เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 31-12-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-15 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังคงหนาวเย็นในตอนเช้า รวมทั้งเพิ่มระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันปานกลางถึงค่อนข้างมาก เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อนลง และมีการระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกบางในตอนเช้าและมีเมฆบางส่วน
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 31 ธ.ค. 66 ? 1 ม.ค. 67 และ 5 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า

ส่วนในช่วงวันที่ 2 ? 4 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง กับมีลมแรง

ในช่วงวันที่ 31 ธ.ค. 66 ? 1 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 2 ? 5 ม.ค. 67 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างเริ่มมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพที่เปลี่ยนแปลง และระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร

ในช่วงวันที่ 2 ? 4 ม.ค. 67 ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 31-12-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


โลกที่ไม่เหมือนเดิม ย้อนรอย 'มหันตภัย' ร้ายแรง ปี 2023



ปี ค.ศ. 2023 กำลังจะลาลับ ผันผ่านไปอีกหนึ่งปี โดยตลอดปีที่ผ่านมา ชาวโลกได้ประสบมหันตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าหลายต่อหลายครั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหันตภัยไฟป่าและพายุที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากอิทธิพลของ 'Climate Change' (การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ) ที่เป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าจากนี้ไป ภัยธรรมชาติจะเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม

และนี่คือ มหันตภัยธรรมชาติรุนแรงที่สุดและสร้างความเสียหาย-คร่าชีวิตชาวโลกมากที่สุด จนถูกบันทึกไว้ในปี 2023


ซับน้ำตาตุรกี-ซีเรีย เผชิญแผ่นดินไหว ตายกว่า 5 หมื่นศพ

เปิดศักราช 2023 มาได้เพียงเดือนกว่า ชาวตุรกีและซีเรีย ต้องประสบมหันตภัยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มีความรุนแรงขนาด 7.5 และ 7.8 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ โดยศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ใกล้ชายแดนทางภาคใต้ของตุรกี และติดกับทางตอนเหนือของซีเรีย สร้างความเสียหายต่อชีวิต อาคารบ้านเรือน และระบบโครงสร้างพื้นฐานมหาศาล และต่อมาได้เกิดอาฟเตอร์ช็อก หรือแผ่นดินไหวต่อเนื่องตามมามากกว่า 9,000 ครั้ง

สหประชาชาติคาดประมาณว่า มหาภัยพิบัติแผ่นดินไหวเขย่าตุรกีและซีเรียคราวนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงอย่างน้อย 50,000 ศพ ส่วนใหญ่อยู่ในตุรกี และทำให้อาคารบ้านเรือนพังเสียหายหลายแสนหลัง จนนับเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่สร้างความสูญเสียมากที่สุดที่เกิดขึ้นบนโลกในรอบ 10 ปี


มหาอุทกภัยในลิเบีย : เขื่อนแตกถาโถมราวสึนามิถล่ม

ชาวลิเบีย ในเมืองเดอร์นา ทางภาคตะวันออกของประเทศ ต้องประสบโศกนาฏกรรมสุดวิปโยค เผชิญน้ำท่วมใหญ่ฉับพลัน เนื่องจากเขื่อน 2 แห่งแตก เมื่อ 11 กันยายน 2023 เพราะรองรับมวลน้ำมหาศาลไม่ไหว หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องถึง 3 วัน จากอิทธิพลของพายุแดเนียล

หลังเขื่อน 2 แห่งที่อยู่ใกล้กับเมืองเดอร์นาแตก มวลน้ำมหาศาลได้ถาโถมราวกับสึนามิ ถล่มทำลายอาคารบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างในเมืองเดอร์นาพังเสียหายย่อยยับ และพัดพาผู้คนลงทะเลจำนวนมาก โดยองค์การยูนิเซฟรายงานว่า มหาภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ในลิเบียครั้งนี้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 4,300 ศพ และยังสูญหายกว่า 8,500 คน


แผ่นดินไหวเขย่าโมร็อกโก ตายเกือบ 2,900 ศพ

ในเดือนกันยายนเช่นกัน ชาวโมร็อกโกต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมวิปโยค เมื่อได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ขนาด 6.8 เมื่อเวลา 23.11 น. ของคืนวันที่ 8 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 05.11 น. ของเช้าวันที่ 9 ก.ย.ของไทย

ศูนย์กลางแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ในพื้นที่ตอนกลางของเทือกเขาไฮแอตลาส เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 2,900 ศพ จนนับเป็นการเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในโมร็อกโก ในรอบ 60 ปี

นอกจากนั้น ศูนย์กลางแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ อยู่ห่างจากเมืองมาร์ราเกซ เมืองมรดกโลกของ UNESCO ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 71 กิโลเมตรเท่านั้น จึงทำให้สิ่งปลูกสร้างจำนวนมากในเมืองมาร์ราเกซ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศ ได้รับความเสียหาย รวมทั้งมัสยิดโบราณ Tinmal ซึ่งถูกสร้างตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 12 บนเทือกเขาไฮแอตลาส


ไฟป่าฮาวาย : ภัยพิบัติทำคนตาย มากที่สุดในสหรัฐฯ รอบกว่า 100 ปี

ชาวอเมริกันต้องโศกสลด เมื่อเกิดเหตุไฟป่ารุนแรงที่เกาะเมาวี ในรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงวันที่ 8-11 สิงหาคม ท่ามกลางความร้อนแล้ง ไฟป่าที่ลุกโชนอย่างรุนแรงได้ลุกลามอย่างรวดเร็วมาถึงเมืองลาไฮนา เมืองรีสอร์ตท่องเที่ยวบนเกาะเมาวี ทำลายอาคารบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีผู้เคราะห์ร้ายหนีพระเพลิงไม่ทันและทำให้คนจำนวนหนึ่งต้องโดดลงทะเลเพื่อหนีเปลวไฟ

โศกนาฏกรรมไฟป่าที่เกาะเมาวี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 100 ศพ จนนับเป็นภัยพิบัติธรรมชาติที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาในรอบกว่า 100 ปี ในขณะที่จอช กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวาย ได้ขอให้สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณในปี 2024 เป็นจำนวน 425 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 14,450 ล้านบาท (คิดในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์เท่ากับ 34 บาท) เพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูเมืองเมาวี ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก


เฮอริเคน อิดาเลีย ถล่มฟลอริดาแรงสุดในรอบ 125 ปี

ช่วงปี 2023 มีพายุก่อตัวในมหาสมุทรแอตแลนติกนับ 20 ลูก ในจำนวนนี้ ลูกที่ 4 จัดเป็นพายุรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ในขณะที่ พายุอีก 7 ลูกได้ทวีความรุนแรง เป็นพายุเฮอริเคน (พายุหมุนเขตร้อนที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติก) และในจำนวนนี้ 3 ลูกได้ ทวีความแรงขึ้นไปเป็นเฮอริเคนระดับซุปเปอร์เฮอริเคน

พายุเฮอริเคน 'อิดาเลีย' (Idalia) คือซุปเปอร์เฮอริเคนที่รุนแรงที่สุดของปี 2023 ได้เคลื่อนตัวถล่มชายฝั่งอ่าวฟลอริดา เมื่อ 30 สิงหาคม ด้วยความแรงลมระดับ 3 หรือ 200 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง จนนับเป็นพายุเฮอริเคนที่รุนแรงที่สุดที่ถล่มชายฝั่งอ่าวรัฐฟลอริดาในรอบ 125 ปี และสร้างความเสียหายมากกว่า 80% เมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูนี้

ที่มา : foxnews , Aljazeera


https://www.thairath.co.th/news/foreign/2750424

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 31-12-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


เมียนมาพบ "โลมาอิรวดี" เกิดใหม่เพิ่มอีก 3 ตัว

เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มชาวประมงในเมียนมาพบลูกโลมาอิรวดีเกิดใหม่ 3 ตัว ในแม่น้ำอิรวดี ทางตอนกลางของประเทศ ช่วงระหว่างเมืองมัณฑะเลย์และเมืองจ๊อกเมียง ซึ่งตัวหนึ่งยาวประมาณ 1.5 ฟุต ส่วนอีกสองตัวยาวประมาณ 3 ฟุต



สำนักข่าวซินหัวรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ว่าอู หาน วิน เจ้าหน้าที่สำนักประมงเมียนมา กล่าวว่าอั ตราการเกิดใหม่ของโลมาอิรวดีในประเทศ อยู่ที่ 3-10 ตัวต่อปี โดยพื้นที่ระหว่างเมืองมัณฑะเลย์และเมืองจ๊อกเมียง เป็นหนึ่งในสองพื้นที่หลักของการอนุรักษ์โลมาในประเทศ และสำนักประมงแห่งชาติ เดินหน้าเพิ่มความตระหนักรู้ และการศึกษาเกี่ยวกับการอนุรักษ์โลมา

ทั้งนี้ เมียนมาพบโลมาอิรวดีทั้งในแม่น้ำอิรวดี รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งอย่างเมืองโบกะเล รัฐยะไข่ และเมืองตะนาวศรี ปัจจุบัน จำนวนประชากรโลมาชนิดดังกล่าวในเมียนมา อยู่ที่ราว 300-400 ตัว

อนึ่ง โลมาอิรวดีจัดเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ ตามที่ระบุอยู่ในบัญชีแดงของ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ ( ไอยูซีเอ็น ) ตั้งแต่ปี 2547.

ข้อมูล : XINHUA


https://www.dailynews.co.th/news/3041319/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 31-12-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


พบก้อนน้ำมันตลอดแนวชายหาด ต.จะทิ้งพระ จ.สงขลา กว่า 2 กิโลเมตร

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - กรมทรัพยากรทาวทะเลและชายฝั่งลงพื้นที่หาด ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา หลังรับแจ้งพบก้อนน้ำมันตลอดแนวชายหาดยาว 2 กิโลเมตร เก็บตัวอย่างส่งวิเคราะห์



วันนี้ (30 ธ.ค.) มีรายงานว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ตรวจสอบกรณีที่มีการแจ้งว่า มีก้อนน้ำมันขึ้นบริเวณชายหาด ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา โดยเจ้าหน้าที่กลุ่มงานสมุทรศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ได้สำรวจพื้นที่ชายหาดบ้านจะทิ้งพระ หมู่ 6 และหมู่ 7 ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา

เจ้าหน้าที่สำรวจพื้นที่พบก้อนน้ำมัน (Tar ball) เป็นแนวยาวขึ้นตามแนวรอยคลื่นตรงแนวน้ำขึ้นสูงสุด ตลอดแนวชายหาดระยะ 2 กิโลเมตร ตรวจวัดปัจจัยคุณภาพน้ำทะเลเบื้องต้นไม่พบวัตถุที่ลอยน้ำ ไม่พบน้ำมันและไขมันลอยน้ำบริเวณผิวหน้าน้ำ ค่าความเค็มอยู่ในช่วง 27.8-28 ppt ความเป็นกรดด่าง 7.0-7.5 อุณหภูมิน้ำทะเล 27.8-28 องศาเซลเซียส ปริมาณออกซิเจนละลาย 6.9-7.0 มิลลิกรัมต่อลิตร

ดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์ปริมาณปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนรวมในน้ำทะเล ส่งวิเคราะห์ห้องปฏิบัติการต่อไป


https://mgronline.com/south/detail/9660000116958

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 31-12-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


"บลูคาร์บอน" บทบาททะเล ที่ไม่ใช่แค่ "ฟอกอากาศ" ................. โดย จุลวรรณ เกิดแย้ม



"บลูคาร์บอน" หมายถึง คาร์บอนที่ถูกกักเก็บจากชั้นบรรยากาศและเก็บไว้ในระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ทุ่งหญ้าทะเล ป่าชายเลน และหนองน้ำขึ้นน้ำลง ระบบนิเวศเหล่านี้เป็นแหล่งกำจัดคาร์บอน

โดยกักเก็บคาร์บอนต่อพื้นที่ได้มากกว่าป่าเขตร้อนถึง 5 เท่า และดูดซับจากชั้นบรรยากาศได้เร็วกว่าถึง 3 เท่า

ข้อมูลจากโครงการมหาสมุทร สถาบันทรัพยากรโลก ระบุว่า ระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน ทุ่งหญ้าทะเล และบึงน้ำเค็ม ให้ความสำคัญแก่ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งทะเล ตั้งแต่การดำรงอาหารในท้องถิ่นและอุตสาหกรรมประมง ไปจนถึงการปกป้องบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานจากการกัดเซาะและความเสียหายจากพายุ แต่ประโยชน์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชุมชนชายฝั่งเท่านั้น ระบบนิเวศชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับสภาพอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิกฤติการพัฒนาในระดับโลก

ระบบนิเวศบลูคาร์บอนสามารถปรับปรุงทั้งคุณภาพน้ำและความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่น ด้วยการป้องกันผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วมและคลื่นพายุ และช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเค็มแทรกซึมเข้าไปในทรัพยากรน้ำจืด เช่น น้ำใต้ดิน ซึ่งชุมชนท้องถิ่นอาจต้องพึ่งพา ระบบนิเวศบลูคาร์บอนที่ดี เช่น ป่าชายเลนและเตียงหญ้าทะเล ยังเป็นแหล่งอนุบาลสำหรับสิ่งมีชีวิตทางทะเลและชายฝั่งที่หลากหลาย พื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิดที่จะเติบโตเต็มที่ หลังจากนั้นอาจมีคุณค่าต่อการประมงพื้นบ้านซึ่งมีส่วนช่วยต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ชายฝั่ง อย่างเช่น การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ประเมินว่าการจับปลาในพื้นที่ที่อยู่ติดกับป่าชายเลนจะสูงกว่าพื้นที่ที่ไม่มีปลาถึง 70% ซึ่งถือว่าระบบนิเวศบลูคาร์บอนเป็นศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลและชายฝั่งหลากหลายชนิด ตั้งแต่นก ปลา และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไปจนถึงสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สาหร่าย และจุลินทรีย์ สัตว์หลายชนิดเหล่านี้มีความสำคัญไม่เพียงแต่ในการรักษาสุขภาพของระบบนิเวศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนอาหารท้องถิ่นและอุตสาหกรรมประมงด้วย

"ระบบนิเวศคาร์บอนสีน้ำเงิน" เป็นวิธีแก้ปัญหาตามธรรมชาติในการกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ สร้างความยืดหยุ่นในการเพิ่มผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ ความสนใจและการลงทุนในบลูคาร์บอนซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาทางธรรมชาติกำลังเติบโตทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ระบบนิเวศเหล่านี้ก็กำลังถูกทำลายอย่างรวดเร็วเช่นกัน"

โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เพิ่มความรุนแรงของพายุเฮอริเคนและพายุ ซึ่งโจมตีแนวชายฝั่งและโครงสร้างทางธรรมชาติ และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลกำลังลดพื้นที่สำหรับระบบนิเวศเหล่านี้ที่จะเติบโต และระบบนิเวศขนาดใหญ่เหล่านี้ถูกกำจัดหรือเสียหายจากการพัฒนาเมืองและการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการเกษตร

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์อาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต หอการค้าไทย กล่าวว่าปัจจุบันน้ำทะเลมีเพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้พื้นที่ป่าชายเลนหรือบลูคาร์บอนนั้นลดลง ภายในอนาคตยังไม่มีมาตรการหรือเทคโนโลยีที่จะสามารถลดการกัดเซาะของชายฝั่งได้อย่างยั่งยืน หรือมีการใช้ประสิทธิภาพชายฝั่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืนมากที่สุดต่อไป

"ในประเทศไทยสมัยก่อนมีผลกระทบจาก IUU Fishing : Illegal, Unreported and Unregulated Fishing หรือการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมทำให้ไม่มีการจับสัตว์น้ำมากเกินไปหรือจับเฉพาะปลาที่โตเต็มวัยแล้วและยังมีการดูแลสถานที่อนุบาลสัตว์น้ำอย่างป่าชายเลนหรือบลูคาร์บอน การฟื้นฟูป่าโกงกาง หญ้าทะเลให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งผลการทำงานนี้เป็นประโยชน์ 2 แง่มุมทั้งในด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและช่วยในการดูดซับคาร์บอน รวมถึงเรื่องการประมงของชาวบ้านอีกด้วย"

สถานการณ์สภาพอากาศขณะนี้ไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศบลูคาร์บอนเท่านั้น แต่ในบางกรณีสามารถกระตุ้นให้เกิดการปล่อยคาร์บอนที่เก็บไว้ได้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ป่าชายเลนถูกแปลงเป็นบ่อกุ้ง การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าประมาณ 60% ของปริมาณคาร์บอนในป่าชายเลนดั้งเดิมถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ

สถิติที่ทำลายระบบนิเวศบลูคาร์บอนนั้นที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว มีการประเมินจากทั่วโลกว่า 50% มาจากบ่อเกลือ 35% มาจากป่าชายเลน และ 29% เป็นการทำลายทุ่งหญ้าทะเล ซึ่งความเสื่อมโทรมหรือสูญหายนี้เกิดขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลของการพัฒนาไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ที่ได้ทิ้งความเสียหายต่อระบบนิเวศบลูคาร์บอน ซึ่งการปรับหลักคิดด้านการพัฒนาให้อยู่บนฐาน "ความยั่งยืน" เป็นทางรอดที่ไม่ต้องมีใครรับผลของความเสียหายในภายหลัง


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1104710

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 31-12-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,241
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ข่าวดีส่งท้ายปี 66 "แม่เต่ามะเฟือง" ขนาดใหญ่ขึ้นมาวางไข่ 139 ฟอง

ข่าวดีส่งท้ายปี 66 "แม่เต่ามะเฟือง" ขนาดใหญ่ขึ้นมาวางไข่ ที่อุทยานฯ เขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เป็นรังที่ 5 ของฤดูกาลนี้ พบไข่ทั้งหมด 139 ฟอง เป็นไข่สมบูณ์ 102 ฟอง จนท.ย้ายไปรอฟัก คาดเป็นตัว ก.พ.2567



กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า วันนี้ (30 ธ.ค.2566) เวลา 03.13 น. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จ.ภูเก็ต สำรวจการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล พบร่องรอยเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ในพื้นที่อุทยานฯ โดยครั้งนี้นับเป็นการพบการขึ้นวางไข่เป็นรังที่ 4 ของอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง เป็น รังที่ 5 ของฤดูกาล

เบื้องต้นจากการวัดรอย พบความกว้างช่วงอก 130 ซม. ความกว้างพายทั้งหมดประมาณ 220 ซม. นับเป็นแม่เต่ามะเฟืองที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกรังที่ขึ้นวางไข่ (ฤดูกาล 2566-2567) น่าจะเป็นแม่เต่าตัวที่ 3 ของปีนี้ จึงได้ทำการสักหาไข่เต่าตามภูมิปัญญาชาวบ้านเพื่อตรวจสอบตำแหน่งหลุมไข่จนพบ

เจ้าหน้าที่จึงทำการขุดย้ายเนื่องจากมีความเสี่ยงที่น้ำทะเลจะท่วมถึง ความลึกก้นหลุมไข่ 85 ซม. ความกว้างหลุมไข่ 25 ซม. พบไข่ทั้งหมด 139 ฟอง เป็นไข่สมบูณ์ 102 ฟอง ไข่ลม 37 ฟอง ไข่เต่ามีขนาด 5.03 ซม. โดยจุดวางไข่อยู่บริเวณพิกัด UTM 47P 413556 942788

โดยได้ย้ายไข่เต่ามะเฟืองไปเพาะฟักในจุดที่สะดวกต่อการดูแลบริเวณหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่อยู่พ้นแนวน้ำขึ้นสูงสุดเพื่อให้ไข่เต่าได้มีโอกาสฟักตัวตามธรรมชาติ

ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ฯ คอยตรวจสอบ ดูแลป้องกัน การรบกวนจากสัตว์หรือมนุษย์อย่างต่อเนื่อง และจะใช้เวลาอีก 55-60 วัน ไข่เต่าจะฟักตัว คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 22-27 ก.พ.2567


https://www.thaipbs.or.th/news/content/335455

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:34


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger