เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยตอนบนมีหมอกบางในตอนเช้า ส่วนบริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 7-15 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย

สำหรับอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 6 ? 11 ม.ค. 63 ประเทศไทยตอนบนอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียสกับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 6 ? 11 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย





__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 07-01-2020 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


"ดร.ธรณ์" โพสต์สรุปความเสียหายท้องทะเลไทยพบส่วนใหญเป็นฝีมือมนุษย์ วอนคนรักทะเลช่วยดูแล

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ โพสต์ข้อความสรุปความเสียหายท้องทะเลไทยในช่วงที่ผ่านมาหลังเสียสัตว์สงวนเป็นจำนวนมาก พบเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ วอนคนรักทะเลช่วยกันดูแล ย้ำยังต้องเหนื่อยกันอีกมาก



วันนี้ (5 ม.ค.) ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศน์ทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Thon Thamrongnawasawat" ถึงปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับท้องทะเลในช่าง 3 - 4 วันที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ ที่ 3 ม.ค. มีคลิปวิดีโอ พบฉลามวาฬ ตายนอกเกาะภูเก็ต ซึ่งคาดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ ต่อมา เช้าวันเสาร์ ที่ 4 ม.ค. บริเวณชายหาด จังหวัดพังงา เจ้าหน้าที่ อช. เขาลำปี -หาดท้ายเหมือง จังหวัดพีงงา ร่วมกับ จนท ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัด ภูเก็ต ตรวจพบว่ามีการขโมยไข่ของเต่ามะเฟืองที่เพิ่งขึ้นมาวางไข่ นอกจากนี้ เมื่อช่วงกลางปี 2562 พบเต่ามะเฟืองตายเพราะกินขยะทะเล

โดย "ดร.ธรณ์" ได้ระบุข้อความถึงความเสียหายในช่วงที่ผ่านมาว่า "โดยสรุป ใน 2 วัน เราเสียสัตว์สงวน ได้แก่ ฉลามวาฬ 1 ตัว เต่ามะเฟือง 1 ตัว ไข่เต่า 50+ ฟอง ทั้งหมดเป็นผลจากมนุษย์ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความสูญเสียทั้งหมด เหมือนบอกว่า เรายังต้องทำกันอีกมาก แม้เต่ามะเฟืองและฉลามวาฬกลายเป็นสัตว์สงวนแล้ว พวกเธอก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะทะเลไทยมีการใช้ประโยชน์มากมาย มีขยะมากมาย และมีคนโลภแอบแฝงอยู่ แต่อย่างน้อยสุด เรายังคงมีความหวังคนไทยยังรักทะเล กระแสสังคมที่ตอบรับอย่างมาก ทำให้เกิดแรงผลักดันที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการดูแลสรรพสัตว์หายากเหล่านั้น

ผมบอกเพื่อนธรณ์ตั้งแต่ช่วยกันผลักดันเรื่องสัตว์สงวน ทุกอย่างไม่สำเร็จในพริบตา โลกเราไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแต่เราต้องก้าว เป็นสัตว์สงวนเพื่อยกระดับความสำคัญ เพิ่มโทษทางกฎหมาย เพิ่มพลังในการสร้างกระแสอนุรักษ์เราขึ้นบันไดมา 2-3 ขั้นแล้ว ยังมีอีกหลายขั้นให้ก้าวเดิน หลายขั้นจนผมเชื่อว่า ทั้งชีวิตการทำงานที่เหลือของผม/คนรุ่นผมทุกท่านที่ช่วยกันมา เราอาจไปไม่ถึงบันไดขั้นสุดท้าย แต่การอนุรักษ์...ก็เหมือนกิจการอื่นใดในโลกหล้าคนรุ่นหนึ่งสร้างฐาน คนรุ่นสองขึ้นบันได คนรุ่นสามสี่ต่อยอดไปจนถึงจุดหมาย ความสำเร็จของคนรุ่นเราคือการฝ่าอุปสรรค ก้าวขึ้นบันได ไม่ใช่เป็นการร้องเย้เมื่อถึงจุดหมาย ร้องเย้คือคนรุ่นหลัง น้องๆ อีกมากมาย ที่หลงรักทะเลและพร้อมจะมาเดินต่อไป คนรุ่นเราจึงท้อไม่ได้...เพื่อพวกเธอพวกเขา คนรุ่นที่จะร้องเย้เมื่อถึงจุดหมายที่แท้จริงครับ"


https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000001075


*********************************************************************************************************************************************************


รองผู้ว่าฯ ลงติดตามความคืบหน้าคดีคนร้ายขโมยไข่เต่าเชื่อทำตามใบสั่ง มั่นใจจับได้

พังงา - รองผู้ว่าฯ พังงาลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าคนขโมยไข่เต่ามะเฟืองที่หาดท้ายเหมือง คาดคนก่อเหตุมีความชำนาญ ทำตามใบสั่ง ราคาแพง มั่นใจจับคนร้ายได้แน่ ขณะตำรวจแยกกลุ่มคนเข้าออกพื้นที่เป็น 2 กลุ่ม ลงพื้นที่ติดตามกระชั้นชิด



วันนี้ (5 ม.ค.) นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีคนร้ายขโมยไข่เต่ามะเฟือง ที่ขึ้นมาวางไข่ชายหาดท้ายเหมือง บริเวณเขาหน้ายักษ์ หมู่ที่ 4 ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เมื่อคืนวันที่ 3 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา

โดยมี นายประภาส ขุนพิทักษ์ นายอำเภอท้ายเหมือง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 และผู้นำท้องที่นำตรวจสถานที่เกิดเหตุ พร้อมสรุปความคืบหน้าของการติดตามคนร้ายรายนี้

รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า หลังจากผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาได้สั่งการให้นายอำเภอท้ายเหมือง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสืบหาผู้ที่ลักลอบขโมยไข่เต่ามะเฟืองให้ได้โดยเร็ว เพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมประกาศเพิ่มเงินรางวัลแก่ผู้นำจับหรือแจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้อีก 50,000 บาท รวมกับของเดิมที่กองทุนอนุรักษ์เต่าทะเล ร่วมกับกรมอุทยานฯ และผู้นำท้องที่ตั้งรางวัลไว้ 50,000 บาท รวมทั้งหมดเป็น 100,000 บาท

ขณะนี้ทราบว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกสืบสวนและตรวจค้นจุดต้องสงสัยต่างๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว แต่ยังไม่พบร่องรอย ซึ่งเป็นที่สงสัยของทุกฝ่ายถึงการกระทำดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะปกติคนที่พบร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล ก็จะรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อจะรับเงินรางวัลถึง 20,000 บาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าคนร้ายรายนี้น่าจะมีใบสั่งจากตลาดมืดที่ให้ราคาสูงมากอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันไข่เต่ายังเป็นที่ต้องการของคนบางกลุ่ม ส่วนคนที่ก่อเหตุจะต้องเป็นคนที่มีความชำนาญเส้นทาง และมีความรู้และประสบการณ์ในการเก็บไข่เต่าเป็นอย่างดี ซึ่งล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ คาดว่าน่าจับตัวคนก่อเหตุได้อย่างแน่นอน

ขณะที่สถานีตำรวจ สภ.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พ.ต.อ.วีรยุทธ สิทธิรัตนกุล ผกก.สภ.ท้ายเหมือง จ.พังงา พร้อมด้วย พ.ต.ท.ธวัช ตันสกุล รอง ผกก.ปป.สภ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ได้ประชุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสอบสวนและร้อยเวร ความคืบหน้าในการติดตามคนร้ายคดีขโมยไข่เต่ามะเฟือง บริเวณเขาหน้ายักษ์ อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบพูดคุยกับกลุ่มชาวบ้าน ชาวประมงในพื้นที่ริมชายหาดท้ายเหมือง เพื่อหาเบาะแสคนร้ายซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่ชำนาญพื้นที่เป็นอย่างดี

โดยหลังจากเกิดเหตุได้เรียกชุดสืบสวน และชุดป้องกันปราบปราม มานั่งพูดคุย รวบรวมประเด็น พบจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่เปลี่ยว ห่างไกลชุมชนกว่า 10 กิโลเมตร ประกอบกับเป็นจุดเข้มงวดในการเข้าออก จึงทำให้สามารถแยกผู้ที่เข้าไปได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าออกเป็นประจำ มีความเชี่ยวชาญเรื่องเส้นทาง และกลุ่มชาวประมงและตกปลา ที่เข้าออกทางชายฝั่ง ซึ่งมาจากหลายพื้นที่ตามรอยต่อต่างๆ

ซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่หาข่าวจากกลุ่มเป้าหมายและแหล่งข่าว พร้อมให้ชุดปราบปรามลงพื้นที่ร่วมกับผู้นำท้องถิ่นออกหาข่าวตามพื้นที่รอยต่อ แต่หากประชาชนที่ทราบเบาะแสสามารถแจ้งมาได้ที่ 0-7657-1799 ของสถานีตำรวจภูธรท้ายเหมือง หรือ 08-8565-4451 ผกก.สภ.ท้ายเหมือง


https://mgronline.com/south/detail/9630000001092
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง (An Inconvenient Truth) เกี่ยวกับการนำเข้าเศษขยะพลาสติกจากต่างประเทศมากำจัดในประเทศไทย .............. โดย ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์


ภาพจาก pixabay.com

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นมาปริมาณการส่งออกขยะพลาสติกจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อไปกำจัดที่ประเทศจีน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในแต่ละปี ญี่ปุ่น ผลิตขยะพลาสติกจำนวนมากถึง 9 ล้านตันโดย 1.5 ล้านตันได้ถูกส่งไปกำจัดที่ประเทศจีนประมาณ 60-70% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีน ได้นำเข้าขยะพลาสติกจำนวนมากเพื่อนำมา รีไซเคิล บางส่วนก็นำมากำจัดโดยการเผาซึ่งกระบวนการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) สารประกอบไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าก๊าซเหล่านี้เป็นพิษ หลายตัวเป็นก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบางตัวก็มีกลิ่นแรงสร้างความรำคาญให้กับชุมชนที่อยู่รอบข้าง ด้วยเหตุที่ว่าการกำจัดขยะพลาสติกเหล่านี้ก่อให้เกิดผลค้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพตามมา จึงมีความพยายามนำขยะพลาสติกบางส่วนมา ผลิตน้ำมันผ่านกระบวนการ ไพโรไลซิส (Pyrolysis) หรือการย่อยสลายเศษพลาสติกด้วยความร้อนที่ปราศจากออกซิเจน เมื่อไร้ซึ่งออกซิเจนก็ไร้ซึ่งก๊าซพิษต่างๆที่ได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น น้ำมันจากกระบวนการไพโรไลซิส เช่นการนำเศษยางรถยนต์มาใช้เป็นวัตถุดิบ ได้ตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานได้ดีโดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงกว่าปกติ แต่แล้วอยู่ดีๆจีนก็ประกาศการหยุดนำเข้าขยะพลาสติกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร้อนถึงประเทศที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ในการส่งออกขยะพลาสติกมากำจัดอย่างญี่ปุ่น ที่ต้องเร่งหาประเทศใหม่ที่จะรับกำจัดขยะพลาสติกให้แทนซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่แถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ ที่อาสามารับทำหน้าที่แทน จีน และตามที่ทราบกันดีจากรายงานของสื่อมวลชนในประเทศ ไทยกลายเป็นประเทศที่นำเข้าขยะพลาสติกมากำจัดแทนจีนด้วยเช่นเดียวกัน โดยรายงานล่าสุดพบว่า ไทยนำเข้าขยะพลาสติก พุ่งสูงถึง 7,000% โดยมีสาเหตุหลักคือจีนแบนการนำเข้าขยะพลาสติกจากญี่ปุ่นมากที่สุด

คำถามคือทำไมอยู่ดี ๆ จีน ถึงประกาศการหยุดนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ?

เพื่อค้นหาคำตอบ ต้องลองย้อนไปดูท่าทีอันขึงขังของผู้นำสูงสุดของ จีน อย่างท่าน สี จิ้นผิง ที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการกล่าวสุนทรพจน์ต้อนรับปีใหม่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งที่ระบุอย่างแน่วแน่เรื่องการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะมลพิษที่ตกค้างอยู่ในดิน น้ำ และ อากาศ เมื่อลองได้อ่านคำกล่าวสุนทรพจน์ของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปสักพักก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาในความโชคดีของชาวจีน ที่มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมองเห็นถึงภัยร้ายของปัญหาสิ่งแวดล้อมและมีความจริงจังและจริงใจในการคิดแก้ไขปัญหามลพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นนักวิชาการหรือได้จับงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและติดตามผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติอย่างใกล้ชิด คงทราบดีว่าสัดส่วนของผลงานตีพิมพ์จากนักวิชาการจีนเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เมื่อเทียบกับตอนที่ผมไปเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดของวงการวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจีนก็ว่าได้ แน่นอนที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลจีนคงเล็งเห็นถึงภัยร้ายอะไรบางอย่างจากกระบวนการกำจัดขยะพลาสติก เมื่อบวกลบคูณหาร แล้วจึงได้ข้อสรุปออกมาว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" กับการนำเข้าขยะพลาสติกมากำจัดในประเทศ เหตุผลหลักก็เพราะ

1.กระบวนการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ของขยะพลาสติก ก่อให้เกิดสารพิษที่เรียกว่าสารอินทรีย์ย่อยสลายยาก (Persistent Organic Pollutants) หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นักวิชาการสิ่งแวดล้อมว่าสาร POPs ซึ่งกลุ่มสารพิษเหล่านี้ทางอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ได้กำหนดสาร POPs เบื้องต้น จำนวน 12 ชนิดคือ aldrin, chlordane, DDT, dieldrin, endrin, heptachlor, hexachlorobenzene, mirex, toxaphene, PCBs, dioxins และ furans โดยประเทศไทยได้ร่วมลงนามในอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2545 และได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2548

2.สาร POPs เหล่านี้มีฤทธิ์ในการก่อให้เกิดโรคมะเร็งและหลายตัวเป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ โดยเฉพาะสารไดออกซินซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายเวลามีการเผาเศษพลาสติก จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าไดออกซินส่งผลต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง เกิดอาการอาเจียน เป็นพิษต่อตับ น้ำหนักตัวลด ภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ รวมทั้งความผิดปกติของร่างกาย ไดออกซิน สามารถปนเปื้อนอยู่ในฝุ่นละอองขนาดต่างๆไม่ว่าจะเป็น PM10 (ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน) PM2.5 (ฝุนละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน) หรือฝุ่นที่มีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร นอกจากนี้ ไดออกซิน สามารถกระจายตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศในสภาพก๊าซได้อีกด้วย

3.แล้วสาร POPs เช่น ไดออกซิน ซึ่งมีพิษร้ายแรงสูงเหล่านี้ ไม่สามารถกำจัดได้เหรอ? คำตอบคือในเชิงวิชาการตอนนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถจัดการได้แล้วครับ แต่ต้นทุนในการจัดการค่อนข้างสูง คำถามคือมันมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในการลงทุนหรือไม่หากต้องจ่ายเงินแพงขึ้นเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสุขภาพของประชาชนภายในประเทศ?

ประเทศใดที่มีต้นทุนชีวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมสูง รัฐบาลของประเทศนั้นคงเลือกที่จะออกกฎบังคับให้เอกชนต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการไม่ให้สารพิษเหล่านี้ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมโดยเด็ดขาด ซึ่งการออกกฎข้อบังคับทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดรวมทั้งบทลงโทษที่รุนแรงย่อมไม่ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุนภายในประเทศแน่นอน ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือส่งต่อ "เผือกร้อน" เหล่านี้ไปยังประเทศที่ด้อยพัฒนาซึ่งกฎหมายสิ่งแวดล้อมยังไม่เข้มข้นเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่สำคัญภาคประชาสังคมยังไม่ตื่นรู้ถึงภัยร้ายที่บั่นทอนสุขภาพของตนเองลงไปทุกวันอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว ปรากฏการณ์นี้คล้ายคลึงกับการที่ประเทศที่พัฒนาแล้วส่งออกรถยนต์มือสองซึ่งมีประสิทธิภาพในการสันดาปเชื้อเพลิงต่ำและมีอัตราการปล่อยมลพิษสูง พูดง่ายๆคือส่งออกรถยนต์สภาพแย่ปล่อยควันดำราคาถูกไปยังประเทศด้อยพัฒนาที่ไร้กฎหมายอากาศสะอาดมาควบคุมมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เท่ากับว่าเป็นการยิงนกทีเดียวได้สองตัวคือ 1. ขายของได้เงินมาและ 2. กำจัดตัวการปล่อยมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อมออกไปจากประเทศตัวเอง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประเทศที่พัฒนาแล้วจะเก็บเอาส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การวิจัยและพัฒนาหรือ R&D ซึ่งแทบไม่ปล่อยมลพิษไว้ในประเทศตัวเอง แล้วผลักเอาพวกอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ปล่อยมลพิษเยอะไปยังประเทศที่มีกฎข้อบังคับหรือมาตรฐานทางด้านสิ่งแวดล้อมที่หย่อนยาน

ผมคิดว่าได้เวลาที่ภาคประชาสังคมควรตื่นรู้ถึง "ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง" เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ไทยกลายเป็นสถานีปลายทางในการรับเอาขยะพลาสติกจากนานาอารยะประเทศมากำจัด แล้วร่วมกันออกแบบภาพอนาคตว่าอยากให้ไทยเป็นแค่ประเทศที่มุ่งเน้นแต่การกระตุ้นตัวเลข ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพียงอย่างเดียว หรือสามารถรักษาสมดุลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คู่ขนานไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมกัน? ลองถามใจตัวท่านเองดูครับ


https://mgronline.com/daily/detail/9630000000938

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


กาลาปากอสแห่งออสเตรเลีย ผจญไฟป่า สัตว์พันธุ์พิเศษตายเกลื่อน



กาลาปากอสแห่งออสเตรเลีย ? วันที่ 5 ม.ค. เอพี รายงานสถานการณ์ไฟป่าที่ออสเตรเลีย ว่า เกาะแคงการู ที่ได้ชื่อว่าเป็นหมู่เกาะกาลาปากอสแห่งออสเตรเลีย ในฐานะแหล่งพักพิงของสัตว์ป่าและพืชหายากหลากหลายชนิด ถูกไฟป่าเผาทำลายจนน่าวิตกว่าสัตว์ประจำถิ่นบางชนิดจะหายไปจากเกาะ รวมถึงโคอาลาที่ตายไปแล้วหลายพันตัว

แซม มิตเชลล์ เจ้าหน้าที่อุทยานสัตว์ป่าแห่งเกาะแคงการูให้สัมภาษณ์ ว่าวิกฤตไฟป่าที่ลุกลามพื้นที่อนุรักษ์ในอุทยานนอกชายฝั่งของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของพื้นที่เกาะ กระทบต่อชีวิตโคอาลาอยู่ราว 50,000 ตัว

สายพันธุ์โคอาลาบนเกาะแคงการูนั้นสำคัญเป็นพิเศษต่อการอยู่รอดของประชากรโคอาลาในที่อื่นๆ เพราะเป็นโคอาลากลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียวที่ปลอดจากเชื้อหนองในเทียม ซึ่งเป็นสาเหตุให้โคอาลาหลายชนิดตาบอด เป็นหมันและตาย

เชื้อดังกล่าวระบาดในโคอาลาในรัฐอื่นๆ อาทิ ควีนสแลนด์ นิวเซาท์เวลส์ และวิกตอเรีย ส่งผลให้เคลื่อนย้ายโคอาลาบนเกาะแคงการูไปที่อื่นไม่ได้ เพราะเกรงติดเชื้อ

ส่วนสัตว์อื่นที่น่าวิตก มีทั้งตัวมาร์ซูเพียล สัตว์มีกระเป๋าหน้าคล้ายหนู ที่ไม่รู้ว่าเหลือรอดกี่ตัว หรือ นกกระตั้วดำเลื่อมจะยังรอดอยู่บ้างหรือไม่

"ความห่วงใยของผู้คนต่อสัตว์พวกนี้น่าปลื้มใจจริงๆ แต่เราเห็นอยู่ว่าสถานการณ์มันไปไกลเกินแล้ว เราเห็นโคอาลาและจิงโจ้ที่ขาหน้าของมันถูกไฟคลอก มันไม่มีโอกาสรอด น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง" มิตเชลล์กล่าว



น.ส.เจสซิกา แฟบิจัน นักวิชาการ มหาวิทยาลัยแอดิเลดของออสเตรเลีย ระบุว่า เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับประชากรโคอาลานับตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1800 สมัยที่โคอาลาถูกล่าเอาขน

สำหรับสถานการณ์ไฟป่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงประสบความยากลำบากยิ่งขึ้นในการควบคุมไฟ เมื่อเกิดลมแรงเปลี่ยนทิศความเร็วสูงสุด 128 ก.ม.ต่อชั่วโมง ที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ คืนวันที่ 4 ม.ค. บ้านเรือนถูกเพลิงไหม้หลายร้อยหลัง ยอดผู้เสียชีวิตรวมเพิ่มอย่างน้อย 24 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนบนเกาะแคงการู 2 ราย ส่วนยอดระดมทุนให้หน่วยดับเพลิงในรัฐนิวเซาท์เวลส์ได้แล้ว 392 ล้านบาท ภายใน 48 ชั่วโมง


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_3328551

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


นักธุรกิจญี่ปุ่นทุ่ม 54 ล้านประมูลทูน่ายักษ์ต้อนรับปี 63

เจ้าของธุรกิจร้านซูชิชื่อดังของญี่ปุ่น ฉายา "ราชาทูน่า" ชนะการประมูลปลาทูน่ายักษ์ครีบสีน้ำเงินต้อนรับปีใหม่ 2563 ด้วยราคาเกือบ 54 ล้านบาท



ตลาดปลาโทโยสุในกรุงโตเกียว จัดการประมูลปลาทูน่าหลากหลายขนาดและสายพันธุ์ต้อนรับปีใหม่ เมื่อช่วงรุ่งสางวันนี้ (5 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยการประมูลที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุดคือ การประมูลปลาทูน่าขนาดยักษ์ ซึ่งในปีนี้ยังคงเป็นปลาทูน่าครีบสีน้ำเงิน และมีน้ำหนักมากถึง 276 กิโลกรัม

ผู้ชนะการประมูลปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินตัวนี้ ยังคงเป็นนายคิโยชิ คิมูระ ประธานเครือร้านซูชิซันไม เจ้าของสมญานาม "ราชาทูน่าแห่งญี่ปุ่น" โดยเสนอราคา 193.2 ล้านเยน หรือราว 53.94 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวห่างพอสมควรจากสถิติเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนายคิมูระประมูลปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินน้ำหนักมากถึง 278 กิโลกรัม ไปด้วยราคา 333.6 ล้านเยน หรือราว 93.13 ล้านบาท



ทั้งนี้ ตลาดโทโยสุเป็นตลาดขายปลาและของสดแห่งใหม่ของกรุงโตเกียวแทนตลาดปลาซึกิจิโดยเปิดให้บริการเมื่อเดือน ต.ค. 2561

ปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นถือเป็นผู้บริโภคปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินกลุ่มใหญ่ที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของจำนวนปลาชนิดดังกล่าวที่จับได้ทั่วโลกต่อปี


https://www.bangkokbiznews.com/news/...ernal_referral

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 06-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์


ทัพเรือภาคที่ 2 จัดโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา



วันนี้ (5 ม.ค. 63) ที่ชายหาดบ่ออิฐ ตำบลเกาะแต้ว อำเภอเมืองสงขลา พลเรือตรี นพรัตน์ เลิศล้ำ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ประธานเปิดโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยมีนายสมหวัง เรืองเพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พล.ร.ต.กฤษฎา รัตนสุภา ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสงขลา นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม กว่า 700 คน

กองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 2 จัดกิจกรรมตามโครงการอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เพื่อสนองพระดำริในการสร้างความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ให้ร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเล ให้มีความสมบูรณ์ และส่งเสริมการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนได้เห็นคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล ตลอดจนเป็นการสร้างจิตสำนึก ให้ประชาชนได้เห็นคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล อันนำไปสู่ความสมดุลทางธรรมชาติ และการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระดำริที่จะอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย โดยทรงห่วงใยปัญหาเรื่องความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเล การทำร้ายสัตว์ทะเล ด้วยน้ำมือของมนุษย์โดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นการอนุรักษ์และการสร้างจิตสำนึก ในการหวงแหนและรักษาสิ่งแวดล้อมตลอดจนระบบนิเวศ จึงมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ ของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลไทย

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีการปล่อยเต่าทะเล จำนวน 200 ตัว และการทำความสะอาดชายหาดบ่ออิฐ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกให้กับประชาชน และเยาวชนในพื้นที่ ได้ร่วมกันรักษาทรัพยากร ทั้งบริเวณชายฝั่งและในทะเล ให้เกิดความสะอาด ปราศจากขยะถุงพลาสติก ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเล ลดการสูญเสียของสัตว์ทะเลหายาก และยังเป็นการเพิ่มแหล่งอาหาร ของสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ และช่วยให้ระบบนิเวศ ในพื้นที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น


http://thainews.prd.go.th/th/news/de...00105143854103
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:25


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger