เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 14-08-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบน ในขณะที่มีลมตะวันออกวันพัดปกคลุมทะเลจีนใต้และอ่าวไทยตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 14 - 16 ส.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีลมตะวันออกพัดเข้าปกคลุมภาคใต้และภาคตะวันอออก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 17 - 19 ส.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังออนลง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลง โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ตลอดช่วง บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 14 - 16 ส.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 14-08-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


โดนจวกยับ! หนุ่มประมงเล่นพิเรนทร์ ใช้ฟันฉลาม เจาะกระป๋องเบียร์

ชาวโซเชียลรุมประณาม หนุ่มประมงมะกันเล่นพิเรนทร์จับฉลามเกยตื้น ก่อนถ่ายวิดีโอเจาะกระป๋องเบียร์ด้วยฟันฉลามอย่างทารุณ



เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ไวแอตต์ ดัลลิสัน โคดี สก็อตต์ และเพื่อนของพวกเขากำลังตกปลาที่ชายหาดฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาพวกเขาถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอความตื่นเต้นของการจับฉลามเสือทรายได้ แต่ทว่าส่วนหนึ่งของวิดีโอแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและทารุณ โดยชายคนหนึ่งกำลังปากระป๋องใส่ฟันอันแหลมคมของเจ้าฉลามเสือทราย ฉลามดิ้นรนไปมาก่อนจะสะบัดกระป๋องออกจากฟัน ซึ่งเขาหยิบกระป๋องเบียร์มาดื่มต่อพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน จากนั้นพวกเขาจึงปล่อยฉลามคืนสู่ทะเล

คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาโพสต์ลงยูทูปและติ๊กต็อกที่มีผู้ติดตามถึง 58,000 คน จนกลายเป็นไวรัลและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างล้นหลาม โดยผู้คนจำนวนมากเข้ามารุมประณามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะ "เขาถ่ายวิดีโอตนเองทำผิดกฎหมาย ยอดเยี่ยมจริง ๆ" "ฉันชอบตกปลานะ แต่ทำแบบนี้มันเกินไป" "คนที่ไม่เคารพธรรมชาติและไร้คุณธรรมแบบนี้ ไม่สมควรที่จะได้รับอนุญาตตกปลาอีกต่อไป" "แค่สนุก? พวกเขาควรโดนลงโทษมากกว่านี้!!"

ซึ่งไวแอตต์ยอมรับกับสื่อท้องถิ่นว่า "การกระทำนี้อาจไม่ใช่ความคิดที่ดี พวกเราก็ทำเพื่อความสนุกเท่านั้น" ส่วนทางด้านโคดีกล่าวว่า "พวกเรามิได้ทำร้ายฉลามและฉลามก็ไม่ได้รับบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้น" และเขาเสริมว่า "ผมไม่ทราบว่าการจับฉลามขึ้นจากน้ำทะเลนั้นผิดกฎหมาย ซึ่งผมก็ได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่และจะไม่กระทำพฤติกรรมเช่นนี้อีกแล้ว"

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอนุรักษ์ปลาและสัตว์ป่าแห่งฟลอริดาออกมาประกาศให้ทราบอีกครั้งว่า "กฎหมายของเมืองฟลอริดากำหนดว่าฉลามทุกสายพันธุ์ต้องได้รับการคุ้มครองและห้ามจับฉลามขึ้นจากทะเลโดยเด็ดขาด" ส่วนทางด้านกรมการประมงแห่งชาติ (NMFS) กล่าวว่า "ไม่ว่าฉลามสายพันธุ์ไหนก็ตามที่ถูกจับขณะตกปลาจะต้องปล่อยลงสู่ทะเล โดยมีอันตรายน้อยที่สุด โดยหากมีผู้ใดไม่กระทำตามจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายของ NOAA"


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_6560652

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 14-08-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


พบฝูงโลมาเผือกว่ายน้ำเล่นที่อ่าวท้องหยี

นครศรีธรรมราช 13 ส.ค. ? เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบฝูงโลมาเผือกกำลังว่ายน้ำเล่นบริเวณอ่าวท้องหยี แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย



เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดขนอม-หมู่เกาะทะเลใต้ จ.นครศรีธรรมราชสำรวจพบฝูงโลมาหลังโหนกกำลังว่ายน้ำเล่นบริเวณอ่าวท้องหยี ต. อ่าวขนอม อ. ขนอม จ. นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสถานะ "สัตว์คุ้มครอง" ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง พ.ศ.2535 และอยู่ในบัญชี 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์

ทั้งนี้ โลมาเผือก มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า โลมาหลังโหนก (Humpback dolphin, Sousa chinensis) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ โลมาสีชมพู เป็นโลมาประจำถิ่นที่อาศัยบริเวณแนวชายฝั่ง โดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำ กินปลาและหมึกเป็นอาหาร อยู่รวมกันเป็นฝูง 10-20 ตัว อาจพบอยู่เป็นคู่หรือเดี่ยว แรกเกิดจะลำตัวสีเทาความยาวประมาณ 1 เมตร เมื่ออายุมากขึ้นจะมีประขาวเพิ่มมากขึ้นและเมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวมากถึง 3.2 เมตร หนัก 250 กิโลกรัม โดยลำตัวจะมีสีขาวเทาหรือขาวอมชมพู จึงเป็นที่มาของชื่อ โลมาเผือก

สำหรับโลมาชนิดนี้อาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งหากระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ มีทั้งปะการัง หญ้าทะเล และป่าชายเลน จะเป็นแหล่งเลี้ยงดูที่สำคัญของสัตว์วัยอ่อนที่สำคัญ โดยจะมีโอกาสพบสัตว์ทะเลหายากชนิดอื่นได้แก่ โลมาอิรวดี โลมาหัวบาตรหลังเรียบ และพะยูนด้วย

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวชมโลมาและวาฬในประเทศไทย เช่น โลมาอิรวดีที่ปากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โลมาอิรวดีที่อ่าวตราด จ.ตราด โลมาหลังโหนกหรือโลมาเผือกที่อ่าวขนอม จ.นครศรีธรรมราช โลมาหลังโหนกที่บ้านตะเสะ จ.ตรัง และวาฬบรูด้าบริเวณอ่าวไทยตอนบน นอกชายฝั่งของ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี โดยย้ำว่า การชมโลมาและวาฬโดยทางเรือนั้น ต้องปฏิบัติตามคู่มือการชม และจำกัดจำนวนเรือเพื่อไม่ให้รบกวนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของโลมาและวาฬได้แก่ การกินอาหาร เลี้ยงดูลูก หรือผสมพันธุ์ ตลอดจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์เหล่านี้ ทำให้บาดเจ็บ หรืออาจเป็นสาเหตุทำให้สัตว์เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรังเช่น ผลกระทบจากเรื่องเสียงใต้น้ำ (Under water sounds) การเฉี่ยวชนจากเรือ (Vessel strike) เป็นต้น ผลกระทบของเสียง (Noise as a stressor) จะไปรบกวนการสื่อสารระหว่างกันในฝูง ลดความสามารถในการได้ยินเสียงระหว่างกัน ทำให้สูญเสียความสามารถในการกำหนดทิศทางการเดินทางและการหาเหยื่อ รบกวนการพักผ่อน หรือปฏิกิริยาของสัตว์ต่อสังคมในฝูงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเปลี่ยนไปทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว

นอกจากนี้ยังแนะนำได้การชมโลมาและวาฬในต่างประเทศซึ่งมี 3 วิธี คือ 1) ทางเรือขนาดกลางถึงใหญ่ 2) เรือแคนู (Sea kayak) และ 3) ทางบก โดยการปีนขึ้นไปดูบนที่สูงบริเวณชายฝั่ง (Hiking) การท่องเที่ยวเพื่อชมวาฬครั้งแรกคือการดูวาฬสีน้ำเงิน (Blue whale) เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1955 ที่ซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1985 ที่ประเทศอังกฤษ นักท่องเที่ยวนิยมไปชมวาฬหลังค่อม (Humpback whale) กันมาก เพราะวาฬหลังค่อมมีพฤติกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การโผล่ขึ้นกินอาหาร (Lunge feeding) การกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำทะเล (Breaching) การโบกสะบัดหาง (Tail-slapping) และหลังจากปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา ธุรกิจการท่องเที่ยวชมโลมาและวาฬมีการแพร่กระจายไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มากกว่า 87 ประเทศ มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 9 ล้านคนต่อปี ประมาณรายได้จากธุรกิจนี้ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2000 จากนักท่องเที่ยวจำนวน 11.3 ล้านคน ประมาณ 1.475 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ.


https://tna.mcot.net/latest-news-757514

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 14-08-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


สัญญาณเตือนภัย 5 ประการ จากรายงานภูมิอากาศฉบับเขย่าโลกของสหประชาชาติ



สัญญาณเตือนภัย 5 ประการ จากรายงานวิกฤตภูมิอากาศฉบับเขย่าโลก
เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ได้เผยแพร่รายงานฉบับประวัติศาสตร์ ซึ่งเผยผลการศึกษาที่น่าพรั่นพรึงในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกที่ผ่านมาและแนวโน้มของการเผชิญวิกฤตในอนาคต

รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเตือนภัยร้ายแรง 5 ประการ ที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์อย่างแน่นอนในไม่ช้านี้ หากทุกประเทศทั่วโลกไม่ร่วมมือกันเร่งขวนขวาย เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างสุดกำลังในทันที


1. การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าเดิมทั่วโลก

รายงานฉบับนี้ชี้ว่า สภาพการณ์ปัจจุบันของภูมิอากาศโลกที่กำลังเลวร้ายลงในหลายด้าน เป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ "อย่างไม่ต้องสงสัย" ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น หลายเรื่องไม่อาจจะแก้ไขให้หวนคืนสู่สภาพเดิมได้อีกต่อไป



รายงานได้คาดการณ์ถึงอนาคตที่น่าหวาดหวั่นของสภาพภูมิอากาศโลก โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงหนักแน่นเน้นย้ำถึงความมั่นใจในระดับสูง เห็นได้จากการที่รายงานความยาวกว่า 40 หน้ากระดาษนี้ใช้คำว่า "เป็นไปได้อย่างยิ่ง" ถึง 42 ครั้ง ซึ่งคำนี้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วเทียบเท่ากับการแสดงความมั่นใจในระดับ 90-100% เลยทีเดียว




2. อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียสอย่างแน่นอน ในอีก 2 ทศวรรษ

ภายในเวลาไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2040 อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.5 องศาเซลเซียสอย่างแน่นอน ซึ่งเท่ากับว่าเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกในระยะยาวตามความตกลงปารีส จะไม่เป็นผลสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ดร. อะแมนดา เมย์ค็อก จากมหาวิทยาลัยลีดส์ของสหราชอาณาจักร หนึ่งในคณะนักวิทยาศาสตร์ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้บอกว่า ยังคงมีความหวังอยู่บ้างเล็กน้อย เนื่องจากหายนะจะยังไม่เกิดขึ้นทันทีเมื่อโลกร้อนขึ้นอีก 1.5 องศาเซลเซียส

"หากเราตัดลดการปล่อยคาร์บอนจากระดับปัจจุบันลงได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และหยุดปล่อยคาร์บอนได้อย่างสมบูรณ์ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงจุดดังกล่าว อุณหภูมิโลกจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอีกต่อไป และมีโอกาสจะทำให้กลับคืนสู่ระดับที่เย็นลงได้" ดร. เมย์ค็อกกล่าว




(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 14-08-2021 เมื่อ 04:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 14-08-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,216
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


สัญญาณเตือนภัย 5 ประการ จากรายงานภูมิอากาศฉบับเขย่าโลกของสหประชาชาติ .......... ต่อ


3. ไม่ว่าเราจะทำอย่างไร ระดับน้ำทะเลก็จะยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

หากมนุษย์ไม่ตัดลดการปล่อยคาร์บอนลงต่ำกว่าระดับปัจจุบัน โดยยังคงโหมกระหน่ำเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลกันอย่างหนักมือ มีความเป็นไปได้ว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เมตร ก่อนสิ้นศตวรรษนี้ และเพิ่มขึ้นถึง 5 เมตร ภายในปี 2150 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จะมีประชาชนผู้อยู่อาศัยตามแนวชายฝั่งได้รับความเดือดร้อนหลายล้านคน

แม้นักวิทยาศาสตร์บางส่วนจะมองโลกในแง่ดี โดยพวกเขาเห็นว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขั้วดังข้างต้นนั้นยากที่จะเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนเมื่อโลกร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 ก็คือการที่ระดับน้ำทะเลจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยไปไม่สิ้นสุด โดยที่มนุษย์ไม่อาจยับยั้งเอาไว้ได้อีกแล้ว โดยอาจเพิ่มสูงขึ้น 2-3 เมตรในช่วงศตวรรษหน้า




4. ก๊าซมีเทนคือสิ่งที่เรามองข้ามมาโดยตลอด

ในอดีตนักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมากในการศึกษาเรื่องภาวะโลกร้อน โดยพยายามจำลองสถานการณ์เพื่อทำนายว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะมีความอ่อนไหวต่อการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนชนิดนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งรายงานในอดีตได้คาดการณ์ว่า อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นราว 1.5 - 4.5 องศาเซลเซียส หากปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นสองเท่า



อย่างไรก็ตาม รายงานของ IPCC ฉบับล่าสุด ได้ปรับปรุงการคาดการณ์ในเรื่องนี้ให้มีความแน่นอนแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยทำนายว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นราว 3 องศาเซลเซียสในสถานการณ์ดังกล่าว

สำหรับโลกยุคปัจจุบันที่ร้อนขึ้นกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมไปแล้ว 1.1 องศาเซลเซียสนั้น รายงานระบุว่าก๊าซมีเทนมีส่วนในการทำให้โลกร้อนขึ้นในขณะนี้ถึง 0.3 องศาเซลเซียส หรือเกือบ 1 ใน 3 เลยทีเดียว ซึ่งหากเราเร่งจัดการกับก๊าซมีเทนที่มาจากอุตสาหกรรมด้านพลังงานและเกษตรกรรมได้ ก็เท่ากับว่าเป็นทางลัดในการลดโลกร้อนลงอย่างรวดเร็วโดยใช้ต้นทุนต่ำ




5. นักอนุรักษ์จะฟ้องร้องต่อศาลและชนะคดีบ่อยขึ้น หากนักการเมืองไม่แก้ปัญหาโลกร้อน

รายงานของ IPCC ฉบับล่าสุดนั้น เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นและเชื่อถือได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งชี้ชัดว่ากิจกรรมของมนุษย์และการทำอุตสาหกรรมในภาคต่าง ๆ นำไปสู่วิกฤตของภูมิอากาศโลกได้อย่างไร

หากบรรดานักการเมืองที่เป็นผู้นำและผู้กำหนดนโยบายของชาติต่าง ๆ ยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในรายงานฉบับนี้ เหล่าองค์กรอนุรักษ์ต่าง ๆ อาจยื่นฟ้องร้องต่อศาล เพื่อบังคับให้ภาครัฐดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างเร่งด่วนได้ โดยจะมีโอกาสชนะคดีเพิ่มสูงขึ้นมาก ดังที่องค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมในไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ได้ทำสำเร็จมาแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา




__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:17


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger