เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 25-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบน มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ สำหรับยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 25 - 26 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-4 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันตกพัดปกคลุมภาคเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีอากาศหนาวเย็น สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อน

ส่วนในช่วงวันที่ 27 - 30 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนหนาวเย็นลง และมีอุณหภูมิลดลง 1-4 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 25 - 26 ม.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย ในช่วงวันที่ 27 - 30 ม.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 25-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


'ดร.ธรณ์' แจ้งข่าวดี ! ลูกเต่ามะเฟือง ฟักลงทะเลแล้ว 305 ตัว แต่หวั่นเหตุร้าย! "ไม่รอดเพราะกินพลาสติก"



เมื่อคืนนี้ (23 ม.ค.2564) ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์รายงานสถานการณ์ฟักไข่ของลูกเต่ามะเฟืองบนเฟซบุ๊ค Thon Thamrongnawasawat ลูกเต่ามะเฟืองถือกำเนิดลงทะเลอีก 19 ตัว เข้าไปสมทบกับพี่ๆ ที่เกิดก่อน รวมเป็น 305 ตัวในซีซั่นนี้ครับ? แม้รังนี้จะเกิดไม่มาก แต่เป็นเพราะไข่ไม่ได้รับการผสม เนื่องจากเป็นรังหลังๆ ของแม่เต่าตัวเดิม ทำให้น้ำเชื้อเริ่มไม่พอ

ปัญหาเต่ามะเฟืองตัวผู้มีน้อยเกินไป เป็นที่พูดถึงกันในวงการนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมา 20-30 ปี การแก้ปัญหายังไม่มี ยิ่งเกิดภาวะโลกร้อน ยิ่งน่าเป็นห่วง

อย่างไรก็ตาม 19 ตัว/รัง ยังมากกว่าอัตราเฉลี่ยของซีซั่นก่อนที่ 16.6 ตัว/รัง หวังว่ารังต่อๆ ไปที่ยังมีอีกร่วมสิบรัง จะมีอัตราฟักสูงขึ้น (มีแม่เต่าอย่างน้อย 3 ตัวฮะ ตัวใหม่ๆ ที่เพิ่งวาง ลูกจะออกมาเยอะ)

ขอให้เต่าน้อยทั้งสิบเก้า จงอยู่เย็นเป็นสุข ขอพรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกันทำด้วย ช่วงโควิดขยะพลาสติกเพิ่มขึ้นเยอะเลย ส่งผลต่อเนื่องถึงทะเล ถึงลูกเต่า ถึงแม่เต่า ที่แยกแมงกะพรุนกับถุงพลาสติกไม่ได้ กินเข้าไปติดคอตาย จะเกิดกี่ตัว อนาคตก็คงหม่นหมอง เพราะฉะนั้น มาช่วยกัน เพื่อลูกเต่าตาดำๆ ที่เพิ่งเกิดมา จะได้มีทะเลที่สดใสครับ

และเมื่อวานนี้ 23 มกราคม 2564) กรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง (ทช.) โดยสำนักงาน ทช.ที่ 6 (พังงา) ปฏิบัติงานศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟืองหาดบางขวัญ หาดบางสัก หาดคึกคัก และหาดบนเกาะคอเขา จ.พังงา ได้มีการจัดเวรเฝ้าระวัง ให้ข้อมูล องค์ความรู้ ประชาสัมพันธ์ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาเยี่ยมชมในพื้นที่ ในช่วงดึกต่อเนื่องเช้ามืดโดยร่วมกับชุมชนเดินเต่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่แม่เต่ามะเฟือง ทั้งนี้ กำลังรอการฟักอีก 2 รังที่หาดคึกคัก และบางสัก เนื่องจากหลุมทรายยุบตัวมา 2 วันแล้ว

หวั่นลูกเต่ามะเฟืองกินพลาสติก เพราะคิดว่าเป็นแมงกระพรุน

ดร.ธรณ์ แสดงกังวลในความปลอดภัยของลูกเต่ามะเฟือง หลังฟักไข่ลงสู่ทะเลแล้ว เนื่องจากมีข้อพิสูจน์จากการอนุบาลลูกเต่ามะเฟืองที่ชอบกินลูกแมงกระพรุน ซึ่งลูกเต่าอาจจะเข้าใจผิดเมื่อไปเห็นเศษถุงพลาสติกที่พัดลอยอยู่ในทะเล

เรารู้ว่าลูกเต่ามะเฟืองเกิดมาจะเร่งรีบว่ายไปกลางทะเล ไปให้ไกลฝั่งสุดเท่าที่ทำได้ แต่ที่น่าสงสัย พวกเธอกินอะไรนะ ?

เราพอรู้ว่าเต่ามะเฟืองกินแมงกะพรุนเป็นอาหารหลัก ถือเป็นสัตว์ช่วยควบคุมแมงกะพรุนตามธรรมชาติไม่ให้มีมากเกินไปเจ้าหน้าที่กรมทะเลจึงนำแมงกะพรุนมาให้ลูกเต่าลองกิน

คลิปนี้แสดงชัดเจนว่าน้องเต่ามะเฟืองชอบกินแมงกะพรุนจริงจังเริ่มจากการดูท่าว่าย จะเห็นว่าน้องเต่าใช้ครีบคู่หน้าที่ใหญ่และยาวมาก เพื่อพาตัวเองไปข้างหน้าครีบคู่หลังมีไว้เพื่อช่วยกำหนดทิศทางเล็กๆ น้อยๆเต่ามะเฟืองอาศัยกลางมหาสมุทร ต้องว่ายน้ำเก่ง แข็งแรง ลูกเต่าจึงมีครีบหน้าที่เจ๋งมาก เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติครับ

จากนั้นลองสังเกตว่า เต่ามะเฟืองมีหัวขนาดใหญ่ ปากใหญ่และกว้าง สามารถอ้ำแมงกะพรุนเข้าไปได้ทั้งตัว เป็นลักษณะพิเศษของเต่าชนิดนี้เต่าชนิดอื่นก็กินแมงกะพรุน แต่ไม่ใช่อาหารหลัก และส่วนใหญ่จะกัดแทะ ไม่อ้ำไปทั้งตัวเหมืองน้องมะเฟือง

แนะนำให้เพื่อนธรณ์ดูแล้วดูอีก มีลูกมีหลานสมควรชวนดู เพราะผมคิดว่าเป็นครั้งแรกๆ ในโลกที่เรามีโอกาสเห็นพฤติกรรมแบบนี้ แม้จะเป็นในที่เลี้ยงก็ตามคราวนี้ลองคิดว่า ถ้าเป็นเศษถุงพลาสติกหรือขยะทะเลลอยในน้ำ ลูกเต่าเข้าใจผิดกินเข้าไป เธอย่อมป่วย หรืออาจตายได้


ชมคลิป ลูกเต่ากินลูกแมงกระพรุนทั้งตัว




อีกคลิปเต่ามองเห็นพลาสติก คิดว่าเป็นแมงกระพรุน




https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000007285

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 25-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


น้ำทะเลร้อนจัด เทียบเท่าปรมาณู 10 ลูก/วินาที ชี้ก่อพายุหนัก-ทำลายระบบนิเวศ



โลกร้อนหนักสภาพภูมิอากาศเปลี่ยน อุณหภูมิทะเลสูงเป็นประวิติการณ์ ในปี 2020 น้ำทะเลร้อนเทียบเท่าปรมาณู 10 ลูก/วินาที ตัวการพายุรุนแรง-ทำลายระบบนิเวศ

มหาสมุทรของโลกดูดซึมความร้อนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2020 และมีค่าความร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผลการศึกษาชี้ว่าสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนนี้ทำให้น้ำทะเลดูดซับความร้อนถึง 20 พันล้านล้านล้านจูล หรือ 20,000,000,000,000,000,000,000 จูล (ศูนย์ 22 ตัว) ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยระเบิดปรมาณูในฮิโรชิมา 10 ลูกในทุก ๆ วินาทีตลอดทั้งปี

เควิน เทรนเบิร์ต หนึ่งในผู้ศึกษาจากศูนย์การวิจัยบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่ามหาสมุทรดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดอยู่โดยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าร้อยละ 90 "มีพลังงานจำนวนมหาศาลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันจะมีผลตามมา" เขากล่าว


กราฟแสดงอุณหภูมิที่สูงขึ้นของมหาสมุทรโลก

"ตั้งแต่ประมาณกลางทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา อุณหภูมิในมหาสมุทรก็ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนี่คือตัวบ่งชี้เดียวที่ดีที่สุดว่าโลกกำลังร้อนขึ้น" ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันว่าโลกเราในปี 2020 ที่ผ่านมา โลกมีอุณหภูมิที่สูงเท่ากับปี 2016 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา และออสเตรเลียได้ถูกบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์เป็นปีที่สี่

"มหาสมุทรเป็นตัวควบคุมสำคัญของสภาพอากาศที่เราเห็นในทวีปออสเตรเลีย" เบอร์นาเดตต์ สลอยอัน นักสมุทรศาสตร์ของ CSIRO กล่าว เธอยังกล่าวอีกว่ามหาสมุทรที่อุ่นขึ้นอาจทำให้สภาพอากาศเลวร้ายเพิ่มขึ้น "ความร้อนจะเป็นตัวการหลักที่จะนำมาสู่มรสุมฝนและพายุหมุนเขตร้อนได้" ดร. สลอยอันกล่าว

และยังกล่าวอีกว่าสภาพอากาศที่รุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะมหาสมุทรมีความร้อน และจะค่อย ๆ ปล่อยกลับสู่ชั้นบรรยากาศ ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศและก่อให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงได้ และความร้อนที่เพิ่มขึ้นนั้นยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศ เช่นแนวปะการัง ด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดปะการังฟอกขาวเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน


นักดำน้ำลึกแหวกว่ายอยู่เหนือแนวปะการังที่ฟอกขาว

ที่ผ่านมานั้นทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียได้ถูกระบุว่าเป็นจุดที่มีความร้อนบริเวณผิวน้ำในมหาสมุทรมากที่สุด ตามที่ เจซิสิกา เบนทูเจน นักสมุทรศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลียกล่าว "เรามีคลื่นความร้อนทางทะเลจำนวนมากในทะเลแทสมันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารวมถึงในปี 2559 ด้วย" เธอกล่าวว่า "นั่นเป็นคลื่นความร้อนที่ยาวนานและรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ปลา และส่งผลอันตรายต่อหอยนางรมแปซิฟิกเป็นครั้งแรก"

อย่างไรก็ตามในรายงานสภาพภูมิอากาศปี 2020 สำนักอุตุนิยมวิทยากล่าวว่าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลโดยเฉลี่ยในภูมิภาคออสเตรเลียอุ่นขึ้นมากกว่า 1 องศาเซลเซียสตั้งแต่ปี 2443 ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ 8 จากทั้งหมด 10 ปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่บันทึกมาเลยในปี 2010


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5805219

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 25-01-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,106
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ช้างหวิดจมน้ำ ขาติดแหชาวประมง ดิ้นรนดำผุดดำว่าย 8 ชั่วโมง



ช้างหวิดจมน้ำ - อินเดียไทมส์ รายงานเหตุการณ์ระทึกที่มีคลิปบันทึกเป็นไวรัล นาทีช้างป่าดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการจมน้ำ เนื่องจากขามันไปติดแหของชาวประมง เจ้าหน้าที่ป่าไม้และทีมกู้ภัยพยายามเข้าไปช่วยแต่ไม่ง่าย เนื่องจากช้างตื่นกลัว ทำให้ปฏิบัติการช่วยเหลือกินเวลานานถึง 8 ชั่วโมง

เหตุเกิดที่อ่างเก็บน้ำนุคุ เมืองไมซอร์ รัฐกรณาฏกะ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย เจ้าหน้าที่อุทยานเสือพันทิปุระ ได้รับแจ้งว่า ช้างประสบเหตุตั้งแต่ตอน 6 โมงเช้า วันอังคารที่ 19 ม.ค. หลังจากมันเดินเข้าไปยังพื้นที่น้ำนิ่งช่วงดึกของวันจันทร์ที่ 18 ม.ค. เพื่อหาอาหาร

ขณะที่มันลงไปในน้ำ ขาของมันไปติดอวน หรือ แหของชาวประมง ทำให้มันว่ายขึ้นมาเหนือน้ำไม่ได้ ต้องอาศัยงวงโผล่พ้นน้ำขณะที่พยายามดิ้น

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหนืาที่ป่าไม้นั่งเรือรุดเข้าไปช่วย แต่เข้าใกล้มากไม่ได้ เพราะช้างตื่นตระหนก ยิ่งดิ้นยิ่งทำให้เรือโคลง ทีมงานจึงกลับเข้ามายังฝั่งก่อน จนกระทั่งมันเริ่มเหนื่อยหมดแรงดิ้น เจ้าหน้าที่จึงนั่งเรือออกไปใหม่

จากนั้นทีมช่วยเหลือหย่อนเบ็ดลงไปเกี่ยวแห-อวน แล้วค่อยๆ กระตุกคลายมันให้หลุดออกจากขาช้าง จังหวะนั้นช้างจึงเริ่มมีกำลังขึ้นและว่ายตรงเข้าหาฝั่ง ก่อนจะเดินกลับเข้าป่าไป ช่วงเวลาบ่าย 2 ครึ่ง ท่ามกลางความโล่งใจของทีมงาน และชาวบ้านที่ลุ้นอยู่

เจ้าหน้าที่กล่าวกับชาวบ้านว่า ถ้าช้างประสบเหตุช่วงเช้ามืดกว่านี้ อาจจบไม่สวยแบบนี้ ดังนั้นจะต้องสอบสวนจัดการกับคนที่เอาแหเอาอวนไปติดไว้ เพราะมีข้อห้ามอยู่แล้วว่าทำไม่ได้ในพื้นที่น้ำนิ่ง เพราะพื้นที่นี้มีช้างและสัตว์อื่นๆ ที่มักลงมากินน้ำ การทำเช่นนี้ละเมิดกฎหมายและเป็นภัยกับสัตว์ป่ามาก


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_5808114


*********************************************************************************************************************************************************


ปักกิ่งลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ลงถึง53% เซี่ยงไฮ้ก็ฮวบ ใช้วิธีปลูกป่าด้วย



ปักกิ่งลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 - ซินหัว รายงานว่า ทางการกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เปิดตัวเลขการลดความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม2.5 (PM2.5) ในปักกิ่ง ว่าลดลงร้อยละ 53 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (ค.ศ.2016-2020 หรือ พ.ศ.2559-2563)

ข้อมูลที่เผยแพร่ ณ ที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนเทศบาลนครปักกิ่ง ชุดที่ 15 ครั้งที่ 4 วันที่ 23 ม.ค. ระบุว่าความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม2.5 ในปักกิ่งลดลงเกินครึ่งในปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2015 ทำให้ปักกิ่งเป็นพื้นที่ที่มีฝุ่นพีเอ็ม2.5 หนาแน่นต่ำสุดและลดลงชัดเจนสุดในภูมิภาคปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย

ความเข้มข้นเฉลี่ยของฝุ่นพีเอ็ม2.5 ในปักกิ่งอยู่ที่ 38 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในปี 2020 ลดลงร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบปีต่อปี และทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งแรกในปี 2013

คุณภาพอากาศในปักกิ่งดีขึ้นจนเข้าใกล้มาตรฐานการควบคุมฝุ่นพีเอ็ม2.5 ระดับ 2 ของประเทศ ซึ่งกำหนดความเข้มข้นเฉลี่ยอยู่ที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

นอกจากนั้นปักกิ่งยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลงกว่าร้อยละ 23 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ปักกิ่งวางแผนปลูกต้นไม้ 10,000 เฮกตาร์ (ราว 62,500 ไร่) ในปี 2021 เพื่อเพิ่มพูนความครอบคลุมของป่าไม้ทั่วเมืองให้อยู่ที่ราวร้อยละ 45 ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า

ทางการกรุงปักกิ่งแสดงคำมั่นเดินหน้าความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านการควบคุมมลพิษทางอากาศ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลภาวะอย่างฝุ่นพีเอ็ม2.5 ก๊าซโอโซน สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ในปี 2021



ก่อนหน้านี้ เมื่อ 15 ม.ค. นครเซี่ยงไฮ้ ทางตะวันออกของจีน ก็แถลงผลการจัดการอากาศให้มีคุณภาพอากาศดียิ่งขึ้นหลังจากการปล่อยมลพิษลดต่ำลงอย่างมาก

เฉิงเผิง หัวหน้าสำนักนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า "เซี่ยงไฮ้รักษาอัตราการเติบโตของประชากร เศรษฐกิจ และการบริโภคพลังงานรวมไว้ได้ โดยการปล่อยมลพิษประเภทหลักลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และสิ่งแวดล้อมเชิงนิเวศพัฒนาขึ้น"

การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์ของเซี่ยงไฮ้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 46.6 และร้อยละ 28.2 ตามลำดับ ซึ่งสูงเกินเป้าหมายที่รัฐบาลกลางตั้งไว้

ความเข้มข้นเฉลี่ยของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนหรือพีเอ็ม 2.5 (PM2.5) ของเซี่ยงไฮ้ในปี 2020 อยู่ที่ 32 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ต่ำลงร้อยละ 36 เมื่อเทียบกับปี 2015 และต่ำกว่าสถิติปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

เซี่ยงไฮ้ยังควบคุมการใช้ถ่านหินอย่างเข้มงวด พร้อมส่งเสริมการซื้อยานยนต์พลังงานใหม่ 364,000 คัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนถ่านหินในการใช้พลังงานขั้นต้นลดลงจากร้อยละ 37 เป็นร้อยละ 31

ไป๋กัวเฉียง หัวหน้าวิศวกรของสำนักฯ ระบุว่าเซี่ยงไฮ้จะเดินหน้าลดความเข้มข้นของพีเอ็ม 2.5 และโอโซนต่อไป โดยมุ่งลดการปล่อยมลพิษในภาคพลังงาน อุตสาหกรรม และการคมนาคมขนส่งเป็นหลัก หลายเมืองในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีจะยกระดับความร่วมมือเพื่อพัฒนาคุณภาพอากาศในภูมิภาค

นอกจากนี้เซี่ยงไฮ้ยังมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น โดยอัตราความครอบคลุมของผืนป่าอยู่ที่ร้อยละ 18.49 และมีพื้นที่ชุ่มน้ำ 2.9 ล้านไร่ เมื่อนับถึงสิ้นปี 2020

เซี่ยงไฮ้ซึ่งมีประชากรกว่า 24 ล้านคน สร้างที่อยู่อาศัยให้สัตว์ป่าสำคัญ 20 แห่ง ฟื้นฟูหรือสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำและที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าเกือบ 2,625 ไร่ พร้อมจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 6 แห่ง ระหว่างปี 2016-2020


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_5805654

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 25-01-2021 เมื่อ 04:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:40


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger