะกรีนแลนด์ด้านบน " ปกติฤดูร้อนในอดีตน้ำแข็งจะหดลงมาเล็กน้อย เพราะฉะนั้นน้ำแข็งฤดูร้อนมันหายไปจริง ตอนนี้เหลือประมาณ เมื่อเทียบกับของมหาสมุทรอาร์กติกทั้งหมดอยู่ที่ประมาณแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มหาสมุทรอาร์กติกเท่านั้นเอง เมื่อก่อนมันร้อนจะลงมาอยู่ที่ประมาณ 50-60% ของมหาสมุทรอาร์กติก ตอนนี้ลงมาที่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ มันหายไปมาก" ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งทำให้มันยิ่งร้อนได้นานขึ้นกว่าเดิม เสียงบอกถึงสาเหตุจาก ดร.อานนท์ " ปลายฤดูตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปถึงธันวาคม 2551 น้ำแข็งจะอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านตารางกิโล เมตร ในอดีตฤดูร้อนจะหดลงมาเหลืออยู่ที่ประมาณ 7 ล้านตารางกิโลเมตร แต่ในปัจจุบันปี 2552 หดลงมาเหลือ 5 ล้านตารางกิโลเมตร แต่ยังไม่ใช่น้อยที่สุด เพราะในปี พ.ศ.2550 เป็นปีที่น้ำแข็งหายไปมากที่สุด หดลงเหลือแค่ประมาณ 4 ล้านตารางกิโลเมตร" เสียง ดร.อานนท์กล่าวต่อไปอีก ว่า ณ วันนี้แค่ประมาณเดือนเศษๆ น้ำแข็งเพิ่มขึ้น 5-8 ล้านตารางกิโลเมตร เพราะน้ำแข็งพอเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวมันเกิดเร็ว เพราะว่ามันเย็นมาก และน้ำแข็งมันเกิดจากการเย็นตัวของน้ำทะเลโดยตรง เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับเอาน้ำใส่แก้วไปใส่ในตู้ฟรีซเซอร์ มันก็จะเริ่มแข็ง แต่ไม่มีผลอะไรกับระดับน้ำทะเลมาก เพราะไม่ได้เติมน้ำจากด้านนอกเข้ามา ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา " แต่ที่น่าสนใจ คือเราดูจากแนวโน้ม ปี 2552 ปีเดียวคงไม่ได้บอกอะไร และสิ่งที่อยากดูตอนนี้คืออายุเฉลี่ยของน้ำแข็ง ในอดีตอายุของน้ำแข็งจะนาน พวกที่มีอายุเก่ากว่า 2 ปี เป็นน้ำแข็งที่อยู่ถาวร แต่ในปัจจุบันส่วนที่เป็นสีเขียวเหลือน้อยมาก แสดงว่าน้ำแข็งเดี๋ยวนี้มันวูบวาบมาก หน้าร้อนก็หายไปมาก หน้าหนาวคืนกลับขึ้นมา เพราะฉะนั้นมันทำให้การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แกว่งมาก ระบบนิเวศอะไรต่างๆที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องมีการปรับให้รับกับสภาพแบบ ใหม่ๆ นี้ให้ดีขึ้น" เพราะฉะนั้น ปี 2552 นี้ น้ำแข็งไม่ได้ละลายมากเหมือนปี 2550 แต่ที่น่ากังวล คือเรื่องของชั้นน้ำแข็งถาวรในเขตทุนดรา หรือทุ่งหิมะแถบขั้วโลก ชายฝั่งบริเวณนี้ปัจจุบันเป็นเขตทุนดรา คือเขตที่มีต้นมอสมีหญ้าขึ้นบ้างนิดหน่อย ไม่มีต้นไม้ใหญ่ บริเวณชั้นตรงนี้ในฤดูร้อนจะไม่มีน้ำแข็งปกคลุม แต่พอฤดูหนาวจะมีน้ำแข็งคลุม พอฤดูร้อนชั้นที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปมันมีชั้นน้ำแข็งถาวร แต่ระยะหลังบริเวณนี้ขุดลงไปประมาณ 1 เมตรจะเป็นน้ำแข็ง ส่วนด้านบนจะเป็นดิน ชั้นน้ำแข็งสิ่งที่สำคัญคือมันทำหน้าที่เหมือนกับเป็นตัวล็อคก๊าซมีเทนที่ อยู่ใต้ดิน ก๊าซมีเทนอยู่มานานเป็นร้อยเป็นพันปี การเกิดมีเทนมันมีน้ำแข็งคลุมเอาไว้ไม่แพร่ ขึ้นมาด้านบน พอไม่แพร่ก็สะสมอยู่ด้านล่างเรื่อยๆ หากมหาสมุทรอาร์กติกร้อนขึ้นๆ โดยเฉพาะฤดูร้อน ชั้นน้ำแข็งถาวรตรงนี้อาจจะละลายหายไป ฉะนั้น ความสามารถในการเก็บมีเทนไว้จะน้อยลง ...มันอาจจะถึงจุดหนึ่งมีเทน จำนวนมหาศาล จำนวนเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์ปล่อยประมาณ 20 ปี แต่ถ้ามันพรวดออกมาในปีเดียวจะทำเหมือนกับว่าเราต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ถึงเรือนกระจกถึง 20 ปี ก๊าซมีเทนจำนวนเท่าๆ กันกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มันทำให้โลกร้อนมากกว่า ประมาณ 21 เท่า เพราะว่าการเก็บความร้อนของก๊าซมีเทนดีกว่าก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ ฉะนั้น มีเทนถึงแม้จะปล่อยออกมาปริมาณน้อยก็สามารถทำให้โลกร้อนได้รุนแรงมากกว่า และถ้าเกิดมาจริงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลัน ซึ่งค่อนข้างน่าวิตก ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเปลี่ยน แปลงอย่างต่อเนื่อง ปีประมาณ 1% โดยประมาณ ดังนั้น เราจะบอกว่ารอได้อีก 20-30 ปีถึงจะวิกฤต ดร.อานนท์ระบุว่า นี่คือการคาดการณ์ในอนาคต " ในเขตพื้นราบของทั้งโลก ซึ่งเคยมีพื้นที่น้ำแข็งอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านตารางกิโลเมตร ในปัจจุบันนี้มันหายไปแล้วจริงๆ เหลือแค่ประมาณ 10 ล้านตารางกิโลเมตร คือหายไปแล้ว 20% ตั้งแต่หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา อีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ถ้ามนุษย์ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังปล่อยไปเรื่อยๆ โลกก็ร้อนขึ้นมาก" ดร.อานนท์กล่าวแบบฟันธงว่าโลกอนาคตอย่างไรมัน เปลี่ยนแน่ๆ ไม่มีใครมองว่าจะกลับไปเหมือนเดิม อยู่ที่ว่าเปลี่ยนมากเปลี่ยนน้อยแล้วเราปรับตัวกับมันได้ทันหรือไม่ การเสวนาขยายความต่อไป ว่ามีคนสนใจมาก ถ้าแถบมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งอยู่ใกล้กับแคนาดา อลาสกา รัสเซีย หากแถบนั้นอุ่นขึ้นต้นไม้ต่างๆ จะเปลี่ยนไป เขตทุนดราที่มีอยู่โดยรอบจะหายไป ในอนาคตอีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า ชั้นน้ำแข็งถาวร (permafrost) จะเหลืออยู่แค่นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนในเรื่องของระบบนิเวศ มีคนพูดถึง "หมีขาว" เพราะหมีขาวอาศัยอยู่บนน้ำแข็ง ถ้าน้ำแข็งเล็กลงไป หมีขาวคงจะเดือดร้อน โอกาสที่หมีขาวจะสูญพันธุ์อย่างสิ้นเชิง ยังไม่ใช่ แต่จำนวนประชากรคงลดลง ไปมาก อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าบริเวณตรงนั้นเป็นป่ามากขึ้น ทำให้มนุษย์รุกตามขึ้นไป อาจไปรบกวนระบบนิเวศของมัน " การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศไม่ใช่ด้วยลำพังของตัวมันเอง แต่มีเรื่องอื่นเชื่อมโยงกันมากมาย ฉะนั้น ต้องมองในภาพรวม ไม่ใช่มองเฉพาะเรื่องกายภาพอย่างเดียวเท่านั้น" บทสรุปจาก ดร.อานนท์ ที่เป็นการตอบคำถาม "วิกฤตโลก" จาก : มติชน วันที่ 23 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
10 คำทำนาย “วันสิ้นโลก” (ที่ไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริง) น้ำท่วมที่อังกฤษเนื่องจากเขื่อนทะลักเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (ภาพประกอบทั้งหมดจากเอเอฟพี) อิทธิพลของภาพยนตร์ที่ว่าด้วยวันสิ้นโลกในปี 2012 ชวนให้หลายคนพูดถึงหายนะของมนุษยชาติที่จะจบสิ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างออกรสออกชาติ แต่นอกจากคำทำนายถึงวันสุดท้ายของโลกจากชนเผ่ามายาแล้ว ยังมีอีกหลายคำพยากรณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง - ปี 1806 สัญญาณสิ้นโลกจากแม่ไก่ ในประวัติศาสตร์มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่า พระเยซูคริสต์กำลังจะกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง และเหตุการณ์ที่ถือเป็นการส่งสัญญาณของการกลับคืนคือ ที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษมีแม่ไก่ออกไข่ที่เรียงเป็นประโยคว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ” และเมื่อข่าวเกี่ยวกับความน่าอัศจรรย์นี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเชื่อว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังใกล้เข้ามา จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งเกิดกังขาได้สังเกตดูการวางไข่ จนพบว่ามีบางคนที่พยายามสร้างเรื่องหลอกลวงนี้ขึ้น - 23 เม.ย.1843 กำหนดวันพระเจ้าทำลายโลก ชาวนาผู้หนึ่งที่นิวอิงแลนด์นามว่า วิลเลียม มิลเลอร์ (William Miller) ได้ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง และได้สรุปว่าพระเจ้าทรงเลือกวันที่จะทำลายล้างโลกว่า อยู่ระหว่างวันที่ 21 มี.ค.1843 - 31 มี.ค.1844 เขาสั่งสอนผู้คนมากมายพร้อมๆกับการตีพิมพ์สิ่งที่เขาสอนเพื่อเผยแพร่ จนมีสาวกที่รู้จักกันในนาม “มิลเลอไรต์ส” (Millerites) อยู่หลายพันคน และเหล่าสาวกนี้ก็ตัดสินให้วันที่ 23 เม.ย.1843 เป็นวันสิ้นโลก หลายคนขายและมอบสิ่งของที่พวกเขาครอบครองด้วยคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เมื่อวันที่กำหนดมาถึงแล้วพระเยซูก็ไม่ได้กลับมา คนเหล่านี้ก็สลายกลุ่มกันไป แต่บางคนก็ออกไปตั้งกลุ่มใหม่ “เซเวนท์ เดย์ แอดเวนทิสต์” (Seventh Day Adventists) ที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพระเยซูอีกครั้ง - ปี 1891 วันสิ้นโลกของชาวมอร์มอน โจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) ผู้ก่อตั้งนิกายมอร์มอน (Mormon church) ได้เรียกประชุมผู้นำนิกายของเขาในปี 1835 เพื่อบอกว่า เขาเพิ่งสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า และระหว่างการสนทนานั้นเขาได้รับรู้ว่า พระคริสต์จะกลับมาในอีก 56 ปีนับจากนั้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจาก “วันสุดท้าย” - ปี 1910 ดาวหางฮัลเลย์พาหายนะสู่โลก ในปี 1881 นักดาราศาสตร์คนหนึ่งวิเคราะห์สเปกตรัมแล้วพบว่า หางของดาวหางนั้นมีก๊าซพิษนำความตายที่เรียกว่า “ไซยาโนเจน” (cyanogen) สิ่งที่เขาค้นพบนั้นไม่ได้รับความสนใจนัก จนกระทั่งบางคนตระหนักขึ้นได้ว่า โลกกำลังจะผ่านหางของดาวหางฮัลเลย์ในปี 1910 จึงเกิดคำถามว่าทุกๆคนบนโลกจะถูกอาบด้วยก๊าซพิษดังกล่าวหรือไม่? จากนั้นมีการใคร่ครวญถึงเรื่องดังกล่าวซ้ำๆบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์กไทม์” และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำได้ออกมาอธิบายว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัว” เหตุเหมืองถล่มในจีน - ปี 1982 วันพิพากษา ในเดือน พ.ค.ของปี 1980 แพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) ผู้สอนศาสนาคริสต์ที่ให้บริการทางสถานีโทรทัศน์และเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตรคริสเตียน (Christian Coalition) ได้ทำให้ผู้คนตื่นตกใจเมื่อเขาให้ข้อมูลแก่ผู้ชมรายการทีวี “700 คลับ” (700 Club) ทั่วโลกว่า เขารู้ว่าเมื่อใดที่โลกจะสิ้นสุด โดยประกาศก้องว่า “ผมรับรองได้ว่าพวกคุณจะจากไปก่อนสิ้นปี 1982 ซึ่งจะมีการพิพากษาโลก” แต่คำประกาศดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่ระบุว่าไม่มีใครรู้ถึงวันเวลาที่โลกจะสิ้นสุด แม้แต่เหล่าเทวดาบนสวรรค์ - ปี 1997 ประตูสวรรค์เปิด เมื่อดาวหางเฮล์-บอปป์ (Hale-Bopp) ปรากฏในปี 1997 ก็มีข่าวลือว่ายานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจะติดตามดาวหางมาด้วย แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกปิดบังไว้ แน่นอนว่าองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และเหล่านักดาราศาสตร์ตกเป็นจำเลยของข้อกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลนี้ แม้ข่าวลือดังกล่าวจะถูกปฏิเสธจากนักดาราศาสตร์และใครก็ตามที่มีกล้องโทรทรรศน์ที่มีความละเอียดพอ แต่ข่าวลือนั้นก็ยังถูกเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุอยู่ดี และยังทำให้เกิดลัทธิ “ซานดิเอโกยูเอฟโอ” (San Diego UFO) ซึ่งระบุว่าประตูสวรรค์จะเปิดออก และกำหนดวันสิ้นโลกที่จะกำลังใกล้เข้ามา และสมาชิกของลัทธิ 39 คนก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 26 มี.ค.1997 - เดือน 7 ปี 1999 คำทำนายแห่งนอสตราดามุส ข้อความที่เขียนขึ้นด้วยภาษายากๆ และใช้การเปรียบเทียบของ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel de Nostrdame) หรือนอสตราดามุส ก่อให้เกิดความสนใจจากผู้คนเป็นเวลากว่า 400 ปี โดยงานเขียนของเขาที่ตีความได้หลากหลายนั้น ถูกนำไปแปลแล้วแปลอีกในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายสิบรูปแบบ และหนึ่งในการตีความที่โด่งดังที่สุดคือ “ปี 1999 เดือนที่ 7 เจ้าแห่งความสยองขวัญจะมาจากฟ้า” และผู้ที่ศรัทธาในนอสตราดามุสได้ขยายความตื่นตระหนกนี้ออกไปว่าเป็นวันสิ้นสุดของโลก - “วายทูเค” โลกป่วน-คอมพ์รวนรับสหัสวรรษใหม่ ในช่วงที่ปลายศตวรรษก่อนใกล้จะสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนมากเริ่มวิตกกังวลว่า คอมพิวเตอร์อาจนำหายนะมาสู่โลก เป็นหายนะที่ทุกคนเรียกกันว่า “วายทูเค” (Y2K) ซึ่ง Y เป็นคำย่อมาจาก “Year” และ 2K เป็นสัญลักษณ์ของปี 2000 ที่ K หมายถึง “กิโล” (Kilo) ในภาษากรีกที่มีค่าเท่ากับ 1,000 ปัญหาของวายทูเค ถูกตั้งข้อสังเกตครั้งแรกเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ว่า คอมพิวเตอร์จำนวนมากอาจไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างปี 2000 และ 1900 ได้ ไม่มีใครแน่ใจเลยว่านั่นจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายคนก็ชี้ให้เห็นหายนะใหญ่หลวงที่อาจจะเป็นได้ทั้งไฟดับครั้งใหญ่ ไปจนถึงหายนะทำลายโลกจากนิวเคลียร์ แต่สหัสวรรษใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความขลุกขลักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น - 5 พ.ค.2000 น้ำแข็งแอนตาร์กติกถล่มโลก แม้กรณี “วายทูเค” ไม่ได้แผลงฤทธิ์มากนัก แต่หนังสือ “น้ำแข็ง 5/5/2000 : ภัยพิบัติขั้นสูงสุด” (5/5/2000 Ice: the Ultimate Disaster) ที่เขียนขึ้นโดย ริชาร์ด นูน (Richard Noone) เมื่อปี 1997 ก็สร้างความตื่นตระหนกได้อีกครั้ง ซึ่งเขาระบุว่าน้ำแข็งจากทวีปแอนตาร์กติกปริมาณมหาศาลที่มีความหนาถึง 5 กิโลเมตรนั้นจะทำให้โลกถึงหายนะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามก่อนวันที่ 5 พ.ค.2000 - ปี 2008 ผู้หยั่งรู้ทำนายโลกสิ้นสุดก่อนฤดูใบไม้ร่วง จากหนังสือ “2008: พยานรู้เห็นคนสุดท้ายของพระเจ้า” (2008: God's Final Witness) ของ โรนัลด์ ไวน์แลนด์ (Ronald Weinland) ผู้นำนิกายคริสตจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า (God's Church) ที่เขียนเมื่อปี 2006 ว่า วันสุดท้ายของโลกมาถึงเราอีกครั้ง โดยหนังสือดังกล่าวประกาศว่า ผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องเสียชีวิตก่อนสิ้นปี 2006 ทั้งนี้ผู้คนมีเวลามากสุดเพียง 2 ปีที่เหลืออยู่ ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไปสู่ช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์ “ก่อนฤดูใบไม้ร่วงในปี 2008 สหรัฐฯ จะพังทลายด้วยอำนาจทำลายล้างของโลก และจะไม่มีชนชาติใดเหลือรอด” ข้อความในหนังสือระบุ โดยที่โรนัลด์ ไวน์แลนด์ ยกตัวเองให้เป็นผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า คำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่ง livescience.com ได้ รวบรวมและนำเสนอไว้ ก็หาได้เป็นจริงขึ้นมา ซึ่งยังคงเหลือคำทำนายเบื้องหน้าอันใกล้คือในปี 2012 ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงร้ายกาจกว่าครั้งใดๆ และถ้าหากปี 2012 ผ่านไป โดยไม่เกิดอะไรร้ายแรง คงจะมีคำทำนายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามความเชื่อใน “วันสิ้นโลก” ทว่าวัฏจักรของดวงอาทิตย์และโลกที่แท้จริงอาจจะยังอีกยาวนานกว่านี้หรือสั้นกว่าที่คิดนัก ทั้งหมดเกินกว่าที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำ จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
อุณหภูมิโลกสูงขึ้นน้ำแข็งขั้วใต้ละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น 1.4 ม. วิจัยแอนตาร์กติกเตือนปี 2643 โลกอาจเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ จากน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกใต้ละลาย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญ ระบุสิ้นศตวรรษนี้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นหลายสิบซม.... คณะกรรมการวิจัยแอนตาร์กติกกล่าวเตือนว่า โลกจะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เพราะน้ำแข็งปกคลุมขั้วโลกใต้ละลาย จะเป็นเหตุให้ระดับน้ำทะเลในราวปี พ.ศ. 2643 นี้ สูงขึ้นอีก 1.4 เมตร คำเตือนเป็นการสรุปรายงาน เรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อมของแอนตาร์กติก" ซึ่งจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในสาขาต่างๆ 100 นาย ผู้อำนวยการของคณะกรรมการ ดร.โคลิน ซัมเมอร์เฮย์ส ได้ออกปากว่า "เป็นการวาดภาพให้เห็นกลียุคที่โลกจะต้องเผชิญ ซึ่งกำลังคืบคลานเข้ามาสู่" และเสริมว่า "อุณหภูมิของอากาศก็เพิ่มขึ้น อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรก็มากขึ้น ระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้น" ผู้เชี่ยวชาญของคณะสำรวจแอนตาร์กติกแห่งอังกฤษ ก็รายงานว่า น้ำภายใต้ริมขอบชั้นแผ่นน้ำแข็งของแอนตาร์กติกตะวันตกก็อุ่นขึ้น เร่งให้น้ำแข็งละลายออกมาในมหาสมุทรเร็วขึ้น ในราวสิ้นศตวรรษนี้ชั้นน้ำแข็งอาจจะสูญเสียน้ำแข็งไปมาก จนทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นอีกหลายสิบเซนติเมตร(ซม.). จาก : ไทยรัฐ วันที่ 7 ธันวาคม 2552
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ผวารอบใหม่รับปีใหม่ ดาวเคราะห์น้อย 'อะโพฟิส' ชนโลก?? เข้าสู่ปีใหม่ 2553 นอกจากคำทำนายทายทักดวงดาวในทางโหราศาสตร์ที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดีแล้ว กับเรื่องดวงดาวในทางดาราศาสตร์-วิทยาศาสตร์ก็มีรายงานในทางไม่ดีอีกครั้ง เช่นกัน โดยเป็นเรื่องของ “ดาวเคราะห์น้อย” ที่ชื่อว่า “อะโพฟิส (99942 Apophis)” เกี่ยวกับการจะ “เฉี่ยวโลก-ชนโลก ??” เดิมมีรายงานว่าอะโพฟิสจะแค่เฉี่ยวใกล้โลกมาก แต่ล่าสุดมีรายงานชิ้นใหม่ว่ามีโอกาสชนโลก ??? ทั้งนี้เรื่องของดาวเคราะห์น้อยหรือแอสเตอรอยด์ที่ชื่อ “อะโพฟิส” นั้นมิใช่เรื่องใหม่ มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่มันอาจคุกคามโลกมานานแล้ว และย้อนไปเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็เคยนำเสนอเกี่ยวกับมัน โดยข้อมูลจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย ในบทความของ วรเชษฐ์ บุญปลอด ระบุว่าอะโพฟิสถูกพบครั้งแรกเมื่อเดือน มิ.ย. ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งขณะนั้นถูกเรียกว่า 2004 เอ็มเอ็น 4 (2004 MN4) และก็มีการคำนวณเรื่อยมา ประเด็นโดยสรุปที่เคยมีรายงานข่าวจากต่างประเทศโดยผู้เชี่ยวชาญด้านที่ เกี่ยวข้อง ก็เช่น... มีการคำนวณเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ว่าในวันที่ 13 เม.ย. ปี พ.ศ. 2572 หรือ ค.ศ. 2029 ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะโคจรผ่านเฉียดใกล้โลกด้วยระยะห่างประมาณ 64,400 กิโลเมตร แต่ต่อมามีการสรุปใหม่ว่าอะโพฟิสจะเฉียดโลกด้วยระยะห่าง เพียง 36,350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า ใกล้กว่าดาวเทียมค้างฟ้า และก็มีการพูดถึงประเด็น “อะโพฟิสอาจชนโลก ??” นอกจากนี้ ยังมีการระบุอีกว่า...แม้อะโพฟิสจะไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 แต่เมื่อมันเข้าใกล้โลกมาก ๆ แล้ว แรงโน้มถ่วงของโลกจะเบนวงโคจร ซึ่งจะส่งผลให้การคาดหมายวงโคจรในอนาคตแม่นยำน้อยลง จากนั้นก็มีผลการคำนวณออกมาอีกว่า... วันที่ 13 เม.ย. ปี พ.ศ. 2579 ซึ่งก็ตรงกับวันสงกรานต์ของไทยเช่นเดียวกับครั้งแรก อะโพฟิสที่หากไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 จะโคจรย้อนมาทางโลกอีกครั้งในปี พ.ศ. 2579 นี้ และ “อะโพฟิสมีโอกาสชนโลก ??” ในรอบนี้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดต้นปีนี้มีรายงานที่ไม่มีการยืนยัน ว่าถ้าไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 ก็อาจชนในปี พ.ศ. 2575 ไม่ถึงปี พ.ศ. 2579 แม้เรื่องการชนโลกของดาวเคราะห์น้อย “อะโพฟิส” จะยังไม่เคยมีการยืนยันชัดเจน 100% จากนักดาราศาสตร์-นักวิทยาศาสตร์สาขาที่เกี่ยวข้องมาก่อน เช่นเดียวกับกรณีจะโคจรวนกลับมาชนในปี พ.ศ. 2575 อย่างไรก็ตามพลันที่ทางรัสเซียมีการเคลื่อนไหวดำเนินการเกี่ยวกับอะโพฟิส ก็ทำให้อะโพฟิสเป็นข่าวฮือฮาอีกครั้ง “อะโพฟิสอาจชนโลก ??” เขย่าขวัญชาวโลกอีกครั้ง ช่วงส่งท้ายสิ้นปี พ.ศ. 2552 ต่อเนื่องถึงต้นปี พ.ศ. 2553 มีรายงานข่าวว่า ในขณะที่ทาง องค์กรการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือนาซา ยังแค่เฝ้าติดตามจับตาอะโพฟิส ทาง สำนักงานอวกาศรัสเซีย ได้ตัดสินใจจะพิจารณา “ส่งยานอวกาศไปยังดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส” ซึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 350 เมตร (ข้อมูลบางแหล่งก็ว่า 250-270 เมตร บางแหล่งก็ว่า 300 เมตร) ซึ่งคาดว่าจะโคจรผ่านใกล้โลก หรืออาจชนปะทะทำความเสียหายร้ายแรงให้โลก โดยการจะส่งยานอวกาศของรัสเซียครั้งนี้ภารกิจคือ “ชนปะทะให้อะโพฟิสหลุดจากเส้นทางโคจร ป้องกันความเป็นไปได้ที่อาจพุ่งชนโลก !!” ฟังดูเหมือนหนังอวกาศ...แต่อะโพฟิสมันมีอยู่จริง !!! ทั้งนี้แม้จะมีรายงานข่าวว่าทางองค์การนาซาระบุว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่อะโพ ฟิสจะชนโลกในปี พ.ศ. 2572 และการโคจรกลับมาในรอบต่อ ๆ ไป ทั้งในปี พ.ศ. 2579 และรวมถึงปี พ.ศ. 2611 ทางนาซาก็แสดงท่าทีปฏิเสธที่จะระบุเรื่องโอกาสชนโลกอีก แต่กระนั้นเรื่องการชนโลกของอะโพฟิสก็ยังอยู่ในความสนใจอย่างหวาด ๆ ในทุกมุมโลก เพราะขนาดของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ ไม่ว่าจะเส้นผ่าศูนย์กลาง 270 จะ 300 หรือ 350 เมตร ยังไงก็ถือว่าไม่ใช่เล็ก ๆ “ไม่ใช่อุกกาบาตจิ๊บจ๊อย” ซึ่งหากจะว่ากันที่ตัวเลขกลาง ๆ คือเส้นผ่าศูนย์กลางราว 300 เมตร ถ้าเป็นตัวเลขนี้ทาง สมาคมดาราศาสตร์อังกฤษ เคยคำนวณน้ำหนักของอะโพฟิสไว้ว่า...อยู่ที่ประมาณ 45 ล้านตัน !! “จะสร้างหายนะกับโลกขนาดไหนขึ้นอยู่กับบริเวณที่พุ่งชน ถ้าชนพื้นโลกจะเกิดแอ่งกว้างราว 6 กิโลเมตร ถ้าชนในทะเลก็อาจทำให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 3-22 เมตร และจะทำลายชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด” ...เป็นการระบุของนักวิทยาศาสตร์ในการประชุมขององค์การนาซาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนหน้านี้ เป็นการระบุถึง “อะโพฟิส” ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนก็บอกว่า...ถ้าคิดจะใช้ “ระเบิดนิวเคลียร์” ผลักให้มันหลุดออกจากวงโคจรเหมือนในหนังเรื่อง “อาร์มาเก็ดดอน” ถึงเอานิวเคลียร์ไประเบิดได้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยต่อโลก เพราะจะทำให้อะโพฟิสแตกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นสะเก็ดดาวใหญ่ที่อาจมีถึง 5 สะเก็ด และมีโอกาสพุ่งสู่โลก และถ้าใครไม่อยากเชื่อฝรั่ง อยากฟังนักวิทยาศาสตร์ไทย อยากถามว่า “ทำไมต้องกลัวดาวเคราะห์น้อยชนโลก ??” ทาง รศ.ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล ก็เคยบอกผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เอา ไว้ว่า..... “ถ้าพุ่งชนโลก ความรุนแรงก็จะไม่ต่างกับระเบิดนิวเคลียร์ที่มีแรงทำลายล้างมหาศาล ยิ่งถ้าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กิโล เมตรขึ้นไป จะถึงกับล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้ !!!”. จาก : เดลินิวส์ คอลัมน์สกู๊ปหน้า 1 วันที่ 5 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
|||
|
|||
ตอนนี้ไปที่ไหนๆ ชาวบ้านชาวป่าเขา ก็พูดเหมือนกันว่า ปีนี้อากาศเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม แปลกมากๆ
|
#7
|
||||
|
||||
อากาศวิปริต ป่วนทั้งโลก ไทยฝนหลงฤดู อากาศทั่วโลกวิปริตหนักฤดูกาลผิดเพี้ยน อังกฤษติดลบต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศไทยเดือนมกราคม เกิดฝนหลงฤดูถล่มลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว... อากาศทั่วโลกวิปริตหนัก ฤดูกาลผิดเพี้ยนจากเดิมชนิ ไม่เคยเกิดมาก่อน อังกฤษวิกฤติหนัก อุณหภูมิหนาวจัด ติดลบต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หิมะหนาเตอะบนถนน 40 ซม. สนามบินทั่วประเทศปิดตาย เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิกกะทันหัน ระดมทหารเร่งช่วยเหลือเจ้าของรถกว่า 1 พัน ที่ติดหิมะอยู่บนท้องถนน ขณะที่ฟุตบอลคาร์ลิงคัพ ระหว่างปิศาจแดงกับเรือใบต้องเลื่อนออกไปเพราะหิมะเป็นเหตุ ด้านนอร์เวย์เลวร้ายสุดใน ทวีปยุโรป ต้องเผชิญความหนาวเย็นติดลบถึง 41 องศาเซลเซียส ส่วนจีนประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าและถ่านหินอย่างหนัก ปักกิ่งอุณหภูมิติดลบ 16 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพฯ ฝนหลงฤดูถล่มกรุง น้ำท่วมขังถนนหลายสาย การจราจรเป็นอัมพาตโกลาหลทั้งเมืองโลกวิปริตหนัก เกิดสภาพอากาศแปรปรวน ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั่วทั้งโลก ทั้งอากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบ หิมะตกหนักเป็นแผ่นหนาในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกาประเทศจีน กับอีกหลายแห่งของทวีปเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศไทยในเดือนมกราคมซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ก็เกิดฝนหลงฤดูถล่มลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่วในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต รถราติดขัด น้ำท่วมขังจนโกลาหลกันทั้งเมือง ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันพุธที่ 6 ม.ค.ว่า หลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรปและเอเชีย เผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นผิดปกติต้อนรับปีใหม่ โดยที่อังกฤษ ทั่วทั้งประเทศไล่ตั้งแต่กรุงลอนดอนไปตลอดภาคกลาง เหนือ ใต้ จนถึงสกอตแลนด์ อากาศหนาวเย็นและหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 30 ปี หลายเมืองเผชิญพายุหิมะหรือหิมะตกหนาถึง 40 ซม. ส่งผลให้การขนส่งคมนาคมเป็นอัมพาต ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และการจราจรทางอากาศ สนามบินหลายแห่งต้องปิดชั่วคราว รวมทั้งสนามบินเกตวิคในลอนดอน ซึ่งถูกปิดเมื่อคืนวันที่ 5 ม.ค. เพื่อให้เจ้าหน้าที่เคลียร์หิมะจากรันเวย์ นอกจากนี้ ผู้โดยสารที่จะจับเที่ยวบินจากสนามบินฮีทโธรว์ ยังได้รับคำเตือนให้เช็กกับสายการบินก่อนเดินทางไปที่สนามบินและเผื่อเวลาสำหรับความล่าช้า ส่วนสนามบินลูตัน เบอร์มิงแฮม แมนเชสเตอร์ เซาแธมป์ตัน และสนามบินจอห์น เลนนอน ในเมืองลิเวอร์พูล ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป ส่วนผู้ให้บริการ รถไฟทั่วอังกฤษก็ประกาศลด ยกเลิก หรือเลื่อนการเดินรถไฟหลายขบวน รวมทั้งขบวนเข้าออกกรุงลอนดอน ไปจนถึงรถไฟสายอีสต์ โคสต์ อีสต์ มิดแลนด์ ชิลเทิร์น เรลเวย์ส เฟิร์ส เกรต เวสเทิร์น ฯลฯ ขณะที่โรงเรียนหลายร้อยแห่งทั่วประเทศถูกสั่งปิด โดยเฉพาะในเขตแลงคาสเชียร์ เวสต์ ยอร์คเชียร์ เวสต์ มิดแลนด์ กลอสเตอร์เชียร์ ฮาตฟอร์ดเชียร์ และเซอร์เรย์ ได้รับผลกระทบหนักที่สุด กองทัพอังกฤษยังระดมทหารออกมาช่วยบรรเทาทุกข์ รวมทั้งไปช่วยอพยพผู้ขับรถยนต์กว่า 1,000 คัน ที่ติดค้างอยู่บนถนน ซึ่งหิมะสุมหนาจนรถติดยาวเหยียดในเมืองแฮมเชียร์ สภาพอากาศอันเลว ร้ายยังส่งผลให้การแข่งขันฟุตบอล กีฬาสุดฮิตของอังกฤษต้องยกเลิก รวมทั้งฟุตบอล "คาร์ลิงคัพ" นัดดาร์บี้ แมตช์ ระหว่างทีม "ปิศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืนวันอังคารที่ 5 ม.ค. ส่วนการแข่งขันพรีเมียร์ลีก คืนวันพุธที่ 6 ม.ค. ระหว่างทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล กับทีมโบลตัน ก็เผชิญอุปสรรคเช่นกัน นอกจากนี้ การแข่งขันรักบี้และม้าแข่งหลายนัดก็ถูกยกเลิกด้วย ทางการอังกฤษยังแถลงเตือนว่า อาจเกิดภาวะไฟฟ้า ก๊าซ และเกลือขาดแคลน เพราะอุปสงค์ความต้องการใช้มีสูงมากผิดปกติในช่วงหนาวจัด แต่อุปทานลดลงอย่างฮวบฮาบเนื่องจากการผลิตและการขนส่งแทบเป็นอัมพาต ฝ่ายค้านของอังกฤษเผยว่า อังกฤษมีก๊าซสำรองพอใช้แค่ 8 วันเท่านั้น ขณะที่บริษัทวินส์ฟอร์ด ผู้ผลิตเกลือรายใหญ่ที่สุดของประเทศในเมืองเชสเชียร์ เตือนว่าเกลืออาจขาดตลาดถ้าสภาพอากาศยังเป็นเช่นนี้อยู่ สำนักงาน อุตุนิยมวิทยาอังกฤษทำนายว่า อังกฤษจะเผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นจัดต่อไปอีก 2 สัปดาห์ และนอกจากอังกฤษ หลายประเทศทั่วยุโรปก็เผชิญสภาพอากาศเย็นจัดจากแนวอากาศหนาวจากภูมิภาค ไซบีเรีย โดยเฉพาะนอร์เวย์ อุณหภูมิลดต่ำถึงติดลบ 41 องศาเซลเซียส ส่วนเนเธอร์แลนด์ เกิดน้ำแข็งหนาจนสามารถจัดการแข่งขันสเกตน้ำแข็งธรรมชาติครั้งแรกในปีนี้ ได้ที่ทะเลสาบเฮนสโคเตอร์ ที่ฝรั่งเศส หิมะและน้ำแข็งหนา ทำให้การจราจรทางภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งที่เมืองบอร์กโดซ์ ติดขัดอย่างหนัก ส่วนฮังการีก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทางการต้องเตือนไม่ให้ประชาชนในกรุงบูดาเปสต์ใช้รถยนต์ ขณะที่บางพื้นที่ของอิตาลีกลับเผชิญฝนตกหนัก จนเจ้าหน้าที่หวั่นกลัวว่าแม่น้ำไทเบอร์จะเอ่อล้นท่วมกรุงโรมในไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่ในเอเชียเกิดอากาศหนาวจัดและหิมะตกหนักทางภาคเหนือ ตะวันออก และกลางของจีน ทำให้เกิดภาวะไฟฟ้าและถ่านหินขาดแคลนอย่างหนัก เนื่องจากการขนส่งถ่านหินจากแหล่งผลิตต่างๆทำได้ยากลำบาก อีกทั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าและถ่านหิน ตกลงเรื่องราคาจำหน่ายไม่ได้ ทำให้ไฟฟ้าและถ่านหินไม่เพียงพอกับความต้องการอยู่ก่อนแล้ว จนทางการจีนต้องปันส่วนไฟฟ้า เพื่อการอุตสาหกรรม และใช้ในครัวเรือนในบางพื้นที่ รวมทั้งที่มหานครเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงสู ชานตง และเหอเป่ย ส่วนภูมิภาคอื่นๆอาจขาดแคลนไฟฟ้าและถ่านหินเช่นเดียวกัน ถ้าสภาพอากาศยังหนาวเย็นจัดต่อไป ซึ่งทางการจีนได้ร้องขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดพลังงานแม้กำลังต่อสู้กับความเหน็บหนาวก็ตาม สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของจีนพยากรณ์ว่า ภาวะอากาศหนาวเย็นจะต่อเนื่องไปตลอดสัปดาห์ โดยที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันพุธที่ 6 ม.ค. หิมะตกหนักและอุณหภูมิลดลงถึงติดลบ 16 องศาเซลเซียส ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2514 ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่อากาศหนาวเย็นที่สุด อุณหภูมิติดลบ 32 องศาเซลเซียสเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ม.ค. ก่อนสูงขึ้นเป็นติดลบ 17 องศาเซลเซียสในวันพุธที่ 6 ม.ค. ภูมิภาคอื่นๆที่เผชิญสภาพอากาศ หนาวเย็นผิดปกติในช่วงนี้ รวมทั้งเกาหลีใต้ ซึ่งหิมะตกหนักในกรุงโซล ขณะที่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา สภาพอากาศหนาวเย็นจัด ทำให้เกษตรกรต้องรีบเก็บเกี่ยวพืชผล ส่วนนักท่องเที่ยวที่หวังไปอาบแดดอุ่นๆในภูมิภาคกัลฟ์ โคสต์ ในรัฐเท็กซัส หลุยเซียนา มิสซิสซิปปี อลาบามา และฟลอริดา กลับต้องเผชิญความหนาวเหน็บแทน ขณะเดียวกัน ที่กรุงเทพมหานคร ก็ปรากฏว่ามีฝนตกลงมาอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำของวันที่ 6 ม.ค. หลังจากที่มีฟ้าครึ้มมืดมัวมาตั้งแต่เช้า ทั้งที่เป็นช่วงอยู่ในฤดูหนาว แต่กลับมีฝนหลงฤดูตกลงมา ส่งผลให้รถราติดขัดยาวเหยียด เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ การจราจรบนถนนสายหลัก อาทิ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนลาดพร้าว ถนนรามคำแหง ถนนพหลโยธิน ถนนจรัญสนิทวงศ์เป็นอัมพาต เกิดอุบัติเหตุรถชนในหลายพื้นที่ นายบุญธรรม ตั้งล้ำเลิศ หัวหน้าเวรพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า สาเหตุที่เกิดฝนตกหนักในกรุงเทพฯ และหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เกิดจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอ่อนกำลังลง ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้ เข้ามาปกคลุมบริเวณภาคกลาง ทำให้บริเวณภาคกลาง กรุงเทพฯ ปริมณฑล มีฝนตกหนัก และภาคอื่นๆมีฝนฟ้าคะนองในช่วงนี้ คาดว่าคืนวันที่ 6 ม.ค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ทั่วประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองลดลง และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกช่วงฤดูหนาวว่า เกิดจากลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมวลอากาศร้อนชื้นเข้ามาสู่ประเทศไทย ทำให้มวลอากาศเย็นหดตัวขึ้นไปทางเหนือ ส่งผลให้เกิดฝนตกกระจายในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ และจะกลับเข้าสู่หน้าหนาวอีกครั้งตลอดเดือน ม.ค. ขณะเดียวกันปัญหาที่ไทยจะเจอแน่คือ ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี โดยจะทำให้เกิดภาวะร้อนและแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์แล้วว่าจะส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น 40-42 องศาในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพฯ น่าจะเกิน 40 องศา โดยช่วงร้อนที่สุดอยู่ระหว่างเดือน มี.ค.ไปจนถึงเดือน เม.ย. ซึ่งวันที่ร้อนที่สุดคือ วันที่ 22 เม.ย.นี้ ทางด้านนายสัญญา ชีนิมิตร ผอ.สำนักระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สภาพฝนตกในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 16.30 น. มีปริมาณสูงสุดบริเวณพื้นที่เขตห้วยขวาง 120 มิลลิเมตร/ชม. ส่วนพื้นที่อื่นๆ เช่น ลาดพร้าว รามคำแหง มีปริมาณ 97 มิลลิเมตร/ชม. ถนนหลายสายรถราติดขัด มีน้ำท่วมขังสูงถึง 10 ซม. เช่นที่ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรัชดาภิเษก กทม.ได้เร่งระบายน้ำออกจากผิวจราจรแล้ว เหลือถนนบางสายที่ปริมาณน้ำท่วมขังยังสูง จาก : ไทยรัฐ วันที่ 7 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#8
|
||||
|
||||
สัญญาณหายนะ มองไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว อยากตกใจ เพราะเห็นได้เลยว่าระดับน้ำในแม่น้ำอยู่สูงกว่าถนน ปีต่อไปและต่อไปน้ำคงจะท่วมมากกว่านี้ ผมคิดด้วยความเป็นห่วง เมื่อวันพุธที่แล้วนี้เอง เวลาบ่าย 4 โมงเย็น ผมมีธุระ จำเป็นต้องนั่งรถจากปากน้ำเข้ากรุงเทพฯ การจราจรติดขัดมาก สาเหตุเพราะฝนตกหนัก รุ่งขึ้นอีกวัน อ่านหนังสือพิมพ์จึงรู้ว่าฝนตกหนักทั่วกรุงเทพฯ ฝนที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นฝนธรรมดาๆ แต่เป็นฝนหลงฤดู ที่ว่าหลงฤดูก็เพราะว่า ช่วงนี้เป็นหน้าหนาว แต่ฝนดันทะลึ่งตกลงมา หลายคนบ่นท่ามกลางสายฝนว่า ฝนน่าจะบอกให้รู้ล่วงหน้าจะได้เตรียมร่มหรือเสื้อฝนติดตัวมาด้วย พักหลังๆมานี้ โลกที่รักของเราเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ออกอาการแปลกๆ ให้ผู้อยู่ในโลกต้องเดือดร้อนและตื่นเต้นทุกเดือนหรือเกือบทุกวันก็ว่าได้ อย่างกับตอนนี้หน้าหนาวของไทยอากาศควรจะหนาว แต่หนาวได้เพียงไม่กี่วัน แล้วก็ไม่ยอมหนาวอีกต่อไป ความหนาวคงจะรอให้ถึงหน้าร้อนเสียก่อนแล้วค่อยหนาวก็ได้ ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้ ก็คงจะได้เห็นเด็กๆพากันใส่เสื้อหนาวเล่นว่าวที่สนามหลวง แต่ก็ไม่แน่ บางทีกำลังเล่นว่าวอยู่เพลินๆ ฝนอาจจะตกลงมา ทีนี้คงยุ่งไปใหญ่เพราะนอกจากทำให้ว่าวต้องเปียกน้ำแล้ว ยังทำให้เด็กต้องเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อหนาวเป็นเสื้อฝนแทน แค่นึกก็ปวดหัว ปวดหัวกับดินฟ้าอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเมืองไทยจะมีอากาศวิปริตเกิดขึ้น สิ่งที่ผมอยากให้เป็นมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคืออยากให้มีหิมะตก เพราะผมชอบสีขาวของหิมะ และชอบภูเขาที่มีหิมะปกคลุม ถ้าภูเขาของไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือมีหิมะ รับรองว่าจะต้องมีความสวยงามน้องๆเทือกเขาแอลป์ของยุโรป หิมะมีสีขาวสวยก็จริง แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ไม่น่าจะดี อย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายๆประเทศ อย่างกับในอังกฤษถูกหิมะเล่นงานหนัก จนรถไฟที่วิ่งอยู่ใต้ทะเลช่องแคบอังกฤษมีปัญหา พาผู้โดยสารไปติดอยู่ใต้ทะเลถึงพันกว่าคน การแข่งขันฟุตบอลที่อังกฤษต้องเลื่อนการแข่งขันหลายคู่ เพราะสนามฟุตบอลกลายสภาพเป็นสนามเล่นสเกตน้ำแข็ง เครื่องบินขึ้นลงไม่ได้ไปหลายแห่ง สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ในสหรัฐอเมริกาก็เจอหนักหลายรัฐมาก หลายเมืองมีหิมะกองอยู่ที่พื้นถนนหนาเป็นฟุต เป็นเหตุให้คนไม่ออกจากบ้าน งานคริสต์มาสกร่อย อย่าว่าแต่ประเทศทางยุโรปหรืออเมริกาที่ตั้งอยู่ในโซนหนาวเลย แม้ในเอเชีย ทั้งจีน ทั้งญี่ปุ่น ทั้งเกาหลีก็โดนหิมะเล่นงานหนักเช่นกัน หนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา นับว่ายังโชคดีที่มนุษย์ฉลาดสามารถสู้ความหนาวได้ เช่น คิดเครื่องทำความร้อนภายในบ้าน เพื่อให้มีอากาศอบอุ่นแล้วยังรู้จักสะสมอาหารไว้กินในฤดูหนาวได้อีก หากมนุษย์ทำอย่างที่ว่าไม่ได้ มีหวังตายกันหมด สาเหตุการเปลี่ยนแปลงและเหตุร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกทั้งเรื่องความหนาวเย็น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ลมแรง นับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ ผู้รู้บอกว่าเกิดจากโลกร้อน ผู้ที่ทำให้โลกร้อนไม่ใช่ใครอื่น ตัวการสำคัญก็คือมนุษย์ ฉะนั้น ถ้าขืนปล่อยปละละเลย มนุษย์ก็จะพากันเดือดร้อนอย่างหนักไปทั่วโลก ผลที่สุด จะไม่มีมนุษย์คนใดเหลืออยู่ในโลกนี้เลยก็เป็นได้ สำหรับหายนะที่จะเกิดกับโลกนี้ ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุดก็เห็นจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเกือบทุกประเทศในยุโรป ประเทศเหล่านี้จึงได้นัดประชุมหารือกันว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้โลกหายร้อน หรือร้อนน้อยลง ซึ่งทำได้ยากมาก เพราะมนุษย์ได้ผลิตอะไรออกมาใช้แต่ละอย่างล้วนทำให้โลกร้อนทั้งสิ้น เช่น โรงงานต่างๆ รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องหุงต้ม ฯลฯ แต่ดู ๆ แล้วไม่ง่ายเลยที่จะทำให้โลกหายร้อนได้ สำหรับเราซึ่งเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆเพียงหนึ่งตัวไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องใหญ่ๆให้เสียสมอง ขอเพียงให้ใช้น้ำ ใช้ไฟ ใช้รถยนต์ให้น้อยลง เป็นใช้ได้ และถ้าให้ดีช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้นก็พอแล้ว สิ่งเหล่านื้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อลูกหลานของเรา เพราะตัวเราเอง ถึงแม้โลกจะร้อนหรือไม่ร้อน อีกไม่นานก็ต้องตายกันหมดแล้ว. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 10 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#9
|
||||
|
||||
วิปโยคเฮติ...ต้องศึกษา 'ธรณีพิโรธใหญ่' ไทย...ต้องตื่นตัวรับมือ ธรณีพิโรธ “แผ่นดินไหว” ระดับ 7 ริคเตอร์ ซึ่งเกิดที่ประเทศเฮติ โดยมีศูนย์กลางการเกิดอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวง ทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 16 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้ดินราว 10 กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ไร้ที่อยู่อาศัย-อาหาร เป็นแสนๆ ซึ่งขนาดทำเนียบประธานาธิบดีก็ยังถล่มเป็นซากนั้น..... นี่ไม่เพียงเป็นภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปีของเฮติ แต่ยังเป็นแผ่นดินไหวที่เขย่าขวัญผู้คนทั่วทุกมุมโลก และสำหรับเมืองไทย-คนไทยก็อย่าได้คิดว่าไกลตัว !! “เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับประเทศไทย ในเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาแผ่นดินไหว” ...นี่เป็นเนื้อความตอนหนึ่งจากการระบุผ่านสื่อของ ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการองค์กรศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติ แห่งเอเชีย หรือเอดีพีซี โดย ดร.พิจิตตยังได้ระบุถึงเรื่อง “รอยเลื่อน” ซึ่งเกี่ยวโยงกับแผ่นดินไหว-กับเขื่อน ที่อาจสร้างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในไทย รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ณ ที่นี้ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” จะสะท้อนย้อนภาพรวมตามที่เคยมีผู้สันทัดกรณีด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องเคยชี้เตือนไว้ เช่น รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยระบุไว้หลังการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงประมาณ 7.8 ริคเตอร์ เขย่ามณฑลเสฉวน และพื้นที่ใกล้เคียง ในประเทศจีน เมื่อบ่ายวันที่ 12 พ.ค. 2551 ซึ่งเพียงถึงเช้าวันที่ 13 พ.ค. ก็มีรายงานตัวเลขพบผู้เสียชีวิตกว่า 9,200 ศพ สูญหาย กว่า 60,000 คน อาคาร-ที่พักอาศัยพังถล่มกว่า 500,000 หลัง สรุปได้ว่า..... เหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้จุดศูนย์กลางจะห่างจากไทย แต่การสั่นของรอยเปลือกโลกก็ส่งผลทำให้เกิดการกระตุ้นที่ตะแกรงรอยเลื่อนของเปลือกโลก หรือที่เรียกกันว่าแอ๊คทีฟ ฟอลท์ (Active Fault) ซึ่งย่อมส่งผลกระทบกับภูมิศาสตร์ของหลายประเทศได้ด้วย ซึ่งสำหรับไทยพื้นที่ที่จะมีผลกระทบคือพื้นที่ที่มีลักษณะกายภาพเป็นดินอ่อน ซึ่งมีโอกาสยุบตัวง่าย และลักษณะทางกายภาพดังว่านี้...ก็รวมถึง “กรุงเทพฯ” เมืองหลวงของไทย แผ่นดินไหวในประเทศอื่น ๆ ไทยจึงต้องให้ความสนใจ เมืองหลวงประเทศไทยก็ใช่ว่าไม่เสี่ยงกับ “ธรณีพิโรธ” และแม้จะอยู่บ้านชั้นเดียว-อาคารเตี้ย ๆ ก็อาจอันตราย !! ทั้งนี้ อย่างที่ ชาติชาย สุภัควนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูพลัส ซอฟท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีก่อสร้าง-การก่อสร้างยุคใหม่ สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ไว้ว่า... ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ค่อยมีการคำนึงถึงกฎปฏิบัติในการออกแบบก่อสร้างเพื่อต้านแรงแผ่นดินไหวมากนัก เพราะในไทยมีประวัติเกิดแผ่นดินไหวไม่มาก วิศวกรที่จบปริญญาตรีกว่า 95% ก็ไม่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินไหวลึกซึ้ง ความรู้เรื่องนี้จะอยู่ระดับปริญญาโท “การสร้างโครงสร้างอาคารในบ้านเราที่ผ่านๆมามักใช้ความรู้ความชำนาญที่เป็นการคำนวณด้วยมือ จากการดูแบบพิมพ์เขียว ซึ่งการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั้นจะใช้แต่ประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญที่มีอยู่ของวิศวกรอย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการคำนวณโครงสร้างอาคารด้วย จึงจะมีประสิทธิภาพ” ...ชาติชายระบุ พร้อมทั้งยังชี้ไว้ด้วยว่า... หากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าที่ผ่านมาเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทยอาคาร ที่เป็นตึกสูงที่ออกแบบโดยวิศวกรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มักจะไม่ค่อยมีปัญหา “ในเมืองไทยนั้น ที่มักได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมาก มักจะเป็นอาคารหรือที่อยู่อาศัยที่เป็นตึกไม่สูง สรุปก็คือโครงสร้างอาคารบ้านเรือนคนไทยส่วนใหญ่ไม่พร้อมรับแรงสั่นสะเทือนการเกิดแผ่นดินไหวอย่างมีประสิทธิภาพ” ในเมืองไทย “บ้านยุคเก่า-ตึกยุคเก่า” อยู่ในข่ายต้องระวัง และอาคารสูงยุคใหม่ถ้ามีคอร์รัปชั่นงบก่อสร้างก็น่าห่วง !! อีกทั้งความน่าเป็นห่วงยังอาจรวมถึง “สึนามิจากแผ่นดินไหว” อย่างที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เคยเผยแพร่เป็นบทความเกี่ยวกับ “แผ่นดินไหว-สึนามิ” ไว้ในเว็บไซต์ของศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ บางช่วงบางตอนว่า... “ได้ทำการวิเคราะห์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด ใหญ่ (9 ริคเตอร์) ในทะเลอันดามัน (บริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์) และอ่าวไทย (บริเวณทิศตะวันตกหมู่เกาะฟิลิปปินส์) ซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีโอกาสเกิด ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ชายฝั่งอันดามันจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547” “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือควรจะมีการเตรียมการที่ดี มีแผนจัด การในภาวะฉุกเฉินรองรับภัยธรรมชาติ...” “สิ่งที่คนไทยควรจะทำคือต้องเตรียมรับมือไว้ให้พร้อม โดยศึกษาจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ควรเป็นไปในลักษณะการตื่นตัวแต่ไม่ใช่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป...” ...รศ.ดร.เสรี ระบุไว้ และ “แผ่นดินไหว” ที่เฮติ...ก็น่าจะเป็นกรณีศึกษาของไทย เพื่อรับมือ “ธรณีพิโรธ” ที่เกิดได้...แม้แต่ใต้บ้านนายกฯ !!. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 19 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#10
|
||||
|
||||
สุมาตราอันตราย ปีนี้ทำท่าจะเป็นปีเสือดุจริงๆตามที่ใครต่อใครหวาดวิตก เพราะเพียงแค่เดือนแรก ภัยธรรมชาติก็เล่นงานมนุษย์ครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวรุนแรงที่ประเทศเฮติ ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเหลือคณานับ ว่ากันตามจริง ตามปฏิทินโหราศาสตร์โลกตะวันออก ช่วงนี้ยังเป็นปีฉลูหรือปีวัวอยู่ ของจีนแม้ว่าวันตรุษปีนี้จะตรงกับวันที่ 14 ก.พ. แต่จักรราศีจะเคลื่อน เข้าสู่ปีขาล ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. เวลา 06.49 น. ส่วนของไทยเราก็ต้องหลังวันมหาสงกรานต์ 13 เม.ย. ไปแล้ว แผ่นดินไหวรุนแรง หรือที่ทางการอยากให้เรียกว่า “ธรณีพิบัติภัย” แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความร่วมมือสักเท่าไหร่ เป็นอีกหนึ่งภัยทางธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจคาดการณ์ “วันเวลา” ที่มันจะเกิดล่วงหน้าได้อย่างแน่ชัด แม้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ จะเจริญรุดหน้าไปถึงไหนแล้วก็ตาม โศกนาฏกรรมที่กำลังถาโถมชาวเฮติอยู่ในขณะนี้ มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องภัยธรรมชาติโดยตรงได้ออกโรงเตือนคลื่นยักษ์สึนามิจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล กำลังรอเวลาเล่นงานเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียอีกรอบ ความรุนแรง และความสูญเสีย คาดว่าน่าจะไม่น้อยกว่า เหตุการณ์สึนามิรอบมหาสมุทรอินเดียเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 ราย สูญหายราว 40,000 ราย สึนามิ 26 ธ.ค. 2547 จังหวัดอาเจะห์ ทางเหนือของเกาะสุมาตรา ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวขนาด 9.3 ริคเตอร์กว่าใครเพื่อน แต่สึนามิครั้งใหม่หากเกิดขึ้น จุดที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุดคือจังหวัดปาดัง เมืองเอกของจังหวัดสุมาตราตะวันตก อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะทางใต้ของอาเจะห์ คณะนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ นำโดยนายจอห์น แม็คคลอสกี อาจารย์สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยอัลส์เทอร์ ในไอร์แลนด์เหนือ ทำนายว่าแผ่นดินไหวครั้งใหม่ ความรุนแรงจะอยู่ที่ 8.5 ริคเตอร์เป็นอย่างต่ำ ส่วนความเสียหายต่อเมืองปาดัง ซึ่งมีประชากร 850,000 คน ขึ้นอยู่กับระดับความลึก และระยะห่างชายฝั่งของจุดศูนย์กลาง แต่เชื่อว่าน่าจะสูสีกับความเสียหายต่ออาเจะห์ แม็คคลอสกียืนยันว่าเกิดแน่ แต่ระบุไม่ได้ว่าวันหรือเวลาไหน เนื่องจากมีแรงดันสะสมต่อเนื่องตลอด 200 ปีที่ผ่านมา ในร่องเปลือกโลกซุนดาที่ทอดเป็นแนวขนานกับชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา แม็คคลอสกีและคณะ เคยทำนายแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกในวงการผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว โดยในเดือน มี.ค. 2548 ได้เตือนรัฐบาลอินโดนีเซีย ผลพวงจากแผ่นดินไหว 9.3 ริคเตอร์นอกชายฝั่งอาเจะห์ ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล ต่อรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ทางใต้ถัดลงไป และทำนายว่า จะเกิดแผ่นดินไหว ความรุนแรงอย่างต่อ 8.5 ริคเตอร์ในอีกไม่นาน และจะทำให้เกิดสึนามิด้วย ปรากฏว่า แค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังคำเตือน คือวันที่ 28 มี.ค. 2548 เกิดแผ่นดินไหว 8.6 ริคเตอร์ในทะเล เขย่าเกาะซิมิวลิว นอกชายฝั่งตะวันตกของจังหวัดอาเจะห์ และเกิดคลื่นสึนามิความสูง 3 เมตรพัดกระหน่ำเกาะ เท่าที่มีการบันทึก เมืองปาดังเคยเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิถล่มบ้านเรือนหลายครั้งแล้ว เช่นในปี พ.ศ. 2340 แรงไหว 8.7 ริคเตอร์ เกิดสึนามิสูงถึง 10 เมตร น้ำท่วมทั้งเมือง แต่ไม่มีบันทึกความสูญเสียต่อชีวิต และล่าสุดวันที่ 30 ก.ย. ปีที่แล้ว แผ่นดินไหวในทะเลห่างชายฝั่งเมืองปาดัง 60 กม. ทำให้มีคนตายมากกว่า 1,100 ศพ คำเตือนของแม็คคลอสกี คงทำให้ชาวเมืองปาดัง และหลายเมืองรอบด้านอยู่ไม่เป็นสุข แต่การเตรียมพร้อมรับมือ น่าจะเป็นหนทางเดียวในการบรรเทาความสูญเสีย โดยจำบทเรียนจากหลายเหตุการณ์ในอดีต. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 19 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|