|
#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง 1-2 องศาเซลเซียส และมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 18 ?19 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ส่วนในช่วงวันที่ 20 ?23 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ทำให้อุณหภูมิจะลดลงอีก 2-4 องศาเซลเซียส ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงตลอดช่วง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 18 - 23 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
พบปลากระโทงยักษ์ หนักกว่า 200 กก. ลอยตายในร่องน้ำที่สตูล ชาวประมงที่สตูล พบปลากระโทงยักษ์ หนักกว่า 200 กก. ลอยตายในร่องน้ำ ช่วยกันลากเข้าฝั่ง โดยต้องใช้คนถึง 8 คน ยกขึ้นฝั่ง วันที่ 17 ธันวาคม มีรายงานว่า ชาวประมง พื้นที่บ้านหาดทรายยาว ม.2 ต.ตันหยงโป อ.เมือง จ.สตูล ช่วยกันนำปลากระโทงขนาดยักษ์ลอยตายอยู่ในทะเล ขึ้นมาบนฝั่ง โดยต้องใช้คนถึง 8 คน ในการนำปลาขึ้นมา เนื่องจากปลามีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมาก นายมูฮัมหมัด บิสนุน เผยว่า ขณะที่ตนทำประมงอยู่ปากร่องน้ำ บ้านหาดทรายยาว พบปลาขนาดใหญ่ลอยตายอยู่จึงเข้าไปดู พบเป็นปลากระโทงขนาดยักษ์ ซึ่งตนเป็นชาวประมงมาตลอดชีวิต ยังไม่เคยเห็นปลาชนิดนี้ในพื้นที่ ต.ตันหยงโป เนื่องจากปลากระโทง จะอาศัยอยู่ในทะเลลึก จึงลากเข้าฝั่งมาเพื่อให้ลูกหลานได้ดูของจริง ซึ่งปลากระโทงดังกล่าวน่าจะเป็นกระโทงเทง เนื่องจากด้านบนของลำตัวมีสีน้ำเงินเข้ม ใต้ท้องมีสีเทาออกขาว ตัวปลายาวประมาณ 4 เมตร และน้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม คาดว่าน่าจะตายมาจากที่อื่นแล้วลอยมาที่ร่องน้ำบ้านหาดทรายยาว เบื้องต้น ยังไม่ทรายสาเหตุที่ปลาตาย เนื่องจากลำตัวก็ไม่มีบาดแผล ซึ่งหลังจากที่พบซาก ก็ได้ลากเข้าฝั่ง โดยชาวบ้านในพื้นที่เองก็ไม่เคยเห็นปลาที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ส่วนซากปลานั้น เนื่องจากปลาเริ่มเน่า จึงนำซากไปฝังต่อไป. https://www.thairath.co.th/news/local/south/1996855
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ดร.ธรณ์จวกนักล่า! ฆ่าตัดเขี้ยวแม่พะยูนทำลูกตายในท้อง ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เผยข่าวเศร้าส่งท้ายปี นักล่าฆ่าตัดเขี้ยวแม่พะยูนทำเครื่องราง ส่งผลให้ลูกในท้องตายอีกตัว จวกพวกเชื่อเขี้ยวพะยูนเป็นของขลัง ชี้ไม่มีคุณ มีแต่โทษคุก-ปรับอ่วม ลั่นหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมแน่ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thon Thamrongnawasawat ว่า ข่าวเศร้าก่อนสิ้นปี วันนี้มีพะยูนตายที่ตรัง เป็นเพศเมีย เธอกำลังจะเป็นคุณแม่ และ ?อาจ? มีร่องรอยว่าถูกฆ่าและโดนตัดเขี้ยว ! เจ้าหน้าที่อุทยานหาดเจ้าไหมเป็นผู้พบ ดูจากภาพเพิ่งตาย ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างชันสูตรโดยสัตวแพทย์ของกรมทะเล ในกรณีถูกตัดเขี้ยว คงนำไปขายเป็นเครื่องราง ? กรณีที่ตั้งใจฆ่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ถือเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน ผมยังไม่ด่วนสรุป ขอให้มีการแถลงข่าวจากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงก่อน แต่ในฐานะประธานคณะสัตว์หายาก หากเป็นเช่นนั้น เราต้องทำงานหนัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลพะยูน อันที่จริง มาเรียมโปรเจคท์ผ่านทุกขั้นตอนแล้ว เหลือเพียงแค่เข้าครม. ผมตามเรื่องทุกครั้งที่เจอผู้เกี่ยวข้อง แต่เรื่องก็ยังไม่ได้เข้าสักที อาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอปัญหาเร่งด่วนหลายอย่าง แต่ตอนนี้ อยากบอกว่า การดูแลสัตว์หายากให้อยู่รอดต่อไปในทะเลไทย ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนในความคิดของคนรักทะเลเช่นกัน ยิ่งดูภาพเจ้าตัวน้อย ยิ่งรู้สึกเศร้า รู้สึกโกรธ? ทำไมยังมีคนคิดว่า เขี้ยวพะยูนเป็นของขลัง มีพลังโน่นนี่ มีครับ ไม่ใช่มีคุณ แต่มีโทษ ทำร้าย/ฆ่า/ขาย/ครอบครอง สัตว์สงวน ?จำคุก 3-15 ปี ปรับ 3 แสน ถึง 1.5 ล้านบาท ทั้งจำทั้งปรับ สุดท้ายคือกรรม ฆ่าแม่ฆ่าลูก กฎแห่งกรรม ไปถึงแน่นอน ฆ่าน้องเค้าทำไม!!! https://www.dailynews.co.th/regional/813455
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
นักวิจัยจุฬาฯ ค้นพบปะการังอ่อนชนิดใหม่ของโลก กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานนาม "สิรินธรเน่" วันนี้ (17 ธ.ค.) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือ ร่วมกัน เผยแพร่การค้นพบ "ปะการังอ่อน 2 ชนิดพันธุ์ใหม่ของโลก" เป็นพันธุ์หายาก แต่ชี้วัดใต้ทะเลไทยยังมีความหลากหลายทางนิเวศวิทยา หลังค้นพบได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานนาม "สิรินธรเน่" รองศาสตราจารย์ ดร. วรณพ วิยกาญจน์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการที่ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยกลุ่มการวิจัยชีววิทยาแนวปะการัง ได้ร่วมกับ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือ ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา วิจัยความหลากหลายของปะการัง ความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการัง รวมถึงการฟื้นฟูทรัพยากรปะการัง ทั้งบริเวณฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จนกระทั่ง ล่าสุดได้ค้นพบปะการังอ่อนชนิดใหม่ของโลก 2 ชนิด ซึ่งอยู่ภายใต้สกุล "Chironephthya" (ไคโรเนฟเฟีย) จึงนำเสนอเรื่องเพื่อกราบบังคลทูลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทรงทราบ และขอทรงมีพระราชวินิจฉัยพระราชทานชื่อวิทยาศาสตร์ โดยปะการังอ่อนสองชนิดที่ค้นพบใหม่นี้ หนึ่งในชนิดปะการังนี้ ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อชนิดว่า "sirindhornae" (สิรินธรเน่) ซึ่งเป็นชื่อตามพระนามขององค์ประธานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สำหรับปะการังอ่อนอีกชนิดหนึ่งได้ชื่อว่า "cornigera"(คอร์นิกีร่า) โดยชื่อปะการังชนิดใหม่ของโลกที่ค้นพบในน่านน้ำไทยได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านวารสารวิจัยระดับนานาชาติ Zootaxa (ซูแท๊กซ่า) ในปี 2563 นี้ รองศาสตราจารย์ ดร. สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การค้นพบในครั้งนี้ ดำเนินการภายใต้โครงการการศึกษาวิจัยความหลากหลายของปะการังในน่านน้ำไทย ยังได้รับการสนับสนุนจาก สำนักเลขาธิการคณะอนุกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ระหว่างรัฐบาลภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตกภายใต้ยูเนสโก (UNESCO-IOC/WESTPAC) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปะการังอ่อนชนิดใหม่ทั้งสองชนิดนี้จัดเป็นปะการังที่หายาก แต่สามารถพบได้ในบริเวณหมู่เกาะแสมสารและที่หมู่เกาะแถวพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ระดับความลึกตั้งแต่ประมาณ 8 ? 19 เมตร ขนาดของปะการังสูงประมาณ 4 เซนติเมตร ปะการังอ่อนทั้งสองชนิดนี้ชอบอาศัยในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหล เนื่องจากสามารถจับหาอาหารบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี สำหรับปะการังอ่อนชนิด "sirindhornae" นี้เป็นปะการังอ่อนที่มีสีชมพูสวยงามเหมือนดอกไม้ ส่วนปะการังอ่อนชนิด "cornigera" เป็นปะการังอ่อนที่มีสีส้มเหลือง ชื่อ "cornigera" แปลว่า แตร เพราะมีรูปร่างเหมือนแตร "การค้นพบปะการังอ่อนชนิดใหม่ของโลกในน่านน้ำไทยนี้ แสดงให้เห็นว่า ใต้ทะเลของประเทศไทยยังมีความหลากหลายของปะการังอีกมากที่ยังรอการค้นพบจากนักวิทยาศาสตร์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อการอนุรักษ์ ก่อนที่ปะการังเหล่านั้นจะถูกทำลายและหายไปเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์" รศ.ดร. สุชนา กล่าว ข้อมูลเพิ่มเติม ปะการังอ่อนชนิดพันธุ์ใหม่ที่ 1 Chironephthya sirindhornae (อ่านว่า ไคโรเนฟเฟีย สิรินธรเน่) หรือปะการังสีชมพู ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามพระนามสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นองค์ประธานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปะการังชนิดนี้มีลำตัวสีชมพู และที่ปลายแหลมเป็นสีเหลือง ปะการังอ่อนชนิดพันธุ์ใหม่ที่ 2 Chironephthya cornigera (อ่านว่า ไคโรเนฟเฟีย คอร์นิกีร่า) หรือปะการังสีส้มเหลือง ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามรูปร่างของปะการังซึ่งมีรูปร่างเหมือนแตร ปะการังชนิดนี้มีลำตัวสีส้มหรือสีเหลือง และมีหนวดเป็นสีขาว สถานภาพของประชากร (สถานที่ค้นพบ) จัดเป็นปะการังอ่อนที่หายาก ปัจจุบันมีรายงานค้นพบเพียงแห่งเดียวที่จังหวัดชลบุรี บริเวณหมู่เกาะแสมสารและที่หมู่เกาะแถวพัทยา ที่ระดับความลึกตั้งแต่ประมาณ 8 ถึง 19 เมตร ปะการังอ่อนทั้งสองชนิดนี้ชอบอาศัยในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหล เนื่องจากสามารถจับหาอาหารบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลได้เป็นอย่างดี การค้นพบปะการังอ่อนสามารถใช้เป็นตัวขี้วัดทางชีวภาพที่สามารถบ่งบอกถึง ?สุขภาพ? ของสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลว่า บริเวณนั้นยังมีความหลากหลายของปะการังสูง หน่วยงานที่สนับสนุนการศึกษาวิจัย โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี? หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือ?กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง? สำนักเลขาธิการคณะอนุกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ระหว่างรัฐบาลภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตกภายใต้ยูเนสโก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ? สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมบริษัทเอ็มพี บี 5 (ประเทศไทย) กองทุนวิจัยของสหภาพยุโรป https://mgronline.com/qol/detail/9630000128895
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
สะเทือนใจ! พบแม่พะยูนตรังตายพร้อมลูกในท้อง ซ้ำเจอบาดแผลคล้ายถูกตัดเขี้ยว กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ดุหยง เกาะลิบง จ.ตรัง เผยถึงเหตุสลด พบพะยูนตายเพิ่มทีเดียว 2 ตัว ตัวแรกมีบาดแผลประมาณ 3-4 นิ้ว บริเวณปากคล้ายถูกตัดเขี้ยวออกไป อีกตัวนั้นตายในขณะตั้งท้องและกำลังใกล้คลอด เบื้องต้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรอผลชันสูตร วันนี้ (17 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก "ทิพย์อุสา จันทกุล" ได้โพสต์ใน "กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ดุหยง เกาะลิบง" เผยถึงเหตุการณ์เศร้าสลด โดยระบุรายละเอียดว่า "นายณรงค์ คงเอียด หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง ได้รับแจ้งจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ จม.3 เกาะกระดาน ว่า พบพะยูนเสียชีวิต 1 ตัว ลอยอยู่ในทะเล ระหว่างเกาะแหวนกับเกาะกระดาน หมู่ที่ 2 ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพศเมีย ความยาว 2.56 เซนติเมตร ความยาววัดแนบลำตัว 2.57 น้ำหนักประมาณ 300 กิโลเมตร ลักษณะภายนอก มีบาดแผลประมาณ 3-4 นิ้ว บริเวณปากเหมือนถูกตัดเขี้ยวออกไป ทั้งนี้ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมได้ประสานสัตวแพทย์ ประจำศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่างและรอผลชันสูตร ต่อไป โดย ต่อมาพบว่าจากเหตุดังกล่าว พบไม่ใช่แค่พะยูนตัวเดียวที่ตาย แต่ครั้งนี้ตายทีเดียวถึง 2 ตัว อีกตัวคือพะยูนเพศเมียตายในขณะตั้งท้องและกำลังใกล้คลอด ซึ่งเป็นภาพที่เวทนายิ่งนัก โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างรอผลชันสูตร" https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000128917
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
คนแรกของโลก ตายเพราะอากาศพิษ ด.ญ.ชาวอังกฤษ 9 ขวบ คนแรกของโลก ตายเพราะอากาศพิษ - ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า แพทย์ในอังกฤษแจ้งผลวินิจฉัยโรคและชันสูตรพลิกศพเด็กหญิง วัย 9 ขวบ ว่าเป็นคนแรกของโลกที่มีสาเหตุการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ ด.ญ.เอลลา คิสสิ-เดบราห์ อาศัยในย่านลูวิแชม ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน และอยู่ใกล้กับถนนเซาท์ เซอร์คูลาร์ ซึ่งเป็นถนนสายหนึ่งที่มีการสัญจรหนาแน่นที่สุดในลอนดอน เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพกล่าวว่า เอลลาเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เมื่อดือน ก.พ. 2556 หลังจากหัวใจหยุดเต้นและผายปอดไม่สำเร็จ เด็กหญิงป่วยเป็นโรคหืดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวและและภาวะการหยุดหายใจ เธอต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉินบ่อยครั้งตลอด 3 ปี แพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากการหยุดหายใจฉับพลัน เป็นหืดอย่างรุนแรงและแพ้มมลพิษทางอากาศ ส่วนเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพระบุว่าเอลลาเสียชีวิตเพราะเป็นหืดซึ่งเกิดจากการสูดอากาศพิษเข้าไป องค์กรการกุศลทั้งสมาคมโรคหืดแห่งอังกฤษและมูลนิธิปอดแห่งอังกฤษเห็นตรงกันว่าเอลลาเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ระบุสาเหตุการเสียชีวิตในใบมรณบัตรว่าเสียชีวิตจากมลภาวะ ฟิลิป บาร์โลว์ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพกล่าวในศาลว่าแม่ของเอลลาไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมลภาวะหรือโรคหืดซึ่งอาจจะช่วยให้หาทางป้องกันไม่ให้อาการหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้เพราะมลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นโรคหืดและหืดกำเริบ เอลลาป่วยระหว่างปี 2553-2556 เธอได้รับใช้ไนโตรเจน ไดออกไซด์และอนุภาคขนาดเล็ก หรือ พีเอ็ม มากเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ส่วนใหญ่เกิดจากการสูดอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษจากการจราจรที่คับคั่ง บาร์โลว์กล่าวว่าอังกฤษล้มเหลวในการลดระดับไนโตรเจน ไดออกไซด์ตามที่สหภาพยุโรปและกฎหมายในประเทศกำหนด ส่วนโรซามุนด์ คิสสิ-เดบราห์ แม่ของเอลลากล่าวหลังจากศาลตัดสินว่า เราต้องได้รับความยุติธรรมที่เอลลาควรได้รับ แต่ยังมีเด็กคนอื่นๆ ที่เดินไปโรงเรียนในเมืองและสูดเอาอากาศพิษปริมาณมากเข้าไป คดีของเอลลาควรนำไปสู่กฎหมายอากาศสะอาดฉบับใหม่และทำให้รัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลทั่วโลกหันมาใส่ใจเรื่องให้อย่างจริงจัง แม่ของเอลลากล่าวว่าตนคิดว่าคนยังขาดความเข้าใจว่าปอดของเด็กที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่และถูกทำลายด้วยอากาศเป็นพิษ อีกทั้ง หวังว่าจะเห็นประชาชนรณรงค์ให้ตระหนักถึงอันตรายของมลพิษทางอากาศมากกว่าการโจมตีกันไปมา ศาลสูงเพิกถอนการตัดสินคดีก่อนหน้านี้เมื่อปี 2557 ที่สรุปการเสียชีวิตของเอลลาว่าเกิดจากการหายใจล้มเหลว หลังจากพบหลักฐานใหม่ว่าระดับมลพิษทางอากาศแถวบ้านของหนูน้อยสูงเกินระดับอันตราย ด้าน ซาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญยิ่งและยกย่องแม่ของเอลลาที่กล้าหาญอย่างยิ่งและต่อสู้มานานหลายปี พร้อมทั้งกล่าวว่าอากาศเป็นพิษทำให้สุขภาพย่ำแย่ โดยฉพาะเด็กๆ วันนี้ จะต้องเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ครอบครัวอื่นๆ ไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนกับครอบครัวของเอลลา เมื่อปี 2561 สตีเฟน โฮลเกต อาจารย์มหาวิทยาลัยเซาท์แฮมตัน พบว่าระดับมลพิษที่สถานีวัดคุณภาพอากาศที่แคตฟอร์ดซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเอลลาไม่มากนัก มีระดับมลพิษเกินกว่าที่กฎหมายของอียูกำหนดเอาไว้มาก ก่อนที่เอลลาเสียชีวิต หากต้องการให้ลูกหลานสุขภาพดีก็จะต้องช่วยกันรักษาความสะอาดสิ่งแวดล้อม ซาราห์ วูลนัฟ ซีอีโอสมาคมโรคหืดแห่งอังกฤษและมูลนิธิปอดแห่งอังกฤษกล่าวว่าส่งใจไปถึงครอบครัวเอลลาที่ต่อสู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อผลที่ยิ่งใหญ่ คดีความของเอลลาสะท้อนให้เห็นถึงอันตรายที่มองไม่เห็นจากการสูดอากาศสกปรกและเป็นส่วนเหตุส่วนหนึ่งของหืดหรือโรคปอด พร้อมทั้งเห็นว่ากฎหมายและนโยบายเพื่ออากาศสะอาดยังไม่เพียงพอ อีกทั้ง รัฐบาล เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและแพทย์ต้องร่วมมือกันต่อสู้กรับวิกฤตทางสุขภาพที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศ ขณะที่โฆษกรัฐบาลอังกฤษกล่าวว่ารัฐบาลจะทุ่มงบประมาณ 3,800 ล้านปอนด์หรือประมาณ 153,900 ล้านบาทเพื่อใช้ในแผนปรับปรุงการคมนาคมขนส่ง ลดการปล่อยไนโตรเจน ไดออกไซด์และป้องกันชุมชนจากการได้รับมลพิษทางอากาศ รวมทั้ง ตั้งเป้าหมายเพื่ออากาศสะอาดสดใส https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_5552179
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|