#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นในระยะนี้ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร และทะเลอันดามันคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกควรระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง และชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 - 13 พ.ย. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ในขณะที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ กับมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 พ.ย. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อน โดยบริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 12 ? 13 พ.ย. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย ส่วนประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก และประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "อากาศหนาวเย็นลงบริเวณประเทศไทยตอนบน กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบถึงที่ 13 พฤศจิกายน 2564)" ฉบับที่ 7 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นกับมีลมแรง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง กับมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น อ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร และทะเลอันดามันคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกควรระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
"เรากำลังตัดต้นไม้เพื่อปกป้องแหล่งน้ำ" ก่อนจะถึงวันน้ำหมดในเคปทาวน์ ................. แอนดรูว์ ฮาร์ดิง บีบีซี นิวส์ เคปทาวน์ A man cutting down a tree in Cape Town, South Africa การตัดต้นไม้เพื่อรักษาเมืองให้รอดพ้นจากภัยแล้งอาจดูเหมือนไม่ใช่แผนการที่น่าจะเป็นไปได้ แต่นี่คือสิ่งที่เมืองเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ได้เริ่มทำ หลังจากประสบวิกฤตขาดแคลนน้ำ และกลายเป็นเมืองใหญ่ระดับโลกแห่งแรกที่เข้าใกล้วันที่น้ำจะหมดไปจากเมือง เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่เคปทาวน์เข้าใกล้วันอันตรายที่ถูกเรียกว่า "เดย์ซีโร" (Day Zero) ซึ่งเป็นวันที่ผู้อยู่อาศัยราว 4 ล้านคนในเมืองจะไม่มีน้ำใช้ วิกฤตนี้เกิดขึ้นจากภัยแล้งที่รุนแรงและคาดไม่ถึง ทำให้อ่างเก็บน้ำทุกแห่งในประเทศแห้งขอด ขณะนี้ ทางการได้ส่งทีมงานหลายสิบทีมพร้อมเลื่อยไฟฟ้าออกไปปฏิบัติการรักษาอ่างเก็บน้ำเหล่านี้ด้วยวิธีการที่ไม่ค่อยมีใครทำกัน นั่นก็คือ การตัดต้นไม้หลายหมื่นต้นบนภูเขาที่อยู่ล้อมรอบอ่างเก็บน้ำเหล่านั้นทิ้ง นี่เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก และยังดูขัดกับการต่อสู้กับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างแปลกประหลาดด้วย บนภูเขาแห่งหนึ่ง คนงาน 2 คน กำลังใช้เชือกไต่หุบเหวลึกเพื่อตัดต้นสนจำนวนมากในบริเวณนั้นจนเหลือแต่ตอ ต้นไม้ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่นี้แต่เดิม ใช้น้ำปริมาณ 3 เดือน ของน้ำที่บริโภคทั้งปีของเมืองเคปดาวน์ "ต้นสนไม่ใช่พันธุ์ไม้ท้องถิ่นของพื้นที่นี้ พวกมันดูดน้ำไปใช้มากกว่าต้นไม้พื้นเมืองของที่นี่อย่างมาก นี่คือโครงสร้างระบบนิเวศที่เราจำเป็นต้องแก้ไข" นโกซินาทิ นามา ซึ่งเป็นตัวแทนของกองทุนน้ำเมืองเคปทาวน์มหานคร (Greater Cape Town Water Fund) อธิบาย ต้นสนซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ต่างถิ่นถูกนำเข้ามาในภูมิภาคนี้เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมไม้ในช่วงแรก ต่อมามันได้แพร่ขยายอย่างรวดเร็วไปตามภูเขาต่าง ๆ เบียดต้นไม้ประจำถิ่นซึ่งทนแล้งและใช้น้ำน้อยกว่าในพื้นที่กักเก็บน้ำของเคปทาวน์ ต้นสนและต้นไม้สายพันธุ์ต่างถิ่นอีกหลายชนิดอย่างยูคาลิปตัส ใช้น้ำราว 55,000 ล้านลิตรต่อปี เทียบเท่ากับปริมาณการบริโภคน้ำ 2-3 เดือนของน้ำที่ใช้ทั้งปีในเมือง "หนึ่งในบทเรียนของ เดย์ ซีโร คือ จำเป็นต้องฟื้นฟูและกอบกู้พื้นที่กักเก็บน้ำของเรา เพื่อให้พื้นที่เหล่านี้กลับมาเหมือนเดิม" เขากล่าว "ผู้คนหวาดกลัว" โครงการ 5 ปีในระยะแรกเป็นเพียงหนึ่งในการรับมือวิกฤตน้ำในปี 2018 ของเมืองเคปทาวน์ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์และผู้บริหารพยายามที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ นอกจากการปกป้องและเพิ่มความหลากหลายของแหล่งน้ำในเมือง รวมถึงการเจาะเข้าไปที่ชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดินและติดตั้งโรงงานแยกเกลือออกจากน้ำ ผู้เชี่ยวชาญยังได้ศึกษาถึงการรับมือของมนุษย์ต่อความเสี่ยงของ "เดย์ซีโร" ในแง่ของการใช้น้ำด้วย "เราประเมินความสามารถของพลเมืองต่ำเกินไปในการปรับตัวต่อวิกฤต" ดร.เควิน วินเทอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยเคปทาวน์ (University of Cape Town) กล่าว เขาชี้ว่า การบริโภคน้ำของเมืองลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในช่วงเวลาเพียง 3 สัปดาห์ของต้นปี 2018 จากประมาณ 780 ล้านลิตร เหลือไม่ถึง 550 ล้านลิตรต่อวัน ก่อนที่ลดต่ำลงไปกว่านี้อีก ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความร่วมมือกันของประชาชน "ประชาชนหวาดกลัวมาก...และมันทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงขึ้น" เขากล่าว ซียาบอง มายเอซา นักกิจกรรมในท้องถิ่นจากกลุ่มจับตาสถานการณ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Monitoring Group) ในเมืองคาย์ลิตชา นอกเมืองเคปทาวน์ เห็นด้วยว่า "ความหวาดกลัวใช้ได้ผล" "ความคิดที่ว่าน้ำจะหมด ทำให้ชาวเมืองรู้สึกเศร้าและหวาดกลัว และทางการรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดน้ำได้ผลค่อนข้างดี ทำให้เราลดการใช้น้ำลงครึ่งหนึ่ง" "แต่ในระยะยาว เราน่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติแบบองค์รวมมากขึ้น" ชะลอการชลประทาน ในช่วงหลายปีนับจากนั้น การใช้น้ำได้เพิ่มสูงขึ้นในเมืองเคปทาวน์ ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ปริมาณการใช้น้ำก็ยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดในปี 2014 ซึ่งมีการใช้น้ำ 1,200 ล้านลิตรต่อวัน ความจำเป็นที่ทำให้ชาวเมืองต้องใช้น้ำอย่างประหยัด การถูกปรับหรือเผชิญบทลงโทษต่าง ๆ ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากช่วยประหยัดน้ำจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เขื่อนเทียวอเตอร์สเคลิฟ (Theewaterskloof Dam) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มหลักของเคปทาวน์แห้งสนิทในปี 2018 แต่ทุกวันนี้น้ำเต็มเขื่อนแล้ว .... ที่มาของภาพ,AFP นอกจากนี้ ยังมีการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำในภาคการเกษตร เพราะแอฟริกาใต้ก็ไม่ต่างจากหลายพื้นที่ในโลกที่ 70% ของน้ำในแหล่งน้ำสำรองถูกใช้ป้อนการเกษตร แต่เมื่อเกิดวิกฤต เกษตรกรที่อยู่รอบเมืองเคปทาวน์ต่างยินยอมหยุดใช้น้ำจากระบบชลประทานของเทศบาลเป็นเวลานานหลายเดือน วิกฤต "เดย์ซีโร" ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงรูปแบบของสภาพอากาศที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในยุคของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายในสิ้นปี 2018 เคปทาวน์ได้รับฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งผิดไปจากฤดูกาลปกติ ภัยแล้ง 7 ปี แต่แม้จะมีความมั่นใจมากขึ้นว่า จังหวัดเวสเทิร์น เคป จะสามารถรับมือกับภัยแล้งในอนาคตได้ดีกว่าเดิม แต่ก็แทบไม่มีหลักฐานว่า ส่วนอื่น ๆ ของแอฟริกาใต้ได้เรียนรู้บทเรียนเดียวกันนี้ ในจังหวัดอีสเทิร์นเคปที่ยากจนกว่ามาก และเกษตรต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรับมือกับภัยแล้งที่ยาวนาน 7 ปี และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง พื้นที่อ่าวเนลสัน แมนเดลา ที่มีประชากรหนาแน่น กำลังเผชิญกับการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง โดยคนทั่วไปเห็นว่า เป็นเพราะการบริหารจัดการที่ผิดพลาดและการทุจริตนานหลายปี ตลอดจนความล้มเหลวในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับน้ำให้อยู่ในสภาพดี "โชคดีที่ผู้บริหารเมืองเคปทาวน์แก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี พวกเขาทำทุกอย่างและ...เห็นความสำคัญของประชาชน ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้นำได้ช่วยให้ประชาชนเอาชนะปัญหาได้" มคูเซลี แจ็ก นักธุรกิจและนักการเมืองฝ่ายค้านจากเมืองเกเบกเคอ กล่าว "แต่ที่นี่ (จังหวัดอีสเทิร์นเคป) ผู้นำทำงานไม่มีประสิทธิภาพนัก จนถึงขั้นที่ประชาชนบางส่วนไม่เชื่อทุกอย่างที่นักการเมืองที่นี่พูด" เกเบกเคอกำลังพยายามเตือนผู้คนว่า "เดย์ซีโร" ของเมืองอาจจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือน ขณะที่เมืองขนาดเล็กในจังหวัดเริ่มประสบปัญหาน้ำประปาไม่พอใช้แล้ว ในย่านที่อยู่อาศัยบางแห่ง ผู้คนต้องพึ่งพารถบรรทุกส่งน้ำที่จัดหามาให้โดยองค์กรการกุศล เอลซี ฮานส์ วัย 53 ปี ที่อาศัยอยู่ที่เพิงแห่งหนึ่งในเมืองคราฟเรเน็ต ในจังหวัดอีสเทิร์นเคป กล่าวว่า "เราไม่มีน้ำใช้มา 2 วันแล้ว ฉันกังวลว่ามันจะแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะ (รัฐบาล) ไม่ดูแลเรา" "พวกเขาสร้างห้องน้ำให้เราที่นี่ แต่เราไม่ได้ใช้ เพราะไม่มีน้ำ" https://www.bbc.com/thai/international-59234251
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|